7 เมษายน 2563 21:52 น.
ลำน้ำน่าน
ขวัญหาย....
เดียวดายคล้ายเช่นนั้น
โลกทั้งโลกเงียบงัน
หวาดหวั่นวูบไหว..ใดแน่นอน
14 กุมภาพันธ์ 2556 16:56 น.
ลำน้ำน่าน
ฤดูกาลครั้งหนึ่งจึงกลับมา
เคลื่อนชะตาอีกครั้งในรังหนาว
กลางแสงจนหม่นหมองของเรือนดาว
มาฝากข่าวรำไรในสำนึก
ข่าวโพ้นฟ้าอีกฝั่งรั้งใส่ย่าม
เมื่อโมงยามหอบหิ้วพริ้วลมดึก
เร่ลมหนาวพราวฟ้ามารำลึก
ปลุกสำนึกอีกครั้งเมื่อยังเยาว์
สุดยอดภูอยู่เดี่ยวเกลียวหมอกขาว
ลมกรูกราวรับลมจมความเหงา
เสียงสะอื้นครืนแว่วมาแผ่วเบา
ท่ามทึมเทาท้องฟ้าดาราลับ
ใบหูกวางไหวหวิวพริ้วแก่อ่อน
วิถีจรก้องมาคราเดือนดับ
ใบไม้เหลืองพลีกายแล้วหายวับ
ยอดระยับ..ผลิใหม่ในรุ่งวัน
หน้าต่างเก่าแง้มน้อยค่อยเอียงเห็น
ความลำเค็ญหน่วงล้อพอเคลื่อนฝัน
รอเปิดวับรับแสงแห่งตะวัน
จากยอดภูชูชันมาส่องทาง
อีกหนึ่งวันวังวนยังหมุนโลก
ดวงดอกโศกแย้มน้อยทุกรอยถาง
เพลงใบไม้หล่นหายรายริมทาง
กี่ใบร้างร่วงพรูสู่ใจเรา
เคยปีนป่ายไม้ใหญ่ใบเขียวปรก
เด็ดรังนกโยนวางอย่างโง่เขลา
ตัวเด็กแดงนกน้อยค่อยซุกเงา
นานแดดเผาดับวางกลางวังเวง
ก้าวเดินมาตามแรงแห่งชีวิต
พรหมลิขิตขีดวางอย่างคร่ำเคร่ง
ล้านทำนองสร้อยเศร้าร้าวบรรเลง
ขับบทเพลงเคว้งไปไร้สิ้นสุด
เป็นครรลองสายน้ำตามเกรียวคลื่น
ยามต้นคืนเป็นไต้ไฟให้โชนจุด
เปลี่ยนอรุณหมุนนามตามพระพุทธ
เป็นมนุษย์เวียนว่ายทุกข์สายธาร
ความทรงจำแสนนานผ่านทายทัก
ในความรักเพลงร้อยค่อยขับขาน
เพลงดอกไม้โรยร่วงลงห้วงธาร
เพลงฤดูทางกาลยังยลยิน
ตราบระฆังเหง่งหง่างกลางสงัด
วิหคพลัดหลงอยู่พรูผกผิน
สดับค่าโลกหมุนจนคุ้นชิน
หาได้สิ้นหนทางให้ย่างเดิน
-----------------------------------------------
ในทุกๆ ฤดูกาล เราอดไม่ได้ที่จะรำลึกถึงบางสิ่งบางอย่าง
ที่เป็นความทรงจำนิรันดร์ ลมหนาวชวนให้นึกถึงทางเดินที่ล่วงผ่าน
เราเจอความรานร้าว และความรื่นรมย์ร้อยแปด ประดับประดาเส้นทาง
หากจะถามถึงจุดหมายแห่งชีวิต...หลายอย่างยังเลือนลาง
แต่ในทุกๆ ขณะที่เรามีชีวิต..เรายังคงเดินทางต่อไปตามครรลอง
เพราะชีวิตนี้ยังไม่สิ้นสุดฉันใด การเดินทางก็ยังไม่สิ้นสุดฉันนั้น
แด่ทุกดวงใจที่รวงแรงแห่งการเดินทางของชีวิตกำลังมอดไหม้
แด่ใจดวงหนึ่งซึ่งเป็นที่รัก ผู้ซึ่งซึ้งซาบในธรรมชาติงามเงียบ
มาซิ!!.... เดินไปด้วยกัน....เพื่อความฝันนิรันดร
ลำน้ำน่าน.....เทพบุตรแห่งฤดูกาล
15 ตุลาคม 2554 01:23 น.
ลำน้ำน่าน
โรยละอองน้ำทิพย์วะวิบวาว
จับเมฆขาวครืนครืนบนฝืนฟ้า
เหนื่อยไหมพระพิรุณบุญเทวา
เฝ้าชุบชีวาทุ่งกร้านละหานไพร
ปรารถนาอะไรในโลกเล่า
ทุกข์เรงเร้าทุ่งหมองคลองสมัย
ผีพรายน้ำร้อนกายร่ายอาลัย
เงือกคระไลปลาตายสาหร่ายสุสาน
เติมมิเต็มสายธารทอดผ่านเมือง
อย่าขุ่นเคืองรามสูรขว้างขวาน
เมขลาหลับไหลอนันตกาล
ปิดตำนานล่อแก้วแววแสงทิพย์
งามเกล็ดน้ำพรายทองยองยวงเมฆ
สรวงเสกการะเวกฟ้าบินมาจิบ
หยาดน้ำพราวขนสร้อยพลอยระยิบ
เกาะขลิบปีกทับทิมสู่หิมพานต์
สลัดฝนโอยธาตุน้ำรุกขเทวา
อ้อมฟ้าห่มดินถิ่นไพศาล
ปรารถนาอโนดาตชาติตระการ
เริงวิมานกินรีศรีมนุษย์
รัตนากรมหาธาราแผ่นดิน
แต้มศิลป์แต่งหล้าคงคาสมุทร
เสกทิพย์ขลังประพรมน้ำมนต์พุทธ
วิเศษสุทธิ์ปราบอเวจีผีพราย
น้ำท้นตาชาวนายากจน
รดดอกผลกสิกรรมล้ำหลาย
ชโลมแล้งแห้งผากจากวาย
ชลชาติแหวกว่ายปิติน้ำตา
สูงศักดิ์น้ำอมฤตนิมิตมนตร์
เทวาวนกวนเกษียรเวียนเวหา
แก่นสุเมรุอสูรยุดสมุทรนาคา
อสัญแดหวาชนะอสุรี
น้ำมะพร้าวล้างหน้าอสุภซาก
ฟื้นฝากธรรมเนียมเยี่ยมเมืองผี
น้ำอาบศพสงบพบดุษณี
ไหลรี่ธารน้ำตามหาญาติ
ปรารถนาสายน้ำสนานสมัย
โบกธงชัยยุคทองผองนักปราชญ์
สิ้นอโศกกำสรวลโซ่ตรวนทาส
อเนจอนาจน้ำเลือดเหือดคาตา
ชีวิตอิ่มธาตุมนุษย์บุตรเรืองรอง
มิเคยพร่องน้ำนมแม่ไร้ริษยา
เมืองน้ำเงินน้ำเน่าเปล่าราคา
ขุ่นข้นกว่าน้ำมันพรายจากโลกันตร์
ปรารถนาอะไรสมัยนี้
สายวารีธารทองละอองสวรรค์
หรือสายเลือดธารโศกโลกจาบัลย์
ไหลดิ้นดั้นพรากฆ่าอารยชน
ฤามิปรารถนาพระนิพพาน
น้ำทิพย์อภิญญาณมรรคผล
ฤาน้ำกามกิเลสจับสัปดน
อุทกท้นธารากามานคร
ฉันปรารถนาคงคาสวรรค์
โบกขรณีเทพธรรพ์ปัญจสิขร
ธาราธรรมรองเรืองกว่าเมืองรอน
ล่องเรือจรข้ามฟ้าปราการนที
สู่สายน้ำนิรันดร์สวรรค์ทิพย์
เอื้อมหยิบปาริชาตดาษวิถี
จุติพรหมโลกกวินสตินทรีย์
นิมิตทิพย์วารีชโลมแผ่นดินฯ
-----------------------------------
พระพิรุณแห่งวสันตฤดูลาฟ้าไปไม่นานนัก
พลบค่ำแล้ว หากข้าพเจ้ายังได้กลิ่นกรุ่นละอองเย็นแห่งฝน
จิตวิญญาณของนักอยากจะเขียนมักจะบรรเจิดในสายฝนพรำ
ท่ามกลางม่านฝนและม่านฟ้าไกลแสนไกล
ทำให้ประหวัดไปในอดีต ที่ติดฝนอยู่ในกระท่อมเถียงนา
เมื่อลมฝนบนฟ้ามาลิ่ว.......
ในยามที่ทุ่งข้าวอาบฝน ระบัดใบพลิ้วไหวในตำบลท้องทุ่ง
ชาวนาก็ยิ้มได้ นึกขอบคุณเทพพิรุณบนสวรรค์
สายฝนก่อเกิดสายธารน้ำ หล่อเลี้ยงผืนแผ่นดินและผู้คน
สายน้ำในวันนี้นั้นมีความหมายนิรันดร์
เป็นตัวแทนแห่งความสงบร่มเย็น อารยธรรม ความดีงามทั้งปวง
แต่อีกแง่มุมหนึ่งก็เป็นสายน้ำที่ระทมทุกข์เพราะโลกแปร
จิตวิญญาณของผู้คนก็เปลี่ยนไป ดีเลวคละเคล้ากันเป็นครรลอง
แล้วสายน้ำสายใดเล่าจักนำเราไปสู่ความหมายนิรันดร์แห่งฝั่งนิพพาน
และนำความดีงามและความอุดมสมบูรณ์สู่ผืนแผ่นดิน?
สู่สายน้ำนิรันดร์สวรรค์ทิพย์
เอื้อมหยิบปาริชาตดาษวิถี
จุติพรหมโลกกวินสตินทรีย์
นิมิตทิพย์วารีชโลมแผ่นดินฯ
(๑) แว่วตะโพนแผ่วพ้น...............เพลบุญ
โพ้นวรรษาราพิกุล............................เกี่ยวข้าว
ปรางค์สางสว่างอรุณ...........................ระดะยอด อวดแฮ
บุญสยามค่ำเช้า...............................ชาติฟื้นเกษตรศานต์ฯ
(๒) ปรารถนาภาพลึกล้ำ...............ละเลงบุญ
เกล็ดทิพย์ลิบละมุน.............................ม่านน้ำ
อารยธรรมค้ำจุน.................................จวบค่ำ
เจ้าพระยาพาข้าม...............................ล่องฟ้าสวรรค์สยามฯ
(๓) เงาเมรุเงาวัดเวิ้ง..................ไพหาร
พุทธะหลั่งวิญญาณ..............................หยาดไว้
ชะรอยพุทธเพรงกาล..........................มาล่ม ลงแล
ธารพระธรรมผากไร้...........................ร่อยร้างมลายขวัญฯ
(๔) พรายน้ำวาววับน้ำ.................นองพระยา
เงาโบสถ์คร่ำลำนาวา...........................ลิ่วลื้น
ไหลลอยล่องชีวิตมา.............................มาดมุ่ง เมืองแล
จมคลื่นกระแสไป่ฟื้น...........................ฝากน้ำซากสลายฯ
21 มีนาคม 2553 19:43 น.
ลำน้ำน่าน
สุริยามาทักทุ่ง...................ปรุงลำนำร่ำพฤกษา
ไม้ดอกพะเนินนา..............ผลิวิญญาณรับแรกวัน
พนาโพระดก......................ปลุกกานกบินผกผัน
เจื้อยแจ้วจิบจำนรรจ์........กล่อมเนาว์นาอยู่อาจินต์
โผผกสู่โลกหล้า..................แสงทอมากระทบถิ่น
ข้าวหุงหอมรวยริน..............บ่มควันกลิ่นไล้หลังคา
นกขมิ้นลารังนอน............. ทิ้งคบคอนร่อนเวหา
โล้รวงข้าวกลางนา.............เกาะกิ่งส้มตรงเรือนไฟ
ถิ่นฐานเป็นวานวัน.............มิยึดมั่นท้องถิ่นไหน
วิถีชีวีไพร...........................พเนจรไปก่อนกาล
บินเหนือเรียวรวงข้าว......เหมันต์คราวหนาวสังขาร
เกาะกิ่งตลิ่งธาร..................นอนซบกายใต้ร่มไทร
ครึ้มแสงสนธยา..................ปีกอ่อนล้าจะหาไหน
ฝั่งฟ้าว่าแสนไกล...............ไปพลัดหลงจมน้ำตา
รุ่งเริงกลับกล้าแกร่ง............ฝ่าลมแรงแหล่งเวหา
ร่อนเรียบเพนียดนา........... ทับกระท่อมอยู่ดงดอน
บ่ายน้อยคล้อยแดดจับ.........ตะวันลับเหลี่ยมสิงขร
พบค่าคบเคยคอน................ใต่ร่มโศกวิโยคพลบ
ครรลองคือครรไล...............ลิขิตไว้ใร้จุดจบ
เลี้ยงลูกทุกคราครบ.............เลื่อนเรื่อยไปไม่จีรัง
จากถิ่นแล้วทิ้งถิ่น...........ลืมหมดสิ้นร้อยความหลัง
สิ่งใหม่ไกลรวงรัง..............รอให้ค้นบนไม่มี
จรไปไร้ทิศทาง................ ไปอ้างว้างกลางวิถี
สุขทุกข์คลุกฤดี..............ตามล้อเกวียนต้องหากิน
เรี่ยวแรงเริ่มแปรผัน...........อีกค่ำวันต้องผกผิน
ลมเอยรำเพยยิน.............พลิ้วกิ่งโศกเมื่อโลกแปร!
-----------------------------
ประสบการณ์ดูนกและผีเสื้อหน้าร้อน
ณ เขาพะเนินทุ่ง เพชรบุรี นั้นยังฉายภาพชัด
อยู่ในความทรงจำ คราวคิมหันต์หลายปีมา
ผู้เขียนไม่เพียงเห็นแต่นกที่เกาะอยู่ตรงหน้า..
หากเวลาที่เรานั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
เป็นห้วงเวลาที่ส่งเสริมให้เกิดจิตมีปัญญา
มองเห็นความเป็นไปแห่งวิถีธรรมชาติ
ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ
ใบไม้ ต้นไม ทุกๆ สรรพสิ่งบนโลกนี้
ล้วนตกอยู่ภายในกฎแห่งการเปลี่ยนแปลง
ไม่มีสิ่งไหนเป็นของเราแม้แต่สิ่งเดียว
แม้แต่ลมหายใจเข้าออก...
ทุกอย่างเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย
แหละชวนให้ประหวัดถึงวัจนะภาษา
ของนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง กล่าวไว้ว่า...
**เมื่อเรายอมรับว่า
สิ่งปรากฏอยู่ข้างหน้าของเราเปลี่ยนแปลงได้
ความยึดมั่นถือมั่นในโลกของเราจะคลายลง
เหมือนกับเวลาที่เราดูหนัง
เวลาที่เราอยู่ในโรงภาพยนตร์
เราจะเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่นั้น
เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้นเอง
ไม่ใช่ของจริงจังที่เราควรจะยึดถือไว้
ฉันใดก็ฉันนั้น
ถ้าฝึกมองสิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้านั้น
เป็นปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
เราจะพบว่าเราจะไม่เอาจริงจังกับสิ่งนั้น
จนเป็นเหตุแห่งทุกข์
ความจางคลายในโลกนี้
เราสามารถทำได้ในทุกๆ ขณะที่มี**
เวลาของแต่ชีวิตนั้นสั้นนักสั้นหนาแค่วันนี้พรุ่งนี้
เราจะมีเวลาในการเข้าใจกฎความจริง
มากน้อยแค่ไหน?
**ยามนี้เราหลงทางกลางค่ำ ยินเสียงร่ำคำบอก
เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย เจ้าดอกขจร.......
นกขมิ้นเหลืองอ่อน คำนี้จะนอนไหนเอย!**
ฤานกขมิ้นจะรู้สัจธรรมข้อนี้ดีกระมัง
**ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น**
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
14 กุมภาพันธ์ 2553 20:58 น.
ลำน้ำน่าน
เสียงพิณเซนไหวครวญหวนตามลม
จากลึกหล่มหมื่นเขาเทาท้องฟ้า
มาสถิตอยู่นานนับกัปเวลา
ท่ามมรรคาซ่อนเซาะเราะภูดิน
พลิ้วพลิ้วไปลมเหลืองทะเลแล้ง
ทุกหนแห่งฝุ่นฝ้ายสลายหิน
พุทธอุบัติเหนือเหวเปลวมลทิน
ธรรมยังรินรุ่งเรืองอยู่ลึกลับ
จากเส้นทางสายไหมไกลลึกเร้น
สู่เนินเย็นหนาวเยือกเทือกเขาหลับ
โอเอซิสพักแรงแอ่งน้ำซับ
เมื่อพุทธะจรจับผืนดินตาย
ตามทางทองเหมยไหมทบอดีต
ขึงพิณกรีดเสียงสะท้อนก้องความหมาย
ไหมจากฟ้าพลิ้วไสวใยเรียงราย
แม้นย่างกลายผ่านทางเวิ้งว้างคน
จากดินแดนแห่งสายน้ำภาวนา
สายคงคาจากสรวงร่วงสายฝน
ชาติกำเนิดชมพูคู่สกล
ไหลมาสู่มณฑลโพ้นอัลไต
เป็นหิมะดะไลในโลกลึก
ตกผลึกความว่างกลางสงไขย
เหมือนหยาดหยกบริสุทธ์พุทธละไม
เหมือนกลิ่นไอฟากฟ้าสุขาวดี
ขจรขจายสู่แหล่งแห่งความตาย
แหล่งความพ่ายสยบหลบเร้นหนี
ก้าวสู่กลางกาฬมืดของโกบี
เพียงศากยมุณีที่ศรัทธา
เพื่อพุทธะยึดไว้ใจลามะ
โลกุตระสว่างแหล่งแสวงหา
เพื่อนิพพานสูงสุดพุทธาดา
กลางลำเค็ญลาสาขังวิญญาณ
คือดอกพลัมบานไหวในปลายหนาว
แล้วโรยกราวพบพื้นคืนสังขาร
กลีบเหลืองหม่นดลจิตมหายาน
ยามเบ่งบานพรมผลิหิมะโปรย
เซนดนดรีบรรเลงเพลงความว่าง
อยู่ท่ามกลางเพลงทิวอันหิวโหย
คือมนต์สวดแว่วบอกดอกไม้โรย
กลิ่นอวลโชยพัดกลบซบแนวเนิน
แตรภูเขาเป่าก้องร้องมนต์ร่ำ
สื่อเสียงเพลงลำนำคำสรรเสริญ
พุทธทิเบตเผยกว้างพลางเชื้อเชิญ
ให้มนุษย์ก้าวเดินเพลินนิพพาน
จิตวิญญาณพลิ้วไหวดุจหิมะ
โลกายะกฎธรรมนำสังขาร
คือกฎจริงอิงโลกมหายาน
ทอดทางฌานไหมวิสุทธิ์วิมุติพ้น
-----------------------------------------
เทียนหอมสีฝาดหม่นๆ ถูกจุดขึ้นกลางค่ำคืนนี้
เปิดเพลงบรรเลง มนตราแห่งอวโลกิเตศวร
บทสวดทิเบต พาหัวใจให้พลิ้วไหวไปสู่ดินแดนแห่ง
พุทธมหายานนิกาย ที่ดวงใจดวงนี้เคยได้ไปเยือน
ขุนเขาหิมะมังกรหยกมาแล้วในอดีต
ดินแดนแห่งเนินผา ขุนเขา สายน้ำภาวนา
ทะเลทราย และจิตวิญญาณ
พุทธศาสนานิกายมหายาน
เดินทางผ่านเส้นทางอันทุรกันดารอย่างยิ่งยวด
นาม เส้นทางสายไหม
เส้นทางสายจิตวิญญาณเชื่อมโรมันสู่จีน
เส้นทางที่เชื่อมแผ่นดินตะวันตก
กับดินแดนตะวันออกเป็นหนึ่งเดียว
จากใจกลางทวีปผ่านที่ราบสูง ทะเลทราย
เทือกเขาหิมะ และสายน้ำแห่งการภาวนา
อิทธิพลของพุทธศาสนานิกายมหายาน
ได้แผ่เข้าปกคลุมดินแดนแถบนี้
ที่ได้ชื่อว่า หลังคาโลก ในทิเบต จีน
มองโกเลีย เวียดนาม และญี่ปุ่น
ลามะเป็นผลิตผลและหลักฐานความเจริญ
รุ่งเรืองสุดขีดของพุทธศาสนา
พระผู้มุ่งแสวงหานิพพานและความหลุดพ้น
ท่ามภูมิประเทศแร้นแค้น ประหวัดถึง เณรน้อยซุงไซ
จากหนังสือเล่มงามของ *จอร์จ เครน* นาม อัฐิอาจารย์
ปาฏิหาริย์แห่งความกตัญญู พระที่ต้องดิ้นรนหลบรี้
ออกจากมองโกเลียในช่วงจีนปฏิวัติวัฒนธรรม
และ นักเขียนท่านหนึ่งกล่าวถึง นิยาย กามนิต วาสิฏฐี
จุดที่สองคู่รักนัดไปพบกันหลังความตาย
คือดินแดนสุขาวดีก็อยู่ในความเชื่อนิกายมหายาน
หมู่บ้านเล็กๆ เชิงเขาหิมะมังกรหยก
ที่ได้ไปเยือนสะท้อนปรัชญางามง่ายแห่งเซน
ยามเช้าที่อากาศเย็นแห้งๆ
และลมเหลืองจากทะเลทรายโกบียังพัดอู้
แต่กระนั้นดอกพลัมและแอ็ปเปิ้ลก็ยังคงผลิดอก
ทิ้งกลีบดอกโปรยไปสู่ความว่างเปล่าเดียวดายในสายลม
เป็นความงดงามนิรันดร์ในดินแดนมหายาน.....
หยุดพักความเหนื่อยล้า เอนกายลงฟังเสียงหัวใจเต้น
จิตนภาพลึกล้ำ รำลึกถึงคราวแบกเป้เดียวดาย
อยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ นาม *ยู่หลง*
แหละสายหมอกไหมสวยสดราวสวรรค์บนดิน
ในยามได้ดื่มด่ำกับ *แชงกรีล่า* สวรรค์บนดิน
อีกสายน้ำที่กระโจนลงอย่างเกรี้ยวกราด
ณ หุบเขาโตรกเสือกระโจน
แหละอีกหลายความทรงจำ
ในยามได้เดินอยู่เหนือคันนาข้าวสาลีในอินเดีย
ประหวัดถึงวัจนภาษาทองจาก **กามนิตวาสิฏฐี**
กล่าวไว้สงบงามในขณะที่พระพุทธเจ้า
เสด็จกลับเบญจคิรีนคร...
**ขณะพระองค์เสด็จมาใกล้เบญจคิรีนครคือราชคฤห์
เป็นเวลาจวนสิ้นทิวาวารแดดในยามเย็นกำลังอ่อนลง
สู่สมัยใกล้วิกาล ทอแสงแผ่ซ่านไปยังสาลีเกษตร
แลละลิ่วเห็นเป็นทางสว่างไปทั่วประเทศสุดสายตา
ดูประหนึ่งมีหัตถ์ทิพย์มาปกแผ่อำนวยสวัสดี
เบื้องบนมีกลุ่มเมฆเป็นคลื่นซ้อนซับสลับกันเป็นทิวแถว
ต้องแสงแดดจับเป็นสีระยับวะวับแววประหนึ่งเอาทรายทอง
ไปโปรยปราย เลื่อนลอยลิ่วๆ เรี่ยๆ รายลงจดขอบฟ้า
ชาวนาและโคก็เมื่อยล้าด้วยตรากตรำทำงาน ต่างพากันดุ่มๆ
เดินกลับเคหสถานเห็นไร ๆ เงาหมู่ไม้อันโดดเดี่ยวอยู่กอเดียว
ก็ยืดยาวออกทุกที ๆ มีขอบปริมณฑลเป็นรัศมีแห่งสีรุ้ง
อันกำแพงเชิงเทินป้อมปราการที่ล้อมกรุงรวมทั้งทวารบถ
ทางเข้านครเล่า มองดูในขณะนั้นเห็นรูปเค้าได้ชัดถนัดแจ้ง
ดั่งว่านิรมิตไว้มีสุมทุมพุ่มไม้ดอกออกดกโอบอ้อมล้อมแน่นเป็นขนัด
ถัดไปเป็นทิวเขาสูงตระหง่าน มีสีในเวลาตะวันยอแสง
ปานจะฉาบเอาไว้ เพื่อแข่งกับแสงสีมณีวิเศษ
มีบุษยราคบัณฑรวรรณและก่องแก้วโกเมน
แม้รวมกันให้พ่ายแพ้ฉะนั้น
พระตถาคตเจ้าทอดพระเนตรภูมิประเทศดั่งนี้
พลางรอพระบาทยุคลหยุดเสด็จพระดำเนิน
มีพระหฤทัยเปี่ยมด้วยโสมนัสอินทรีย์
ในภูมิภาพที่ทรงจำมาได้แต่กาลก่อน
เช่น เขากาฬกูฏไวบูลยบรรพต อิสิคิลิและคิชฌกูฏ
ซึ่งสูงตระหง่านกว่ายอดอื่น
ยิ่งกว่านี้ทรงทอดทัศนาเห็นเขาเวภาระอันมีกระแสธารน้ำร้อน
ก็ทรงระลึกถึงคูหาใต้ต้นสัตตบรรณอันอยู่เชิงเขานั้น
ว่าเมื่อพระองค์ยังเสด็จสัญจรร่อนเร่แต่โดยเดียว
แสวงหาพระอภิสัมโพธิญาณ ได้เคยประทับสำราญพระอิริยาบถ
อยู่ในที่นั้นเป็นครั้งแรก ก่อนที่จะเสด็จออกจากสังสารวัฏ
เข้าสู่แดนศิวโมกษปรินิพพาน**
แม่น้ำไหลริน
มาจากหิมาลัย
ส่งเสียงพึมพำ
มาจากเนินเขาหมื่นแห่ง
จากทางช้างเผือก
ชื่นชมฟากฟ้า
จำกัดวิสัยทัศน์ไว้
ไม่สนใจ
ความอัปลักษณ์ของผู้ใด
กระทั่งแม่น้ำ
ฝั่งที่เป็นเนินทราย
ทับถม.....
ยึดพุทธะไว้ในใจ
ละวางความโศกและมายาภาพ
(ซุงไซ)
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันตรุษจีนที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๑๕๕๓