8 กันยายน 2553 18:34 น.
ลานจันทร์ฝันกวี
ท่ามกลางสรรพสำเนียงแห่งดอกไม้...
สีสันที่เกินจะพรรณนา
ภายในกลับสงบเงียบงัน..
มีเพียงภาพ..ราชินีบุปผา
ที่ชัดเจนยิ่งกว่า..ธาราดอกไม้ทั้งมวล
2 กันยายน 2553 11:21 น.
ลานจันทร์ฝันกวี
อาจเป็นเพราะหยาดวสันต์ได้ลาจาก แล้วพัดพาลมเหมันต์เหน็บหนาวให้มาเยือนอีกครั้ง
หมอกหม่นเทาบดบังท้องฟ้าเบื้องบน ไม่ต่างกับบางเวลาที่หัวใจก็คล้ายดั่งถูกหมอกเมฆแสนหวานปนโศกมาบดบัง
มองดูเส้นขอบฟ้าไกลลิบ มันจะมีจุดบรรจบบ้างไหม ทะเลหมอกเบื้องล่างดูปั่นป่วนดุจความรู้สึกที่เข้ามาทักทายยามที่ได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง กับกล่องหัวใจที่ถูกล็อกไว้อย่างมิดชิด แต่เวลานี้ด้วยสภาพแวดล้อมหรือไร ถึงทำให้กุญแจที่ล็อกดานไว้ค่อย ๆ เปิดไขออกมาอย่างไม่รู้ตัว
แม้จะรู้ดีกว่า ไม่ควรปล่อยใจให้ปรุงแต่งเลยเถิด ถึงสิ่งที่ไม่อาจจะย้อนคืนกลับมา
ตราบใดที่ฝืนความจริงจิตใจยิ่งหม่นหมองเพราะสิ่งนั้น
แม้จะรู้แบบนี้ แต่ดวงใจเจ้ากรรม บางเวลาก็ไม่ยอมเชื่อฟังผู้เป็นเจ้าของเอาเสียเลย...
เฝ้าถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้คำตอบ...
สายใยจากชาติภพไฉนจึงรุนแรงถึงเพียงนี้
นอกจากบางเวลาที่ลางเลือน ราวกลับเลือนหาย หากพอเข้าใจว่ามันคงถูกกาลเวลาเจือจางสายใยนั้นไป
มันกลับปรากฏให้เห็นเด่นชัดว่า สายใยเส้นนั้นยังคงมีอยู่
ความรักของสองเรา...เป็นเพียงปรากฏการณ์ดั่งเส้นขอบฟ้า.. ขอบฟ้าเส้นเดียวกลับลึกซึ้ง ทอดยาว และไม่มีวันบรรจบพบกัน
ภาวนาสักชาติกับวาสน์รัก
จงพ้นปลัก..ร้าวรานเอื้อมานใส
ให้สราญในร่มภักดิ์รักวิไล
สองหทัย..คู่เคียง..เยี่ยงฟ้าดิ
2 กันยายน 2553 11:03 น.
ลานจันทร์ฝันกวี
ดอกเสี้ยวสีขาวพราวสะพรั่ง ยืนหยัดต้นท้าทายสายลมหนาว...ดอกสีขาวสะอาดตา ดลห้วงดวงใจของผมให้อ่อนหวาน
ดอยทั้งดอยแต่งแต้มด้วยลานเสี้ยวไพรไต่ระดับไล้เลี้ยวผสมผสาน
แทรกแซม..กับหมู่แมกไม้ที่กำลังผลิใบสีน้ำตาล..สีแดงเพลิง..สีเขียวคราม
เครือออน..สีชมพูแต่ละกลีบ..คลี่ขยายแผ่คลุมอยู่บนปลายไม้
แคฝรั่งสีขาวแต้มดอกกับกิ่งสีน้ำตาลไร้ใบ ให้ความรู้สึก ทระนง โดดเดี่ยวกับผม
ยามนี้ดอกนางพญาเสือโคร่ง ที่เคยผลิดอกสีชมพูละลานตาได้พร่างพรูพลิ้วลงพรมอยู่ใต้ต้น เหลือเพียงใบสีเขียวตองอ่อนละออตา
กาสะลองสีขาวไม่ได้อวดโฉมแบบเช่นเคย มีเพียงกาสะลองอินเดีย
สีแสดนวล อวดโฉมมาแทนที่
สุพรรณิการ์ สีเหลืองสด สยายกลีบยิ้มรับยามผมนั่งรถผ่าน
บนทางสายน้อยที่ปราศจากการสัญจรพลุกพล่านเฉกเช่นในเมืองหลวง...สองข้างทางมีเพียงภูเขาลำเนาไพรเป็นเพื่อนเดินทาง
เป็นผู้เหย้าคอยต้อนรับผมอย่างยินดี
ลานดอกหญ้าสูงหลายเมตรกำลังแอ่นตัวอ้อนสายลมที่พัดผ่าน
พอย่ำค่ำเมื่อมหาเทพรังสิมาจะอำลาโลกทิวา..ลานดอกหญ้าจะค้อมคำนับอยู่รับการเสด็จกลับของพระองค์
ลานฟ้าจะไขม่านพริ้งพราย..สีสันพรรณราย..จะต้อนรับ
ม่านราตรีจะกรีดกรายย่างเยื้องร่างลงมาแทนที่
อีกไม่นานผมก็จะได้พบกับ..มหาเทวีจันทิมาธร
ทรงแย้มพักตร์พิลาสพิไล พร้อมฤดูดาวประดับเคียงพระองค์
ดุจข้าราชบริพารผู้ภักดีคอยแห่แหน มงกุฎแห่งรัตติกาล
สังคีตแว่วหวานจะเริ่มบรรเลง..หรีดหริ่งเรไรจะขานขับกล่อมแดนดินถิ่นวนาดอกไม้ป่าจะประทานกลิ่นหอมละมุนละไม
เมื่อ มหาเทวีจันทิมาธร เสด็จคืนสู่ ทิพย์พิมาน
มหาเทพรังสิมาจะเสด็จเยือนสู่โลกหล้าอีกคราหนึ่ง
ความงามแห่ง ดวงมณี หยาดเพชรเม็ดงาม นาม น้ำค้างไพรจะ
สะท้อนแสงอุษาแพรวพราวระยิบระยับจับตา
โลกทิวาจะเริ่มมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เป็น วัฏจักรแห่งทิวา ราตรี
ผมชอบยืนนิ่งนาน ไล้สายตา ทัศนา ซึมซับ จารจำ เสน่ห์แห่งไพร
จะกล่อมอ้อมใจของผมให้อ่อนโยน เพราะเหตุนี้กระมังผมถึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า
..ผมหลงรักเธอมานานแสนนาน..
2 กันยายน 2553 10:35 น.
ลานจันทร์ฝันกวี
...Time to love...
ฉันเห็นเงาของเธอในความฝัน
ฉันเฝ้ารอเธอมาตลอดทุกลมหายใจ
เธอคือทุกสิ่ง เป็นทุกอย่าง ในจิตวิญญาณ
หัวใจของฉันโบยบินไปหาเธอ
เวลาแห่งรักได้เกิดขึ้น
มือสองมือกุมกันไว้อย่างแนบแน่นมั่นคง
หัวใจสองดวงร้อยรัดกันไว้ไม่เสื่อมคลาย
วันนี้แม้เราสองต่างอยู่ห่างกันไกลแสนไกล
แต่ฉันไม่เคยลืมรอยยิ้ม เสียงเพลง และ
ดวงตาแสนหวานของเธอเลย
วันหนึ่งฉันจะโบยบินไปหาเธอ
ไปอยู่คลอเคลียไม่ยอมห่าง
เธอเล่า ยินยอมให้ฉันได้อยู่ใกล้ชิดหรือไม่
ยินยอมเป็นคนพิเศษสำหรับฉันตลอดไปหรือไม่
ฉันยังคงรอเธอกระซิบบอกผ่านสายลม
ฉันยังคงรอเธอเสมอตราบลมหายใจของฉันสุดสิ้น
...Until I see you agian...
ในวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง ..เธอมีหลายสิ่งหลายอย่างที่สร้างความประทับใจให้กับฉัน ..เธอช่างมีจิตใจสวยงาม
ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่อยู่ภายใน บริสุทธิ์อ่อนหวาน
เราต่างมีกันและกันอยู่ในจิตวิญญาณแห่งรัก
เสียงเพลงของฉันงดงามยามบรรเลงเพื่อเธอ
หัวใจของฉันหวั่นไหวทุกครั้งที่นึกถึงเธอ
ท้องฟ้าปรารถนาจะเคียงคู่กับพระอาทิตย์
พระจันทร์ปรารถนาจะเคียงคู่กับดวงดาว
ฉันปรารถนาจะเคียงคู่กับเธอ
วันที่เรามาพบกันอีกครั้ง
ได้ก่อเกิดเรื่องราวบทใหม่
ช่างงดงาม และจะเป็นนิรันดร์ในหัวใจของฉันกับเธอตลอดไป
1 กันยายน 2553 21:19 น.
ลานจันทร์ฝันกวี
เสียงครืนครางดังอยู่ไม่นาน ท่ามกลางหม่นเมฆสีเทาที่ก่อตัวมาได้ราวครึ่งชั่วโมง..ก่อนที่สายฝนจะเทกระหน่ำลงมาราวกับท้องฟ้าปลดปล่อยน้ำตาอย่างไม่อาจข่มกลั้น
นั่งมองหยาดฝนเม็ดแล้วเม็ดเล่า...จนกระทั่ง..เม็ดฝนกลายเป็นละอองสีขาว..ดุจสายใยบางเบาที่เชื่อมโยงระหว่างฟ้ากับดิน
ระยะทางระหว่างฟ้าดินช่างห่างไกล แต่กลับมีสายใยดั่งหยาดฝนเชื่อมโยงให้ทั้งสองได้พบกันในที่สุด
หากน้ำใจระหว่างคนต่อคน..
บางครั้ง..กลับมีเพียงสายใยในความว่างเปล่า..
สายใยที่ไม่อาจเชื่อมโยงสองฝั่งฟ้าให้มาบรรจบพบกันได้
อาจมีเพียงรอยรำลึกที่ไร้ตัวตนกับภาพหม่นสีเทาที่ไม่ต่างจากมวลเมฆบนท้องฟ้า
คนหนึ่งเต็มไปด้วยรอยคะนึงหา..
หากอีกคนกลับลืมเลือนตลอดกาล