24 ตุลาคม 2550 20:53 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ทุกครั้งที่ผมผ่านสถานีรถไฟฟ้านานา ภาพเก่าๆมักจะผุดขึ้นมาเสมอ
เมื่อเกือบสิบปีก่อน ตอนที่ผมดูแลงานก่อสร้างที่นั่น ผมยังจำหน้าแกได้ แม้จะลืมชื่อไปแล้ว รู้แต่ว่าแกเป็นคนเหนือ อายุคงราวสี่สิบกว่าๆ แกเป็นช่างก่อฉาบฝีมือดี ชุดเสื้อแขนยาว โพกผ้า เหงื่อไหลเป็นน้ำ ด้วยความเหนื่อย
เหนื่อยก็พักได้นะป้า ผมบอกแก
ไม่เป็นไร ป้าไหว ขอพักหายใจแป๊บเดียว
ผมอาจโชคดี ที่ได้คนงานขยัน ไม่อู้งาน แกก็เหมือนคนงานอีกหลายๆคน ที่ผมรู้สึกผูกพัน เหมือนเป็นครอบครัว มากกว่าที่จะรู้สึกว่าเป็นเจ้านาย
วันหนึ่งป้าแกเดินมาหาผม
นายช่าง ป้าอยากจะลาออกแล้ว
อ้าวทำไมล่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ผมตกใจจริงๆ
เปล่า ป้าพอเก็บเงินได้นิดหน่อย สิ้นเดือนนี้ป้าก็จะออกแล้ว รู้สึกเหนื่อย ทำงานไม่ค่อยไหว นี่ว่าจะกลับไปเลี้ยงกบขายที่บ้าน แต่ไม่รู้จะทำยังไง นายช่างช่วยป้าหน่อยซิ
ผมคิดอยู่นิดหนึ่งจึงบอกแกไป
ที่เกษตรศาสตร์ น่าจะมีข้อมูลนะ ป้าลองไปหาดูซิ
ป้าไม่ค่อยรู้จักกรุงเทพ มันไปยังไงก็ไม่รู้ แล้วต้องติดต่อใคร ป้าทำไม่เป็น
เสียงใสซื่อพอที่จะทำให้ผมใจอ่อน
งั้น ผมจัดการให้แล้วกัน
ขอบคุณนายช่างมากนะ แววตาแกเป็นประกายอย่างคนมีความหวัง
ปัญหาคงตกที่ผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมตัดสินใจเรียกโฟร์แมนลูกน้องทั้งสองคนเข้ามาคุย ขอร้องให้ช่วยไปหาข้อมูลให้ป้าแกหน่อย
นายช่าง อย่าไปสนใจเลย พวกคนงานก็เรื่องมากอย่างนี้แหละ เดี๋ยวก็ลืม
เดี่ยวก็ลืม แต่ผมไม่ลืมซิครับ มันติดค้างอยู่ในใจ
ตกลงผมต้องลางานไปเอง รถติดมาก ตอนนั้นยังไม่มีรถไฟฟ้าใต้ดิน (ก็บนดินยังสร้างไม่เสร็จเลยนี่นา) ซื้อม้วนวีดีโอไปให้เขาอัดให้ เขาบอกให้ไปรับอีกหนึ่งสัปดาห์ พอได้ทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็รีบเอาไปให้แก แกดีใจมาก เฮ้อ..เสร็จสิ้นภารกิจเสียที ไม่ควรรับปากคนง่ายๆเลย
ป้าแกลาออกไปแล้ว เช่นกันกับผมที่ลืมรื่องนี้ไปแล้ว หลายเดือนต่อมา ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง อ่านไม่ค่อยออก พอจับใจความได้ว่า ตอนนี้ป้าไปเลี้ยงกบที่บ้าน ทำตามม้วนวีดีโอ ได้ผลดีมาก กำลังจะจับไปขาย ป้าดีใจจนบอกไม่ถูก ขอบคุณนายช่างจริงๆ ถ้าว่างก็มาเที่ยวบ้านป้าบ้างนะ แล้วแกก็ให้ที่อยู่ไว้
จดหมายฉบับนั้นไม่อยู่แล้ว ผมไม่ได้เก็บเอาไว้ แต่สิ่งที่ผมเก็บไว้คือความทรงจำ แววตาแห่งความสุขของแก ป่านนี้แกคงมีความสุข ผมเองก็รู้สึกเป็นสุข เป็นความสุขเล็กๆที่ไม่ค่อยได้เกิดกับผมบ่อยนัก.
14 ตุลาคม 2550 19:41 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
นานแล้วที่นพดลไม่ได้ย่างกรายเข้ามาที่บ้านเก่าของเขาหลังนี้ ถ้าไม่บังเอิญว่ามีอะไรบางอย่างสะกิดใจเข้า ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ที่แน่ๆสิ่งนั้นมันอยู่ในบ้านหลังนี้แน่นอน
พี่สาวของเขาอยู่ที่นี่ สภาพบ้านถูกปรับปรุงจนดูใหม่ผิดตา พี่บอกว่าห้องของเขายังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีใครแตะต้องอะไร นอกจากทำความสะอาดให้เดือนละครั้ง เขานึกขอบคุณพี่ที่ยังจำเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เขาขอไว้ได้ แม้ว่ามันผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม
อ้าวนพ หมอให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ พี่สาวเขาถามขึ้น เขาสูญเสียความทรงจำไปจากอุบัติเหตุ
ครับพี่ หมอบอกว่าดีขึ้นมากแล้ว ให้กลับไปพักที่บ้านได้ วันจันทร์หน้าผมจะกลับไปทำงานแล้ว เขาคุยกับพี่และหลานๆพักใหญ่ก็ขอตัวไปดูห้อง
ในห้องของเขายังดูคุ้นตามาก เหมือนนั่งเครื่องย้อนเวลากลับสู่อดีต ตอนนั้นเขาคงอายุ 19 ปี
เตียงนอนไม้ลังยังอยู่ที่เดิม ผ้าห่มปะๆที่แม่เย็บให้ก็ยังอยู่ โต๊ะทำงาน ตู้หนังสือ เขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวเก่าที่เขาเคยนั่งอ่านหนังสือเพื่อสอบเอ็นทรานซ์ วิทยุอยู่บนชั้นหนังสือ มีเทปเพลงเก่าๆ อยู่ใกล้ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาได้ดูหนังจากดีวีดีเรื่องแฟนฉันเมื่อวานนี้ เขาคงไม่กลับมา กลับมาเพื่อทำอะไรบางอย่างที่ยังค้างอยู่ให้จบ บางทีเขาอาจจะได้รู้ว่าเหรียญรูปใบไม้ที่คล้องคอเขาอยู่ตลอดเวลามันมาจากไหน
นพหยิบเทปเพลงม้วนหนึ่งมาเปิด หวังว่ามันยังไม่เสีย เสียงดนตรีเริ่มดังขึ้น ชายหนุ่มขนลุกซู่ นี่ไงสิ่งที่ยังอยู่ในบ้านหลังนี้ เขาไม่ได้ยินเพลงนี้มาเกือบสิบปีแล้ว เหมันต์ที่ผ่านพ้นไป ของสุชาติ ชวางกูร
เขาเปิดหน้าต่างออกรับลมหนาว ฟ้าจวนค่ำแล้ว เสียงเพลงนั้นทำให้ภาพความทรงจำอันเลือนลางค่อยๆปรากฏชัดขึ้น
วันนั้นในฤดูหนาวแต่ฝนตกหนักมาก ตอนนั้นเขาอยู่ ม.5 เขาอยู่ในชุดนักเรียน ยืนหลบฝนรอรถสองแถวอยู่ในศาลา แล้วก็เห็นนักเรียนหญิงคนหนึ่งวิ่งฝ่าฝนมาที่ศาลา
ตกมาได้ นี่มันหน้าหนาวนะ เธอบ่นอุบ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้าตาที่เปียกมะล่อกมะแลก เธออยู่คนละโรงเรียนกับเขา เขามองดูเธอที่กำลังเช็ดผม เธอหันหน้ามามองเขา
หัวเราะอะไร ไม่เคยเห็นคนเปียกฝนหรือไง
เด็กหนุ่มหุบยิ้ม นพ ครับ เราชื่อนพอยู่ ม.5 แล้วเธอล่ะ
จะรู้ไปทำไม จะจีบหรือไง
อ้าวซวยเลย เขาอึ้งไปชั่วขณะ
ฝนหายแล้ว รถสองแถวจอดรออยู่ข้างหน้า เขาก้าวขึ้นรถ เธอก้าวตาม ทันใดนั้นเธอก็ลื่นถลาเขาคว้าข้อมือเธอไว้ได้ทัน แปลกมากที่เขารู้สึกคุ้นๆกับผู้หญิงคนนี้มากเหมือนเคยเจอมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก
ขอบคุณนะ เธอเริ่มเป็นมิตรขึ้น เราชื่อเอ อยู่ม.5 เหมือนกัน
อ้าวบอกชื่อ ไม่กลัวถูกจีบหรือไง เธอยิ้มและส่ายศีรษะ
รถที่มีผู้โดยสารเพียงสองคนวิ่งมาได้ราวสองกิโล ไม่มีฝนเลยสักนิด ถนนแห้งสนิท แต่ลมกลับพัดแรงหนาวมาก นพหยิบเสื้อกันหนาวจากกระเป๋ามาใส่ เอนั่งกอดอกอยู่ข้างหน้า เธอเริ่มสั่น ดึงเสื้อกันหนาวออกมาจากกระเป๋าได้หน่อยเดียวก็เก็บเข้าไป เสื้อมันเปียกฝน เขาคงเลี่ยงบทพระเอกไม่พ้น เด็กหนุ่มถอดเสื้อให้เธอ
เธอไม่หนาวเหรอ
หนาวแต่น้อยกว่าลูกแมวตกน้ำหน่อย เอรับเสื้อมาใส่อย่างว่าง่าย
เอ ติดหนี้ นพสองครั้งแล้วนะวันนี้ ดูเธออาการดีขึ้น ขณะที่นพนั่งมือเย็นเฉียบ
เอให้จีบ เอาเปล่า เธอยิ้มให้เขา ช่างมีอารมณ์ขัน เด็กหนุ่มส่ายหัว เป็นเพื่อนกันเถอะ
รถสองแถวยังวิ่งต่อไป คนขับเปิดเพลง เหมันต์ที่ผ่านพ้นไป คลอไปตลอดทาง
เช้าวันใหม่ อากาศแจ่มใส นพมายืนรอรถที่เดิม เห็นเอยืนยิ้มแป้นอยู่ในศาลา
เอเอาเสื้อมาคืน เขารับเสื้อกลับมา มันดูสะอาดและหอม
เอซักให้ใหม่ เห็นไหมน่าใส่ขึ้นตั้งเยอะ เขาขอบคุณเธออีกครั้ง
ทำไมเมื่อก่อนเราไม่เคยเจอกัน
เมื่อก่อน คุณพ่อขับรถไปส่งเอที่โรงเรียน บังเอิญเมื่อวานรถเสีย พ่อจะไปเอารถเย็นนี้ พรุ่งนี้คงไม่ได้มาขึ้นรถที่นี่
เด็กหนุ่มพยักหน้า พ่อเอทำงานแถวนี้เหรอ
ใช่..คุณพ่ออยู่บริษัทฝรั่ง ไม่แน่นะปีหน้าพ่ออาจจะได้ไปประจำที่เบลเยี่ยม เราอาจต้องย้ายตาม ทั้งสองก้าวขึ้นไปนั่งรถสองแถวที่มีผู้โดยสารไม่กี่คน ย้ายไปเรียนต่อเหรอ
ใช่จ๊ะ..ไปเรียนต่อ
พอดีรถถึงโรงเรียน เอลงรถ จ่ายค่าโดยสารแล้วหันมาโบกมือให้เขาแล้วเดินเข้าโรงเรียนไปอย่างมีความสุข เขาต้องนั่งรถต่อไปอีกเกือบ 2 กิโลจึงจะถึงโรงเรียนเขา
จากวันนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย......
..............................................................................................................................................................................................................................
แล้ววันปิดเทอมก็มาถึง ปีนี้นพอยู่ ม.6 แล้ว ปีหน้าจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ในช่วงวันปิดเทอมเขากลับอยู่ที่บ้านตา อ่านหนังสือเตรียมสอบ
ที่บ้านตาตอนนั้นยังมีอาชีพเลี้ยงปลาสลิด พื้นที่เกือบทั้งตำบลเปลี่ยนจากอาชีพทำนามาขุดบ่อเลี้ยงปลากันหมด พื้นที่ที่ยังดูไกลปืนเที่ยง แม้จะอยู่ห่างจากกรุงเทพเพียงสิบกว่ากิโลเท่านั้น
วันนี้ที่บ้านตาวิดบ่อปลา ที่จริงเขาสูบน้ำออกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว น้ำมาแห้งตอนเช้าพอดี ผู้คนในหมู่บ้านมาช่วยกันลงแขกจับปลากันอย่างพร้อมเพรียง
สำหรับนพแล้วนี่เป็นวันที่เขาสนุกและตื่นเต้นที่สุดวันหนึ่งที่ได้ลงไปลุยโคลนจับปลา จับปลาเสร็จก็บ่ายแก่ๆ กระโดดลงไปในคลองชลประทานหน้าบ้าน แหวกว่ายน้ำเล่นอย่างสนุกสนาน น้ำช่างสะอาดและเย็นชื่นใจนัก สองฝั่งคลองมีกอผักบุ้งยาวสุดหัวโค้ง
กอผักบุ้งนั้นมักจะลอยมาตามน้ำ พอมาถึงหน้าบ้านใครเขาก็จะปักไม้ไผ่ยึดเอาไว้ ไม่ให้ลอยไปไหน เอาไว้เด็ดยอดแกงกิน เกือบถึงหัวโค้งมีศาลาท่าน้ำอยู่หลังหนึ่ง เขามักจะพายเรือไปนั่งเล่นที่นั่นประจำตั้งแต่ยังเด็ก
คืนนี้แสงจันทร์สาดแสงเต็มฟ้า ไม่มีเมฆมาบดบัง จึงสว่างพอควร เขาหลบความวุ่นวายในบ้านออกมา
พ่อค้าแม่ค้าที่มาซื้อปลายังคุยอยู่กับตาที่ในบ้านที่เปิดไฟสว่างไสว ชาวบ้านหลายคนยังนั่งจับกลุ่มดื่มเหล้า ปลาเพิ่งวิดไปบ่อเดียวเหลืออีกหนึ่งบ่อที่น้ำคงจะแห้งพรุ่งนี้ เขาไม่รู้ว่าจะมีแรงไปช่วยจับปลาหรือเปล่า เมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้ว
ลงเรือพายเรื่อยๆไปอย่างสบายใจ ลมเย็นพัดมาระลอกน้ำเป็นคลื่นเล็กๆ เขาเก็บพายจอดเรือใกล้ๆกับศาลาริมน้ำหลังนั้น ทอดตัวลงนอนในเรือดูดวงจันทร์ ปล่อยใจล่องลอย เหลือบมองศาลาที่ดูเก่าลงไปมากไม่เหมือนเมื่อ 7 ปี่ที่แล้ว
ตอนนั้นคุณนายสมใจแม่ค้าปลารายใหญ่มาซื้อที่ปลูกบ้านที่นี่ แล้วปลูกศาลาไว้ริมน้ำ มันสวยมาก เขายังพายเรือมาดูบ่อยๆ แต่ไม่กล้าขึ้นไปนั่งเล่น เห็นคุณนายกับหลานสาวตัวเล็กของแกชอบมานั่งเล่นเป็นประจำ
จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง คุณนายไม่อยู่บ้าน หลานสาวแกแอบลงไปว่ายน้ำในคลอง ใส่ห่วงยางลอยคออยู่ริมตลิ่ง พอเริ่มได้ใจก็ค่อยๆออกไปกลางคลอง แล้วถูกคลื่นจากเรือหางยาวซัดจนห่วงยางหลุด กำลังจะจมน้ำ นพในวัยเด็กพายเรือมาพอดี กระโดดลงไปช่วยไว้ได้ทัน
เขาจำได้ว่าตอนที่เด็กผู้หญิงคนนั้นฟื้นขึ้นมาเธอขอร้องไม่ให้เขาบอกคุณนายว่าเธอแอบมาเล่นน้ำ แล้วเธอก็ให้เหรียญรูปใบไม้เขาไว้อันหนึ่ง ซึ่งปกติเธอจะห้อยคอไว้ตลอดเวลา
เด็กหนุ่มผงกศีรษะขึ้น ได้ยินเสียงคนตีน้ำที่ศาลา ปลุกให้ตื่นจากภวังค์ มือยังจับเหรียญรูปใบไม้ที่ห้อยคออยู่ เก็บเข้าไปในเสื้อแล้วลุกขึ้นนั่งมองไปที่ต้นเสียง เห็นคนนั่งห้อยขาอยู่ที่บันไดเอาเท้าแกว่งน้ำเล่น
เอ! เขาพูดเหมือนอุทาน มันแผ่วเบาเกินกว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน หัวใจเขาเต้นระทึก ดีใจเหมือนคนเจอของที่ทำหายมานาน
เอ! เสียงเรียกครั้งนี้ดังพอที่จะทำให้เด็กสาวหยุดแกว่งขาในน้ำแล้วหันกลับมามอง แล้วเธอก็ทำตาโต
นพ..นพ จริงๆด้วย มาได้ไง เด็กหนุ่มรีบพายเรือเข้าไปจนชิดบันไดท่าน้ำ อ้าวแล้วเอล่ะมาทำอะไรแถวนี้
เราตามน้ามาเที่ยว...น้าสมใจแกมาซื้อปลาที่บ้านลุงแสง แล้วแกก็จะมาพักที่นี่ทุกปีนั่นแหละ เขาใจหาย..เธอเป็นหลานสาวคุณนายสมใจหรือนี่ เผลอกำเหรียญในอกเสื้อ
เอเคยมาครั้งสุดท้ายเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังเด็กอยู่เลย น้าไม่อยู่ก็เลยแอบเล่นน้ำ เกือบจมน้ำตายแน่ะ ดีนะมีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มาช่วยไว้ ไม่งั้นป่านนี้คงไม่ได้มานั่งคุยกับนพแบบนี้หรอก
แล้วเจอเด็กคนนั้นอีกหรือเปล่า สาวน้อยทำท่าคิดนิดหนึ่ง ไม่เจอเลย..ก็คงไม่เจอหรอก ก็เอไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลยนี่ ตอนนั้นเอกลัวน้ำไปเลย คุณพ่อเลยบังคับให้หัดว่ายน้ำ หัดอยู่เกือบปี..แหมก็คนมันกลัวนี่ แต่พอว่ายน้ำเป็นมันก็เลยไม่กลัวน้ำ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้ามานั่งเอาขาแกว่งน้ำเล่นแบบนี้หรอก
นพยิ้มเล็กๆคิดในใจ เธอคงไม่ใส่ใจไอ้เด็กคนนั้นจริงๆ
เออ.. แล้วนพมาทำอะไรแถวนี้ มาซื้อปลาเหรอ
เปล่า เราไม่ได้มาซื้อปลา เราเป็นหลานตาแสง นี่มันช่วงปิดเทอม เราชอบมาอยู่ที่นี่มันเงียบดี ได้อ่านหนังสือเตรียมสอบด้วย
ดีจังนะ...เออนี่..พาเอนั่งเรือเที่ยวหน่อยซิ
กลางคืนอย่างนี้นี่นะ.....เดี๋ยวน้ารู้ก็ดุเอาหรอก
น้าสมใจไม่อยู่....แกไปคุยกับลุงแสง กว่าจะกลับคงอีกนาน.....น่า..นะ พายเรือพาเอเที่ยวหน่อยซิ เกิดมายังไม่เคยนั่งเรือพายเลย
เขาแพ้ลูกอ้อน
ทั้งคู่ล่องเรือไปลำคลองท่ามกลางแสงจันทร์ เล่าให้ฟังหน่อยซิว่าเอหายไปไหนมา
เปล่า..เราก็อยู่ที่โรงเรียนตลอด ก็มีพ่อพาไปเบลเยี่ยมสองครั้ง เขามองหน้าสาวน้อยที่คอยแต่เอามือแกว่งน้ำเล่น แล้วที่นั่นน่าอยู่ไหม
เธอหยุดแกว่งน้ำ นั่งชันเข่ามองไปนอกเรือ ก็น่าอยู่ แต่เอไม่อยากไป เขาลอยเรือนิ่งปล่อยให้มันไหลไปตามกระแสน้ำ
เอ..เราออกมาไกลแล้ว กลับกันเถอะ..เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเราจะมารับไปพายเรือเล่นกันใหม่ เด็กสาวพยักหน้าอย่างว่าง่าย นพหันหัวเรือกลับมุ่งไปบ้านริมน้ำ
แล้วอย่าลืมพรุ่งนี้นะ..เอจะรอ เสียงเธอตะโกนไล่หลังนพที่พายเรือห่างออกไปจากบ้านริมน้ำทุกทีทุกทีจนลับตา
สาวน้อยยืนอยู่ริมท่าน้ำ น้ายังไม่กลับมา แสงจันทร์ส่องสว่างเต็มฟ้า เธอพนมมืออธิษฐานขอให้ได้พบคนที่เคยช่วยชีวิตเธออีกครั้ง เธอไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงขอแบบนี้ทุกที
..
อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา
เช้าวันนั้นอากาศแจ่มใส เด็กหนุ่มยืนรอรถสองแถวอยู่ในศาลา วันนี้เปิดเทอมวันแรกที่จะได้กลับไปเรียนหนังสือ นึกภาวนาในใจให้คนที่เขาอยากเจอมาขึ้นรถที่นี่ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปได้ยาก ป่านนี้พ่อเธอคงขับไปส่งที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว
รถสองแถวมาแล้ว มาจอดรอหน้าศาลาเหมือนเดิม บทเพลงเหมันต์เพลงเดิม สงสัยคนขับน่าจะมีเทปม้วนเดียว ..แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้จะได้เจอคนที่อยากเจอ แต่คงไม่ใช่วันนี้..คิดพลางเดินขึ้นรถ
นพ...รอด้วย เสียงที่เขารอดังไล่หลังมา..หัวใจพองโต เขารีบคว้าขอมือสาวน้อย ไม่มีคำถามว่าทำไมเธอถึงมาขึ้นรถที่นี่...ทั้งคู่นั่งเคียงข้างกันไปตลอดทาง
วันเวลาผ่านไปเร็วราวติดปีก...จากวัน เป็นสัปดาห์..เธอยังคงมาขึ้นรถพร้อมเขา
วันนี้ก็ยังคงเหมือนทุกวัน เขาเห็นเธอเดินยิ้มมาแต่ไกลตรงมาที่ศาลา แต่ใบหน้ากลับดูอิดโรย..เห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งไปประคอง.ทันใดร่างนั้นก็ล้มลง เขาอุ้มไว้ได้ทัน...
เอ! อย่าเป็นอะไรนะ..ได้โปรดเถิด..ลืมตาได้ไหม...เขาอุ้มร่างนั้นวิ่งไปที่โรงพยาบาลที่ห่างออกไปเกือบ 1 กิโลเมตร ลืมความเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้ว่าพละกำลังมาจากไหน...ในใจนึกแต่เพียงว่าขอให้เธอปลอดภัยก็พอแล้ว...
อากาศวันนี้ดูครึ้ม ลมพัดเอาใบไม้ร่วงลงเป็นทาง ใบไม้ใบหนึ่งปลิวมาถูกหน้าสาวน้อย เธอได้สติลืมตาขึ้น รู้สึกได้ว่ามีใครคนหนึ่งอุ้มเธออยู่ด้วยท่อนแขนที่แข็งแรง เหมือนของเด็กคนหนึ่งที่เคยช่วยเธอไม่ให้จมน้ำ ...
กระดุมเสื้อของผู้อุ้มเปิดอ้าจากการวิ่ง สิ่งหนึ่งปรากฏขึ้น..เหรียญรูปใบไม้ที่เขาห้อยคอไว้..น้ำตาเธอไหลพรากอย่างไม่ตั้งใจ..ทั้งดีใจที่ได้พบคนที่เธอตามหามาแสนนาน..คนที่เหมือนจะตามช่วยชีวิตเธอตลอดเวลา และเป็นคนคนเดียวกับที่เธออยากให้เป็น ทั้งเสียใจที่เธอจะอยู่กับเขาได้อีกไม่นาน...เธอหลับตาลงอีกครั้ง
ค่ำแล้ว..เด็กหนุ่มยังนั่งอยู่นอกห้องพิเศษ มองผ่านช่องประตูกระจกเข้าไป เห็นเธอนั่งอยู่ที่ขอบเตียง หันมายิ้มให้เขาเป็นบางครั้ง แต่เป็นรอยยิ้มที่เศร้าจนรู้สึกสังหรณ์ใจว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้พบเธออีกแล้ว
คุณพ่อกับคุณแม่ของเอนั่งคุยอะไรบางอย่างอยู่ในห้องนั้น มันเป็นสัญญาณที่เขาไม่ชอบเลย สักครู่หนึ่งผู้เป็นพ่อจึงเปิดประตูออกมานั่งใกล้ๆเขา
นพใช่ไหม
ใช่ครับ..ผมเป็นเพื่อนเอ...เอเป็นไงมั่งครับ
ชายวัยกลางคนไม่ตอบคำถามแต่กลับคุยเรื่องอื่นแทน
ฉันเป็นพ่อของเอ แกเล่าเรื่องของเธอให้ฟังเยอะมาก...ขอบใจเธอมากจริงๆที่ช่วยพาแกมาโรงพยาบาล...แกเป็นมะเร็งที่ลำไส้ เราเป็นห่วงกันมาก ไปผ่าตัดมาแล้วทีหนึ่ง..พอไปตรวจซ้ำหมอว่าเชื้อยังไม่หมด..คงต้องไปผ่าอีก...
แต่เชื่อไหมว่าตั้งแต่แกได้พบกับเธอ แกอาการดีขึ้นตั้งเยอะ หมอที่เบลเยี่ยมยังแปลกใจ...ที่สำคัญคือเราต้องเดินทางวันนี้..ฉันบอกแกตั้งแต่เช้าแล้วว่าวันนี้ไม่ต้องออกไปพบเธอ แต่แกขอไว้..ก็เลยต้องปล่อย..
แต่เอยังเรียนอยู่ที่นี่นะครับ...แล้วจะไปยังไง นพสงสัย..พ่อของเอหันมองหน้าหนุ่มน้อยนิดหนึ่ง แล้วหันกลับไปนั่งประสานมือ ตามองทะลุกระจกไปยังลูกสาว
แกลาออกมาได้เกือบเดือนแล้ว...แต่ตอนเช้าแกก็ยังแต่งชุดนักเรียนทุกวัน...เพราะอะไรฉันคงไม่ต้องบอก
แกอยากคุยกับเธอ...เข้าไปซิ ทั้งพ่อและแม่ขอตัวออกไปด้านนอก ปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ตามลำพัง
..
เอต้องไปวันนี้เหรอ นพถามขึ้น อีกฝ่ายก้มหน้านิ่งไม่มีคำตอบ
ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกนพ ........วันนี้เอเห็นเหรียญรูปใบไม้แล้ว.ทำไมนพไม่เล่าให้เอฟัง.
.เราไม่อยากให้เอรู้....มันไม่มีประโยชน์
เอไม่อยากไปเลย เอกลัว กลัวว่าจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก.เอจะทำยังไงดี เธอปล่อยโฮออกมาสุดกลั้น
รถแล่นออกไปจากโรงพยาบาลแล้ว นพยืนมองจนลับตาในมือถือจดหมายที่เธอส่งให้ก่อนขึ้นรถ ด้วยความรู้สึกที่ว้าเหว่เกินบรรยาย...
แสงไฟสีส้มยังส่องให้แสงสว่างตามข้างถนน..
เขาเดินทอดน่องไปเรื่อยๆเหมือนคนไร้จุดหมาย พรุ่งนี้คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เช้าวันใหม่เขานั่งรอรถอยู่ในศาลาเหมือนทุกวัน รถคันนั้นมาถึงแล้ว เขาเดินไปขึ้นรถและอดที่จะหันกลับมามองข้างหลังไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีใครวิ่งตามเขามาอีกแล้ว แม้ส่วนลึกๆยังหวังที่จะให้มีก็ตาม
เสียงเพลงเหมันต์บทนั้นยังก้องอยู่ในหูแม้ว่าเพลงจะจบไปแล้วเหมือนกับฤดูหนาวที่เพิ่งผ่านไป เขาซื้อเทปเพลงนั้นมาเปิดฟังทุกวันเพื่อทบทวนและจดจำความรู้สึกนั้นไว้
ซองจดหมายสีน้ำตาลยังอยู่บนโต๊ะ ครบหนึ่งเดือนแล้วที่เธอจากไป และเป็นเวลาที่เธอขอไว้ก่อนให้เปิดอ่าน
ถึงนพ
ที่เอขอเวลาไว้หนึ่งเดือนถึงจะยอมให้นพเปิดอ่าน ก็เพื่อให้นพดูว่าความรู้สึกยังเหมือนเดิม หรือเปล่า บางทีนพอาจลืมจดหมายไปแล้วก็ได้ เอรู้ว่าเราทั้งคู่ยังเด็กเกินไป จนอ่อนไหวกันไปบ้าง สิ่งที่จะพิสูจน์ความมั่นคงได้คือเวลา สิบปีข้างหน้าเอจะกลับมาใหม่ มาพบนพที่เดิม วันเดิม ที่ที่เราพบกันครั้งแรก หากนพยังรอได้
คิดถึงนพเสมอ
เอ
.
ภาพอดีตจบไปพร้อมๆ บทเพลงเหมันต์ที่จบไปหลายรอบ
ความทรงจำหวนกลับคืนมา เขารู้แล้วว่าเขากลับมาทำอะไรที่นี่ เขาเดินไปที่หน้าต่าง ข้างนอกมืดแล้ว ลมหนาวพัดดอกอ้อเข้ามา
สิบปีแล้วสินะที่เธอจากไป ความรู้สึกของเขายังเหมือนวันนั้น เหมือนเธอเพิ่งจากไปเมื่อวาน จากตรงนี้เขามองเห็นศาลาหลังนั้น มันทรุดโทรมไปมาก แสงไฟสีส้มที่ถนนดึงให้เขาคิดถึงวันนั้นอีกครั้ง
ใช่..พรุ่งนี้เป็นวันที่เธอจะกลับมา เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะมาจริงหรือเปล่า ป่านนี้เธออาจแต่งงานไปแล้ว อาจลืมจดหมายที่เขียนไว้ในตอนเด็กและอาจลืมเขาไปแล้วก็ได้ ไม่เหมือนเขาที่ไม่เคยลืมแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม
เขารู้สึกปวดแปลบที่ศีรษะ โชคดีที่อุบัติเหตุไม่ทำลายความทรงจำทั้งหมดของเขา.
คืนนั้นเขานอนกอดจดหมายสีน้ำตาลที่กรอบแห้งทั้งคืน
รุ่งเช้า.. สายลมหนาวพัดมาเบาๆ ฟ้าครึ้มตั้งเค้าสักครู่ฝนก็เทลงมา บรรยากาศที่เหมือนย้อนเวลากลับไป
เขายืนอยู่ในศาลานั้นใจระทึกไม่รู้ว่าเธอจะมาหรือเปล่า กระทั่งรถสองแถวคันนั้นมาจอดเทียบ มันเก่าและยับเยินจนไม่น่าเชื่อว่ายังวิ่งได้ ไม่มีใครขึ้นอีกแล้ว
รถคันนั้นค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป พร้อมกับเผยภาพอีกฝั่งตรงข้ามถนน
หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เธอสวยเหลือเกิน วันเวลาไม่อาจทำร้ายเธอได้ รูปร่าง ทรงผมยังเหมือนเดิม เธอยืนถือร่มส่งยิ้มมาแต่ไกล น้ำตาเธอเอ่อขึ้นมาทันทีที่มองเห็นเขา นพเองก็ไม่ต่างกัน เธอเดินข้ามถนนมาที่ศาลา รอยยิ้มทั้งน้ำตานั้นแสดงถึงความสมหวังของคนที่รอคอยมาทั้งชีวิต
นพ..จริงๆด้วย น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความปิติยินดี
มิทันที่นพจะกล่าวอะไร เสียงมือถือก็ดังขึ้นเขารับสาย เสียงที่ลอดมาดังพอที่เอจะได้ยิน
ไอ้แก่ หายหัวไปไหน กลับบ้านเดี๋ยวนี้ หนีเที่ยวอีกแล้วละซิ เดือนที่แล้วแม่ฟาดจนสมองเสื่อมยังไม่เข็ดใช่ไหม กลับมาคราวนี้แม่จะฟาดให้สมองเสื่อมตลอดกาลเลย คอยดูซิ
22 กรกฎาคม 2550 15:31 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ค่ำคืนที่แสนมืดมิด ลมพัดมาอ่อนๆ ท้องฟ้าที่มืดสนิทเต็มไปด้วยแสงดาว บนเนินหญ้า เด็กชายสองคนนอนหงาย เอามือวางรองศีรษะ มองดูดาวอย่างมีความสุข
โต..นายว่ามีมนุษย์ต่างดาวอยู่บนนั้นไหม อ้นถามขึ้น
เราว่ามีนะ ก็ทีโลกเรายังมีคนอยู่เลยแล้วทำไมที่อื่นจะมีมั่งไม่ได้ โตตอบพลางยันตัวขึ้นนั่งเอามือยันพื้นไว้ด้านหลัง มองเห็นแผลเป็นรอยไหม้ที่แขนจางๆ
นายว่ามนุษย์ต่างดาวหน้าตาเหมือนเอเลี่ยนในหนังหรือเปล่า
ไม่รู้ซิอ้น แต่เราว่าน่าจะคล้ายๆคนมั้ง
อ้นลุกขึ้นนั่งยันตัวเลียนแบบโต
อ้าวงั้นถ้าพวกนี้มาอยู่กับคนก็ดูไม่ออกซิ อ้นยังสงสัย
ไม่รู้ซิ โตพูดพลางลุกขึ้นดึงแขนอ้นให้ลุกตามเพื่อกลับบ้าน
เราเคยอ่านการ์ตูน...มนุษย์ต่างดาวจะหัวกลมๆ ตารีๆใหญ่ๆ ตัวสีเขียว อ้นว่า
การ์ตูนอะไร โตสงสัย
ขายหัวเราะ อ้นตอบ
นักเขียนการ์ตูนไม่เคยเห็นมนุษย์ต่างดาวจริงๆหรอก โตสรุป
แต่เราว่ามันเจ๋งนะโต..พวกตัวเขียวเขียวนี่ มันมีจมูกอยู่ที่หัว เวลามันเซ็ง มันจะพ่นขี้มูกออกมาทางหัว
แหวะ...มันเจ๋งตรงไหนอ้น งี้ขี้มูกก็เต็มหัวซิ
เด็กทั้งสองเดินลงเนินไปจนลับตา คุยกันหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
อ้น เป็นลูกโทนคนเดียวของผู้หมวดธนา อ้นไม่มีแม่ และพ่อก็ไม่ค่อยอยู่บ้านติดราชการบ่อย อ้นจึงต้องอยู่กับพี่เลี้ยงที่พ่อจ้างเป็นพิเศษไปเช้าเย็นกลับ อ้นเรียนหนังสืออยู่ชั้น ม.2 โชคดีที่บ้านอยู่ชานเมือง บรรยากาศเงียบๆไม่วุ่นวาย แม้ไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อ แต่ด้วยสำนึกดีของเด็กจึงไม่ข้องแวะกับอบายมุขทั้งปวง
แม้อ้นจะมีเพื่อนที่โรงเรียนมากมาย แต่คนเดียวที่เขาสนิทจริงๆก็คือ โต ซึ่งสนิทจนเหมือนเป็นพี่น้องกัน
เมื่อปีแล้วมีเหตุเพลิงไหม้ที่บ้านหลังหนึ่ง หมวดธนาผ่านไปพบเข้าพอดีขณะที่ไล่ล่าไอ้ทองโจรปล้นฆ่าขโมยพระค่าหัวเรือนแสน แกตัดสินใจเข้าช่วยชีวิตโตไว้ทำให้ไอ้ทองรอดไปได้ ส่วนพ่อแม่โตเสียชีวิตในกองเพลิง โตจึงมีรอยแผลไหม้อยู่ที่แขน ด้วยความสงสารหมวดธนาจึงรับโตมาอยู่ด้วย โดยผู้หมวดหวังว่าจะให้โตเป็นเพื่อนเล่นกับลูกชาย และเขาเองก็กำลังหาทางช่วยให้โตได้เรียนหนังสือเหมือนกับอ้น
โต....อ้นกลับมาแล้ว เด็กชายร้องอย่างดีใจที่ได้กลับถึงบ้าน
เกิดอะไรขึ้น โตถามขึ้นด้วยเห็นอาการผิดปรกติของเพื่อน
อาทิตย์หน้า โรงเรียนปิดเทอม ครูให้นักเรียนทำรายงานส่งตอนเปิดเทอม ให้เลือกหัวข้อเองได้ด้วย...รู้เปล่าเราเลือกเรื่องอะไร
มนุษย์ต่างดาว โตตอบโดยไม่ต้องคิด
ว้า...นายรู้ได้ไง
อ้าว...ก็เมื่อคืนไง...นายตื่นเต้นซะขนาดนั้น เป็นใครก็เดาได้....แล้วนายจะเริ่มยังไง
ไม่ต้องห่วงเรามีแผนแล้ว ดูท่าอ้นเชื่อมั่นมาก
แล้วช่วงเวลาปิดเทอมก็มาถึง
อ้นพาโตเดินมาเกือบถึงท้ายซอย
มีอะไรเหรอ โตสงสัย เมื่ออ้นพาโตมาหยุดลงที่บ้านร้างหลังหนึ่ง มันเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูงราว 1 เมตร รอบๆบ้านมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ต้นหญ้าด้านหลังบ้านแห้งกรอบเหมือนถูกความร้อนเผา
นี่ไงโต เมื่อเดือนที่แล้วเราเห็นเหมือนลูกไฟตกลงหลังบ้าน อ้นบอกโตขณะที่ทั้งสองยืนอยู่ใต้ต้นไม้ฝั่งตรงข้ามของบ้านร้าง
นายก็เลยนึกว่ามีมนุษย์ต่างดาวอยู่ในบ้าน...บ้านร้างไม่มีคนอยู่ ทำไมเราไม่เข้าดูตั้งแต่เห็นดาวตก
ตอนนั้นเราจะเข้าไปดูแล้ว แต่เราเห็นบ้านเปิดไฟ แปลว่ามีคนอยู่..... เราเลยยืนดูบ้านร้างที่ระเบียงบ้านเรา เห็นมีไฟเปิดทุกคืน ตั้งแต่ดาวตก
แล้วตอนนี้ยังเปิดไฟอยู่หรือเปล่า
ไม่เปิดมา 5 คืนแล้ว
งั้นเราเข้าไปดูกันเลยดีกว่า โตพูดพร้อมกับจะเดินข้ามฟากไปที่บ้านร้าง อ้นดึงมือไว้
เอาไว้คืนนี้ดีกว่า... กลัวใครมาเห็นเข้า
แล้วเวลาปฏิบัติการก็มาถึง ทั้งสองเตรียมของที่คิดว่าต้องใช้ใส่กระเป๋าสะพายมาเต็มที่ รอเวลาเกือบเที่ยงคืนเมื่อไม่เห็นมีใคร และในบ้านร้างเงียบสนิท อ้นจึงเปิดประตูรั้วผุๆเข้าไป ช้าๆ ระวังไม่ให้มีเสียง ทั้งสองฉายไฟฉายเดินไปรอบๆบ้านจนถึงจุดที่หญ้าไหม้ ตรงนั้นปรากฏเป็นหลุมขนาดเส้าผ่านศูนย์กลางเกือบ 2 เมตร มีรอยไหม้รอบๆหลุม แม้กระทั่งฝาบ้านก็ไหม้ไปแถบหนึ่ง แต่ไม่มีวัตถุใดๆที่ก้นหลุม โตหยิบกล้องดิจิตอลออกมาถ่ายรูป
เห็นไหมโตมนุษย์ต่างดาวมาจริงๆ อ้นดูตื่นเต้นมาก
โตถ่ายรูปเสร็จแล้วมองหน้าเพื่อน
อ้น...เราว่ามันเป็นแค่ดาวตกไม่น่ามีมนุษย์ต่างดาว โตพูดจบก็มีเสียงกุกกักในบ้าน ทั้งสองรีบดับไฟฉายแล้วนั่งลงหลบอยู่ใต้ถุนบ้าน ใจเต้นแรงทั้งคู่ เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ สักพักก็มีอะไรบางอย่างมุดลอดออกมาจากผนังที่ทะลุจากรอยไหม้
หมา! ทั้งคู่อุทานพร้อมกันอย่างโล่งอก มองดูสุนัขผอมโซตัวนั้นวิ่งเหยาะๆออกไปนอกรั้วบ้าน
มาเริ่มกันใหม่ ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดไม้ 3 ขั้นมาหยุดที่ประตูบ้าน ประตูไม่ได้ล็อค ที่จริงมันเก่าชำรุดจนล็อคไม่ได้ต่างหาก อ้นดันประตูเข้าไปในบ้าน ภายในมืดมาก ทั้งสองฉายไฟสาดไปทั่ว เห็นโต๊ะ 1 ตัวกับเก้าอี้เก่าๆอยู่กลางบ้านเท่านั้น นอกนั้นเป็นพื้นไม้โล่งๆ แต่มีรอยรองเท้าใหม่ๆเต็มไปหมด แสดงว่าที่นี่มีคนอยู่ โตสังเกตเห็นตะเกียงวางอยู่บนโต๊ะ
อ้น..สงสัยเรามาเสียเที่ยว มีแต่รอยรองเท้า กับลูกหมา 4 ตัวตรงโน้น โตเอ่ยกับเพื่อน อ้นมีสีหน้าผิดหวัง
โต..เรากลับกันเถอะ อ้นหันหลังทำท่าจะเดินกลับ
เดี๋ยวก่อนอ้น เราเห็นอะไรบางอย่างใต้โต๊ะ โตเดินไปนั่งลงใกล้ๆโต๊ะเอื้อมมือไปจับอะไรบางอย่าง
กุญแจ....มันใหม่มาก แปลว่าพื้นใต้โต๊ะเป็นที่เก็บของ มันถึงใส่กุญแจไว้ โตพูดกับอ้นที่รีบมาสมทบ ทั้งสองมองหน้ากันเหมือนตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง อ้นหยิบฆ้อนออกมาจากกระเป๋า แล้วค่อยๆงัดพื้นไม้ขึ้นมา ไม้เริ่มผุแล้วจึงหลุดขึ้นมาอย่างง่ายดาย งัดได้ 3 แผ่นก็หยุด โตส่องไฟฉายไปใต้พื้น ภายในเป็นลังไม้มีเศษฟางปูเต็มไปหมดเหมือนไว้กันกระแทก มีรูปปั้น และวัตถุโบราณที่ประเมินค่ามิได้หลายสิบชิ้นอยู่ข้างใน แต่มีวัตถุสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือสีเงินวาววางอยู่ด้วย โตหยิบวัตถุดังกล่าวขึ้นมาดู แล้วเอาใส่กระเป๋าไว้ ทันใดก็มีเสียงตึงตังที่หน้าประตู
ไอ้เด็กหัวขโมย! ชายร่างใหญ่ในชุดดำ หน้าดุดันเดินตรงมาที่คนทั้งสอง ในมือถือปืน เด็กทั้งสองตกใจทำอะไรไม่ถูก ร่างนั้นใกล้เข้ามาจวนถึงตัวทั้งคู่ มันยกปืนขึ้นทำท่าจะฟาดเด็กทั้งคู่ให้สลบ
ตุ้บ เสียงทุบหนักๆเข้าที่ท้ายทอยชายร่างใหญ่ มันล้มลงทั้งยืน หมวดธนานั่นเองที่เป็นคนจัดการ แล้วตำรวจสี่ห้านายก็กรูเข้ามาหิ้วตัวไอ้ทองออกไป
จบเรื่องซะที กว่าจะหาตัวเจอ...ไอ้ทองไอ้โจรขโมยพระ หมวดพึมพำ ขณะนั่งลงดูเด็กทั้งสอง
อ้าว..ลูกมาทำอะไรที่นี่....แล้วบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
อ้นกอดพ่อร้องไห้ดีใจที่พ่อมาช่วยทันเวลา
จากจุดวุ่นวายด้วยรถตำรวจหลายคันที่หน้าบ้านร้าง พื้นที่ถูกปิดล้อม แสงไฟสาดสว่าง หมวดธนา เดินหลบออกมาพร้อมกับเด็กทั้งสอง
เข้าไปทำอะไรกันข้างใน นี่ดีนะที่พ่อมาทัน
อ้นก้มหน้านิ่งอย่างกลัวความผิด โตจึงต้องตอบแทน
เราเห็นดาวตกที่บ้านนั้นก็เลยเข้าไปดู.....ไม่รู้จริงๆว่ามีคนอยู่
พ่อครับ..อ้นต้องทำรายงานเรื่องมนุษย์ต่างดาว เห็นดาวตกที่นั่นก็นึกว่ามีมนุษย์ต่างดาวมา ก็เลยเข้าไปดู อ้นเริ่มกล้าบอกความจริงพ่อ
คราวนี้อ้นคงไม่รู้ว่าจะไปหาเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่ไหนมาเขียนรายงาน
ไม่เป็นไรลูก ค้นเรื่องในอินเตอร์เนตเอาไปเขียนก็ได้นี่นา ผู้หมวดปลอบใจลูกชาย
โตหยุดเดินดึงมือทั้งสองพ่อลูกไว้
ผู้หมวดจำตอนที่ไฟไหม้เมื่อปีที่แล้วได้ไหมครับ
จำได้...มีอะไรหรือเปล่า
ที่จริงไฟไหม้เพราะจานบินตกใส่บ้านนั้น ไม่มีใครรอดนอกจากผมคนเดียว โตหยิบวัตถุแท่งสีเงินออกจากกระเป๋า
ผมเก็บแท่งนี้ได้ที่บ้านร้าง ที่เห็นดาวตก...จริงๆแล้วไม่ใช่ดาวตกหรอก เขาส่งของชิ้นนี้มาให้ผม...มารับผมกลับ โตใช้นิ้วกดแท่งนั้นเบาๆ มันเลื่อนออก เห็นปุ่มด้านใน 1 ปุ่ม เขากดปุ่มนั้นแล้วเอามันไปวางข้างหน้า มีแสงพุ่งออกจากแท่งสีเงินเป็นวงกลม เมื่อแสงจางลงก็ปรากฏเป็นจานบินอยู่ตรงนั้น หมวดธนากับลูกชายอยู่ในอาการตกตะลึงกับภาพที่เห็น
อ้น...เราว่านายมีเรื่องเขียนรายงานแล้วล่ะ....และที่เราเคยบอกว่า มนุษย์ต่างดาวก็เหมือนคนบนโลก เห็นไหมล่ะว่าเหมือนจริงๆ สำหรับผู้หมวด ผมต้องขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตผมไว้ ผมจะไม่ลืมบุญคุณเลยชั่วชีวิต......ลาก่อนครับ
ขาดคำร่างของโตก็ลอยหายเข้าไปในยาน แล้วจานบินก็ค่อยๆลอยตัวขึ้น แล้วพุ่งหายไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว
สองพ่อลูก แหงนมองฟ้า เรื่องราวมันเกิดขึ้นรวดเร็วมากเกินจะรับได้ทัน ไม่ทันแม้กระทั่งจะพูดจากับโตสักคำ
พ่อครับเกิดอะไรขึ้น...แล้วผมจะเขียนรายงาน...เรื่องชีวิตชาวโลกที่ผมอยู่ด้วย..ได้ยังไง....ผมนึกว่าเขาเป็นคนจริงๆ
ไม่เป็นไรลูกเดี๋ยวพ่อหาคนใหม่ให้
แปลว่าเราต้องอยู่บนโลกนี้อีก 1 ปี ใช่ไหมพ่อ...เพื่อนๆที่ดาวนาบูคงเรียนจบก่อนผม
เซ็งจริงๆ ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมๆกัน แล้วต่างก็ดึงผมตัวเองจนหน้ากากหัวคนหลุดออก เห็นเป็นศีรษะกลมสีเขียว มีดวงตาใหญ่เป็นวงรี กลางศีรษะมีรอยแยก แล้วทั้งคู่ก็สั่งน้ำมูกออกมาจากกลางศีรษะพร้อมๆกัน....
31 พฤษภาคม 2550 01:04 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
พ่อโทรมาหาผมเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ให้มาช่วยงานศพ น้องอ้อย..หลานอาเขมเพื่อนพ่อ ใครก็ไม่รู้ผมไม่รู้จักหรอก ติดแต่เกรงใจพ่อ ก็เลยต้องมา ผมชวน ไอ้เท่งเพื่อนซี้มาด้วย อาเขมแกไม่มีเงิน พ่อผมเลยรับเป็นเจ้าภาพจัดงานให้
คืนที่สามของงานผมเห็นสาวคนหนึ่งมานั่งฟังพระสวดใกล้ๆผม เธอสวยมาก..ขาวโบ๊ะ มีผ้าพันแผลที่คอนิดหน่อย ผมหลิ่วตามองไอ้เท่ง ผมรู้ว่ามันเข้าใจผม
ข้าเห็นตั้งแต่วันแรกแล้ว คนอะไรสวยชิบไอ้เท่งกระซิบผมตอนออกมาเตรียมข้าวต้ม
แล้วทำไมเอ็งไม่บอกข้า ไม่งั้นป่านนี้ข้าจีบไปแล้ว
อ้าว..ไอ้หม่ำ ข้าเห็นเขามากับหนุ่ม คนมีแฟนแล้วเอ็งจะไปสนทำไม
ช่างเถอะๆ ผมพูดตัดรำคาญ
ผมยกข้าวต้มไปเสริฟให้แขกแต่ละคน จนถึงสาวน้อยคนนั้น
พี่เป็นลูกลุงแม้นหรือจ๊ะ เธอชวนผมคุย อ๊ะๆ..อย่างนี้มีลุ้น
ใช่จ้ะ พ่อเรียกพี่กลับมาช่วยงาน....น้องชื่ออะไรจ๊ะ
แตงจ้ะ...ชื่อแตง..แล้วพี่ชื่อ..ชื่อหม่ำใช่ไหมจ๊ะ ผมแปลกใจที่เธอรู้จักชื่อผม
แตงรู้จักชื่อพี่ได้ไง
แตงเคยเห็นพี่
เหรอ..แตงเห็นพี่ที่ไหน ผมตื่นเต้นอยากรู้จริงๆ พลางวางถาดข้าวต้มลง
เคยเห็นในสะเก็ดข่าว ตอนพี่ถูกคนเมายาบ้าเอามีดจี้...พี่ฉี่ราดเต็มกางเกงเลย เธอปิดปากหัวเราะเบาๆหน้าเธอแดงกล่ำ เอ้า...ขำเข้าไปๆ ผมนึกในใจ
ลุงแม้นแกเห่อมากเลยนะ แกดีใจที่ลูกแกได้ออกทีวี แกประกาศไปทั่วหมู่บ้านเลย
พี่ว่า...พอดีกว่านะน้องแตง..พอเถอะ..เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้ามันไม่ดี
กลัวเขามาขอลายเซ็นดาราหรือจ๊ะ...อิๆ แน่ะ..เล่นไม่เลิกจริงๆ ผมนึกในใจ
ดูๆไป เธอก็น่ารักดี มีชีวิตชีวา...ขาวโบ๊ะ! ผิดกับภาพที่เห็นครั้งแรกนึกว่าเธอเป็นคนเงียบๆ
แล้วนี่บ้านน้องแตงอยู่ไหนจ๊ะ ..
อยู่ท้ายหมู่บ้านโน่นแน่ะ
แล้วจะกลับยังไง
ยังไม่รู้เลย เมื่อสองคืนที่แล้วมากับพี่ชาย แต่คืนนี้พี่เค้ามาส่งแตงเสร็จ แล้วรีบเข้าไปทำธุระที่บ้านเพื่อน อ๋อ..คนที่ไอ้เท่งเห็นเป็นพี่ชาย..อย่างนี้พอมีหวัง
งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งให้เอง
ขอบคุณค่ะ..พี่หม่ำน่ารักจัง โอ้ย..หัวใจมันพองครับ..หัวใจมันพอง......ขาวโบ๊ะ
ดังนั้น หลังจากงานที่วัดเสร็จในคืนนั้นผมจึงเดินไปส่งน้องแตงที่บ้าน โดยเธอไม่รู้ว่าผมนัดแนะอะไรบางอย่างกับไอ้เท่งไว้
เลยจากวัดออกมาก็เป็นถนนดินเล็กๆ สองข้างทางเป็นต้นไม้ครึ้มไปตลอดทาง ดวงจันทร์กระจ่างฟ้าเป็นไฟฉายนำทางได้อย่างดี
แตงรู้จักกับหลานอาเขมด้วยเหรอ ผมพยายามหาเรื่องคุย
เพื่อนซี้เลยละ เธอดูเงียบลง
แกเป็นอะไรตาย ผมถามขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
วันนั้น แตงขี่มอเตอร์ไซค์....อ้อยซ้อนท้าย...แล้วฝนตกถนนมันลื่น....แล้ว..รถมันล้ม..แล้ว.. เธอเล่าต่อไม่ได้ สะอื้นร้องไห้ผวามากอดผม ทำให้ผมพลอยเศร้าไปด้วย ผมเดาเหตุการณ์ที่เหลือได้ โชคดีที่เธอแค่บาดเจ็บเล็กน้อย ผมรู้สึกสงสารเธอขึ้นมาอย่างจับใจ ไม่อยากแกล้งเธอแล้วมองหาไอ้เท่งไม่รู้มันไปอยู่ไหน จะบอกให้มันยกเลิกแผนก็ทำไม่ได้
แตงกอดผมไว้ครู่หนึ่งเธอก็หยุดสะอื้น ผละตัวออกมาเช็ดน้ำตาแห้งๆด้วยหลังมือ เธอหัวเราะแหะๆ แล้วจูงมือผมออกเดินต่อไป
ข้างหน้าเป็นศาลาผมอยากเดินให้พ้นไป เพราะเป็นจุดที่ไอ้เท่งจะลงมือ แต่เธอบอกเหนื่อยอยากพักสักครู่ ผมจึงต้องตามใจ นั่งพักในศาลา .....มีเสียงหัวเราะเบาๆ..เสียงกุกกักบนหลังคา แล้วเงียบไป ..ไอ้เท่งมันเริ่มแล้ว
ไปเถอะน้องแตง
แตงก้าวขาไม่ออก ดูเธอกลัวมาก ผมไม่กล้าบอกความจริงว่าเป็นแผนของผม....กลัวเธอโกรธ
ว้าย!..ช่วยด้วย..ผี..ผีหลอก เธอหวีดร้องตกใจสุดขีด เมื่อไอ้เท่งในชุดคลุมผ้าสีดำห้อยหัวลงมาจากหลังคา
เราออกวิ่งกันสุดชีวิต ดูเธอกลัวมาก ปากเธอสั่นหน้าเธอซีด ผิดกับผมที่ไม่รู้สึกกลัวผีแต่รู้สึกผิด วิ่งมาจนรู้สึกเหนื่อยจึงหยุดพัก เธอกอดผมแน่นอีกครั้ง เนิ่นนานจนดูเธอเริ่มผ่อนคลายลง..เธอหายกลัวแล้ว นึกอยากจะขอบคุณไอ้เท่งเหมือนกันที่ช่วยให้ผมได้ใกล้ชิดน้องแตง....ตอนนี้ผมนึกสนุกสะกิดน้องแตงเบาๆ และทำเสียงยานคาง
น้องแตงงงงงงง....เคยเห็นผีหัวขาดไหม....นี่ไง ผมทำท่าจับผมตัวเองและดึงขึ้น แลบลิ้น น้องแตงยิ้ม
บ้าน่าพี่หม่ำ เล่นอะไรก็ไม่รู้ เธอทุบอกผมเบาๆ
ต้องแบบนี้ เธอไม่พูดเปล่า แหวกท้องตัวเองจนไส้ทะลักมากองที่พื้น จับผมตัวเองและดึงขึ้นหัวหลุดติดมือขึ้นมา เธอหัวเราะเสียงโหยหวน แลบลิ้นยาวจนถึงพื้น นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้ก่อนหมดสติรู้สึกน้ำอุ่นๆไหลเปื้อนกางเกง..สำนึกสุดท้ายบอกผมว่า ไม่เอานะ..ผมไม่ออกสะเก็ดข่าวอีกแล้ว
27 พฤษภาคม 2550 11:11 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
เวลาเกือบตีสองแล้ว คืนนี้เป็นคืนวันพุธ แอนเลิกงานดึกเพราะต้องเร่งปิดบัญชีสิ้นเดือนโชคดีที่ห้องพักเธออยู่ห่างจากที่ทำงานเพียง 5 ป้ายรถเมล์ แม้จะเลิกงานดึกเธอก็พอใจกับค่าล่วงเวลาที่ได้รับ
เธอกดลิฟท์ลงมาที่โถงชั้นล่างเดินผ่านรปภ.หน้าตึกออกไปที่ถนน
ถนนยามนี้เงียบนักมีเพียงแสงไฟสีเหลืองจากเสาไฟฟ้าเป็นระยะๆ เท่านั้น แม้ตอนกลางวันจะดูคึกคักเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญ ของเมืองทีเดียวแต่พอตกกลางคืนกลับเป็นเหมือนเมืองร้าง นานๆจึงจะมีรถผ่านมาสักคัน
เหตุฆาตกรรมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำให้เธอกลัว แต่เดี๋ยวก็คงลืมเพราะเกิดขึ้นบ่อย..นี่น่าจะเป็นครั้งที่สามแล้ว บางทีอาจเป็นเหตุปรกติของเมืองใหญ่
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาจะโทรหาป้าแจ๋วร้านขายข้าวต้มโต้รุ่งหน้าที่พักที่เธอสั่งกินประจำให้ทำข้าวต้มปลาไว้รอ...ลืมไปว่าแบตหมดตั้งแต่บ่าย
แยกตรงข้ามมีตู้โทรศัพท์อยู่ 3 ตู้ มีคนใช้เต็ม 2 ตู้ แอนเข้าไปจะใช้ตู้กลางที่เหลือ ไฟในตู้ดับ..มิน่าถึงไม่มีคนใช้ เธอค้นหาเศษตังค์ในกระเป๋าจะหยอดตู้มือข้างหนึ่งก็เอื้อมจะหยิบหูโทรศัพท์ ...กริ๊งๆๆๆ..เสียงดังจากโทรศัพท์ เธอสะดุ้งเล็กน้อย..กริ๊งๆๆ เธอลังเลก่อนตัดสินใจค่อยๆยกหูขึ้นฟัง
ฮัลโหล เธอทักอย่างแผ่วเบา
หวัดดีน้องปลาเหรอ...ตรงเวลาเหมือนเคยนะที่รัก เสียงผู้ชายตามสาย
เอ่อ..ไม่ใช่ค่ะ...บังเอิญโทรศัพท์มันดังขึ้นแล้วฉันเข้ามารับสาย....คุณโทรผิดแล้ว
ขอโทษครับ....ผมนึกว่าน้องปลา เพราะเธอจะมารับสายตอนตีสองสิบนาทีทุกวัน
เหรอคะ...งั้นฉันคงต้องวางสายก่อน
เดี๋ยวก่อนครับ...รบกวนนิดนึง ช่วยดูข้างนอกให้ทีว่ามีผู้หญิงมารอโทรศัพท์หรือเปล่า
แอนมองไปรอบๆตู้ ไม่เห็นมีใคร ไม่แน่ใจเพราะค่อนข้างมืดจึงเปิดประตูออกไปดู ข้างนอกมีแต่ความว่างเปล่า มีเพียงเงาต้นไม้ที่ไหวไปมาและฟ้าแลบแปลบปลาบเท่านั้น
ไม่เห็นมีใครเลยค่ะ ดูเหมือนฝนใกล้จะตกแล้ว
ขอบคุณมากครับ...ทุกทีเธอไม่เคยผิดเวลาแม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่ผมโทรหาเธอทุกคืนมาเกือบสองเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่า น้ำเสียงแสดงความวิตกกังวลของเขาทำให้เธอรู้สึกสงสาร ใจหนึ่งก็อยากช่วย ใจหนึ่งก็คิดว่าธุระไม่ใช่ แต่เอาน่ะ ฟังดูคงไม่ใช่พวกโรคจิต เธอเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังจะข้ามถนน ลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ
คุณคะ...สงสัยคนนี้หรือเปล่า กำลังจะข้ามมาฝั่งนี้
เหรอครับ...รูปร่างยังไงครับ น้ำเสียงเขาดีใจมาก
ท้วมๆออกจะอ้วนนิดๆ สูงราว 150
งั้นคงไม่ใช่ น้องปลาสูง 160 ผมยาวผิวขาวหุ่นดี
สงสัยเธอคงไม่มาแล้วล่ะ ฉันคงต้องวางหูก่อน
เดี๋ยวก่อน..ช่วยผมอีกนิดนึง
อะไรอีกคะ
ผมรู้ว่าเธอคงไม่มาอีกแล้ว
อย่าเพิ่งหมดหวังซิคะ บางทีเธออาจจะป่วยก็ได้ พรุ่งนี้เธออาจจะมา หรือไม่คุณก็ควรไปหาเธอที่บ้าน
พ่อแม่เธอไม่ชอบผม ผมโทรไปที่บ้านเธอยังไม่ได้เลย ถ้าพ่อเธอรู้..เป็นเรื่อง ขนาดมือถือ..พ่อเธอยังห้ามใช้ ที่จริงเธอมีคู่หมั้นแล้ว ผู้ใหญ่จับคลุมถุงชน เรื่องที่จะไปหาเธอที่บ้านเลิกคิดได้ เธอถูกจับตาเกือบทุกฝีก้าว เว้นแต่เวลาที่พวกเขาหลับกันหมด ผมเองก็พยายามเลิกติดต่อกับเธอ ไม่อยากพบเธออีกแล้วกลัวพ่อแม่เธอรู้ แล้วจะทำร้ายเธอ โดยเฉพาะคู่หมั้นของเธอยิ่งให้รู้ไม่ได้ เธอขอผมไว้เรื่องเดียวคือให้ผมโทรหาเธอทุกคืนที่ตู้นี้ จนกว่าเธอจะแต่งงาน
ทุกครั้งที่เธอรับสาย...เธอมักจะร้องไห้เสมอ มีอยู่คืนหนึ่งผมใช้มือถือโทร ผมยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม แอบอยู่ไม่อยากให้เธอเห็น แต่ผมเห็นเธอตลอดเวลา เธอรับสาย แล้วทรุดตัวลงนั่งที่พื้น เธอร้องไห้น่าสงสารมาก เธอบอกว่าแค่ต้องการได้ยินเสียงผมเท่านั้น เธออยากไปขี่จักรยานกับผม ไปนั่งในสวนให้ผมร้องเพลงเสียงเพี้ยนๆให้ฟัง แล้วเธอก็จะหัวเราะเยาะเสียงผม เธอชอบให้ผมสระผมให้ เธอบอกว่าต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว..........คุณวางหูก็ได้นะ ผมขอโทษที่เล่าเรื่องอะไรก็ไม่รู้ให้คุณฟังทั้งที่คุณไม่รู้จักเรา น้ำเสียงนั้นกลั้วเสียงสะอื้นนิดๆ แอนรู้สึกอินจนน้ำตาซึม
บ้านเธอคงอยู่แถวนี้ใช่ไหม ถึงออกมารับสายคุณได้ทุกคืน
บ้านเธออยู่ก้นซอยฝั่งตรงข้ามนี่เองครับ
แอนหันไปดูฝั่งตรงข้าม....ในซอยมืดมาก มีเพียงเสาไฟที่หน้าปากซอยต้นเดียวเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง เป็นเธอคงไม่กล้าเดินออกมารับสายแน่
ฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆแล้ว
เสียใจด้วยค่ะไม่รู้จะช่วยคุณยังไง
ไม่เป็นไรครับแค่คุณช่วยรับฟัง ผมก็ดีใจแล้ว
แล้วเธอจะแต่งงานเมื่อไหร่คะ
ที่จริงเธอต้องแต่งเมื่อพุธที่แล้ว
แล้วเกิดอะไรขึ้นค่ะ
คืนก่อนแต่งงาน เธอมารับสายเหมือนเดิม คืนนั้นฝนตกปรอยๆ.....
แอนมองเห็นฝั่งตรงข้ามมีผู้หญิงผมยาวยืนอยู่ รูปร่างผอมบาง ผมยาวเปียกฝนก้มหน้านิ่งอย่างเศร้าสร้อย ยืนอยู่ใต้เสาไฟฟ้ากำลังจะข้ามถนน ใช่เธอแน่นอนแอนมั่นใจมาก และดีใจที่จะเซอร์ไพร์ซเขา จึงถือสายรอให้เธอมารับแทน
ยังไงต่อคะ แอนถ่วงเวลา
คืนนั้นผมตั้งใจจะลาเธอจึงมารอเธอใกล้ๆ พอเธอรับสายผมเท่านั้น คู่หมั้นเธอก็ตามมาทันเขาโกรธแค้นมาก เขายกปืนขึ้นยิงเธอ.....จนตาย
แอนขนลุกเกรียว...ถ้าจริงตามนั้น แล้วคนฝั่งตรงข้ามเป็นใคร เธอเหลียวมองด้วยหางตาแล้วต้องสะดุ้ง ร่างนั้นมายืนหน้าตู้แล้ว..มาถึงเมื่อไหร่? เธอก้มหน้านิ่ง ผมปรกไปครึ่งหน้า เห็นตาข้างหนึ่งจ้องมาที่แอน เธอเย็นสันหลังวาบอ้าปากค้าง ตัวแข็งทื่อ เมื่อร่างนั้นค่อยๆแทรกตัวผ่านประตูตู้โทรศัพท์เข้ามาช้าๆ แอนขาอ่อนรูดตัวลงที่พื้น
เสียงตามสายยังไม่หยุด
แล้วเขาก็หันมายิงผมด้วย เข้าเบ้าตาเต็มๆ ผมไม่ควรอยู่ในตู้โทรศัพท์นั่นเลย ลูกกระสุนทะลุหัว สมองกระจาย...ไม่เชื่อหันมาดูตู้ข้างๆซิ..
แอนเกร็งคอหันไปดูตู้ข้างๆ พร้อมๆกับคนในตู้หันหน้ามาสบตาเธอมือเขายังถือหูโทรศัพท์ ตาเขาทะลุเป็นรูโบ๋