18 กุมภาพันธ์ 2554 09:24 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.เย็นเอ๋ย..เย็นชื่นนักคืนนี้
แม้ไม่มีดาวดื่นเช่นคืนนั้น
ป่าไผ่เวิ้งลานวัดเวฬุวัน
แสงเพ็ญจันทร์เย็นฉ่ำช่างอำไพ
แลใบไผ่ใบแล้งลิดใบร่วง
อำลาห้วงมหรรณพสู่ภพใหม่
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
มิมีใครสักคนจะพ้นมัน...
๒.พันสองร้อยห้าสิบสมณะ
ผู้เป็นพระอริยะอรหันต์
เดินท่ามทางเย็นเยียบและเงียบงัน
มีแสงจันทร์นำทางทุกย่างเท้า
สติรู้ย่ำดินหรือหินกรวด
ทุกผู้บวชด้วยพระพุทธเจ้า
อาศัยการปฏิบัติมาขัดเกลา
หมายเข้าเฝ้าพระศาสดาที่อาราม
ผ่านกอไผ่ถึงฐานแท่นประทับ
แสงจันทร์จับเด่นดวงในเดือนสาม
ขณะพระตถาคตผู้งดงาม
ประทับท่ามจันทราในราตรี
แสงจากเพ็ญพราวลานฤๅหาญแข่ง
กับวงแสงฉัพพรรณรังสี
ของพระผู้เต็มด้วยบารมี
ดังสุรีย์คราวฉายประกายพรึก
แม้แสงผ่องกว่าเพ็ญแต่เย็นยิ่ง
สงบนิ่งทุกอณูจนรู้สึก
ผู้ใดได้ฟังธรรมย่อมสำนึก
ย่อมรำลึกด้วยความกตัญญู
ดั่งเหล่าสงฆ์องค์พระอรหันต์
อยู่ต่างขัณฑ์ต่างจุดไกลสุดกู่
มารวมกราบพระปฐมบรมครู
โดยทุกผู้มิได้นัดหมายกัน
บัดนี้ลานนั้นแน่นขนัด
แต่สงัดราวดั่งแดนสวรรค์
สดับเสียงสมณภควันต์
อรหันต์ประนมหัตถ์นมัสการ
ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์
ว่าสัตว์โลกในวงวัฏฏ์สงสาร
ควรตั้งใจหมายทิพย์พระนิพพาน
เมื่อสังขารอำลาโลกมนุษย์
ทำดีเป็นประจำไม่ทำชั่ว
ทำจิตมัวให้ใสบริสุทธิ์
คือหัวใจแห่งศาสนาพุทธ
เป็นทางหลุดพ้นจากวิบากกรรม
แล้วจึงทรงสอนสั่งสงฆ์ทั้งหลาย
อย่ากล่าวร้ายผู้ใดให้ใจช้ำ
อย่าทำร้ายผู้ใดด้วยใจดำ
สำรวมในพระธรรมวินัย
รู้จักพอประมาณในการฉัน
เลือกที่อันสงัดสงบไว้
เพื่อนั่งนอนฝึกจิตและฝึกใจ
พระจอมไตรจบพุทธวาจา
อรหันต์ทุกองค์บรรจงกราบ
ด้วยซึ้งซาบในธรรมคาถา
แต่เสียงหนึ่งเบาแผ่วที่แว่วมา
เสียงคนธรรพ์เทวาสาธุการ
๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔