9 สิงหาคม 2552 00:36 น.
ลักษมณ์
ดูราประชาราษฏร์.............................ท่านอาจเห็นคติดี
แห่งการสงครามนี้............................อย่าระแวงและสงสัย
ธรรมะและอธรร-............................มะทั้งสองสิ่งนี้ไซร้
อันผลจะพึงให้................................บ่มิมีเสมอกัน
อธรรมย่อมนำสู่.............................นิรยาบายเป็นแม่นมั่น
ธรรมะจำนำพลัน...........................ให้ถึงสุคตินา
เสพธรรมะส่งให้...........................ถึงเจริญทุกทิวา
แม้เสพอธรรมพา..........................ให้พินาศและฉิบหาย
ในกาลอนาคต..............................ก็จักมีผู้มุ่งหมาย
ข่มธรรมะทำลาย..........................และประทุษฐ์มนุษย์โลก
เชื่อถือกำลังแสน-.........................ยะจะขึ้นเป็นหัวโจก
หวังครองประดาโลก...................และเป็นใหญ่ในแดนดิน
สัญญามีตรามั่น...........................ก็จะเรียกกระดาษชิ้น
ละทิ้งธรรมะสิ้น..........................เพราะอ้างคำว่าจำเป็น
หญิงชายและทารก.....................ก็จะตกที่ลำเค็ญ
ถูกราญประหารเห็น...................บ่มิมีอะไรขวาง
ฝ่ายพวกอธรรมเหิม....................ก็จะเริ่มจะริทาง
ทำการประหารอย่าง...................ที่มนุษย์มิเคยใช้
ฝ่ายพวกที่รักธรรม......................ถึงจะคิดระอาใจ
ก็คงมิยอมให้..............................พวกอธรรมได้สมหวัง
จะชวนกันรวบรวม.........................พลกาจกำลังขลัง
รวมทรัพย์สะพรึบพรั่ง...................เป็นสัมพันธไมตรี
ช่วยกันประจัญต่อ.........................พวกอธรรมเสนี
เข้มแข็งคำแหงมี..........................สุจรติธรรมะสนอง
ลงท้ายฝ่ายธรรมะ.......................จะชนะดังใจปอง
อธรรมะคงต้อง..........................ปราชัยเป็นแน่นอน
อันว่ามนุษย์โลก.......................ยังโชคดีไม่ย่อหย่อน
อธรรมะราญรอน.....................ก็ชำนะแต่ชั่วพัก
ภายหลังข้างฝ่ายธรรม...............จะชำนะประสิทธิ์ศักดิ์
เพราะธรรมะย่อมรัก..................ผู้ประพฤติ ณ คลองธรรม
อันคำเราทำนาย..........................ชนทั้งหลายจงจดจำ
จงมุ่งถนอมธรรม........................เถิดจะได้เจริญสุข
ถึงแม้อธรรมข่ม.........................ขี่อารมณ์ให้มีทุกข์
ลงท้ายเมื่อหมดยุค......................ก็จะได้เกษมศานต์
ถือธรรมะผ่องใส........................จึ่งจะได้เป็นสุขสราญ
ถือธรรมะเที่ยงนาน.....................ก็จะได้ไปสู่สวรรค์ ฯ
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ เรื่องธรรมาธรรมะสงคราม
8 สิงหาคม 2552 21:15 น.
ลักษมณ์
วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11427 มติชนรายวัน
อย่าให้บ้านเมืองพังเพราะอุเบกขา
โดย วสิษฐ เดชกุญชร
คนไทยเป็นจำนวนไม่น้อยกำลังเบื่อหรือเอือมระอากับการเมือง หลายคนที่ผมรู้จักบอกผมว่า ไม่อยากดูการถ่ายทอดการประชุมรัฐสภาทางวิทยุโทรทัศน์ที่กำลังทำอยู่ เพราะไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากได้ยินเสียงของสมาชิกสภาคนนั้นๆ อีกหลายคนบอกผมว่า ไม่อยากอ่านข่าวและบทความการเมืองในหนังสือพิมพ์ด้วยเหตุผลเดียวกัน
หลายคนในจำนวนนั้น บอกผมว่า กับการเมืองไทยเวลานี้ ต้องใช้ อุเบกขา
คำว่า อุเบกขา เป็นคำบาลีที่ไทยรับมาใช้ แปลตามตัวว่าความมีใจเป็นกลางหรือความวางเฉย ใกล้เคียงกับคำภาษาอังกฤษว่าอีควอนิมิตี (equanimity) ซึ่งแปลว่าความสามารถควบคุมตนเอง
ผมเห็นใจและเข้าใจว่า ทำไมท่านเหล่านั้นจึงเบื่อหรือเอือมระอา แม้ตัวผมเองบางครั้งก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน ผมมีเหตุผลกว่าเสียอีกที่จะรู้สึกอย่างนั้น ผมเกิดทีหลังรัฐธรรมนูญฉบับปี 2475 เพียงสามปี เห็นรัฐธรรมนูญถูกฉีกแล้วก็ร่างใหม่ ฉีกแล้วก็ร่างใหม่ จนกระทั่งถึงฉบับปัจจุบัน ผมมีส่วนในการร่างและหรือรับรองรัฐธรรมนูญอย่างน้อยสองฉบับ รวมทั้งฉบับที่ว่ากันว่าเป็น "ประชาธิปไตย" ที่สุด ผมเคยถูกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาสองครั้ง ถูกหลอกให้เป็นรัฐมนตรีครั้งหนึ่ง เพราะเคยเป็นทั้งสมาชิกวุฒิสภาและรัฐมนตรี ผมจึงได้สัมผัส (ไม่จำเป็นจะต้องเป็นทางกาย แต่ทางทวารอื่น เช่น หูและตาก็ได้) กับนักการเมือง และเลยได้รู้สันดานแท้จริงของบางคน
ผมจึงมีคุณสมบัติบริบูรณ์ที่จะเบื่อและระอาใจในการเมืองไม่แพ้คนอื่น แต่ผมก็ไม่สามารถจะใช้อุเบกขากับการเมืองได้ เพราะผมรู้และเข้าใจว่า ผมยังมีหน้าที่ และจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นอยู่
หน้าที่ต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
อุเบกขาไม่ใช่การไม่เอาไหน หรือการเพิกเฉยไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ควรปฏิบัติ แต่เป็นการวางเฉยหรือทำตัวเป็นกลาง เมื่อได้ทำอย่างดีที่สุด เต็มสติกำลังแล้ว และเห็นชัดแล้วว่า ไม่สามารถจะทำอะไรต่อไปได้อีก
อุเบกขาไม่ใช่ธรรมสำหรับคนจนตรอก แต่เป็นเครื่องมือหรืออุบาย ที่จะทำให้เราไม่เสียสติเวลาทำอะไรไม่สำเร็จ คนเป็นจำนวนมาก เวลาทำอะไรอย่างหนึ่งตามหน้าที่ไม่สำเร็จได้อย่างใจของตนเอง แทนที่จะคิดพิจารณาว่า ยังมีสิ่งที่มีประโยชน์อย่างอื่นที่ควรทำในหน้าที่นั้น แล้วมุ่งหน้าทำต่อไป กลับหมดอาลัยตายอยาก งอมืองอตีน และอ้างว่าพอแล้ว บางคนก็อ้างบาลีว่า "ตถตา" หมายความว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง ไม่มีใคร (รวมทั้งตัวเรา) ทำอะไรได้ ต้องปล่อยไปตามกรรมของสัตว์
ถ้าถือกันอย่างนั้น ก็เป็นกรรมของเมืองไทยครับ
ไม่มีใครที่หมดหน้าที่ที่ตนมีต่อตัวเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคม และต่อประเทศชาติบ้านเมือง จนกว่าจะละกิเลสได้แล้วอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้จะหนีไปบวชเป็นพระ ก็ยังมีหน้าที่อยู่ หน้าที่ต่อพระด้วยกันเอง และหน้าที่ต่อชาวบ้านที่เคารพเลื่อมใสและหวังพึ่งพระ
คนไทยทุกคนมีหน้าที่ต่อบ้านเมือง หน้าที่ที่ว่านี้ไม่จำเป็นจะต้องทำด้วยการเป็นสมาชิกรัฐสภา หรือรัฐมนตรี หรือตุลาการ หรือสมาชิก อบจ. หรือ อบต. หรือข้าราชการชั้นใดทั้งนั้น เป็นสามัญชนที่ไม่มีตำแหน่งก็ทำได้ และเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ บ้านเมืองก็จะอยู่ไม่ได้ บ้านเมืองอยู่ไม่ได้ พลเมืองคือตัวเราเองก็จะอยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน
การใช้อุเบกขาทางการเมืองอย่างผิดๆ ด้วยการหลับหูหลับตาไม่ดูการเมืองว่ากำลังจะก้าวไปทางไหน เป็นการเปิดโอกาสให้นักการเมืองชั่วใช้อำนาจหน้าที่และช่องโหว่ทางกฎหมาย หาประโยชน์โดยมิชอบให้แก่ตนเอง สมัครพรรคพวกและญาติพี่น้อง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครท้วงติง ห้ามปรามหรือขัดขวาง เป็นการทำความเสียหายให้แก่ประเทศชาติหรือบ้านของตนเอง ผลของความเสียหายหากไม่ปรากฏให้เห็นในขณะนี้ ก็จะปรากฏในอนาคต ผู้รับเคราะห์รับกรรมจะไม่ใช่คนอื่น แต่จะเป็นลูกหลานของเราเอง
ผู้ที่เป็นห่วงลูกหลานจึงต้องทบทวนหน้าที่ของตน และปรับปรุงแก้ไข ด้วยการหันกลับไปปฏิบัติหน้าที่ทางการเมือง ให้สอดคล้องกับอัตภาพ ถ้าเป็นนักเขียนอย่างผม ก็ปฏิบัติหน้าที่นักเขียน ด้วยการศึกษาวิเคราะห์พฤติกรรมและการวางตนปฏิบัติตนของนักการเมือง แล้วเขียนเผยแพร่สิ่งที่เชื่อว่าถูกต้องและสมควร ให้ผู้อื่นได้อ่านด้วย และคิดพิจารณา ผู้อ่านจะเห็นด้วยหรือไม่เป็นสิทธิของเขา แต่เรา (นักเขียน) รู้ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องและเรียบร้อยแล้ว
ผู้เป็นข้าราชการก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถูกต้องและเรียบร้อยเช่นเดียวกัน ข้าราชการทุกชั้นทุกระดับทุกหน่วยมีกฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับของทางราชการเป็นบรรทัดฐานให้ปฏิบัติตามอยู่แล้ว ข้าราชการชั้นใดระดับใดหน่วยใดใช้อุเบกขาด้วยการทอดธุระ ไม่ทำหน้าที่ หรือใช้ "เกียร์ว่าง" แปลว่าเข้าใจอุเบกขาผิด และละทิ้งหน้าที่ ผิดทั้งทางกฎหมายและศีลธรรม
เพราะฉะนั้น ขอเชิญชวนให้ทบทวนตนเองและทำความเข้าใจกับอุเบกขาให้ถูกต้อง การปล่อยให้คนเลวครองเมืองไม่ใช่อุเบกขา เพราะผิดทั้งทางกฎหมาย ศีลธรรม และมโนธรรม
เมื่อยังมีและต้องทำหน้าที่ทางการเมือง ต้องสนใจติดตามศึกษาและสอดส่องพฤติกรรมของนักการเมือง การทำเช่นนี้จะทำให้เรารู้จักนักการเมืองอย่างแท้จริง รู้ว่าคนไหนมี (หรือเคยมี) ความประพฤติอย่างไร สมัยไหนเคยทำความเสียหายให้แก่บ้านเมือง แต่สมัยนี้กลับมาลอยหน้าทำท่าเป็นผู้รัก "ประชาธิปไตย" หวังดีต่อบ้านเมือง ทั้งๆ ที่เจตนาจริงคือการได้กลับเข้าไปมีอำนาจในการบริหารหรือนิติบัญญติ เพื่อจะได้อาศัยตำแหน่งปลิ้นปล้อน หลอกลวง โกง และสูบเลือดประชาชนอีกครั้งหรือไม่
ทำอย่างนี้เท่านั้น จึงจะรู้ทันและสามารถป้องกันมิให้คนชั่วครองเมืองได้ ด้วยการไม่ลงคะแนนเสียงให้ และด้วยการบอกกล่าวเปิดเผยและชี้แจงให้ผู้ที่ยังไม่รู้ได้รู้ด้วย จะได้ช่วยกันป้องกัน
แต่ถ้าเข้าใจอุเบกขาผิด ปล่อยวางทั้งๆ ที่ยังมีสิ่งที่มีประโยชน์อย่างอื่นที่ทำได้ จะเท่ากับปล่อยเมืองไทยให้ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองชั่วที่หิวกระหาย เป็น อนันตริยกรรม (คือเป็นกรรมที่เป็นบาปหนักที่สุด) ทางสังคม ไม่แพ้บาปเพราะฆ่าพ่อฆ่าแม่ ซึ่งเป็นอนันตริยกรรมทางศาสนาพุทธนะครับ
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act03230652§ionid=0130&day=2009-06-23
4 สิงหาคม 2552 03:01 น.
ลักษมณ์
ตั้งแต่วันที่ฉันได้คุยเพียงครู่สองคนกับเธอครั้งก่อน
กลับมานอนครวญครางละเมอคอยพร่ำหาเธอเหมือนจะอ้อนวอน
เกิดอะไรขึ้นมาล่ะเออมันอยากรู้นัก เปลี่ยนฉันไปจากเดิม
จะเป็นเพียงแววตาของเธอทั้งคู่ฉายมาสะกดหรือเปล่า
อาจเป็นดาวดวงใดใช้เธอมาหลอกเล่นกล เป็นไปไม่ได้
ออกจะงงคงเป็นเพราะเธอทำสับสน
โอ๊ยเดี๋ยวอยากรัก เดี๋ยวอยากลืม
ทุกสิ่งเปลี่ยนไปเพราะเธอ
เธอทำให้ฉันรักเธอก่อนไม่อาจถอน
หัวใจมันคอยแอบๆ มองแบบซึ้งๆ
เธอทำให้ฉันหลงใจอ่อน นอนกอดหมอนทุกคืน
จะทนได้นานสักเท่าไรหากคิดถึง
อยากจะกินกลืนเธอทั้งตัว ไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่น
อยากได้ยินเพียงเสียงของเธอ เพรียกบอกรักเพ้อถึงฉันผู้เดียว
กดอารมณ์ทนไปไม่ไหวใจมันหวิววาบ ไม่เจอคงขาดใจ
คิดถึงจังเธอ
เพลงประกอบละคร แจ๋วใจร้ายกับคุณชายเทวดา
เพลง โอ๊ย โอ๊ย - เบน ชลาทิศ
http://www.youtube.com/watch?v=DHESH0uk65U&feature=related
31 กรกฎาคม 2552 07:42 น.
ลักษมณ์
วันที่ ๕ - ๙ สิงหาคม นี้
ไปปฏิบัติธรรม(วิปัสนากรรมฐาน) กับหลวงพ่อจรัญที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
ไปกับพี่สาวบุญธรรม ๒ คน + เพื่อนพี่สาวฯ + เรา
ขับรถไป จากภูเก็ต - สิงห์บุรี
ตอนแรกพี่บอกว่าจะไป ๗ วัน ล่าสุดพี่บอกว่า ๕ วันก่อนละกันถ้าติดใจค่อยไปใหม่
ถ้าอยากไปลำบากด้วยกันก็ตามมา
29 กรกฎาคม 2552 07:12 น.
ลักษมณ์
ว่ากันว่ารัก ทำให้คนเสียน้ำตา
หากว่ารับ เอารักเข้ามา ใจอาจสลาย
ถึงรู้อย่างนั้น ก็ยังอยากเสี่ยงไม่หาย
อยากให้เธอ มาเป็นความหมาย
ห้ามมันไม่ไหว
สั่งใจไม่ให้มันสั่น มันก็ไม่ฟังเท่าไหร่
ถามตัวเอง ถ้าช้ำปางตาย จะทำยังไง
ใจตอบว่ายินดี...
ขอแลกทั้งใจ แค่ได้รักเธอ ต้องเจออะไรก็ยอม
ฉันพร้อมจะเจ็บ ฉันพร้อมจะตาย เป็นไงเป็นกัน
เพราะมีหัวใจก็คงไร้ค่า หากไม่มีเธอในนั้น
ต่อให้มันแหลกสลายก็ยอม
ได้สัมผัสรัก มันก็คุ้ม ชีวิตหนึ่ง
วันนี้ขอกอดเธอให้ซึ้ง ไม่ยอมกลับหลัง
ได้ยิ้มสักที แม้พรุ่งนี้ เจ็บกี่ครั้ง
ไม่หวั่นไหว ไม่กลัวผิดหวัง ต้องรักเธอแล้ว
สั่งใจไม่ให้มันสั่น มันก็ไม่ฟังเท่าไหร่
ถามตัวเอง ถ้าช้ำปางตาย จะทำยังไง
ใจตอบว่ายินดี...
ขอแลกทั้งใจ แค่ได้รักเธอ ต้องเจออะไรก็ยอม
ฉันพร้อมจะเจ็บ ฉันพร้อมจะตาย เป็นไงเป็นกัน
เพราะมีหัวใจก็คงไร้ค่า หากไม่มีเธอในนั้น
ต่อให้มันแหลกสลาย
ขอแลกทั้งใจ แค่ได้รักเธอ ต้องเจออะไรก็ยอม
ฉันพร้อมจะเจ็บ ฉันพร้อมจะตาย เป็นไงเป็นกัน
เพราะมีหัวใจก็คงไร้ค่า หากไม่มีเธอในนั้น
ต่อให้มันแหลกสลาย...ก็ยอม
ดิว THE STAR 5 - แลกทั้งใจแค่ได้รักเธอ
คำร้อง/ทำนอง กสิ นิพัฒน์ศิริผล
เรียบเรียง ภาคภูมิ จงเจริญ(เรือขุนเผด็จ)
Chorus ปอร์-เช่
http://bignose.exteen.com/20090625/1000-the-star-5
http://www.youtube.com/watch?v=CjFLKo7B8IU&NR=1