24 ตุลาคม 2550 20:53 น.

จดหมาย

ฤทธิ์ ศรีดวง

ทุกครั้งที่ผมผ่านสถานีรถไฟฟ้านานา ภาพเก่าๆมักจะผุดขึ้นมาเสมอ  

เมื่อเกือบสิบปีก่อน ตอนที่ผมดูแลงานก่อสร้างที่นั่น ผมยังจำหน้าแกได้ แม้จะลืมชื่อไปแล้ว รู้แต่ว่าแกเป็นคนเหนือ อายุคงราวสี่สิบกว่าๆ แกเป็นช่างก่อฉาบฝีมือดี ชุดเสื้อแขนยาว โพกผ้า เหงื่อไหลเป็นน้ำ ด้วยความเหนื่อย 
เหนื่อยก็พักได้นะป้า ผมบอกแก
ไม่เป็นไร ป้าไหว ขอพักหายใจแป๊บเดียว 
ผมอาจโชคดี ที่ได้คนงานขยัน ไม่อู้งาน แกก็เหมือนคนงานอีกหลายๆคน ที่ผมรู้สึกผูกพัน เหมือนเป็นครอบครัว มากกว่าที่จะรู้สึกว่าเป็นเจ้านาย
  
วันหนึ่งป้าแกเดินมาหาผม
นายช่าง ป้าอยากจะลาออกแล้ว
อ้าวทำไมล่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ผมตกใจจริงๆ
เปล่า ป้าพอเก็บเงินได้นิดหน่อย สิ้นเดือนนี้ป้าก็จะออกแล้ว รู้สึกเหนื่อย ทำงานไม่ค่อยไหว นี่ว่าจะกลับไปเลี้ยงกบขายที่บ้าน แต่ไม่รู้จะทำยังไง นายช่างช่วยป้าหน่อยซิ 
ผมคิดอยู่นิดหนึ่งจึงบอกแกไป
ที่เกษตรศาสตร์ น่าจะมีข้อมูลนะ ป้าลองไปหาดูซิ
ป้าไม่ค่อยรู้จักกรุงเทพ มันไปยังไงก็ไม่รู้ แล้วต้องติดต่อใคร ป้าทำไม่เป็น
เสียงใสซื่อพอที่จะทำให้ผมใจอ่อน
งั้น ผมจัดการให้แล้วกัน
ขอบคุณนายช่างมากนะ แววตาแกเป็นประกายอย่างคนมีความหวัง

ปัญหาคงตกที่ผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมตัดสินใจเรียกโฟร์แมนลูกน้องทั้งสองคนเข้ามาคุย  ขอร้องให้ช่วยไปหาข้อมูลให้ป้าแกหน่อย 
นายช่าง อย่าไปสนใจเลย พวกคนงานก็เรื่องมากอย่างนี้แหละ เดี๋ยวก็ลืม
เดี่ยวก็ลืม แต่ผมไม่ลืมซิครับ มันติดค้างอยู่ในใจ 
ตกลงผมต้องลางานไปเอง รถติดมาก ตอนนั้นยังไม่มีรถไฟฟ้าใต้ดิน (ก็บนดินยังสร้างไม่เสร็จเลยนี่นา)  ซื้อม้วนวีดีโอไปให้เขาอัดให้   เขาบอกให้ไปรับอีกหนึ่งสัปดาห์ พอได้ทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็รีบเอาไปให้แก   แกดีใจมาก  เฮ้อ..เสร็จสิ้นภารกิจเสียที ไม่ควรรับปากคนง่ายๆเลย

  ป้าแกลาออกไปแล้ว เช่นกันกับผมที่ลืมรื่องนี้ไปแล้ว หลายเดือนต่อมา ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง อ่านไม่ค่อยออก พอจับใจความได้ว่า ตอนนี้ป้าไปเลี้ยงกบที่บ้าน ทำตามม้วนวีดีโอ ได้ผลดีมาก กำลังจะจับไปขาย ป้าดีใจจนบอกไม่ถูก ขอบคุณนายช่างจริงๆ ถ้าว่างก็มาเที่ยวบ้านป้าบ้างนะ แล้วแกก็ให้ที่อยู่ไว้

 จดหมายฉบับนั้นไม่อยู่แล้ว ผมไม่ได้เก็บเอาไว้ แต่สิ่งที่ผมเก็บไว้คือความทรงจำ    แววตาแห่งความสุขของแก  ป่านนี้แกคงมีความสุข ผมเองก็รู้สึกเป็นสุข เป็นความสุขเล็กๆที่ไม่ค่อยได้เกิดกับผมบ่อยนัก.				
14 ตุลาคม 2550 19:41 น.

เหมันต์ที่ผ่านพ้นไป

ฤทธิ์ ศรีดวง

นานแล้วที่นพดลไม่ได้ย่างกรายเข้ามาที่บ้านเก่าของเขาหลังนี้ ถ้าไม่บังเอิญว่ามีอะไรบางอย่างสะกิดใจเข้า ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ที่แน่ๆสิ่งนั้นมันอยู่ในบ้านหลังนี้แน่นอน 

 พี่สาวของเขาอยู่ที่นี่ สภาพบ้านถูกปรับปรุงจนดูใหม่ผิดตา พี่บอกว่าห้องของเขายังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีใครแตะต้องอะไร นอกจากทำความสะอาดให้เดือนละครั้ง เขานึกขอบคุณพี่ที่ยังจำเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เขาขอไว้ได้ แม้ว่ามันผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม 

  อ้าวนพ หมอให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ พี่สาวเขาถามขึ้น เขาสูญเสียความทรงจำไปจากอุบัติเหตุ 

  ครับพี่ หมอบอกว่าดีขึ้นมากแล้ว ให้กลับไปพักที่บ้านได้ วันจันทร์หน้าผมจะกลับไปทำงานแล้ว เขาคุยกับพี่และหลานๆพักใหญ่ก็ขอตัวไปดูห้อง

 ในห้องของเขายังดูคุ้นตามาก เหมือนนั่งเครื่องย้อนเวลากลับสู่อดีต ตอนนั้นเขาคงอายุ 19 ปี 

 เตียงนอนไม้ลังยังอยู่ที่เดิม ผ้าห่มปะๆที่แม่เย็บให้ก็ยังอยู่ โต๊ะทำงาน ตู้หนังสือ เขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวเก่าที่เขาเคยนั่งอ่านหนังสือเพื่อสอบเอ็นทรานซ์ วิทยุอยู่บนชั้นหนังสือ มีเทปเพลงเก่าๆ อยู่ใกล้ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาได้ดูหนังจากดีวีดีเรื่องแฟนฉันเมื่อวานนี้ เขาคงไม่กลับมา กลับมาเพื่อทำอะไรบางอย่างที่ยังค้างอยู่ให้จบ บางทีเขาอาจจะได้รู้ว่าเหรียญรูปใบไม้ที่คล้องคอเขาอยู่ตลอดเวลามันมาจากไหน

 นพหยิบเทปเพลงม้วนหนึ่งมาเปิด หวังว่ามันยังไม่เสีย เสียงดนตรีเริ่มดังขึ้น ชายหนุ่มขนลุกซู่ นี่ไงสิ่งที่ยังอยู่ในบ้านหลังนี้ เขาไม่ได้ยินเพลงนี้มาเกือบสิบปีแล้ว เหมันต์ที่ผ่านพ้นไป ของสุชาติ ชวางกูร 

  เขาเปิดหน้าต่างออกรับลมหนาว ฟ้าจวนค่ำแล้ว เสียงเพลงนั้นทำให้ภาพความทรงจำอันเลือนลางค่อยๆปรากฏชัดขึ้น

 วันนั้นในฤดูหนาวแต่ฝนตกหนักมาก ตอนนั้นเขาอยู่ ม.5 เขาอยู่ในชุดนักเรียน ยืนหลบฝนรอรถสองแถวอยู่ในศาลา แล้วก็เห็นนักเรียนหญิงคนหนึ่งวิ่งฝ่าฝนมาที่ศาลา  

  ตกมาได้ นี่มันหน้าหนาวนะ เธอบ่นอุบ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้าตาที่เปียกมะล่อกมะแลก เธออยู่คนละโรงเรียนกับเขา เขามองดูเธอที่กำลังเช็ดผม เธอหันหน้ามามองเขา

  หัวเราะอะไร ไม่เคยเห็นคนเปียกฝนหรือไง

  เด็กหนุ่มหุบยิ้ม นพ ครับ เราชื่อนพอยู่ ม.5 แล้วเธอล่ะ

  จะรู้ไปทำไม จะจีบหรือไง

 อ้าวซวยเลย  เขาอึ้งไปชั่วขณะ 

ฝนหายแล้ว รถสองแถวจอดรออยู่ข้างหน้า เขาก้าวขึ้นรถ เธอก้าวตาม ทันใดนั้นเธอก็ลื่นถลาเขาคว้าข้อมือเธอไว้ได้ทัน แปลกมากที่เขารู้สึกคุ้นๆกับผู้หญิงคนนี้มากเหมือนเคยเจอมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก 

  ขอบคุณนะ  เธอเริ่มเป็นมิตรขึ้น เราชื่อเอ อยู่ม.5 เหมือนกัน

 อ้าวบอกชื่อ ไม่กลัวถูกจีบหรือไง เธอยิ้มและส่ายศีรษะ 

  รถที่มีผู้โดยสารเพียงสองคนวิ่งมาได้ราวสองกิโล ไม่มีฝนเลยสักนิด ถนนแห้งสนิท แต่ลมกลับพัดแรงหนาวมาก นพหยิบเสื้อกันหนาวจากกระเป๋ามาใส่ เอนั่งกอดอกอยู่ข้างหน้า เธอเริ่มสั่น ดึงเสื้อกันหนาวออกมาจากกระเป๋าได้หน่อยเดียวก็เก็บเข้าไป เสื้อมันเปียกฝน เขาคงเลี่ยงบทพระเอกไม่พ้น เด็กหนุ่มถอดเสื้อให้เธอ 

  เธอไม่หนาวเหรอ

 หนาวแต่น้อยกว่าลูกแมวตกน้ำหน่อย เอรับเสื้อมาใส่อย่างว่าง่าย

 เอ ติดหนี้ นพสองครั้งแล้วนะวันนี้ ดูเธออาการดีขึ้น ขณะที่นพนั่งมือเย็นเฉียบ

 เอให้จีบ เอาเปล่า เธอยิ้มให้เขา ช่างมีอารมณ์ขัน เด็กหนุ่มส่ายหัว เป็นเพื่อนกันเถอะ

 รถสองแถวยังวิ่งต่อไป คนขับเปิดเพลง เหมันต์ที่ผ่านพ้นไป  คลอไปตลอดทาง
  เช้าวันใหม่ อากาศแจ่มใส นพมายืนรอรถที่เดิม เห็นเอยืนยิ้มแป้นอยู่ในศาลา

  เอเอาเสื้อมาคืน เขารับเสื้อกลับมา มันดูสะอาดและหอม

  เอซักให้ใหม่ เห็นไหมน่าใส่ขึ้นตั้งเยอะ เขาขอบคุณเธออีกครั้ง

  ทำไมเมื่อก่อนเราไม่เคยเจอกัน  

  เมื่อก่อน คุณพ่อขับรถไปส่งเอที่โรงเรียน บังเอิญเมื่อวานรถเสีย พ่อจะไปเอารถเย็นนี้ พรุ่งนี้คงไม่ได้มาขึ้นรถที่นี่

  เด็กหนุ่มพยักหน้า พ่อเอทำงานแถวนี้เหรอ

  ใช่..คุณพ่ออยู่บริษัทฝรั่ง ไม่แน่นะปีหน้าพ่ออาจจะได้ไปประจำที่เบลเยี่ยม เราอาจต้องย้ายตาม ทั้งสองก้าวขึ้นไปนั่งรถสองแถวที่มีผู้โดยสารไม่กี่คน ย้ายไปเรียนต่อเหรอ

  ใช่จ๊ะ..ไปเรียนต่อ

   พอดีรถถึงโรงเรียน เอลงรถ จ่ายค่าโดยสารแล้วหันมาโบกมือให้เขาแล้วเดินเข้าโรงเรียนไปอย่างมีความสุข เขาต้องนั่งรถต่อไปอีกเกือบ 2 กิโลจึงจะถึงโรงเรียนเขา 

   จากวันนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย......
.............................................................................................................................................................................................................................. 
   แล้ววันปิดเทอมก็มาถึง ปีนี้นพอยู่ ม.6 แล้ว ปีหน้าจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ในช่วงวันปิดเทอมเขากลับอยู่ที่บ้านตา อ่านหนังสือเตรียมสอบ 

 ที่บ้านตาตอนนั้นยังมีอาชีพเลี้ยงปลาสลิด พื้นที่เกือบทั้งตำบลเปลี่ยนจากอาชีพทำนามาขุดบ่อเลี้ยงปลากันหมด พื้นที่ที่ยังดูไกลปืนเที่ยง แม้จะอยู่ห่างจากกรุงเทพเพียงสิบกว่ากิโลเท่านั้น 

  วันนี้ที่บ้านตาวิดบ่อปลา ที่จริงเขาสูบน้ำออกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว น้ำมาแห้งตอนเช้าพอดี ผู้คนในหมู่บ้านมาช่วยกันลงแขกจับปลากันอย่างพร้อมเพรียง

 สำหรับนพแล้วนี่เป็นวันที่เขาสนุกและตื่นเต้นที่สุดวันหนึ่งที่ได้ลงไปลุยโคลนจับปลา  จับปลาเสร็จก็บ่ายแก่ๆ   กระโดดลงไปในคลองชลประทานหน้าบ้าน แหวกว่ายน้ำเล่นอย่างสนุกสนาน น้ำช่างสะอาดและเย็นชื่นใจนัก สองฝั่งคลองมีกอผักบุ้งยาวสุดหัวโค้ง

  กอผักบุ้งนั้นมักจะลอยมาตามน้ำ พอมาถึงหน้าบ้านใครเขาก็จะปักไม้ไผ่ยึดเอาไว้ ไม่ให้ลอยไปไหน เอาไว้เด็ดยอดแกงกิน เกือบถึงหัวโค้งมีศาลาท่าน้ำอยู่หลังหนึ่ง เขามักจะพายเรือไปนั่งเล่นที่นั่นประจำตั้งแต่ยังเด็ก

  คืนนี้แสงจันทร์สาดแสงเต็มฟ้า ไม่มีเมฆมาบดบัง จึงสว่างพอควร เขาหลบความวุ่นวายในบ้านออกมา

 พ่อค้าแม่ค้าที่มาซื้อปลายังคุยอยู่กับตาที่ในบ้านที่เปิดไฟสว่างไสว ชาวบ้านหลายคนยังนั่งจับกลุ่มดื่มเหล้า ปลาเพิ่งวิดไปบ่อเดียวเหลืออีกหนึ่งบ่อที่น้ำคงจะแห้งพรุ่งนี้ เขาไม่รู้ว่าจะมีแรงไปช่วยจับปลาหรือเปล่า เมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้ว  

 ลงเรือพายเรื่อยๆไปอย่างสบายใจ ลมเย็นพัดมาระลอกน้ำเป็นคลื่นเล็กๆ เขาเก็บพายจอดเรือใกล้ๆกับศาลาริมน้ำหลังนั้น ทอดตัวลงนอนในเรือดูดวงจันทร์ ปล่อยใจล่องลอย เหลือบมองศาลาที่ดูเก่าลงไปมากไม่เหมือนเมื่อ 7 ปี่ที่แล้ว  

 ตอนนั้นคุณนายสมใจแม่ค้าปลารายใหญ่มาซื้อที่ปลูกบ้านที่นี่ แล้วปลูกศาลาไว้ริมน้ำ มันสวยมาก เขายังพายเรือมาดูบ่อยๆ แต่ไม่กล้าขึ้นไปนั่งเล่น เห็นคุณนายกับหลานสาวตัวเล็กของแกชอบมานั่งเล่นเป็นประจำ

  จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง คุณนายไม่อยู่บ้าน หลานสาวแกแอบลงไปว่ายน้ำในคลอง ใส่ห่วงยางลอยคออยู่ริมตลิ่ง พอเริ่มได้ใจก็ค่อยๆออกไปกลางคลอง แล้วถูกคลื่นจากเรือหางยาวซัดจนห่วงยางหลุด กำลังจะจมน้ำ นพในวัยเด็กพายเรือมาพอดี กระโดดลงไปช่วยไว้ได้ทัน

 เขาจำได้ว่าตอนที่เด็กผู้หญิงคนนั้นฟื้นขึ้นมาเธอขอร้องไม่ให้เขาบอกคุณนายว่าเธอแอบมาเล่นน้ำ แล้วเธอก็ให้เหรียญรูปใบไม้เขาไว้อันหนึ่ง ซึ่งปกติเธอจะห้อยคอไว้ตลอดเวลา 

  เด็กหนุ่มผงกศีรษะขึ้น ได้ยินเสียงคนตีน้ำที่ศาลา ปลุกให้ตื่นจากภวังค์ มือยังจับเหรียญรูปใบไม้ที่ห้อยคออยู่ เก็บเข้าไปในเสื้อแล้วลุกขึ้นนั่งมองไปที่ต้นเสียง เห็นคนนั่งห้อยขาอยู่ที่บันไดเอาเท้าแกว่งน้ำเล่น 

  เอ! เขาพูดเหมือนอุทาน มันแผ่วเบาเกินกว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน หัวใจเขาเต้นระทึก ดีใจเหมือนคนเจอของที่ทำหายมานาน 

  เอ! เสียงเรียกครั้งนี้ดังพอที่จะทำให้เด็กสาวหยุดแกว่งขาในน้ำแล้วหันกลับมามอง แล้วเธอก็ทำตาโต

  นพ..นพ จริงๆด้วย มาได้ไง เด็กหนุ่มรีบพายเรือเข้าไปจนชิดบันไดท่าน้ำ อ้าวแล้วเอล่ะมาทำอะไรแถวนี้

 เราตามน้ามาเที่ยว...น้าสมใจแกมาซื้อปลาที่บ้านลุงแสง แล้วแกก็จะมาพักที่นี่ทุกปีนั่นแหละ เขาใจหาย..เธอเป็นหลานสาวคุณนายสมใจหรือนี่ เผลอกำเหรียญในอกเสื้อ

  เอเคยมาครั้งสุดท้ายเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังเด็กอยู่เลย น้าไม่อยู่ก็เลยแอบเล่นน้ำ เกือบจมน้ำตายแน่ะ ดีนะมีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มาช่วยไว้ ไม่งั้นป่านนี้คงไม่ได้มานั่งคุยกับนพแบบนี้หรอก

  แล้วเจอเด็กคนนั้นอีกหรือเปล่า สาวน้อยทำท่าคิดนิดหนึ่ง ไม่เจอเลย..ก็คงไม่เจอหรอก ก็เอไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลยนี่ ตอนนั้นเอกลัวน้ำไปเลย คุณพ่อเลยบังคับให้หัดว่ายน้ำ หัดอยู่เกือบปี..แหมก็คนมันกลัวนี่ แต่พอว่ายน้ำเป็นมันก็เลยไม่กลัวน้ำ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้ามานั่งเอาขาแกว่งน้ำเล่นแบบนี้หรอก

 นพยิ้มเล็กๆคิดในใจ เธอคงไม่ใส่ใจไอ้เด็กคนนั้นจริงๆ

  เออ.. แล้วนพมาทำอะไรแถวนี้ มาซื้อปลาเหรอ

  เปล่า เราไม่ได้มาซื้อปลา เราเป็นหลานตาแสง นี่มันช่วงปิดเทอม เราชอบมาอยู่ที่นี่มันเงียบดี ได้อ่านหนังสือเตรียมสอบด้วย

  ดีจังนะ...เออนี่..พาเอนั่งเรือเที่ยวหน่อยซิ 

  กลางคืนอย่างนี้นี่นะ.....เดี๋ยวน้ารู้ก็ดุเอาหรอก

  น้าสมใจไม่อยู่....แกไปคุยกับลุงแสง กว่าจะกลับคงอีกนาน.....น่า..นะ พายเรือพาเอเที่ยวหน่อยซิ  เกิดมายังไม่เคยนั่งเรือพายเลย 

  เขาแพ้ลูกอ้อน
ทั้งคู่ล่องเรือไปลำคลองท่ามกลางแสงจันทร์  เล่าให้ฟังหน่อยซิว่าเอหายไปไหนมา 

   เปล่า..เราก็อยู่ที่โรงเรียนตลอด ก็มีพ่อพาไปเบลเยี่ยมสองครั้ง เขามองหน้าสาวน้อยที่คอยแต่เอามือแกว่งน้ำเล่น แล้วที่นั่นน่าอยู่ไหม

  เธอหยุดแกว่งน้ำ นั่งชันเข่ามองไปนอกเรือ  ก็น่าอยู่ แต่เอไม่อยากไป เขาลอยเรือนิ่งปล่อยให้มันไหลไปตามกระแสน้ำ 

   เอ..เราออกมาไกลแล้ว กลับกันเถอะ..เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเราจะมารับไปพายเรือเล่นกันใหม่  เด็กสาวพยักหน้าอย่างว่าง่าย นพหันหัวเรือกลับมุ่งไปบ้านริมน้ำ

   แล้วอย่าลืมพรุ่งนี้นะ..เอจะรอ เสียงเธอตะโกนไล่หลังนพที่พายเรือห่างออกไปจากบ้านริมน้ำทุกทีทุกทีจนลับตา 

  สาวน้อยยืนอยู่ริมท่าน้ำ น้ายังไม่กลับมา แสงจันทร์ส่องสว่างเต็มฟ้า  เธอพนมมืออธิษฐานขอให้ได้พบคนที่เคยช่วยชีวิตเธออีกครั้ง  เธอไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงขอแบบนี้ทุกที
..
    อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา

   เช้าวันนั้นอากาศแจ่มใส เด็กหนุ่มยืนรอรถสองแถวอยู่ในศาลา วันนี้เปิดเทอมวันแรกที่จะได้กลับไปเรียนหนังสือ นึกภาวนาในใจให้คนที่เขาอยากเจอมาขึ้นรถที่นี่ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปได้ยาก ป่านนี้พ่อเธอคงขับไปส่งที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว 

  รถสองแถวมาแล้ว มาจอดรอหน้าศาลาเหมือนเดิม บทเพลงเหมันต์เพลงเดิม สงสัยคนขับน่าจะมีเทปม้วนเดียว ..แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้จะได้เจอคนที่อยากเจอ แต่คงไม่ใช่วันนี้..คิดพลางเดินขึ้นรถ

นพ...รอด้วย เสียงที่เขารอดังไล่หลังมา..หัวใจพองโต  เขารีบคว้าขอมือสาวน้อย ไม่มีคำถามว่าทำไมเธอถึงมาขึ้นรถที่นี่...ทั้งคู่นั่งเคียงข้างกันไปตลอดทาง  

 วันเวลาผ่านไปเร็วราวติดปีก...จากวัน เป็นสัปดาห์..เธอยังคงมาขึ้นรถพร้อมเขา

  วันนี้ก็ยังคงเหมือนทุกวัน เขาเห็นเธอเดินยิ้มมาแต่ไกลตรงมาที่ศาลา แต่ใบหน้ากลับดูอิดโรย..เห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งไปประคอง.ทันใดร่างนั้นก็ล้มลง เขาอุ้มไว้ได้ทัน...

 เอ! อย่าเป็นอะไรนะ..ได้โปรดเถิด..ลืมตาได้ไหม...เขาอุ้มร่างนั้นวิ่งไปที่โรงพยาบาลที่ห่างออกไปเกือบ 1 กิโลเมตร ลืมความเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้ว่าพละกำลังมาจากไหน...ในใจนึกแต่เพียงว่าขอให้เธอปลอดภัยก็พอแล้ว...
 
 อากาศวันนี้ดูครึ้ม ลมพัดเอาใบไม้ร่วงลงเป็นทาง ใบไม้ใบหนึ่งปลิวมาถูกหน้าสาวน้อย เธอได้สติลืมตาขึ้น รู้สึกได้ว่ามีใครคนหนึ่งอุ้มเธออยู่ด้วยท่อนแขนที่แข็งแรง เหมือนของเด็กคนหนึ่งที่เคยช่วยเธอไม่ให้จมน้ำ ...

 กระดุมเสื้อของผู้อุ้มเปิดอ้าจากการวิ่ง สิ่งหนึ่งปรากฏขึ้น..เหรียญรูปใบไม้ที่เขาห้อยคอไว้..น้ำตาเธอไหลพรากอย่างไม่ตั้งใจ..ทั้งดีใจที่ได้พบคนที่เธอตามหามาแสนนาน..คนที่เหมือนจะตามช่วยชีวิตเธอตลอดเวลา และเป็นคนคนเดียวกับที่เธออยากให้เป็น  ทั้งเสียใจที่เธอจะอยู่กับเขาได้อีกไม่นาน...เธอหลับตาลงอีกครั้ง
  
  ค่ำแล้ว..เด็กหนุ่มยังนั่งอยู่นอกห้องพิเศษ มองผ่านช่องประตูกระจกเข้าไป เห็นเธอนั่งอยู่ที่ขอบเตียง หันมายิ้มให้เขาเป็นบางครั้ง แต่เป็นรอยยิ้มที่เศร้าจนรู้สึกสังหรณ์ใจว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้พบเธออีกแล้ว
 
 คุณพ่อกับคุณแม่ของเอนั่งคุยอะไรบางอย่างอยู่ในห้องนั้น มันเป็นสัญญาณที่เขาไม่ชอบเลย สักครู่หนึ่งผู้เป็นพ่อจึงเปิดประตูออกมานั่งใกล้ๆเขา

  นพใช่ไหม

 ใช่ครับ..ผมเป็นเพื่อนเอ...เอเป็นไงมั่งครับ 

  ชายวัยกลางคนไม่ตอบคำถามแต่กลับคุยเรื่องอื่นแทน  

 ฉันเป็นพ่อของเอ แกเล่าเรื่องของเธอให้ฟังเยอะมาก...ขอบใจเธอมากจริงๆที่ช่วยพาแกมาโรงพยาบาล...แกเป็นมะเร็งที่ลำไส้ เราเป็นห่วงกันมาก ไปผ่าตัดมาแล้วทีหนึ่ง..พอไปตรวจซ้ำหมอว่าเชื้อยังไม่หมด..คงต้องไปผ่าอีก...

 แต่เชื่อไหมว่าตั้งแต่แกได้พบกับเธอ แกอาการดีขึ้นตั้งเยอะ หมอที่เบลเยี่ยมยังแปลกใจ...ที่สำคัญคือเราต้องเดินทางวันนี้..ฉันบอกแกตั้งแต่เช้าแล้วว่าวันนี้ไม่ต้องออกไปพบเธอ แต่แกขอไว้..ก็เลยต้องปล่อย.. 
 
 แต่เอยังเรียนอยู่ที่นี่นะครับ...แล้วจะไปยังไง นพสงสัย..พ่อของเอหันมองหน้าหนุ่มน้อยนิดหนึ่ง แล้วหันกลับไปนั่งประสานมือ ตามองทะลุกระจกไปยังลูกสาว

  แกลาออกมาได้เกือบเดือนแล้ว...แต่ตอนเช้าแกก็ยังแต่งชุดนักเรียนทุกวัน...เพราะอะไรฉันคงไม่ต้องบอก  

  แกอยากคุยกับเธอ...เข้าไปซิ ทั้งพ่อและแม่ขอตัวออกไปด้านนอก ปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ตามลำพัง
  ..
เอต้องไปวันนี้เหรอ  นพถามขึ้น อีกฝ่ายก้มหน้านิ่งไม่มีคำตอบ

ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกนพ ........วันนี้เอเห็นเหรียญรูปใบไม้แล้ว.ทำไมนพไม่เล่าให้เอฟัง.

.เราไม่อยากให้เอรู้....มันไม่มีประโยชน์ 

เอไม่อยากไปเลย  เอกลัว กลัวว่าจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก.เอจะทำยังไงดี เธอปล่อยโฮออกมาสุดกลั้น

รถแล่นออกไปจากโรงพยาบาลแล้ว นพยืนมองจนลับตาในมือถือจดหมายที่เธอส่งให้ก่อนขึ้นรถ ด้วยความรู้สึกที่ว้าเหว่เกินบรรยาย...

แสงไฟสีส้มยังส่องให้แสงสว่างตามข้างถนน..

เขาเดินทอดน่องไปเรื่อยๆเหมือนคนไร้จุดหมาย พรุ่งนี้คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว 
  
เช้าวันใหม่เขานั่งรอรถอยู่ในศาลาเหมือนทุกวัน รถคันนั้นมาถึงแล้ว เขาเดินไปขึ้นรถและอดที่จะหันกลับมามองข้างหลังไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีใครวิ่งตามเขามาอีกแล้ว แม้ส่วนลึกๆยังหวังที่จะให้มีก็ตาม 

 เสียงเพลงเหมันต์บทนั้นยังก้องอยู่ในหูแม้ว่าเพลงจะจบไปแล้วเหมือนกับฤดูหนาวที่เพิ่งผ่านไป  เขาซื้อเทปเพลงนั้นมาเปิดฟังทุกวันเพื่อทบทวนและจดจำความรู้สึกนั้นไว้ 

ซองจดหมายสีน้ำตาลยังอยู่บนโต๊ะ ครบหนึ่งเดือนแล้วที่เธอจากไป และเป็นเวลาที่เธอขอไว้ก่อนให้เปิดอ่าน 

ถึงนพ
 ที่เอขอเวลาไว้หนึ่งเดือนถึงจะยอมให้นพเปิดอ่าน ก็เพื่อให้นพดูว่าความรู้สึกยังเหมือนเดิม หรือเปล่า บางทีนพอาจลืมจดหมายไปแล้วก็ได้ เอรู้ว่าเราทั้งคู่ยังเด็กเกินไป จนอ่อนไหวกันไปบ้าง สิ่งที่จะพิสูจน์ความมั่นคงได้คือเวลา สิบปีข้างหน้าเอจะกลับมาใหม่ มาพบนพที่เดิม วันเดิม ที่ที่เราพบกันครั้งแรก หากนพยังรอได้

คิดถึงนพเสมอ
เอ 
.
  ภาพอดีตจบไปพร้อมๆ บทเพลงเหมันต์ที่จบไปหลายรอบ 

 ความทรงจำหวนกลับคืนมา เขารู้แล้วว่าเขากลับมาทำอะไรที่นี่ เขาเดินไปที่หน้าต่าง ข้างนอกมืดแล้ว ลมหนาวพัดดอกอ้อเข้ามา 

 สิบปีแล้วสินะที่เธอจากไป ความรู้สึกของเขายังเหมือนวันนั้น เหมือนเธอเพิ่งจากไปเมื่อวาน  จากตรงนี้เขามองเห็นศาลาหลังนั้น มันทรุดโทรมไปมาก แสงไฟสีส้มที่ถนนดึงให้เขาคิดถึงวันนั้นอีกครั้ง  

 ใช่..พรุ่งนี้เป็นวันที่เธอจะกลับมา เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะมาจริงหรือเปล่า ป่านนี้เธออาจแต่งงานไปแล้ว อาจลืมจดหมายที่เขียนไว้ในตอนเด็กและอาจลืมเขาไปแล้วก็ได้   ไม่เหมือนเขาที่ไม่เคยลืมแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม 

 เขารู้สึกปวดแปลบที่ศีรษะ โชคดีที่อุบัติเหตุไม่ทำลายความทรงจำทั้งหมดของเขา.

 คืนนั้นเขานอนกอดจดหมายสีน้ำตาลที่กรอบแห้งทั้งคืน 

 รุ่งเช้า.. สายลมหนาวพัดมาเบาๆ ฟ้าครึ้มตั้งเค้าสักครู่ฝนก็เทลงมา บรรยากาศที่เหมือนย้อนเวลากลับไป 

 เขายืนอยู่ในศาลานั้นใจระทึกไม่รู้ว่าเธอจะมาหรือเปล่า กระทั่งรถสองแถวคันนั้นมาจอดเทียบ มันเก่าและยับเยินจนไม่น่าเชื่อว่ายังวิ่งได้ ไม่มีใครขึ้นอีกแล้ว
 
 รถคันนั้นค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป พร้อมกับเผยภาพอีกฝั่งตรงข้ามถนน

  หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เธอสวยเหลือเกิน วันเวลาไม่อาจทำร้ายเธอได้ รูปร่าง ทรงผมยังเหมือนเดิม เธอยืนถือร่มส่งยิ้มมาแต่ไกล น้ำตาเธอเอ่อขึ้นมาทันทีที่มองเห็นเขา นพเองก็ไม่ต่างกัน เธอเดินข้ามถนนมาที่ศาลา รอยยิ้มทั้งน้ำตานั้นแสดงถึงความสมหวังของคนที่รอคอยมาทั้งชีวิต 

นพ..จริงๆด้วย น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความปิติยินดี 

มิทันที่นพจะกล่าวอะไร เสียงมือถือก็ดังขึ้นเขารับสาย เสียงที่ลอดมาดังพอที่เอจะได้ยิน 

ไอ้แก่ หายหัวไปไหน กลับบ้านเดี๋ยวนี้ หนีเที่ยวอีกแล้วละซิ  เดือนที่แล้วแม่ฟาดจนสมองเสื่อมยังไม่เข็ดใช่ไหม กลับมาคราวนี้แม่จะฟาดให้สมองเสื่อมตลอดกาลเลย คอยดูซิ 				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฤทธิ์ ศรีดวง