12 กุมภาพันธ์ 2547 14:55 น.
ละอองน้ำ
นกตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือฉัน
ความตายไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับโลก
แต่บางความตายเป็นเรื่องใหม่สำหรับใครบางคน
ฉันกลบดินชื้นแฉะลงหลุมเล็กที่ร่างจ้อยหลับสนิท
ถ้าความรู้สึกยังวนเวียนอยู่ภายใต้ร่างสีเขียวเล็กๆนี่
ปีกทั้งสองคงสะท้านด้วยความชื้นเย็นของดินนั้น
ในที่ที่แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึง
ก็คงไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับดวงตาที่จะไม่มีวันลืมขึ้นมาอีกครั้ง
ฉันเคยคิดเสมอ
ความตายไม่ได้ลงโทษคนตาย
แม้หลายความผิดจะสาสมกับการริดรอนอิสรภาพชั่วชีวิต
แต่ความตาย
กลับลงโทษคนที่ยังอยู่
ความเจ็บปวดถูกทิ้งไว้ข้างหลังให้ใครต่อใครรับผิดชอบ
ราวกับว่าเป็นของที่ระลึกต่างหน้า
ฉันมองชีวิตเล็กๆที่เคยอยู่ด้วยกัน
ค่อยๆหายไปใต้เศษดิน
นับจากนี้ต่อไป
ฉันไม่ต้องคอยห่วงว่าตัวเองจะกลับช้าไปไหม
มันจะต้องแขวนท้องคอยไหม
จะบินไปตกอยู่ตรงไหนแล้วออกมาไม่ได้หรือเปล่า
และอีกสารพัด
ฉันเคยขับรถตุเลงๆไปมาระหว่างโรงพยาบาลสัตว์อยู่หลายรอบ
เคยพามันไปไหนต่อไหนเพราะไม่มีใครคนอื่นดูแล
เคยป้อนอาหารให้มันทุกๆสองชั่วโมงตั้งแต่มันยังกินเองไม่เป็น
ฉันไม่ต้องเหนื่อยทำอะไรพวกนี้อีกแล้ว
วันที่มันเริ่มบินได้
ฉันเข้าใจดี ว่าความรู้สึกของคำว่า..อิสระ..มีความหมายขนาดไหน แม้แต่กับตัวฉันเอง
แต่ฉันกลับเอาความรู้สึกที่แทนด้วยคำว่าห่วงใย
กลัวว่ามันจะหากินเองไม่ได้
กลัวนกตัวอื่นจะจิกตีเอา
กลัวมันจะไม่รอดชีวิต
มาผูกมัดมันเอาไว้
ทั้งที่เหตุผลของเหตุผลทั้งหมดที่ว่า ก็มีอยู่แค่
ฉันกลัวตัวเองเสียใจไม่สบายใจอยู่ข้างหลัง
คำว่ารักและห่วงใย บางที
มันก็เป็นแค่คำพูดกลบเกลื่อนคำว่าเห็นแก่ตัว...ดีๆนี่เอง
อะไรที่มันไม่เป็นไปแบบที่ต้องเป็น
อะไรที่มันไม่อยู่ในที่ที่ควรอยู่
มันก็มักอยู่ในสภาวะแบบนั้นไม่นานนัก
ถึงอยู่ได้นานก็มักไม่มีความสุข
บางสิ่งบางอย่าง
ปลดปล่อยเราออกจากกัน
มีคนบอกฉันว่า
การผัดผ่อน ในสิ่งที่ต้องเกิด โดยเฉพาะความตาย
มันก็ได้แค่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
ความตายอาจจะไม่มาเสียเวลาง่วนอยู่กับเราตลอด
แต่มันก็จะต้องกลับมาเหมือนการทวงถามสิ่งที่ตกหล่น
จะช้าจะเร็วเท่านั้น
ฉันมักจะหันไปมองที่ตรงนั้นทุกครั้งที่ผ่าน
มีคนถามฉันว่ามองอะไร
ฉันตอบว่าเปล่า
ถึงแม้จะรู้ดีว่า
มีความทรงจำหลับสนิทอยู่ตรงนั้น
22 ธันวาคม 2546 19:29 น.
ละอองน้ำ
ฉันเดินสวนผู้คนมากหน้าหลายตา
ด้วยอารมณ์ที่ไม่คิดจะใส่ใจอะไรรอบตัว
นึกถึงอยู่...แต่คนที่นอนอยู่บนตัวตึก
ฉันเดินผ่านผู้คนยิ้มแย้มที่สวนออกจากลิฟท์
เป็นน้องๆนักศึกษาพยาบาลที่ท่าทางร่าเริง
เมื่อไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุผลหลักของการมาที่ที่แห่งนี้
...ก็คง...ไม่เห็นต้องรู้สึกอะไร
เวลาที่ผ่านมาของเงื่อนปมที่ไม่ได้แก้
ปมที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง...
การไม่พูด...ไม่กล่าว
ไม่ได้ช่วยให้สิ่งที่มีอยู่...กลายเป็นไม่มี
เพียงแค่...ลืมลืมมันไปก็เท่านั้น
เวลาช่วยอะไรได้หลายอย่าง
แต่ปมบางปม...ไม่ได้คลายออกด้วยเหตุผลของเวลา
หากแต่...เหตุผลของการกระทำ
คนที่มักจะแก้ปมต่างๆเสมออย่างฉัน
กลับปล่อยปละละเลยสิ่งสำคัญให้ถูกทิ้ง
ด้วยเหตุผลที่มองความรู้สึกตัวเองเป็นสำคัญ
หลายปีก่อน
คำพูดของเพื่อนคนหนึ่ง...กระทบใจฉันอย่างแรง
วันที่เราต่างเด็กและเขลา
ฉันเจ็บแปลบทุกครั้งที่นึกถึง
ทั้งที่...คนที่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นก็คือตัวฉันเอง
ทั้งที่...มีเหตุผลดีดีให้เขา...ในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ
ผ่านมาประมาณห้าปี
ฉัน...ไม่ได้ลืม แต่ก็เหลือเพียงคำว่าติดใจ มากกว่าคำว่าเสียใจ
แต่นั่น...ก็ยังทำให้รู้สึกเจ็บจี๊ดเล็กๆในใจ
เราเจอกันด้วยความบังเอิญทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้
เวลา...ทำให้เขาเข้าใจ
และฉันก็เชื่อ...ว่าสิ่งเหล่านั้นก็ทำให้เขารู้สึกไม่ต่างกัน
หากความเด็กและเขลาในอดีต
ไม่ได้ทำให้เขาคนนี้เป็น..คนขลาด..ที่จะพูดถึงมัน
ความรู้สึกผิดที่ถ่ายทอดออกมาผ่านคำพูดธรรมดา
และท่าทางสงบเหมือนเรากำลังเล่าความหลังครั้งเด็กกันอยู่
จากวันนั้นถึงวันนี้
ฉันเหลือแค่...จำได้...ไม่มีติดใจหรือเสียใจใดใด
และคิดว่าเขา...ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน
วันนี้
ฉันได้ลองใช้ความกล้าหาญในตัวเองแบบที่เพื่อนคนนั้นได้ทำไว้
ไปทำสิ่งที่ควรจะทำมาเนิ่นนาน
บางที...การย่อต่ำ...เป็นวิธีที่แท้จริงที่ทำให้คนเราสูงขึ้น
ฉันวางมาลัยบนมือพ่อที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย
คุกเข่ากับพื้นและกราบแทบเท้าพ่อโดยไม่อายใครอื่นในห้อง
ขอขมา...ที่เคยมีทิฐิมาตลอด
พ่อน้ำตาซึม...แต่ฉันร้องไห้
ฉันไม่แน่ใจ...ว่าคนคนนี้จะอยู่กับฉันได้อีกนานแค่ไหน
แต่ฉันแน่ใจ...ว่าวันนี้...ตัวเองทำสิ่งที่ถูกแล้ว
บางสิ่งบางอย่าง...ก็ต้องใช้เวลาที่จะค้นหาและความกล้าที่จะแก้ไข
ถ้าถามฉันว่า...ความรู้สึกเจ็บปวดของเขานั้นมากแค่ไหน
ฉัน...รู้สึก...ด้วยความรู้สึกของตัวเองแล้ว
ก็คงมีแต่ความเจ็บปวดของตัวเองเท่านั้น...ที่ทำให้ได้เข้าใจความรู้สึกของคนอื่น
มีคนเล่านิทานก่อนนอน...ให้ฉันฟังว่า
นกตัวหนึ่ง...ได้เดินทางมาไกล
และเมื่ออยากหยุดพัก
น่าจะหยุดพักที่ตรงไหน
ระหว่างยอดหญ้า...กับ...กิ่งไผ่
หากเลือกยอดหญ้า
นก...ก็ต้องพยายามอย่างเหนื่อยหนักที่จะทรงตัวให้อยู่นิ่ง ผ่านลมแรงรอบข้าง
หากเป็นกิ่งไผ่
มันจะมั่นคงพอให้นกได้พัก...
ฉันรู้สึกว่า
ถึงเวลาแล้วที่นกตัวนี้...จะเดินทางกลับบ้านเสียที
16 ธันวาคม 2546 15:57 น.
ละอองน้ำ
เคยไหม...
ที่ต้องลืมตาขึ้นมา แล้วถามตัวเองว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
ในเมื่อ...
ลมหายใจ...เข้า-ออก...
เสียดแทงความรู้สึกของการมีชีวิตอยู่
เมื่อเดินไปตามถนนที่ทอดยาว
ไม่นึกอยากหันกลับไปมองว่าที่ผ่านมา...
มันคือชีวิตของใครกัน...
ความสูญเสีย...
ที่ถูกกลืนหายไปจากอารมณ์
และอารมณ์...
ถูกกลืนหายไปพร้อมกาลเวลา
และวันทุกวัน...
มีเพียง...ลมหายใจ...ที่บอกได้ว่ายังมีชีวิตอยู่
ความเคารพตัวเอง
ยับเยินอยู่ภายใต้รอยเท้าของใครต่อใคร
ราวยอดอ่อนของต้นกล้า...
ที่เหมือนว่า...
ไม่อาจจะฟื้นขึ้นมาใหม่
เสียงหัวเราะที่รายล้อมอยู่รอบข้าง
ทำราว
ตนเองไม่เคยสัมผัสแม้สักเสี้ยวของความทุกข์
และราว
ใช้สติปัญญาทั้งหมดที่มีของทั้งชีวิต
ก็ไม่มีวันจะได้เข้าใจ...
แต่มันก็ผ่านพ้นไปแล้ว
วันเวลา...
ฝนฟ้า...
แดดจ้า...
ทำให้ฉันเติบโต
จากต้นกล้า...
ก็ผลิใบ...
ฉันไม่ได้ตาย
เพราะการเหยียบย่ำของฝ่าเท้าใคร
ปีผ่านปี
คำว่าอิสระและโลกกว้าง
ปลดปล่อยฉันออกจากความกลัว
จากความเศร้า...
...และความโหดร้าย
ฉันเก็บเขี้ยวเล็บของตัวเอง
วันที่เห็นว่า
ดอกไม้และผีเสื้อ
ก็ยังคงเป็นมิตร
เมื่อวันเหล่านี้ผ่านเข้ามา...
มันก็ผ่านไป...พร้อมการมาเยือนของใครสักคน
คนที่มองเห็นโลก เป็นโลกของคนสกปรกทั้งโลก
และ...เป็นธรรมดาสามัญ...
วันที่ทำให้คนอื่นเจ็บปวด...
ก็มีความสุขกับชัยชนะของตัวเอง
แต่วันที่ตัวเองเจ็บปวด...
ก็ราว
หมาบ้า...ไล่ล่าใครต่อใคร
ชดเชย...ความรู้สึกสูญเสีย...เจ็บใจ...ถูกหลอก...ของตัวเอง
ทั้งที่มันก็เป็นสิ่งเดียวกัน...ที่ทำ...ที่ถูกกระทำ
วันหนึ่ง...เรามาเจอกัน...
วันที่ฉันเหนื่อยล้า...
ที่ต้องพาตัวเองผ่านอะไรต่อมิอะไรมาโดยลำพัง
ฉันหันหลังให้...ปิดตาลงเสียครึ่ง...กับสิ่งที่เป็น
ด้วยเส้นที่ขีดไว้
หวังเพียง...น้ำใจไม่มาก
สักเศษเสี้ยวคำว่า...รัก...ก็ไม่เคยคิดจะเอ่ยขอ
เขากลับ
พยายามโค่นฉัน
เอาไปเป็นไม้ประดับ...สนองความพอใจของตัวเอง
ฉันเจ็บปวดจนนิ่งสนิท
เหมือนไม้ยืนต้นตาย
ผิดหวัง...ทั้งๆที่ไม่เคยคาดหวังด้วยซ้ำ
ราว...ถูกกรีดไปบนลำต้น ด้วยใบมีดแหลมคม
และถูกริดใบเล่น...เพียงเพื่อความบันเทิง
ฉันเจ็บปวดจนนิ่งสนิท
ความเย็นของฟ้าฝน...ก็ยังทำให้ฉันเติบโต
แสงแดดร้อนจัดจ้าของดวงอาทิตย์...ก็ยังทำให้ฉันหายใจ
แต่เขากลับพยายามตัดทุกสิ่งทุกอย่าง
...เพื่อฆ่าเวลา...
...เพื่อชดเชยความเจ็บปวดของตัวเอง...
...เพื่อประกาศให้ใครต่อใครยอมรับ...ว่าตัวเองเก่ง...ขนาดไหน...
ฉันเก็บกรีดความเกลียดชังลงผืนดิน
เพื่อว่า...
ความคิดอุบาทว์ๆของตัวเอง
จะไม่ย้อนไปทำอะไรใครต่อใคร...
จะได้ไม่เป็นเหมือนหมาบ้า...หาทางชดเชยความรู้สึกที่เสียไป...
หวังเพียงว่า...
แม่ธรณี...คงมีใจกว้างขวางรับของเสียๆที่มันถ่ายเทออกไปได้ทั้งหมด
เพื่อว่า...โลกจะมีพื้นที่สะอาดๆให้คนดีๆเขาได้เดินเหิน
แต่การยืนต้น
ปล่อยสายลมพัดพา ใบไม้
ปล่อยแสงแดด...สายน้ำ...ให้ชีวิต
กลับทำให้
ใครบางคน...อยากให้มันได้สาแก่ใจ...
จึงเหยียบย่ำ
...ให้เจ็บ...ให้อาย
โดยไม่เห็น...ไม่รับรู้
ว่าเจ้าของที่แท้จริง
เขาคอยดูแลอยู่ห่างๆ
ไม่เคยรับรู้
คำเตือน...
และไม่เคยเข้าใจ
ว่าสิ่งที่ตาเห็น...ไม่ใช่ทั้งหมดของสิ่งที่เรียกว่า...มีอยู่
ทั้งที่...อากาศ...
ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่มองเห็น
ฉัน...เคยให้ร่มเงากับนกสองสามตัว
สิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เรียงรายผ่านมา
หมาอีกตัวสองตัว...ที่ถูกเจ้าของทอดทิ้ง
ฉันจะให้...รอยแผล...ได้จารึกเป็นอีกเรื่องหนึ่งในชีวิต...ที่ผ่านมา
และให้ความรู้สึกดี...ที่สูญไป...เป็นทาน
เพื่อว่า...ผู้ชายสักคนในโลกนี้จะรู้สึกว่าตัวเองสูงส่งขึ้น
ด้วยการเหยียบฉันขึ้นไป
ฉัน...ไม่ได้อยากปกป้องผู้ชายหน้าไหน...
แต่คำว่า...ผู้ชาย...ในแบบของใครบางคน
...ปกป้อง...คนอย่างฉันไม่ได้...ก็เท่านั้นเอง
12 ธันวาคม 2546 19:11 น.
ละอองน้ำ
สองวัน...
เหลือเวลาอีกแค่สองวัน...สำหรับ...การรอคอยอันยาวนานราวครึ่งปี
ความคิด...พาตัวเองบินสูงและลงต่ำอยู่หลายคราว
บางคราว...ราวดุ่มเดินลุยเลนหาย
บ้างก็...ราวโผล่พ้นผืนผิวน้ำ
ฟ้า...ถูกมองจากด้านบน
ดิน...ถูกมองจากด้านล่าง
เสียงกรวดทรายกลิ้งเกลื่อนกลาด...ไม่ตั้งใจ...แต่ได้ยิน
เสียงคนนับสิบโกลาหลรอบกาย...ความคิด...กลับเงียบสนิท
ลมหายใจ...ไม่เคยถามนายมันว่าต้องทำงานจนถึงเมื่อไหร่
แต่นายมัน...กับนั่งนับลมหายใจ...ราว...พรุ่งนี้เราจะไม่ได้เจอกัน
ตัวเลขนับถอยหลังตามสัญญาณไฟอาจผ่อนคลายให้คนขับรถ
แต่เวลาที่นับถอยหลัง...กลับกระตุ้นความรู้สึกของคนที่ต้องรอ
แต่ฉันก็เหลืออีกแค่สองวัน...
ฉันขลุกตัวอยู่กับเรื่องราว...ของอดีต
เพื่อว่า...หากรายละเอียดจะต้องถูกลบเลือน...นั่นก็เพราะ...
การย่ำซ้ำๆกลบรอยเก่าด้วยรอยเท้าของตัวเอง
ใครต่อใคร...ที่ผ่านเข้ามา...รับคำขอบคุณและคำกล่าวที่ว่า
...ฉันทำเองได้...
การรอคอย...
เป็นทั้งเรื่องยากและง่ายสำหรับฉัน
เพราะชีวิต...มักมีเรื่องให้รอคอยเสมอ...ทั้งทำให้ใครรอ...และรอใคร
วันเวลา...อาจเดินช้าลง...ช้าลง...จนแม้ห้วงหนึ่งของลมหายใจ...
ก็ดูจะยาวนานเหลือเกิน
ฉันรับปาก...ที่จะรอ...นับเดือน...เพื่อเวลา...นับปี
เพื่อว่า...ใครสักคน...จะไม่หล่นหายไปจากความรู้สึกเสียเฉยๆ
อย่างที่แล้วๆมา...
เส้นบางๆของขอบเขตเวลา...อยู่ไม่ไกล
และเวลาที่คนเราทบทวนทุกเรื่องจริงจัง...ก็มักในนาทีสุดท้ายนั้น
ฉันนิ่งงันกับสองวันที่ไม่เต็มดีนัก
แค่ไม่ถึงสองวันเท่านั้น
แต่กระนั้น...ฉันก็ไม่เคยถาม...ว่าทำไม...ฉันถึงต้องรอ
เพราะบางสิ่งบางอย่าง
ก็ตอบไม่ได้...ในวันที่เรา...
...ยังไม่ควรได้รู้...
28 พฤศจิกายน 2546 17:56 น.
ละอองน้ำ
ไอเย็นบาง...ของลมหนาว
แทรกผ่านแดดอุ่นๆ...มาเยือน
ม่านปลิว...ทักทายสายลมและโมบาย
ฉันเดินออกไปรับลมเช่นเคย
แว่บหนึ่งของความรู้สึก
...ผ่านเข้ามา...
............................
ความรู้สึกของใครต่อใคร
อาจล่องลอยอยู่ในอากาศ
ความรู้สึกที่...บางครั้ง
ตลอดสิบกว่าชั่วโมงของการลืมตา
คือ...การไม่รู้
และเพียงชั่วขณะของการหลับ
หรือปลอดความคิด
คือ...การรับ
ความรู้สึก...
ที่ไม่ได้เกิดโดยการทำให้ใครต่อใครรู้สึก
ความรู้สึก...
ที่ไม่ได้ตระหนัก
ซึ่ง...
อาจแอบเดินทางไปไหนต่อไหน
ยามเผลอ...
และบังเอิญ
...ไปถึงผู้รับ
ขณะหนึ่ง
ฉันเคยรู้สึกถึงความรัก
...ที่ไม่มีคนรัก...
และนั่น
พลอยสร้างคำถามให้คนรอบข้าง
มีคนหนึ่งพูดว่า
จะใคร...หรืออะไรก็ตามที
ถ้ารู้สึกรัก...ก็รักไปเถอะ
การเดินฝ่าคนหมู่มาก
อาจไม่ทำให้รู้สึกอะไร
เพราะบางความรู้สึก
ไม่เกี่ยวกับมีหรือไม่มีที่ตาเห็น
แต่...
เกี่ยวกับการมีหรือไม่มี
...ในความรู้สึกนั้น...
...ความรู้สึกของใครต่อใคร
อาจล่องลอยอยู่ในอากาศ...
...ความรู้สึกของฉัน...
...ก็เช่นเดียวกัน...