28 มิถุนายน 2552 06:42 น.

ผีเสื้อละเมอ เพ้อหา ลดามาลย์

ละไมฝน

ผีเสื้อละเมอ  เพ้อหา  ลดามาลย์

แดดอุ่นอาบป่า ลำแสงอ่อนโยน ลอดกิ่งใบแมกไม้ลงมาจูบดวงหน้าชื้นน้ำค้าง นุ่มนวลราวกับมือหญิงสาวลูบไล้ สายลมยามเช้าล่องรินมาปลุกผมตื่นขึ้นมาอย่างเดียวดาย มันเป็นเช้าวันใหม่ที่สดใสทีเดียว ผมเหลียวมองภาพที่บรรจงวาดเมื่อคืน พลันใจหาย ... เมื่อเห็นความว่างเปล่าของเฟรมผ้าใบบนขาหยั่ง พู่กันหมาดหมาดสีน้ำมันวางบนถาดสี มีดอกกล้วยไม้ป่าสีขาวนวลช่อหนึ่งวางอยู่ตรงนั้นด้วย ผมจำได้ว่าหญิงสาวคนหนึ่งนำดอกกล้วยไม้มาฝากผมเมื่อคืนนี้ ผมพลิกกายจากเปลยวน หยิบช่อกล้วยไม้ที่พราวด้วยน้ำค้างขึ้นมาพิศดู กลีบดอกยังใหม่สด กลิ่นหอมเย็นจางๆ ชวนให้นึกถึงกลิ่นแก้มหญิงสาว ซึ่งมานั่งเป็นแบบให้ผมวาดรูปเธอเมื่อคืนนี้

ผมรู้สึกเงียบเหงา ... คิดถึงเธออย่างบอกไม่ถูก

หญิงสาวแปลกหน้า จากผมไปเมื่อดาวรุ่งแต้มขอบฟ้า ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน ไม่มีโอกาสถามเธอด้วยซ้ำว่า ทำไมเธอจึงจากไปก่อนอรุณรุ่ง

สำเนียกแรกในเช้านี้ แทนที่จะเป็นเสียงกราวๆของของกระเช้าสีดายามต้องลมพัด กลับเป็นเสียงนกกระจิบคู่หนึ่ง ซุบซิบกันบนกิ่งไม้ใกล้ๆ กระต๊อบใบตองตึงที่ผมอาศัยอยู่ คล้ายกับว่าพวกมันกำลังนินทาชายผู้โดดเดี่ยวว่า .....

" ดูเจ้าคนขี้เกียจสันหลังยาวนั่นซิ เอาแต่นอนตื่นสาย เขาไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสหวานๆ ของหนอนตัวอ้วนๆ อย่างพวกเราหรอก "

" นั่นซินะ วันๆ เอาแต่นั่งอ่านหนังสือ วาดรูป แล้วก็เขียนบทกวีเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ไม่รู้จักทำมาหากิน ผมเผ้าหนวดเคราก็ยาวรุงรังยังกะฤาษีชีไพร "

คู่ของมันเสริมขึ้นบ้าง

" ฉันว่าเขาเหมือนคนบ้ามากกว่านะ"
นกกระจิบตัวแรกแย้งขึ้น แล้วพวกมันหัวเราะ และส่งเสียงร้องเพลงขับกล่อมผมบนกิ่งไม้นั่น

อันที่จริง มิใช่มีเพียงนกกระจิบคู่นั้นดอกที่เฝ้ามองผม ยังมีพวกสัตว์ป่าตัวเล็กๆ เช่น กระรอก กระแต หนูพุก หรือแม้แต่งูเขียว ที่ออกหากินอยู่รอบๆ บริเวณกระต๊อบตอง ยังผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกมาสังเกตการณ์ชายร่างผอมบาง ท่าทางพิกล ผู้มาปลูกกระต๊อบ ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวเดียวดายที่ชายป่า ซึ่งเป็นอาณาจักรของพวกมัน อาณาจักรแห่งความสงบสุข โอบอ้อมด้วยอ้อมกอดขุนเขาเขียวทะมึน สัตว์ป่าบางชนิด ซึ่งผมมองไม่เห็นว่าเป็นตัวอะไร ทักทายผมด้วยเสียงร้องชวนขนลุก บางชนิดก็หลบๆ ซ่อนๆ ผลุบๆโผล่ๆ ดูกล้าๆ กลัวๆ นกบางชนิด ก็แสดงท่าทีก้าวร้าว ข่มขู่ผู้รุกล้ำอาณาเขตของพวกมัน

ในยามพลบค่ำ อันเป็นห้วงเวลาที่หิ่งห้อยป่าบินออกหาคู่ แสงของมันเปล่งประกายวูบวาบ ตรงโน้น ตรงนี้ ตามแนวป่าอันมืดมิด ราวกับดวงตาภูตผีปิศาจนับร้อยนับพันดวงที่จ้องมองผมอยู่เงียบๆ บางคืนผมก็ตกใจกลัวเสียงนกกระปูด ที่ร้องปูดๆ ดังมาจากเงาไม้มืดมิด ขณะสายลมพัดหวีดหวิว

คนเรา ... เวลาอยู่คนเดียวในความมืด บรรยากาศเยือกเย็นเงียบสงัด มักสร้างภาพจินตนาการหลอกหลอนตัวเองได้อย่างน่ากลัวเสมอละ

รู้มั้ย...กลิ่นกล้วยไม้ป่าหอมจางข้างกาย ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์แปลกประหลาดเมื่อคืน 

มันเป็นเวลาดึกมากแล้ว ขณะนั่งเขียนบทกวีเกี่ยวกับป่าฤดูวสันต์ ผมรู้สึกง่วงเป็นบ้าเป็นหลัง พอเอนกายนอนบนเปลผ้าใต้ร่มไม้ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมหลังคากระต๊อบตอง ครู่เดียวก็ผล็อยหลับไป ในห้วงฝันครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้น มีดวงหน้าซีดเซียวของชายหญิงนับสิบ ผุดพรายอยู่รายรอบกายผม จ้องมองมายังผมอย่างเงียบงัน

ตาหม่นเศร้าไร้แวว บนดวงหน้าหมองคล้ำ ซูบโรยโหยหิว ร่างกายผ่ายผอมสวมเสื้อม่อฮ่อมเก่าๆ ขาดหวิ่น ร่างเหล่านั้นราวล่องลอยอยู่ ...

ผมพยายามพลิกกายลุกขึ้น แต่ก็ขยับไม่ได้ ร่างถูกตรึงอยู่กับเปลผ้า ทรวงอกเหมือนถูกกดทับด้วยภูเขาหนักอึ้ง ครั้นจะเอ่ยปากทักถาม ก็คล้ายมีก้อนอะไรบางอย่างจุกที่ลำคอ แล้วมือเหี่ยวๆ เล็บแหลมคมเขียวคล้ำ นับสิบคู่ ก็ยื่นมาหยิกทึ้งร่างผมเป็นพัลวัน ประหนึ่งโกรธแค้นมานานปี

เมื่อมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ร่างผอมโซที่รุมหยิกทิ้งอย่างโกรธแค้นค่อยๆ ถอยห่าง และหายไปในราวป่า

ร่างที่ปรากฏขึ้นมานั้น เป็นหญิงสาวหน้าตางามอ่อนหวาน ดวงตาสงบเย็น ผิวพรรณขาวนวลราวกลีบดอกกล้วยไม้ป่าที่เธอถือมา ร่างอรชรห่มสไบสีตองอ่อน เปลือยไหล่อวบอิ่มกลมกลึงนัก 

หญิงสาวแปลกหน้า แย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร เธอเหลียวมองเฟรมผ้าใบบนขาหยั่ง แล้วขอร้องให้ผมวาดรูปเธอ ... ผมไม่ลังเลเลยที่จะบันทึกความงามของเธอบนผืนผ้าใบ ด้วยปลายพู่กันอันพริ้วไหว ...

ดวงหน้าเรียวได้รูปงามอ่อนหวาน ในกรอบผมสีดำสนิทยาวสยายถึงกลางหลัง คิ้วโค้ง รับกับนัยน์ตากลมโต ดำขลับดูลึกลับ จมูกเล็กๆ โด่งพองาม ปลายเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากรูปกระจับเต็มอิ่มเฉดสีชาดสด มุมปากเย้ายวนชวนเคลิ้มฝัน 

ผมบรรจงวาดรูปเธอด้วยความรู้สึกดื่มด่ำ เปรมสุขจากสัมผัสทางสายตา เมื่อวาดแก้มก็คล้ายได้กลิ่นแก้มสาวอวลมา ยามระบายเรียวปาก ก็รู้สึกเหมือนว่าได้จุมพิตปากเธอ ครั้นวาดเรือนกาย ก็พลันรู้สึกประหนึ่งได้ลูบไล้เรือนร่างงามดุจนางในวรรณคดีนั้น ...

เมื่อวาดรูปเธอเสร็จเรียบร้อย เธอก็มอบช่อกล้วยไม้ป่าสีขาวให้ผม และล่ำลาจากไปเมื่อฟ้าใกล้สาง

กลิ่นน้ำค้างชื้นใบไม้ใบหญ้า เจือกลิ่นดอกกล้วยไม้ป่า หอมอวลอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ผมนั่งมองผืนผ้าใบว่างเปล่า ใจหายที่ไม่เห็นผลงานของตนเอง พู่กันเปื้อนสี วางบนถาดสีที่เปรอะเปื้อนนั้น บ่งบอกถึงร่องรอยของการวาดรูปเมื่อคืน รูปที่ผมวาดเลือนหายไปได้อย่างไรกัน ผมเอื้อมมือหยิบกล้วยไม้ช่อนั้นแนบแก้ม กลิ่นหอมอ่อนจาง เย้ายวนชวนให้คิดถึงกลิ่นแก้มหญิงสาวแปลกหน้ามิสร่างซา

ในห้วงภวังค์ที่กรุ่นอวลหอมหวานนั้น ช่างคลับคล้ายละม้ายความฝัน แต่มิใช่ภาพฝัน รู้สึกว่าหญิงสาวคนนั้นมีตัวตนจริงๆ ความงามของเธอยังตราตรึงในความทรงจำ ช่อกล้วยไม้ป่าคือหลักฐานแห่งความจริง

ภาพเธอกลับเลือนหายไปจากเฟรมผ้าใบบนขาหยั่งได้อย่างไร ผมไม่อาจวาดรูปเหมือนเธอได้ดังใจนึกอีกแล้ว 

หลังจากคืนนั้น เธอก็ไม่ย่างกรายมาที่กระต๊อบตองอีกเลย คงมีเพียงกล้วยไม้ป่าช่อนั้นทดแทนตัวเธอ ผมเก็บไว้อย่างทะนุถนอม แม้นว่ากล้วยไม้ช่อนั้นจะร่วงโรยเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลาก็ตาม

บางทีจิตใจผมคงไม่บริสุทธิ์ สะอาดพอ ที่เธอจะหวนกลับมาพบกับผมอีกก็ได้ ...

.....................................................
ละไมฝน				
28 มิถุนายน 2552 06:25 น.

นายหิ่งห้อยสะดุดรักเจ้าหญิงขนมปัง ตอนที่ ๑

ละไมฝน

ตอนที่ ๑ หิ่งห้อยหลงรักดวงดาว



หิ่งห้อยคืนหนาว      ถามดาวหนาวไหม
ห่มฟ้าอำไพ     อุ่นไหมดวงดาว
ดาวหยาดวาดช่วง      ดาดวงเด่นหาว
ดวงตาดวงดาว      วิบวาววับแวม


หิ่งห้อยด้อยศักดิ์      หลงรักดาวแจ่ม
หมอกชื้นคืนแรม      อวลแก้มดาวรุ่ง
หิ่งห้อยเพ้อฝัน      รำพันกล่อมทุ่ง
อาจเอื้อมปรนปรุง      ดาวรุ่งทอฟ้า
โบยบินร่ายรำ      ระบำเริงร่า
ยั่วยวนดารา      ร่วงมายาใจ


หิ่งห้อยคืนหนาว      ถามดาวหนาวไหม
ครวญคร่ำร่ำไร      ห่วงใยดวงดาว
...........
นายหิ่งห้อย

ดวงดาวตอบหิ่งห้อย

ดาราล้าแสน     กลางแผ่นฟ้ากว้าง
เหงาเงียบอ้างว้าง      อาดูรเดียวดาย
ร่ำหามิ่งมิตร      เคยชิดไยหาย
กะพริบอวดพราย      แล้วกรายหลบจร

เคยเคียงคู่ข้าง      กลับร้างซมซ่อน
หิ่งห้อยน้อยซอน      ลิดรอนสายใย
แตกต่างนั่นหรือ      ที่ถือกั้นไกล
เพียรหลบพบไย      ห่วงไหมดาวราน
วอนอ้อนหวนคืน      พร่างคืนรื่นหวาน
หิ่งห้อยทวนกาล      เคียงขานราตรี

ดาวหมองครองฟ้า      ค้นหาคนดี
หิ่งห้อยอย่าหนี      หลบลี้ดารา
.......................
ดาวฟ้าคะเดีย      

หิ่งห้อยตอบดวงดาว

ใช่หลบหนีหน้า      ฟากฟ้าคืนฝัน
ใช่ท้อรำพัน      เพราะฝันฝ่ายเดียว

หมายมาดวาดหวัง     พลังเด็ดเดี่ยว
โบยบินดายเดียว      หลงฟ้าลืมกาล

เผลอหลับห่มหาว      ดวงดาวขับขาน
เพลงดาวร้าวราน      เยือกหวานจับใจ

แค่อาจเอื้อมแฝง      ชมแสงดาวใส
โอบดาวแนบใจ      กอดไว้นิรันตร์
...........
หิ่งห้อย

ข้าฯ คือหิ่งห้อยป่า ที่เพิ่งแทงปีกออกจากฝักดักแด้อันอึดอัดใต้พื้นดิน โบยบินสู่โลกใหม่ อันสดใสเสรี

มันเป็นเวลาพลบค่ำ ตะวันลับเส้นขอบฟ้าแล้ว คืนนี้ฟ้าพร่างพราว ดาวนับล้านดวงส่องแสงระยิบระยับ ยั่วเย้าหิ่งห้อยน้อยเฉกเช่นข้าฯ ใฝ่ฝันอยากบินขึ้นไปจุมพิตดาวฟ้าสักครั้งในชีวิตอันแสนสั้น ข้าฯ จึงไม่ลังเลเลยที่จะทะยานขึ้นสู่โค้งฟ้าเวิ้งว้างมืดมิด 

ณ ฟากฟ้าทางทิศตะวันตกนั้น ปรากฏดวงดาวสุกสกาวดวงหนึ่งส่องแสงนำทางแก่ข้าฯ และดูเหมือนว่า ดาวสาวพันปีดวงนั้นส่งยิ้มหวานมาถึงหิ่งห้อยหนุ่มด้วยเช่นกัน

 ดาวสาวจ๋า...เธอช่างงามสุกใสจัง ข้า ฯ ร้องทักทายอย่างชื่นชม
ดาวประจำเมืองยิ้มเอียงอาย
 ฉันงามเลิศปานนั้นเชียวหรือจ๊ะ เจ้าหิ่งห้อย
ข้าฯ พยักหน้ายืนยัน แล้วถามว่า

 เธอส่งยิ้มให้ใครๆ อยู่ตรงขอบฟ้าทุกค่ำคืนจนรุ่งเช้าเลยเหรอ
 เปล่าดอกจ้ะ...เจ้าหิ่งห้อย อีกหน่อยฉันก็จะหลบไปนอนพักเอาแรงแล้ว เพื่อว่าก่อนรุ่งเช้าฉันจะไปส่องแสงทางทิศตะวันขึ้นอีกครั้ง ถ้าเธอเห็นฉันตอนค่อนรุ่ง เธอยิ่งจะประจักษ์ใจว่า แสงของฉันสุกสว่างเพียงไหน 

 ส่องแสงเย็นตอนเช้ามืด ไม่หนาวบ้างหรือไรดวงดาว 

 ไม่หนาว ไม่เหงา เพราะฉันมีเพื่อนเยอะแยะเต็มฟ้า
 ข้าฯ ชักอิจฉาเธอแล้วสิ 
 แล้วเพื่อนๆ ของเจ้าหายไปไหนกันหมดล่ะ หิ่งห้อยหนุ่ม ดาวสาวร้องถาม 
 ยังหัวค่ำอยู่... พวกเขายังไม่ตื่นนอน

ปีกสีส้มอมเหลืองของข้าฯ กระพือบินสูงขึ้น พร้อมกับกะพริบแสงวิบวับเรืองรอง พลางสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด รำพึงว่า  อากาศสดชื่นดีจัง บนฟ้ากว้างมีดวงตาดวงดาว วิบวาววับแวมเต็มไปหมด ข้าฯ ชักหลงรักดาวแจ่มเข้าแล้วละ

สายลมเย็นโชยมาวูบหนึ่ง พัดพาข้าฯ ถลาลงสู่ยอดลำพู ข้าฯ ตีลังกา 3 ตลบ แล้วทะยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้งอย่างไม่ย่อท้อ 

ขณะนั้นเอง มีแสงดาวหยาดวาดช่วง วูบผ่านข้าฯไป พร้อมกับเสียงร้องเตือนด้วยอาทรห่วงใย

 เจ้าหิ่งห้อยจ๋า... ปีกเจ้ายังอ่อนหัด อย่าบินสูงนัก

ข้าฯ เหลียวขวับ เห็นแสงวาววูบผ่านลงสู่เบื้องล่าง ข้าฯ เอี้ยวตัวบินติดตามไป ดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาวดวงนั้น

 เธอตามหาใครอยู่เหรอ 

 ชีวิตฉัน ถึงคราวแตกดับแล้ว  

ดาวชราครางแผ่วมาจากพงพุ่มลำพู 

เสียงครวญของดวงดาวช่างร้าวราน เยือกหวานจับใจนัก

 เอ๊ะ! นั่นแสงเธอหายไปจริงๆด้วย... ข้าฯ อุทานประหลาดใจ  เจ้าทำผิดอะไรเหรอ ถึงถูกเฉดหัวจากฟากฟ้าลงมานี้ได้

 ดาวนอกรีตอย่างฉันชมชอบอิสรเสรี เลยแยกตัวจากกลุ่มเพื่อน ล่องลอยโดดเดี่ยวไปทั่วจักรวาล บังเอิญฉันพลัดหลงเข้าสู่วงโคจรของโลก เลยถูกดึงดูดลงมา

 ว้า...แย่จัง ข้าฯ ถอนใจอย่างหดหู่เห็นใจ
 ตอนนี้ถึงฉันจะอับแสง แต่ฉันก็มีความดีอยู่บ้างหรอกนะ รู้มั้ย...ฉันได้ช่วยมวลมนุษย์สมหวังในคำอธิษฐานมามากต่อมากแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นแสงดาวตกวาบลงมาจากฟากฟ้า

 พวกมนุษย์ได้ในสิ่งที่เขาหวังทุกคนมั้ย  เอ่ยถามด้วยความสงสัย

บางคนก็สมหวัง บางคนก็ไม่สมหวัง เพราะอธิษฐานไม่ทันช่วงเวลาแสนสั้น ที่แสงของฉันวาบผ่านม่านมืดมิด เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น 
 เธอช่างวิเศษจริงๆ... ยอมอุทิศตนเพื่อให้คนทั้งโลกสมปรารถนา

ข้าฯ พลันรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินดาวอับแสงสะอื้นร่ำไห้ใต้พุ่มลำพู ที่เหล่าหิ่งห้อยขี้เซาทั้งหลาย กำลังตื่นขึ้นมากะพริบแสงวิบวับ

 นับจากนี้ไป ฉันคงไม่มีโอกาสขึ้นไปกะพริบแสงบนท้องฟ้ายามค่ำคืนได้อีกแล้ว 

 อย่าคร่ำครวญเศร้าโศกเสียใจไปเลย แม้ว่าเจ้าจะกลายเป็นเศษหินไร้ค่าจมอยู่ใต้พื้นดิน แต่เจ้าก็ยังมีหิ่งห้อยเป็นเพื่อน ข้าฯมีน้องๆ หิ่งห้อยนับร้อยนับพันกำลังฟักตัวอยู่ในดักแด้รอบๆ ต้นลำพูนั่น ดาวตกจ๋า...เธอทำหน้าที่ของตัวเองดีที่สุดแล้ว จงหลับพักผ่อนอย่างเป็นสุขเถิดนะ 

ข้าฯ ปลอบประโลม พลางบินไว้อาลัยไปรอบๆ ดาวดับ ขณะที่เหล่าจิ้งหรีดโหมโรงบรรเลงเพลงใสแสบแก้วหู 

ยามนี้ยังหัวค่ำนัก ดาวฟ้าร่วงลงมาดับหนึ่งดวงแล้ว แต่ยังเหลือดวงดาวระยิบระยับอีกนับล้านๆ ดวง ประดับห้วงเวหา ข้าฯ มิอาจทิ้งความฝันของหิ่งห้อยหนุ่ม ที่จะทะยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อบอกรักดวงดาวทุกดวง ก่อนจะลาลับโลกนี้ไป เนื่องจากข้าฯ มีช่วงชีวิตแสนสั้นเพียง ๒๖ วันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ข้าฯ ยังมีความหวังอยู่ทุกลมหายใจ... และเชื่อมั่นว่าแสงดาวอันสุกใสบนฟ้า จักส่องสว่างนำทางท่ามกลางความมืดมิด คอยชี้นำทางคนสิ้นหวัง หลงทาง ให้ก้าวไปข้างหน้า ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคชีวิต โดยมีความมุ่งมั่นเป็นสะพานทอดนำไปสู่ฝันอันเจิดจรัส 

ช่างน่าแปลกนะใครๆ ก็ใฝ่ฝันอยากไขว่คว้าดาว...อยากเป็นดาวกันทั้งนั้น 

ข้าฯ กะพริบพรายแสงน้อยอวดดวงดาวรายระยับกลางเวหาอย่างร่าเริง 
ทันใดนั้นเอง ข้าฯก็ได้ยินเสียงร้อง เจี๊ยบๆ... แว่วดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ไกลแสนไกล

อ้อ...นั่นไง กลุ่มดาวลูกไก่ทั้งเจ็ดเป็นกระจุกบนท้องฟ้า ร้องเรียกหาแม่ดังระงม ฟังจับใจความว่า ดาวลูกไก่ทั้งเจ็ด ออดอ้อนอยากกินนมแม่ไก่

แม่ไก่บนสวรรค์...น้ำตาไหลพราก ระทมใจเพราะไม่มีนมให้ลูกกิน
 ลูกเอ๋ย...ถ้าหากแม่มีนมเหมือนดาววัวก็คงดีซินะ แม่จะให้พวกเจ้ากินนมตลอดทั้งคืน

ดาวลูกไก่ทั้งเจ็ดยังคงร้องเจี๊ยบๆ บนท้องฟ้าต่อไป

ขณะแม่ไก่ร้องกุ๊กๆ เรียกลูกๆ ไปซุกอกอุ่น 
 ลูกไก่ทั้งเจ็ด ทำไมพวกเธอถึงมาเป็นดาวอยู่บนฟ้าได้ล่ะ ข้าฯ ร้องถามดาวลูกไก่

 เพราะพวกเรากตัญญูรู้คุณ... ดาวลูกไก่ดวงหนึ่งตอบ ท่าทางคงจะเป็นพี่คนโต เพราะดวงใหญ่กว่าดวงอื่นๆ ที่รายล้อมอยู่  อยากฟังเรื่องราวของเราหรือเปล่า

 อืมม์ น่าสนใจนะ
 เมื่อก่อนพวกเราอาศัยอยู่กับตายายบนโลกมนุษย์อย่างมีความสุข วันหนึ่งมีพระธุดงค์เดินทางมาปักกลดที่ชายป่า สองตายายจึงได้ปรึกษากันว่าจะฆ่าแม่ไก่ทำอาหารไปถวายพระในตอนเช้า พอแม่ไก่ในเล้าได้ยินเข้าก็ร้องไห้ พร่ำสอนลูกไก่ทั้งเจ็ดให้รักใคร่กลมเกลียวกัน... ตอนเช้าแม่ก็ถูกตาเชือดจริงๆ พวกเราทั้งเจ็ดจึงกระโดดเข้ากองไฟ ตายตามแม่ไก่ อานิสงค์ที่เราสละชีวิตเป็นอาหารแด่ผู้ทรงศีล ทำให้พวกเราขึ้นมาจุติเป็นดาวบนฟ้า

 พวกเธอช่างน่าศรัทธาจริงๆ 
มอ...มอ...มอ 

เสียงดาววัวร้องอยู่ใกล้ๆ ดาวลูกไก่นี่เอง

ข้าฯ หลบตาสีแดงแจ้ดของดาววัว ซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ชูเขาโค้งเหนือกลุ่มดาวนายพราน ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า เขาโค้งของดาววัวทำให้เกิดจันทร์เสี้ยวในคืนแรม แต่ตำนานกรีกกลับเล่าว่า หญิงสาวโฉมงามคนหนึ่งชื่อ ไอโอ แม้ว่าจะนางซ่อนร่างอยู่ในรูปวัว ทว่าเทพเจ้าซีอุสก็สามารถมองเห็นนาง และเกิดหลงรักเป็นบ้าเป็นหลัง จึงบัญชาให้ยูโรปา ปลอมตัวเป็นชายหนุ่มรูปงามขึ้นขี่หลัง พานางข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาหาเทพเจ้าซีอุสที่กรีก ข้าฯไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมดาววัวจึงไม่ยอมใส่ยกทรง ปล่อยให้เต้านมยานโตงเตง เพราะดาววัวมัวแต่ให้นมลูกกินตลอดทั้งคืนนี่เอง...เสียงดูดนมจุ๊บๆ จั๊บๆ ดูน่ารักน่าชัง น่าอิ่มอุ่นดีจัง 

ขณะบินเพลินชมดาวบนท้องฟ้า ข้าฯ ก็พลันเหลือบเห็นเงาเมฆชุ่มอุ้มน้ำฉ่ำฝน ก่อเค้าทะมึนขึ้นมาแต่ไกล ดูดำหม่นมองหลากเป็นฉากเป็นชั้น ไหลเลื่อนเคลื่อนคว้าง กลบกลืนท้องฟ้าจนมืดมิด เมฆดำทะมึนบดบังท้องฟ้าดูราวกับอสูรร้ายกลืนกินดวงดาวบนฟ้าอย่างกักขฬะ 

วาบประกายแสงฟ้าพาดผ่านเมฆา แล้วกรีดเสียงก้องกังวาน ปานว่าฟ้าจะถล่มทลาย พายุฝนกรรโชกมาวูบหนึ่ง พัดร่างของข้าฯ ปลิวว่อนเสียการทรงตัว ข้าฯรีบหุบปีก ตีลังกาดิ่งพสุธาสู่พื้นโลกทันที

ร่างของข้าฯ ตกลงมาเกือบใจกลางเมืองเล็กๆ ในอ้อมโอบของขุนเขา ตรงหัวมุมถนน มีร้านเบเกอรี่สวยน่ารักร้านหนึ่ง ที่ออกแบบตกแต่งกลมกลืนกับธรรมชาติ สวยสะพรั่งด้วยไม้ประดับสีเขียวสด แต่งเติมเพิ่มเสน่ห์ด้วยน้ำพุ อ่างบัว และประติมากรรมรูปปั้นต่างๆ ตรงนี้ตรงนั้น ดูกลมกลืนงดงาม ด้านหลังร้านเล่นชานระเบียงลดหลั่น ตามเชิงลาดของชายเนิน ลงไปจนจรดลำธารใส 

กลิ่นดิน กลิ่นใบไม้ต้องฝน แกมกลิ่นน้ำลำธาร หอมซ่านเย็นเข้ามาในลมหายใจ ราวกับว่าลำธารสายนี้ไหลมาจากทางช้างเผือก 

ฟากฝั่งตรงข้ามด้านโน้น รายเรียงด้วยแมกไม้อันพร่างฉ่ำด้วยหยาดน้ำค้าง...

ฝนโปรยสายลงมาแล้ว ข้าฯ รีบบินไปหลบฝนใต้ชายคาร้านเบเกอรี่อันเงียบเหงา

สายตาข้าฯ มองลอดผ่านกระจกใสเข้าไปในร้านที่ตกแต่งสวยหวาน โทนสีขาวอบอุ่น ที่มีแซนด์วิซ เพสตรี้เค้ก คุกกี้ และขนมปังสไตล์ยุโรปมากมายบนชั้นวาง หากข้าฯ บินเข้าไปวนเวียนอยู่ภายในนั้น คงได้กลิ่นขนมปังหอมอบอวลไปหมด ข้าฯ เหลือบเห็นหญิงสาว ผมยาวประบ่าคนหนึ่ง รูปร่างทรวดทรงงามยังกับนาฬิกาทรายแน่ะ หล่อนแต่งกายด้วยเสื้อแขนล้ำสีครีม กางเกงขาลีบสีเทา สวมกำไลเงินเก๋ไก๋ เสียงกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง หล่อนเดินมาทรุดกายนั่งที่โต๊ะกลมสีขาวริมหน้าต่าง ซึ่งวางถ้วยชารสราสเบอรี่หอมกรุ่น เคียงด้วยขนมปังสโคนเนื้อนุ่มในถาดหวายเล็กๆน่ารัก กลิ่นชารสราสเบอรี่ล่องลอยลอดออกมาทางหน้าต่างที่แง้มปิดไม่สนิทนัก 

สีหน้า ท่าทางหล่อน บ่งบอกว่าเบื่อหน่ายสายฝน ที่โปรยปรายลงมา ทำให้ร้านร้างลูกค้าในค่ำคืนวันหยุดอันเงียบเหงา 

และแล้วแสงวิบวับนอกหน้าต่าง ก็เรียกความสนใจจากหล่อน ดวงตากลมโต สีน้ำตาลจางคู่นั้น จ้องมองแป๋วมายังข้าฯ ฉายแววรื่นรมย์ 
อากัปกิริยาที่หล่อนแสดงท่าทีสนใจ ยิ่งทำให้ข้าฯ ได้ใจ กะพริบแสงถี่ขึ้น วาววามขึ้น ข้าฯกระพือปีกบินวนร่ายรำอวดแสงสวยอยู่นอกร้าน ท่านกลางละอองฝนปรนปราย

สาวน้อยอมยิ้มแก้มตุ่ย ยกถ้วยชาขึ้นจิบ แล้วหยิบปากและไดอารี่สีชมพู บนโต๊ะมาเขียนบันทึกอะไรสักอย่าง ข้าฯชะเง้อมอง แต่ก็ไม่เห็นว่าหล่อนกำลังเขียนอะไร และ คิดอะไรอยู่ ทำไมหล่อนจึงชำเลืองมองมาที่ข้าฯ บ่อยๆนะ หรือว่าหล่อนสนใจหิ่งห้อยน้อยเข้าแล้ว 

ใจเย็นสักหน่อยเถอะ...ช่วงที่หล่อนเผลอ ข้าฯ จะหาทางแอบเข้าไปอ่านข้อความในสมุดไดอารี่เล่มนั้นให้จงได้

ใกล้สองทุ่ม ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกง่ายๆ ... 

 เข้าไปหลบฝนในร้านเจ้าหญิงขนมปังก่อนดีกว่านะ เมย์
ชายหนุ่มคนหนึ่ง ดึงแขนสาวน้อยเข้ามาในร้าน ผมเผ้าเสื้อผ้าเปียกฝนทั้งคู่ ข้าฯ ได้ยินแว่วๆ ว่า เข้ามาหลบฝนในร้านเจ้าหญิงขนมปัง อ้อ...ร้านเบเกอรี่แห่งนี้ ชื่อ ร้านเจ้าหญิงขนมปังนี่เอง 

 เอ...ทำไมเจ้าหญิงถึงแก้มยุ้ยจังนะ ข้าฯ คิด พลางไต่ไปหลบฝน อยู่ที่บานหน้าต่างกระจกใสที่ปิดกันฝน แต่ไม่สนิทนัก ผ้าม่านสีชมลายลูกไม้พรางร่างข้าฯ ไว้ 

บังเอิญเหลือเกิน หนุ่มสาวคู่นั้นเดินมานั่งโต๊ะริมหน้าต่างถัดจากโต๊ะที่เจ้าของร้านนั่งอยู่ ชายหนุ่มหยิบเมนูส่งให้หญิงสาว ข้าฯ ชักสงสัยว่า ทำไมมนุษย์ถึงเลือกนั่งโต๊ะริมหน้าต่างในร้านกาแฟหรือร้านไหนๆ

 ขอชาวานิลลา กับ แอปเปิ้ลครัมเบิ้ล แล้วป๋องล่ะ 
ฝ่ายหญิงเอ่ยขึ้น
 กาแฟร้อนแล้วกัน 

เขาหันไปบอกกับเจ้าของร้านสาวสวย
เจ้าหญิงขนมปัง ชำเลืองมองหาแสงวิบวับนอกหน้าต่าง ประหนึ่งกลัวว่าข้าฯ จะบินจากหล่อนไปอย่างนั้นแหละ เมื่อหล่อนมองเห็นข้าฯ หล่อนจึงหมุนกายกลับไปยังเคาน์เตอร์บาร์ 

แต่สองหนุ่มสาวไม่รู้ตัวหรอกว่า มีหิ่งห้อยหนุ่มเฝ้ามอง และแอบฟังคำสนทนาของพวกเขาอยู่ริมหน้าต่าง ข้าฯ อยากเรียนรู้ว่า หนุ่มสาวเขาใช้ภาษาดอกไม้จีบกันอย่างไร เผื่อว่าข้าฯ จะได้ลักจำไปจีบดาวสาวบนท้องฟ้าบ้างเท่านั้นเอง

.........................................
(โปรดติดตามตอนต่อไป)				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟละไมฝน
Lovings  ละไมฝน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงละไมฝน