27 กรกฎาคม 2552 15:46 น.

หยาดน้ำค้างคือมายาแห่งราตรี (The Pretending of Night Dew)

ลำน้ำน่าน

เจ้าหลับไหลในนามความอ้างว้าง
ท่ามไพรพรางแสงสรรค์พระจันทร์ฉาย
ขับลำนำบอกกล่าวกล่อมดาวราย
แกมกลิ่นกายครรลองของราตรี

เจ้ารอห้วงเวลาพฤกษาหลับ
ตื่นมารับเม่าภมรอ้อนแสงสี
มารินสายพรายพรูสู่วารี
ปลุกดอกไม้สวัสดีแขกค่ำคืน

เจ้าพรมพรำอยู่ในเถื่อนไม้ป่า
แล้วเริงร่าเที่ยวล่องท้องนาผืน
ฝากรอยรักสลักใจในลมครืน
ไปกลบเสียงสะอื้นหมื่นเรไร

คือหมายเหตุเพศพันธุ์แหละฤดู
ยืนหยัดอยู่เที่ยงตรงอสงไขย
เล่นบทรับรุกเรื่องเถื่อนเมืองไพร
แล้วผละไปเมื่อพรุ่งมารุ่งราง

เจ้าอ่อนไหวบอบบางกลางอุษา
พลีกายาเหือดเหงื่อเมื่อแสงสาง
ทิ้งรอยชื้นปื้นเขียวเรียวริมทาง
บนใบบางผืนนาหย่อมหญ้าดิน

เดินทางไกลจากสวรรค์ชั้นเวหา
นำน้ำตาอัปสรร่อนถวิล
มาเกิดดับนับเริ่มเจิมอาจิณ
มาดื่มกินทิพยรสแห่งกฎพุทธ

เจ้าหยาดวับจับใจใคร่คืนค่ำ
หยาดลำนำสาบสาวบริสุทธิ์
อิ่มเกษมเอมงามความสมมุติ
พริบตาหยุดลับโลกย์โศกน้ำตา

เจ้าหลั่งไหลอยู่ในกระแสเสียง
สื่อสำเนียงดัชนีที่เดียงสา
เพียงข้ามคืนวูบวับดับราคา
ยังเสาะหายังหวัง..ยังมิเว้น

เริงระบำร่ายริ้วทุกทิวภู
มาพรมพรูเกาะใจใครรู้เห็น
หนาวยิ่งหนาวเกร็ดเจ้ากราวกระเซ็น
ลืมย่ำเย็นย่ำรุ่งของพรุ่งนี้

เจ้าหลับตื่นในนามความอ้างว้าง
เจ้าคือหยาดน้ำค้างกลางวิถี
ยอมเกิดดับอยู่ในความไม่มี
เป็นมายาราตรีที่เปรอปรน!
------------------------------------
แท้เกิดดับอยู่ในใคร่ราคี
แค่มายานารีที่เปรอปรน!
แค่น้ำตานารีที่เปรอปรน!

---------------------------------------
ณ ทุกหนทุกแห่งของราตรี
น้ำค้างอันบริสุทธ์บอบบาง เจ้าไร้เดียงสานัก
โชคชะตากำหนดให้เจ้านั้นเป็นดัชนีความงาม
ของดอกไม้ราตรีดอกไม้งามที่บานในยามค่ำคืน
น้ำค้างพร่างมาในยามค่ำและเหือดไปในยามอรุณ
หมุนเวียนอยู่มิรู้จักเหน็ดเหนื่อย เป็นครรลอง
ธรรมชาติลิขิตฉันใด กฎธรรมชาติก็ยิ่งบ่งสอนเรา
ให้เข้าใจในครรลองการเกิดดับของชีวิตฉันนั้น...
เว้นแม้แต่ความเป็นมนุษย์โลก...

บางครั้งน้ำค้างก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดิน
ระหว่างน้ำค้างกลางไพรกับน้ำค้างกลางเมือง
ข้าพเจ้าประหวัดถึงน้ำค้างกลางไพรในบ้านนา 
ในยามที่พระจันทร์อาบฟ้าและแสงทองส่องหล้า
น้ำค้างอาบทุกทิวขอนตอนนา...
น้ำค้างกลางท้องทุ่งส่องเกร็ดแสงระยิบยับเต็มตา
งดงามบรรเจิด เป็นน้ำค้างที่บริสุทธิ์....
ที่ตกลงมาจากสรวงต้องแสงแรกแห่งอุษา

ท่านพุทธทาสบอกเสมอว่า 
ธรรมชาตินั้นตะโกนโหวกเหวก
สอนธรรมเราอยู่ตลอดเวลา เพียงเราเปิดใจรับฟัง
เข้าถึง เข้าใจ และพัฒนาความคิดจิตวิญญาณ
เพื่อนำไปสู่วัยวันชีวิตที่ดีกว่าอยู่เสมอ

ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันจันทร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒ 

				
20 กรกฎาคม 2552 19:34 น.

เสียงกระซิบจากรวงข้าว (The Rice Ear Retreat)

ลำน้ำน่าน

ผืนแผ่นดินผืนหนึ่งซึ้งความหลัง
เปี่ยมพลังท้นอยู่คู่ความหมาย
สุขสงบอยู่ระหว่างความวุ่นวาย
ณ เบื้องปลายแห่งหนตำบลใด

ธรณีแหล่งไหนในจักรวาล
จำจารึก..ตำนาน..งาน..รอยไถ
บ่มเมล็ดรากเหง้าเผ่าพันธุ์ไท
จำป่าไพรท้องนาอุษาตำบล

---------------------------------------------
จากใจกลางตึกแท่งแหล่งลำนำ
จากย่ำค่ำรุ่งรางกลางม่านฝน
จากแผ่นดินวัฒนาป่าผู้คน
จากวังวนแห่งโลกย์...โศกยังลึก

เปิดเปลือกตาเหนื่อยหน่ายหมายมองฟ้า
ลิบดาราส่องสรวงยามห้วงดึก
คิดถึงบ้านตำบลฝนพรมพฤกษ์
พรายสำนึกผุดคว้างอย่างเงียบงัน

ฝันไปถึงทิวตาลตำนานเยาว์
บ้านหลังเก่าปลูกไว้ในทุ่งฝัน
ยามดุเหว่าหวานแว่วแผ่วจำนรรจ์
ปลุกวิญญาณตื่นทัน...นั่นแดดมา

ทิวทุ่งเวิ้งลานกว้างทางเกวียนไกล
รวงริ้วไหวโอนอ่อนอ้อนอุษา
เขียวห่มเขียวอุ่นระวีคลี่วิญญาณ์
น้ำค้างทาโน้มรวงหน่วงค้อมลง

สุดตำบลหนทางกว่ากว้างใหญ่
อาบอำไพแสงพุทธวิสุทธิ์สงฆ์
ธรรมยาตราดื่มด่ำธรรมธุดงค์
สืบตำนานพุทธิพงศ์ท่ามดงลับ

เมื่อต้นข้าวแตกรวงคลอบ่วงใบ
ดลดวงใจชื่นฉ่ำรวงธรรมจับ
ตราบทิ้งรวงร่วงเหลืองเรืองระยับ
คือชีวิตเกิดดับนับกาลนาน

จากตำบลสู่ตำบลฝนโปรยปรอง
ท่ามนทีห้วยหนองคลองละหาน
คือวิจิตรพุทธศิลป์ถิ่นกันดาร
บ่มนิพพานสมานยุคทุกปีมา

ได้บอกเล่าเรื่องราวข้าวรวงเขียว
บุญข้นเคี่ยวนมข้าวคราวพรรษา
อมตะพืชพันธุ์บอกปัญญา
ลิ้มโอชามวลมนุษย์ทุกยุคครอง

ขุนจักรวาลผ่านเมล็ดเล็กน้อยนิด
เจิมจุมพิตคนจน..จนพ้นหมอง
พุทธจักรแว่นแคว้นทุกแดนปอง
ผู้งามผ่องเหลืองรวงปวงผ้าพระ

ณ ตำบลแหล่งใดในโลกเล่า
ศานติสุขพลิ้วเบาเร้าผัสสะ
ห้อมห่มข้าวพลิ้วรวงร่วงธรรมะ
เกินโกฏิล้านวาทะจะจำนรรจ์

ผืนแผ่นดินตำบลคนเล่าขาน
ถึงนิพพานข้าวรวงร่วงสวรรค์
โปรยมรรคาทอดทางสว่างวรรณ
เทียบตำบลข้าวพันธุ์..แต่บุราณ

----------------------------------
เข้าพรรษาแล้ว..ต้นข้าวกล้าที่เริงร่าไสว 
ผ่านห้วงเวลาการตั้งท้องโอบอุ้มรวงชีวิต
จวบถึงวันแตกรวงหล่อเลี้ยงมนุษย์ทั่วจักรวาล
งดงามพลิ้วไหวอยู่ในตำบลท้องทุ่ง..อ่อนเยาว์
ต้นข้าวตั้งท้องแล้วออกรวงรอเวลาสุกระยับ
เพื่อให้มนุษย์เก็บเกี่ยวไปตามวัฏจักรชีวิต
บางเมล็ดร่วงพราวลงสู่พื้นบ่งสัจธรรมอันยิ่งใหญ่
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป...  

ในความตั้งอยู่นั้น
เพียรพยายามสร้างสรรค์คุณความดี
เฉกรวงข้าวที่เป็นศิลปินธรรมชาติ  
แต่งแต้มท้องทุ่งนามานานนับ จากตำบลสู่ตำบล  
ปีแล้วปีเล่า  ยุคแล้วยุคเล่า ที่รวงข้าวนั้นคือผู้ให้
คุณความดีขจรกระจายสู่ผู้คนทุกแห่งหนตำบล...
เป็นมาอย่างนี้และต่อไป ตราบนิรันดร์...

ในความเป็นสามัญ ทุกมิติแห่งธรรมชาติ 
ทุ่งข้าว ราวไพร ล้วนมีความหมายซ่อนเร้น
พระบรมศาสดากำหนดให้ภิกษุจำพรรษาหน้าฝน
ด้วยเหตุประการหนึ่งที่ไม่อยากให้จาริกแสวงบุญ
แล้วเหยียบต้นข้าวของชาวนาช่างน่าศรัทธานัก
แท้แสดงถึงการเคารพต้นข้าวของพระศาสดา

หากมีเวลาว่าลองท่องไปตามหนทางสายรวงข้าว
เราอาจจะพบคติชีวิตที่น่าอัศจรรย์บ้างก็เป็นได้
เพียงเราเปิดตาเปิดใจที่จะรับฟังว่า..แท้จริงนั้น
รวงข้าวกำลังกระซิบค่าของธรรมะ..และสัจธรรม


ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันจันทร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒


				
14 กรกฎาคม 2552 00:15 น.

ลำนำแมกไม้สายมูล (The River of Life)

ลำน้ำน่าน

อุทิศแด่ยายไฮ สตรีนักสู้แห่งลุ่มน้ำมูล
และลูกหลานแม่มูลทุกนาม


แม่มูลเอย....
แม่บ่เคยลืมหนองคลองละหาน
ตราบแสงทองต้องน้ำงามตระการ
ให้อีสานยามนี้...ยังมีฮัก

งามสองฝั่งแม่มูลคูนเสียงแคน
โอบดงแดนบุญบ่วงข้าวรวงหนัก
สร้างสัมพันธ์สาวหนุ่มผู้พุ่มภักดิ์
ตอกสลักตำนานธารเวลา

จากภูดินฝั่งนทีราษีไศล
สู่ผืนไพรละเมาะเถื่อนเฮือนเคหา
คือชีวิตลุ่มน้ำตามธรรมยาตรา
คือวังปลาวังวนคนแผ่นดิน

ชีพจรมูลแม่แท้ปรี่เปี่ยม
สุดโขงเจียมแหล่งละหานพลาญหิน
น้ำหลากมานาล่มจมพังภินท์
ชีวิตเฮาบ่สิ้นดิ้นกันไป

น้ำไหล..นำสาบสาวหนุ่มลุ่มน้ำ
มาเตือนตามตุ้มโฮม..ฮักยิ่งใหญ่
ให้สายมูลโลมร่างกระจ่างใจ
ให้ฮักกันฮักไว้บ่คลายจาง

เอาเขื่อนแก่งแกล้งกั้นลำน้ำแม่
ให้เฮาแก้อุปสรรคไผขัดขวาง
เอาเกาะแก่งแอ่งหลายรายริมทาง
ให้พักวางเหยียบดินแฮงสิ้นลา

ไผสิทำลำมูลเฮาขุ่นข้น
แต่เลือดคนถิ่นนี้สิขุ่นกว่า
ไผสิเอาน้ำใสแสร้งไหลมา
น้ำใจเฮาสิใสกว่าอย่าซังไป

เถิดแม่มูลมั่นยืนเป็นหมื่นปี
เลี้ยงชีวีหลากหลายสายน้ำไหล
ขอป่าบุ่งทุ่งทามน้ำเหงื่อไคล
ให้ข้าวใหม่ปลาปลาบตราบภพหน้า

มนต์แม่มูลเรียกเอิ้นวังเวินแว่ว
คืนมาแล้วเฮือนเฮาลำเนาป่า
สืบสายเลือดสายน้ำสายศรัทธา
ร้องลำทุ่งภาษานาตระการ

สาวและหนุ่มละเมาะคอยเศร้าสร้อยแสน
ผู้อาดูรมนต์แคนแก่นอีสาน
มาละลายสายชีวิตจิตวิญญาณ
ละเลงลานพลาญหินดินดอกคูน

อยู่กลางดินถิ่นไหนใจแม่นแม่
สิ่งเที่ยงแท้แก่เฒ่าเฮาดับสูญ
ฝากน้ำตาหลั่งไหลสีไพลปูน
เติมแม่มูลสายเลือด..บ่เหือดเลย

--------------------------
ชีวิตลูกลุ่มน้ำมูลเกิดขึ้นที่ริมฝั่งน้ำสายนี้
และดำรงอยู่ในห่วงเอกภพ...
แม่มูลนำพาชีวิตจิตวิญญาณผู้คนลุ่มน้ำ
ไปสู่ฝั่งฝัน สู่ความเจริญและเสรีภาพ
สู่แสงเงินแสงทองแรกแห่งแผ่นดิน
หมุนชีวิตเกิดดับอยู่ในวังเวินลำน้ำมานานนัก
แม่มูลก่อเกิดวิถีชีวิต ข้าวปลา และวัฒนธรรม
หล่อหลอมจิตวิญญาณลูกอีสานไว้ด้วยกัน
กับตำนานการต่อสู้ของยายไฮสตรีแห่งศรัทธา

ข้าพเจ้าเชื่อมั่นหนักหนาว่า
หนุ่มสาวลูกลุ่มน้ำมูล มีพันธะมีมนต์มัดใจ
มีสายใยแห่งสายน้ำที่รัดรึงตรึงตราจำไว้
ไปอยู่หนใดในแผ่นดิน..กลับมาตุ้มมาโฮม
มนต์เรียกแห่งแม่มูลนั้นยังก้องประหวัด
อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...ไม่จางคลาย
ฝากลมใจไปกับปลาน้อยใหญ่หลากหลาย
ที่กำลังวนว่ายฝ่าเขื่อนน้ำโจน...เกาะแก่ง
บอกกล่าวความฮักความคิดถึงในยามนี้
ให้หนุ่มสาวมาฮักคนลุ่มน้ำเดียวกัน

เขียนบทกวีแทนใจลูกแม่มูลทุกผู้ทุกนาม
บอกเล่าถึงความประทับใจเมื่อยามได้เยือน
มองลึกไปถึงจิตวิญญาณของผู้คนลุ่มน้ำ
ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคุกรุ่น
หวังให้เสรีภาพและวิถีชีวิตดำเนินไปได้
อย่างที่เป็นมาและเป็นไป

แว่วเพลงมนต์รักแม่น้ำมูลแว่วมา
ราวกับว่าโดนมนต์แม่มูลรัดรึงไว้แล้ว
เฉกเช่นกัน.........


เรื่อยเรื่อยไหลริน.... 
พลาญหินโขดเขา.... 
หมู่บ้านธารป่าทุ่งนาเก่า 
หมู่เฮาซาบซ่านผ่านใจ 

ไหลมาไหลมาสู่... 
ฟองฟ่องฟูกระเซ็นใส 
ไหลมาไหลมา...จากใจ 
จากพฤกษ์ไพรทุ่งนามาสู่ดิน 

ชุ่มเย็น..ชุ่มเย็น...ลำน้ำ 
ชุ่มฉ่ำ..ชุ่มฉ่ำ....กระแสสินธุ์
เสกสรรพืชพันธุ์..ทำมาหากิน
ชีวีรินไหลได้...เพราะสายธาร..... 

เพลงแคนแผ่วแว่วมา... 
เล่าขานเรื่องป่าและลำน้ำ 
คูนดอกเหลืองที่บานอยู่ชูช่องาม 
ให้ซาบซ่านกับไมตรีมิวางวาย...


ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
ณ ลุ่มน้ำแม่มูล โขงเจียม


				
10 กรกฎาคม 2552 18:26 น.

จากดอกหญ้าไปเป็นดาราสูงส่ง (The Rice Field Retreat)

ลำน้ำน่าน

แล้งลมร้อนผ่อนลาฟ้าฝนตก
แว่วพ่อนกเพรียกทุ่งเมื่อรุ่งสาง
มะม่วงป่าคลุมดอกออกใบบาง
รายริมทางตะแบกคู่สู่ลานนา

ริ้วลมทุ่งหลงพัดระบัดรวง
ห่วงแสนห่วงห่วงข่าวเจ้าหนักหนา
เสร็จหน้าเกี่ยวฝนหล่นปนน้ำตา
แหละเอื้องป่าลาร่วงจากบ่วงใบ

สิ้นบทเพลงเกี่ยวข้าวราวรักขม
เจ้าลั่นทมร่วงลงตรงทุ่งไหน
ทิ้งกลีบดอกแล้งร้างกลางทุ่งใจ
ไร้กองฟืนกองไฟใต้ลานจันทร์

อีกคราวค่ำวันพรุ่งจะรุ่งราง
อีกกี่ฟ้ากี่สางเจ้าห่างหัน
จากฤดูจดฤดูคู่เดือนวัน
จนรับขวัญยุ้งฉางเจ้าร้างนาน

เคยเคียงข้างเถียงนอนก่อนพรรษา
กลางลานนาอ้อนรักสมัครสมาน
เมื่อม่วงหม่นตะแบกยามแรกบาน
ท้ายหมู่บ้านถิ่นเก่าเจ้าเคยนอน

นี่ก็สิ้นลมว่าวอีกคราวครั้ง
เสียงโห่ดังเริ่มแผ่วทุกแนวขอน
อีกลานรักลานเทเห่เพลงกลอน
เสียงแผ่วจรแว่วหายแล้วหลายวัน

ตะแบกบานแล้วร่วงเจ้าลวงรัก
ทุกข์ทนหนักอกเอยเคยร่วมฝัน
ยามลมทุ่งโกรกใจให้จาบัลย์
เมื่อดอกภักดิ์เจ้านั้นร่วงโรยตาม

มองกองฟืนลอมฟางให้ห่างเหิน
คงเพลิดเพลินเฟื่องฟุ้งกรุงสยาม
ลานรักเก่าน้อยใจในทุกยาม
สัญญาตามข้ามฝั่งดั่งลมลา

หมดเรี่ยวแรงล้มลงตรงกลางทุ่ง
ข้าวรอหุงเสื่อรอนอนอ้อนโหยหา
ทุกคืนจันทร์หมอนอับซับน้ำตา
ทุ่งท้องนาฟางฟ่อนคอยฟ้อนรับ

ฝากบทเพลงสุดท้ายชายนาผืน
ด้วยน้ำเสียงสะอื้นคืนเดือนดับ
ครวญขลุ่ยนาร้าวเพลงบรรเลงนับ
ให้ดลจับจิตหนาวทุกคราวฟัง

ให้เจ้าแม่ลานเทเห่เพลงข้าว
เตือนสะกิดเรื่องราวเจ้าแต่หลัง
ว่าลานรักลานตายจะพ่ายพัง
ร่ำประดังแต่โศกวิโยคยาว

วอยลมว่าวเวี่ยลาฟ้าฝนตก
ใจสะเทือนสะทก..นกเหน็บหนาว
รอยลานเททิ้งซากตากเดือนดาว
ได้ขมข่าวขื่นรับ..กลับมาแล้วฯ


----------------------------
เข้าพรรษามาหลายวันแล้ว
หนุ่มสาวชนบทคงพากันไปวัดเอาบุญใหญ่
เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนแปรจากหนาวกลายเป็นร้อน
จนปีศาจวสันต์บรรเลง ดะแบกบานแล้วร่วง
เสียงขลุ่ยครวญหวลมาแต่ไกลไกล

ข้าพเจ้าอดคิดถึงสวรรค์บ้านนาไม่ได้ในทุกยาม
ในตำนานของหนุ่มลูกทุ่งและสาวบ้านนา
มีบทเพลงที่ครวญคร่ำได้อย่างถึงใจนัก 
ลานเทสะเทือน ที่ขับร้องโดยสายัณห์ สัญญา 
และเสียงขลุ่ยเรียกนาง ของสันติ ดวงสว่าง
แหละที่เป็นสุดยอดแห่งการรอคอยอย่าง
***เหมือนข้าวคอยเคียว** ของไพรจิตร

สิ่งหนึ่งที่ยังมีมนต์เสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย
คือความอมตะของเพลงลูกทุ่งท้องไร่ท้องนา
ที่ดูเหมือนว่าสมัยนี้จะหาคนฟังได้ยากแล้ว  

ข้าพเจ้าชอบฟังบทเพลงเหล่านี้ 
ด้วยเหตุที่คนแต่งถอดจิตใส่วิญญาณ
ให้กับบทเพลงจนสะเทือนไหวทุกครั้งที่ได้ยิน

บางเวลาที่เรารู้สึกเหนื่อยหน่ายกับระบบทุนนิยม
หันมาใส่ใจความสามัญที่สัมผัสได้จากเพลงเก่า
สงบเย็นและอ่อนไหวในความเป็นสามัญ
ยังความบรรเจิดให้เกิดขึ้นในใจ เพียงเราเปิดใจ
หาใช่แต่เพลงป๊อปร๊อคแร๊บที่มีอยู่เกลื่อนตลาด
หากแต่ช่างแห้งแล้งวิญญาณเพลงเสียยิ่งนัก

หวังให้บทกวีได้สะกิดเตือนใจแรงงานทิ้งทุ่งทิ้งถิ่น
ได้คืนสู่มาตุภูมิลำเนา คืนไปสู่คนรักเก่าที่เฝ้ารอ
แหละยังอดีตรักของใครหลายคนกลับมาหวานชื่น
ขึ้นในความรู้สึกอีกคราครั้ง..ก็อาจเป็นได้


*หวิวไผ่ครางเคล้าลมอ่อนโอน
ต้นตาลเดี่ยวจูบพื้นยืนต้น ดั่งคนสูญสิ้นความหวัง
ขลุ่ยบรรเลงเจ้ารับฟังเพลงพี่บ้าง....
กลอยเอ๋ยอย่าลาร้าง
หนุ่มเดิมบางฯ สุพรรณหลงคอย*

แหละ....
ริมปลายนาฟ้าพลบพบความว่าง
จิตกระจ่างเงียบงามท่ามกระแส
หนาวน้ำฟ้าพร่างพรูสู่ดวงแด
สบคลองแควธารน้ำค้างกลางดวงจินต์

เขียวห่มเขียวห่มดินจินต์ห่มงาม
ล่วงเดือนสามรวงทองมิหมองสิ้น
งามคิมหันต์ตะวันตกนกโบยบิน
ตะแบกถิ่นร่วงแล้วทุกแนวไพร

งามตาลเดี่ยวคู่นาท่ามฟ้าโศก
โลกทั้งโลกแสนงามนิยามใหม่
ทิพย์ดวงตาฟ้าประทานประสานใจ
ใครซึ้งได้แท้สุดโชค..โลกอวยพร 

ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันที่ ๑๐ เดือนแปด พ.ศ. ๒๕๕๒


				
27 มิถุนายน 2552 01:31 น.

สัญญาดอกสะแบง (The Promise Forever)

ลำน้ำน่าน

สะแบงนายืนต้นดั่งคนคอย
ดอกร่วงลอยไกลต้นไปป่นปี้
ทิ้งสัญญาคาตายไว้หลายปี
ลืมความดี....บ้านนอกดอกสะแบง

-----------------------------------

หอมกลิ่นฟางตอซังยังบ่สิ้น
อีสานถิ่นทุ่งทางฟางบ่แห้ง
ตะวันลารอนรอนก่อนค่ำแลง
สองเท้าแย่งแข่งก้าวราวมีนัด

สู่ท้องทุ่งโคนสะแบงแหล่งบ้านนอก
สายลมบอกดอกสะแบงว่าแล้งจัด
ว่าลมเอยลมแล้งอย่าแกล้งพัด
หอบระบัดเสี่ยวสะแบงไปแข่งลม

หนึ่งสะแบงหนึ่งเด็กน้อยมิด้อยค่า
โชคชะตาเล่าขานงดงามสม
ชะตาต้องคล้องกันมิหวั่นตรม
ดั่งเพาะบ่มสายสัมพันธ์คู่กันมา

ทุกรอนแลงเด็กน้อยคอยใฝ่เฝ้า
ไปยิ้มเย้าใต้สะแบงนอนแหงนหน้า
หนุนโคนหมอนก่อนเก่าเล่าผญา
แหงนมองฟ้าลุลอดดอกแดงนั่น

ปูเสื่อฟางปีกสะแบงแข่งกันร่วง
ท่ามทุ่งท่วงทำนองของความฝัน
กายขยับฟางกระซิบใกล้ชิดกัน
พ้อสายัณห์สัญญาต่อหน้าฟาง

เอ็งเป็นต้นข้าเป็นดอกเด็กบอกเล่า
มีเพียงเรา..ทุ่งนั่นคือฝันกว้าง
ทางร้อยสายหมายจะซึ้งเพียงหนึ่งทาง
แม้นเคว้งคว้างกลับมาพบจบโคนคอน

เอ็งก็เหงาข้าอ่อนล้าพากันเหงา
ไต้ร่มเงาเอ็งเอยเขนยหมอน
เอ็งคงหนาวข้าคงหวั่นวันจากจร
จากฟางฟ่อนจากทุ่งมุ่งไปไกล

เก็บเกี่ยวฝันวายวุ่นทุนนิยม
สู่สังคมเมืองฟ้าหน้าตาใหม่
ปริญญาวิศวะกรรมนั้นยั่วใจ
มุ่งเก็บเกี่ยวคว้าไว้ใบปริญญา

จักหวนมาหลับตื่นคืนลำเนา
สัญญาเก่าเก็บไว้ในหนาวหน้า
เอ็งก็รู้ปลาแดกเน่า..เล่ามนตรา
อีกปลาร้านั่นเล่าก็เย้ายวน

ลาปู่ย่าป้าลุงมุ่งไปแล้ว
คงไม่แคล้วเวลาพาลมหวน
คนเขาลืออื้ออึงหนุ่มหนึ่งครวญ
ทนกำสรวลอยู่ประจำทุกค่ำคืน

ไม่มีเอ็งข้าร้าวหนาวหัวใจ
ต้องร่ำไห้ข่มเสียงเพียงสะอื้น
อยากอิงหนุนโคนคอนนอนข้ามคืน
ได้หลับตื่นปลอบปลุกลุกกรำงาน

---------------------------
ลมวอยวอยโกรกทุ่งฟุ้งกลิ่นฟาง
เสียงคราญคราง...ครางเศร้าหนาวสังขาร
สายลมใดเป่าฝันอันตรธาน
รอผญาเล่าขานนานบ่มี

สะแบงนายืนต้นดั่งคนคอย
ดอกลาลอยไกลต้นไปป่นปี้
ทิ้งสัญญาคาตายไว้หลายปี
ลืมความดี.....บ้านนอกดอกสะแบง
------------------------
ตรมสิ้นดี....สัญญาหลอกดอกสะแบง


สายลมวอยพัดพาดอกปีกนกร่วงพรู
ประหวัดไปถึงทุ่งทองหลังฤดูเก็บเกี่ยว
ทุ่งอีสานนั้นกว้างนักกว้างหนา มีแต่ฟ้าและทุ่ง
เด็กๆ พากันเล่นตอซังลอมฟาง
ทะเลาะกันแล้วก็ดีกัน

มีเด็กน้อยคนหนึ่งชอบมานอนใต้ต้นดอกปีกนก
โลกใบเล็กของเด็กนั้นสะอาดงามยิ่งนัก
ดอกปีกนกร่วงหมุนลงจุมพิตจมูกเด็กน้อย
แล้วเลื่อนลอยลงเคลียแก้ม
ไร้เดียงสาแดงดอกปีกนกกับแก้มเด็กเปื้อนดิน
หากทว่านกในใจของเด็กได้โผผินสู่โลกเสรี
หอมกลิ่นฟางกลิ่นหญ้าลาลอย

ขยับกายครั้งใดพลันได้ยินเสียงดังกรอบแกรบ
เสื่อฟางและดอกปีกนกร่วงคงถูกทับปีกหัก
แดดเริ่มลาแลง สะแบงปีกนกบนต้นห้อยนิ่ง

รอปีกชีวิตจริงให้บินกลับ...เพียงเท่านั้น

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลำน้ำน่าน