8 สิงหาคม 2552 21:15 น.
ลักษมณ์
วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11427 มติชนรายวัน
อย่าให้บ้านเมืองพังเพราะอุเบกขา
โดย วสิษฐ เดชกุญชร
คนไทยเป็นจำนวนไม่น้อยกำลังเบื่อหรือเอือมระอากับการเมือง หลายคนที่ผมรู้จักบอกผมว่า ไม่อยากดูการถ่ายทอดการประชุมรัฐสภาทางวิทยุโทรทัศน์ที่กำลังทำอยู่ เพราะไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากได้ยินเสียงของสมาชิกสภาคนนั้นๆ อีกหลายคนบอกผมว่า ไม่อยากอ่านข่าวและบทความการเมืองในหนังสือพิมพ์ด้วยเหตุผลเดียวกัน
หลายคนในจำนวนนั้น บอกผมว่า กับการเมืองไทยเวลานี้ ต้องใช้ อุเบกขา
คำว่า อุเบกขา เป็นคำบาลีที่ไทยรับมาใช้ แปลตามตัวว่าความมีใจเป็นกลางหรือความวางเฉย ใกล้เคียงกับคำภาษาอังกฤษว่าอีควอนิมิตี (equanimity) ซึ่งแปลว่าความสามารถควบคุมตนเอง
ผมเห็นใจและเข้าใจว่า ทำไมท่านเหล่านั้นจึงเบื่อหรือเอือมระอา แม้ตัวผมเองบางครั้งก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน ผมมีเหตุผลกว่าเสียอีกที่จะรู้สึกอย่างนั้น ผมเกิดทีหลังรัฐธรรมนูญฉบับปี 2475 เพียงสามปี เห็นรัฐธรรมนูญถูกฉีกแล้วก็ร่างใหม่ ฉีกแล้วก็ร่างใหม่ จนกระทั่งถึงฉบับปัจจุบัน ผมมีส่วนในการร่างและหรือรับรองรัฐธรรมนูญอย่างน้อยสองฉบับ รวมทั้งฉบับที่ว่ากันว่าเป็น "ประชาธิปไตย" ที่สุด ผมเคยถูกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาสองครั้ง ถูกหลอกให้เป็นรัฐมนตรีครั้งหนึ่ง เพราะเคยเป็นทั้งสมาชิกวุฒิสภาและรัฐมนตรี ผมจึงได้สัมผัส (ไม่จำเป็นจะต้องเป็นทางกาย แต่ทางทวารอื่น เช่น หูและตาก็ได้) กับนักการเมือง และเลยได้รู้สันดานแท้จริงของบางคน
ผมจึงมีคุณสมบัติบริบูรณ์ที่จะเบื่อและระอาใจในการเมืองไม่แพ้คนอื่น แต่ผมก็ไม่สามารถจะใช้อุเบกขากับการเมืองได้ เพราะผมรู้และเข้าใจว่า ผมยังมีหน้าที่ และจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นอยู่
หน้าที่ต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
อุเบกขาไม่ใช่การไม่เอาไหน หรือการเพิกเฉยไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ควรปฏิบัติ แต่เป็นการวางเฉยหรือทำตัวเป็นกลาง เมื่อได้ทำอย่างดีที่สุด เต็มสติกำลังแล้ว และเห็นชัดแล้วว่า ไม่สามารถจะทำอะไรต่อไปได้อีก
อุเบกขาไม่ใช่ธรรมสำหรับคนจนตรอก แต่เป็นเครื่องมือหรืออุบาย ที่จะทำให้เราไม่เสียสติเวลาทำอะไรไม่สำเร็จ คนเป็นจำนวนมาก เวลาทำอะไรอย่างหนึ่งตามหน้าที่ไม่สำเร็จได้อย่างใจของตนเอง แทนที่จะคิดพิจารณาว่า ยังมีสิ่งที่มีประโยชน์อย่างอื่นที่ควรทำในหน้าที่นั้น แล้วมุ่งหน้าทำต่อไป กลับหมดอาลัยตายอยาก งอมืองอตีน และอ้างว่าพอแล้ว บางคนก็อ้างบาลีว่า "ตถตา" หมายความว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง ไม่มีใคร (รวมทั้งตัวเรา) ทำอะไรได้ ต้องปล่อยไปตามกรรมของสัตว์
ถ้าถือกันอย่างนั้น ก็เป็นกรรมของเมืองไทยครับ
ไม่มีใครที่หมดหน้าที่ที่ตนมีต่อตัวเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคม และต่อประเทศชาติบ้านเมือง จนกว่าจะละกิเลสได้แล้วอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้จะหนีไปบวชเป็นพระ ก็ยังมีหน้าที่อยู่ หน้าที่ต่อพระด้วยกันเอง และหน้าที่ต่อชาวบ้านที่เคารพเลื่อมใสและหวังพึ่งพระ
คนไทยทุกคนมีหน้าที่ต่อบ้านเมือง หน้าที่ที่ว่านี้ไม่จำเป็นจะต้องทำด้วยการเป็นสมาชิกรัฐสภา หรือรัฐมนตรี หรือตุลาการ หรือสมาชิก อบจ. หรือ อบต. หรือข้าราชการชั้นใดทั้งนั้น เป็นสามัญชนที่ไม่มีตำแหน่งก็ทำได้ และเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ บ้านเมืองก็จะอยู่ไม่ได้ บ้านเมืองอยู่ไม่ได้ พลเมืองคือตัวเราเองก็จะอยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน
การใช้อุเบกขาทางการเมืองอย่างผิดๆ ด้วยการหลับหูหลับตาไม่ดูการเมืองว่ากำลังจะก้าวไปทางไหน เป็นการเปิดโอกาสให้นักการเมืองชั่วใช้อำนาจหน้าที่และช่องโหว่ทางกฎหมาย หาประโยชน์โดยมิชอบให้แก่ตนเอง สมัครพรรคพวกและญาติพี่น้อง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครท้วงติง ห้ามปรามหรือขัดขวาง เป็นการทำความเสียหายให้แก่ประเทศชาติหรือบ้านของตนเอง ผลของความเสียหายหากไม่ปรากฏให้เห็นในขณะนี้ ก็จะปรากฏในอนาคต ผู้รับเคราะห์รับกรรมจะไม่ใช่คนอื่น แต่จะเป็นลูกหลานของเราเอง
ผู้ที่เป็นห่วงลูกหลานจึงต้องทบทวนหน้าที่ของตน และปรับปรุงแก้ไข ด้วยการหันกลับไปปฏิบัติหน้าที่ทางการเมือง ให้สอดคล้องกับอัตภาพ ถ้าเป็นนักเขียนอย่างผม ก็ปฏิบัติหน้าที่นักเขียน ด้วยการศึกษาวิเคราะห์พฤติกรรมและการวางตนปฏิบัติตนของนักการเมือง แล้วเขียนเผยแพร่สิ่งที่เชื่อว่าถูกต้องและสมควร ให้ผู้อื่นได้อ่านด้วย และคิดพิจารณา ผู้อ่านจะเห็นด้วยหรือไม่เป็นสิทธิของเขา แต่เรา (นักเขียน) รู้ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องและเรียบร้อยแล้ว
ผู้เป็นข้าราชการก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถูกต้องและเรียบร้อยเช่นเดียวกัน ข้าราชการทุกชั้นทุกระดับทุกหน่วยมีกฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับของทางราชการเป็นบรรทัดฐานให้ปฏิบัติตามอยู่แล้ว ข้าราชการชั้นใดระดับใดหน่วยใดใช้อุเบกขาด้วยการทอดธุระ ไม่ทำหน้าที่ หรือใช้ "เกียร์ว่าง" แปลว่าเข้าใจอุเบกขาผิด และละทิ้งหน้าที่ ผิดทั้งทางกฎหมายและศีลธรรม
เพราะฉะนั้น ขอเชิญชวนให้ทบทวนตนเองและทำความเข้าใจกับอุเบกขาให้ถูกต้อง การปล่อยให้คนเลวครองเมืองไม่ใช่อุเบกขา เพราะผิดทั้งทางกฎหมาย ศีลธรรม และมโนธรรม
เมื่อยังมีและต้องทำหน้าที่ทางการเมือง ต้องสนใจติดตามศึกษาและสอดส่องพฤติกรรมของนักการเมือง การทำเช่นนี้จะทำให้เรารู้จักนักการเมืองอย่างแท้จริง รู้ว่าคนไหนมี (หรือเคยมี) ความประพฤติอย่างไร สมัยไหนเคยทำความเสียหายให้แก่บ้านเมือง แต่สมัยนี้กลับมาลอยหน้าทำท่าเป็นผู้รัก "ประชาธิปไตย" หวังดีต่อบ้านเมือง ทั้งๆ ที่เจตนาจริงคือการได้กลับเข้าไปมีอำนาจในการบริหารหรือนิติบัญญติ เพื่อจะได้อาศัยตำแหน่งปลิ้นปล้อน หลอกลวง โกง และสูบเลือดประชาชนอีกครั้งหรือไม่
ทำอย่างนี้เท่านั้น จึงจะรู้ทันและสามารถป้องกันมิให้คนชั่วครองเมืองได้ ด้วยการไม่ลงคะแนนเสียงให้ และด้วยการบอกกล่าวเปิดเผยและชี้แจงให้ผู้ที่ยังไม่รู้ได้รู้ด้วย จะได้ช่วยกันป้องกัน
แต่ถ้าเข้าใจอุเบกขาผิด ปล่อยวางทั้งๆ ที่ยังมีสิ่งที่มีประโยชน์อย่างอื่นที่ทำได้ จะเท่ากับปล่อยเมืองไทยให้ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองชั่วที่หิวกระหาย เป็น อนันตริยกรรม (คือเป็นกรรมที่เป็นบาปหนักที่สุด) ทางสังคม ไม่แพ้บาปเพราะฆ่าพ่อฆ่าแม่ ซึ่งเป็นอนันตริยกรรมทางศาสนาพุทธนะครับ
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act03230652§ionid=0130&day=2009-06-23
4 สิงหาคม 2552 03:01 น.
ลักษมณ์
ตั้งแต่วันที่ฉันได้คุยเพียงครู่สองคนกับเธอครั้งก่อน
กลับมานอนครวญครางละเมอคอยพร่ำหาเธอเหมือนจะอ้อนวอน
เกิดอะไรขึ้นมาล่ะเออมันอยากรู้นัก เปลี่ยนฉันไปจากเดิม
จะเป็นเพียงแววตาของเธอทั้งคู่ฉายมาสะกดหรือเปล่า
อาจเป็นดาวดวงใดใช้เธอมาหลอกเล่นกล เป็นไปไม่ได้
ออกจะงงคงเป็นเพราะเธอทำสับสน
โอ๊ยเดี๋ยวอยากรัก เดี๋ยวอยากลืม
ทุกสิ่งเปลี่ยนไปเพราะเธอ
เธอทำให้ฉันรักเธอก่อนไม่อาจถอน
หัวใจมันคอยแอบๆ มองแบบซึ้งๆ
เธอทำให้ฉันหลงใจอ่อน นอนกอดหมอนทุกคืน
จะทนได้นานสักเท่าไรหากคิดถึง
อยากจะกินกลืนเธอทั้งตัว ไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่น
อยากได้ยินเพียงเสียงของเธอ เพรียกบอกรักเพ้อถึงฉันผู้เดียว
กดอารมณ์ทนไปไม่ไหวใจมันหวิววาบ ไม่เจอคงขาดใจ
คิดถึงจังเธอ
เพลงประกอบละคร แจ๋วใจร้ายกับคุณชายเทวดา
เพลง โอ๊ย โอ๊ย - เบน ชลาทิศ
http://www.youtube.com/watch?v=DHESH0uk65U&feature=related