20 เมษายน 2546 14:35 น.
ลำน้ำน่าน
กระท่อมไพร.....พุดพัดชา
ฝนโปรยสายใบไม้ไพรผลิเขียวใส
ละออใบไหวก้านบานรับฝน
แก้วร่วงร่วงกราวพราวพื้นหอมพร่างพรม
เด็ดดอมดมชมจำปีที่พ้อใจ..
เสียงสายฝนหล่นปรอยปรอยเปาะเปาะแปะ
ผีเสื้อแวะดูดดื่มหวานรานกิ่งไหว
กุหลาบงามแม้นมีหนามยอมแพ้ใจ
ธรรมชาติใดงามไหนเล่าเท่าเทียมรัก...
ฟ้าครืนครางห่างไกลในโพ้นฟ้า
สะดุ้งหาอ้อมแขนใจแน่นหนัก
อ้อมกอดใครอุ่นเท่าเล่ายอดรัก
โพยภัยจักมลายหายวับไปใจมีเธอ..
กระท่อมไพรจำได้ไหมในคืนหนึ่ง
สายฝนซึ้งแสงตะเกียงริบหรี่ไหว
พราะจันทร์หวานผ่านดวงมาลย์ใจหลอมใจ
ทั้งราวไพรอวยพรฝันวันวิวาห์เพื่อสองเรา..
กระท่อมใจ.....ลำน้ำน่าน
ฝนโปรยปรายสายรักแรก..แตกหน่อรัก
งามสุดศักดิ์ปวงป่า...ยามหน้าฝน
แก้วพิกุลกรุ่นกลิ่นหวล....อวลระคน
เด็ดดอมดมชมกลิ่นหวาน...งามดอกไพร
ยินสายฝนหล่นพราว...หนาวดวงจิต
ดอกชีวิตที่ร่วมหว่าน...บานวาบไหว
อยู่ร่วมเรียงเคียงคู่รัก...กระท่อมใจ
สุขงามไหนจะเคียงค่า....เทพธิดาดวง
ฟ้าครืนครวญห่วงนงราม...กลางกระท่อม
กรุ่นกลิ่นหอมล่องลมฝน....ยลยินหวล
แนบอ้อมอกซบอ้อมใจ....ให้รัญจวญ
พิศเนื้อนวลชวนชื่นชม...ในดงแดน
กระท่อมไพรกระท่อมใจ....ในคืนหนึ่ง
หวานซาบซึ้งรักเราสอง...ครองสุขแสน
แสงเทียนดับนับจันทร์ดาว...พราววับแวม
ณ คืนแรมกระท่อมไพร..กระท่อมใจ...ในวันวิวาห์ ของสองเรา
กลอนหวานจากพุดพัดชา.ลำน้ำน่าน..กำนัล..ทุกดวงใจ ให้มีความสุขในวันวิวาห์
20 เมษายน 2546 00:53 น.
ลำน้ำน่าน
เรื่องมันนานมาแล้ว เจ้าน้อยศุขเกษมอายุได้ 15 ปี
เจ้าพ่อก็ส่งไปเรียนหนังสือที่เมืองมะละแม่ง ประเทศพม่าโพ้น
เลยกลายเป็นเรื่องของกรรมของเวรเขา...
ณ แว่นแคว้นแดนดิน...ถิ่นเมืองเหนือ
วังเวียงเครือเจ้านคร...ครองเขตขาม
ปกครองคุ้มไพร่ฟ้า...ประชาชาญ
เลื่องลือนามอุปราชเจ้า...เท้าเมืองแมน
มีทายาทราชบุตร...สุดที่รัก
คนรู้จักนามเจ้าน้อย...ศุขเกษม
ทูลล่ำลาไปร่ำเรียน..กระบวนเพลง
ตามกฎเกณฑ์รัชทายาท...ชาติชายชาญ
จรลีถึงเมืองงาม...นามมะละแม่ง
ในเขตแดนแหล่งพม่า...อาสน์สถาน
เพียรร้ำเรียนวิทยา...วิชาการ
จนชำนาญรอบรั้ว...ทั่วเวียงวงศ์
ด้วยบุพเพบันดาล...ผ่านกรรมเก่า
มาแนบเนาพบรักแรก...แยกวงศ์หงส์
รักหลงใหลสาวแม่ค้า...กลางป่าดง
งามสกลคนเลื่องลือ...ชื่อมะเมี๊ยะ
ด้วยเจ้านางงามเพริศแพร้ว...แก้วมณี
เปล่งราศีเยี่ยงนางหงส์...จนที่เปรียบ
แต่กำเนิดเกิดนาง...ต้อยต่ำเตี้ย
นางมะเมี๊ยะมอบใจภักดิ์...รักเจ้าไทย
นางปฏิเสธมอบดวงใจ...ให้ชายอื่น
รักยั่งยืนเนิ่นนาน...ผ่านล่วงหลาย
จนเจ้าน้อยฯ รับคำสั่งกลับคุ้มไทย
สองดวงใจแทบสลาย...วายชีวา
เหมือนโดนมีดกรีดฟัน...ฝันสลาย
นางปลอมกายเป็นผู้ชาย...ตามเจ้าฟ้า
ด้วยไม่รู้ราชบุตรสุดที่รัก...กับพม่า
ประเพณีสืบมาต้องร้างลา...แยกทาง
เจ้าอุปราชเมืองเชียงใหม่...ไม่ยอมรับ
ยื่นคำสัตย์นางไม่กลับ...จักถูกฆ่า
เสื่อมเสียเกียรติราชบุตร...คนนินทา
องค์เจ้าฟ้ามีชายา...แม่ค้าไพร
ทั้งเจ้าน้อยและเจ้านาง...อาลัยหา
หลั่งน้ำตาเกินทัดทาน...ห้ามไว้ไหว
นางมะเมี๊ยะเสียสละ...ควักดวงใจ
ขอลาไปตามทาง...นางจากมา
เมื่อวันนั้นถึงวัน...ส่งนางคืน
สุดขมขื่นก่อนขึ้นช้าง...นางไหว้สา
สยายผมลงเช็ดองค์...บาทบาทา
อาลัยลาชาตินี้หนา...เพราะมีกรรม
โศกสลดรันทดใจ...ไหนเทียมเท่า
ทั้งองค์เจ้าสาวพม่า....เทวดาสวรรค์
ให้ครวญคร่ำรำพันหวล...ครวญครามครัน
ด่วนจะพลันกลั้นใจตาย....สลายลง
อุปราชเจ้าเท้าเมืองแมน...เร่งอภิเษก
ชายาเอกลูกเจ้านาง.....ชาติวงศ์หงส์
สืบนครครองแผ่นดิน....สิ้นแดนแดง
สันตติวงศ์องค์รัชทายาท...ปราชญ์เมธี
องค์เจ้าน้อยฯ ได้อภิเษก...เอกชายา
ตามบิดาเห็นพ้อง...ครองกรุงศรี
ไม่สนใจปกครองราชย์...อาสน์ธานี
ดวงฤดียังรัญจวญ...นวลนางไพร
ฝ่ายมะเมี๊ยะทางพม่า...ว้าวุ่นจิต
ให้ครุ่นคิดถึงคู่รัก...ภักดิ์ใจหมาย
ออกเดินทางมาหาเจ้า...เข้าคุ้มไกร
หวังเพียงได้พบพระพักต์...ด้วยภักดิ์ดี
เจ้าฟ้าน้อยทราบข่าว...จากบ่าวไพร่
มีนางไพรใคร่เข้าเฝ้า...พระสุรสีห์
หน้าละม้ายคล้ายมะเมี๊ยะ...แต่เป็นชี
พระภูมีรู้แก่ใจ...ไม่ขอออกมา
ด้วยกลัวใจไม่สามารถ...หักห้ามจิต
ล่วงเกินผิดสมณเพศ...เหตุเสน่ห์หา
มอบดวงใจบูชานาง...หลั่งน้ำตา
จึงเสนอมาเพียงแหวน...ไปแทนกาย
เมื่อนางชีได้พิศแหวน..แน่นหัวอก
น้ำตาตกว่าองค์เจ้า...ไม่ปรารถนา
ลืมสิ้นแล้วรักในอก...ซบในอุรา
องค์ชายาเอกธานี....ที่เป็นจริง
นางจึงกลับมะละแม่ง...แหล่งพม่า
ยึดพระศาสดาสรณะ...เป็นที่พึ่ง
ฝังบาปเวรรอยกรรม...ที่ยังคะนึง
ขอตราตรึงในชีเพศ...เจตจำนรรจ์
เจ้าศุขเกษมช้ำหนัก...อักโลหิต
สิ้นชีวิตหมดวี่แวว...แล้วยอดขวัญ
ถอนใจดับตรอมใจตาย...ไม่นานวัน
วายชีวันสังเวยรักที่มักเป็นฉะนี้..แลเอย
เรื่องจึงจบลงด้วยชีวิตเช่นนี้.....
19 เมษายน 2546 18:38 น.
ลำน้ำน่าน
สักวา ว่าตัวฉัน นั้นหล่อนัก (หรือ)
จมูกหัก ดั้งแบน แสนสงสาร
หัวเกือบเลี่ยน เจียรล้าน ทรมาร
ยุงรำคาญ เมินหน้าหนี มิกล้ากิน
ได้เป็นดาวน์ ซินโดรม โด่งดังนัก
สาวสาวทัก มักเล่นตัว พาตัวหนี
ยิ้มตลาด ปากกว้าง บ้างยิ้มฟรี (อยู่เฉยๆ ก็ยิ้มเอง)
กล้วยสามหวี งาบได้ สบายสบาย
มีแฟนจ๋า (Fan) หน้าบาน ปานกระด้ง
นอนตูดโด่ง ตื่นก็สาย น้ำลายไหล
ตื่นขึ้นมา ตาเหลือกกลวง เห็นแต่ไกล
เรื่องหัวใจ ยอมพลีให้ ใครก็ตาม
ตัวต่ำเตี้ย หมาเลียตูด ดูดนิ้วเล่น
เดินเขย่ง ก้าวกระโดด โสดสถาน (เดียว)
อยู่ทะเล นั้นคือถิ่น กินปลาวาฬ
ทำทุกงาน ล้างชามจาน วานซื้อชา (แถมโอเลี้ยง)
สักวา คนอย่างฉัน นั้นขี้เหร่
แต่ว่าเท่ห์ ตรงที่จิต คิดใฝ่ฝัน
อุทิศตน เพื่อผองเพื่อน เจอทุกงาน (ทุกงานจริงๆ)
จนตะวัน จับขอบฟ้า ขอลาเอยฯ
19 เมษายน 2546 17:14 น.
ลำน้ำน่าน
กลีบโมกจรใจจาก...ฝากรักแล้ว
ดอกนมแมวแก้วกระพ้อ..ขอคำหวาน
พุดพัดชามาเตือนจิต..คิดถึงปรางค์
หอมเนิ่นนานงามดอกสร้อย...ร้อยมาลัย
นวลแสงจันทร์ฝันระยิบ...ระยับย้า
กลีบเฟื่องฟ้าห่มแสงดาว...พราวไสว
ดอกรักเร่เล่ห์รักหลง...กลอุบาย
หนาวทรวงในสารภี....ที่ปลิดปลง
อีกพุดซ้อนซ่อนคำรัก...หนักหน่วงจิต
ให้ยิ่งพิศยิ่งหลงเจ้า...คราวไหลหลง
ดอกพัดโบกโศกไสว...ในแดนดง
ไม้มงคลดลหัวใจ....ใคร่รำพัน
ในลานบ้านลานฝัน....พรรณดอกไม้
บานในใจใสสว่าง...พร่างสีสัน
โน้มดอกฟ้ามาสถิตย์....พิศนวลจันทร์
บานทุกวันมวลดอกไม้...ให้พุดพัดชา.....
................................
ด้วยรักและชื่นชมใบทกวีหวานของคุณพุดพัดชา ที่เคยเขียนต่อกลอนไว้
ในบท ไร้เงาดาว ร้าวเงาใจ นำมาแต่งแต้มภาพดอกไม้หวาน
ประกอบ เก็บไว้เติมเชื้อไฟฝัน..ในวันระวี
19 เมษายน 2546 16:36 น.
ลำน้ำน่าน
ระเรื่อยไหลสายน้ำ...ธรรมชาติ (นายดอกไม้)
เย็นลมพัดพาเพลิน...ชวนเดินหมาย
ขลุ่ยแผ่วเสียงรื่นเริง...บันเทิงใจ
เสียงพฤกษ์ไพรขับขาน...บทกานท์มา...
คือบทเพลงมิตรแท้...แห่งราวป่า (ลำน้ำน่าน)
โปรยปรายมากับสายฝน..บนป่าฝัน
แต่งเติมวันฝันระวี...ที่เลือนลาง
ให้งดงามด้วยใบไม้...สายนที
เป็นนกน้อยบินมา..เจอป่าใหญ่ (สีน้ำฟ้า)
บรรเลงใสกู่ก้อง...พ้องสรรสี
เสียงสูง-ต่ำ ไร้แนว..แถวดนตรี
ขอเพียงมี..ส่วนร่วมใน..ป่าไม้งาม
ปวงป่าน้อยคอยสกุณา...มาอิงแอบ (ล้ำน้ำน่าน)
บรรเลงแทรกเสียงหวาน...ขับขานขัน
ระบัดใบออกผลงาม...เนิ่นนานวัน
เหล่านกนั้นได้ผลจันทน์..ไปเก็บกิน..