16 กุมภาพันธ์ 2553 05:07 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.กองเพลิงลุกโพลนไฟโชนแสง
ถ่านแดงธุลีเถ้าสีขาว
หนังสือเล่มเขื่องเล่าเรื่องราว
เรื่องดาวพวยพุ่งจากโพ้นฟ้า
หากได้แปดเศษดาวศักดิ์สิทธิ์
จะได้ดังจิตปรารถนา
คนที่ลาลับจะกลับมา
เป็นเรื่องปรำปราที่ว่าไว้
เป็นเรื่องที่เขาเคยเฝ้าอ่าน
นิทานก่อนนอนอันอ่อนไหว
วันเขาไม่กลับจากทัพไทย
วันที่หัวใจเธออ้างว้าง
คืนนี้ฝนหนาวลงกราวเกล็ด
สาดเม็ดเป็นฝ้านอกหน้าต่าง
แสงจันทร์กลางเดือนดูเลือนลาง
นวลนางยืนเดี่ยวอย่างเดียวดาย
ทะเลเหว่ว้าเวลาค่ำ
หยาดน้ำตาหยดเปียกจดหมาย
ส่งข่าวคนรักอาจจักตาย
สูญหายพลัดหลงในสงคราม
เธอมองม่านฝนที่หม่นมิด
ชีวิตครอบงำด้วยคำถาม
มากมายเท่าทุกข์ที่คุกคาม
ในท่ามความมืดอันชืดชิน
กองไฟไอฟืนไอชื้นจับ
ไฟดับควันคงยังส่งกลิ่น
ผีเสื้อโผผกแล้วตกดิน
คราวิญญาณแตกลงแหลกลาญ.
๒. เธอจึงอ้อนวอนจันทร์กระนั้นหรือ
กอดหนังสือเล่มเก่าที่เขาอ่าน
ตราบฝนตกต้องตามฤดูกาล
อธิษฐานต่อดาวทุกคราวคืน
ยังเขียนรูปดอกไม้บนชายหาด
แม้รูปอาจสลายด้วยพรายคลื่น
ยังสุมใส่ไฟอุ่นด้วยดุ้นฟืน
ฟังสะอื้นสายฝนอยู่คนเดียว
ลูบละอองไอฝ้าที่หน้าต่าง
อาจจะล้างใจร้าวผู้เปล่าเปลี่ยว
โลกที่ไร้ยิ้มจากริมปากเรียว
ย่อมบิดเบี้ยวไร้ค่าและทารุณ
สงครามจบหรือยังอีกฝั่งโลก
กี่เลือดโชกจะทั่วหัวกระสุน
กี่ร่วงเป็นใบไม้เมื่อพ่ายพรุน
ทดแทนคุณแผ่นดินจนสิ้นใจ.
.............................................
ท้องฟ้าคราวเช้าครามสีครามคล้ำ
กับเสียงพร่ำไพเราะละเมาะไม้
คือเสียงนกการเวกวิเวกไพร
แหละยังอวลควันไอจากไฟฟืน
มือกอบทรายฉ่ำน้ำทุกสัมผัส
พอลมพัด..มือคลายจากทรายชื้น
เม็ดทรายร่วงร่องนิ้วแล้วลิ่วคืน
ก่อนเกลียวคลื่นแรกสาดถึงหาดทราย
ทรายค่อยไหลเรื่อยเรื่อยอย่างเฉื่อยช้า
พลัน!..สายตาสะดุดสิ่งสุดท้าย
เหลือก้อนเกล็ดเศษดาวอันพราวพราย
ซึ่งคลับคล้ายเรื่องขำในตำนาน.
ช่วงชีวิตยากยิ่งหลังพิงเชือก
เหลือทางเลือกคือคว้าปาฏิหาริย์
ฉุดใจล้มจมปรักจากดักดาน
อาจเรียกขานให้ชัดว่าศรัทธา
เป็นดั่งดวงดาวประกายพฤกษ์
ที่ผนึกใจแหว่งจนแกร่งกล้า
หากคุณเห็นเพียงพรายประกายตา
จะรู้ว่ามุ่งมั่นเป็นฉันใด.
................................................
ตะลอนร่อนร้อนร้าวและหนาวนัก
จะพบสักเศษแร่ยากแค่ไหน
กว่าจะเก็บเจ็ดแก้วเจียรไน
วันแห่งวัยอายุก็ลุเลย
อีกเพียงหนึ่งอำพันจะครันครบ
แต่จะพบที่ไหนเล่าใจเอ๋ย
เพราะชราช้าย่างใช่อย่างเคย
จะลงเอยอย่างไรเล่าวัยนี้
ตาสองข้างมองใครก็ไม่ชัด
ค่อยค่อยถัดผอมกะหร่องผมสองสี
เลยจะรั้งสังขารปีผ่านปี
ตราบยังมีความหวังจะยังบิน
หวังพรอันใหญ่ยิ่งหรือมิ่งขวัญ
พลอยสำคัญอาจซ่อนหลังก้อนหิน
เจ้าหญิงเอ๋ยเลยร่วงลงดวงดิน
ก็กลั้วกลิ่นคำสาปอันหยาบช้า.
.............................................
เช้าวันใหม่ไขลานด้วยม่านหมอก
ในหลืบซอกใครเยือนต้องเบือนหน้า
มีตะคุ่มเงานิ่งหญิงชรา
นั่งหลับตาล้าง่วงและร่วงโรย
เคยหยุดยืนให้เห็นเป็นระยะ
คุ้ยขยะหาหินกลางกลิ่นโหย
ไม่ก่นด่าฟ้าโหดเฝ้าโอดโอย
ยอมรับโดยดุษฎีว่า..ชีวิต
อย่าคาดหวังสังเกตถามเหตุผล
เธออาจดูคล้ายคนวิกลจริต
แต่เก็บงำความงามแห่งความคิด
ซึ่งศักดิ์สิทธิ์เกินให้ผู้ใดรู้
เมื่อสายฝนหล่นไหล..คนไร้บ้าน
สั่นสะท้านนอนขดน่าหดหู่
พอลมหนาวพราวพัดสะบัดพรู
อีกฤดูทรมาณเพิ่งผ่านไป.
แต่อากาศจะเย็นถึงเอ็นเท้า
จะทนเท่าสังขารจะทานไหว
อาจพบแก้วสุดท้ายก่อนวายวัย
เพื่อดวงใจผู้รอได้ขอพร
จะสมหวังทุกอย่างหรือว่างเปล่า
ยอมคุกเข่าเพราะหวังลางสังหรณ์
หากไม้เท้ายังนำทุกย่ำจร
จะตะลอน..ต่อไป และ..ต่อไป
............................................
ระเบียงชาหน้าหนาวนั้นเช้าช้า
หญิงชราอิดโรยผู้โหยไห้
นั่งดูชาหอมกรุ่นอวลอุ่นไอ
เธอยากไร้เกินกว่าเข้ามาชิม
............................................
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
16 กุมภาพันธ์ 2553 05:04 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.คงไม่ต้องขี่หลังข้ายังไหว
ยังยิ้มได้เพื่อนเอ๋ยอย่างเคยยิ้ม
ไปเถิดไปหาซื้อหนังสือพิมพ์
นั่งอ่านริมสนามในยามเย็น
เสาไฟฟ้าเปิดไฟเมื่อใกล้ค่ำ
ดาวประจำเมืองไฉนมองไม่เห็น
หรือถูกลบกลบเกลื่อนจากเดือนเพ็ญ
อาจจะเป็นเช่นนั้นนิรันดร์กาล
ดูแดดโลมโลกมนุษย์แสงสุดท้าย
เถิดสหายแห่งข้าผู้กล้าหาญ
ฟังเรไรแหละหริ่งรัตติกาล
ใช่กังวานเสียงปืนเช่นคืนนั้น
คืนที่มัจจุราชสาดกระสุน
คืนที่วุ่นหวีดเสียงอย่างเสียขวัญ
คืนที่หลายร่างเหลวกลางเปลวควัน
ภาพไม่อันตรธานดั่งวานนี้
เสียงระเบิดระยำ..ข้าจำได้
แปลบเปลวไฟร้อนเร่าเหมือนเผาผี
บดสองขาข้าหักกลางอัคคี
แหลกปนเถ้าธุลีเป็นเศษเนื้อ
อยากขอบคุณมากมายสหายข้า
ที่วิ่งฝ่าลำห้วยเข้าช่วยเหลือ
ท่ามกลางซากศพเหม็นตายเป็นเบือ
เขาพลีเพื่อผืนด้าวแผ่นดินรัก
ตัวของเพื่อนเปื้อนเลือดแหละเผือดซีด
มีปลายมีดปักบ่าคาสะบัก
เพื่อนโอบข้าวิ่งอุ้มเข้าหลุมพัก
เข้าซุกใต้ซากปรักของป้อมปืน
เศษขาข้าทั้งสองก็ร่องแร่ง
รอยเลือดแดงไหลโทรมชโลมพื้น
คงเป็นฝันน่ากลัวแค่ชั่วคืน
พอเช้าตื่นฝันร้ายคงหายไป
แต่รอยยิ้มของเพื่อนนั้นเจื่อนนัก
เรานั้นจักรอดตายกันใช่ไหม
ก็ปึงปังบังเกิดระเบิดไฟ
เสียงปืนใหญ่ถล่มระดมยิง
ภาพที่ก่อนดวงตาข้าล้าหลับ
ภาพเพื่อนพับล้มแผ่ลงแน่นิ่ง
แต่มือกำภาพถ่ายไม่ไหวติง
รูปเจ้าหญิงของเพื่อนผู้เลือนลาง.
................................................
คืนนี้พราวเดือนเพ็ญฟ้าเย็นนัก
สหายรักเบื้องหน้ายังฟ้ากว้าง
สมรภูมิเพลิงเผาเขม่าพราง
ช่างแตกต่างกับฟ้าเวลานี้
เหรียญกล้าหาญเกรอะเก่าด้วยเถ้าธูป
วางใกล้รูปที่ดูยับยู่ยี่
ที่สหายใส่พานไว้นานปี
ยังเลอะสีเลือดกรังแต่ครั้งนั้น
ภาพที่เพื่อนเคยเล่า..คือเจ้าหญิง
คือทุกสิ่งสวยงามเหมือนความฝัน
คือทุกสิ่งที่พร้อมหลอมรวมกัน
คือแรงบันดาลใจในชีวิต
แต่สหายไม่กลับไปรับขวัญ
ปล่อยให้เธอจาบัลย์สำคัญผิด
อยู่ในโลกเย็นชืดและมืดมิด
แหละร้างทิศไร้ทางจะย่างเท้า
.............................................
เพื่อนรู้เถิดว่าข้าก็ล้าลึก
เสี้ยวรู้สึกอ้างว้างและว่างเปล่า
ให้เธอเลือกย้อนมองวันของเรา
จำวันเก่าก่อนพลันอันตรธาน
เพลิงเผาข้าป่นปี้เป็นปีศาจ
ถึงสูญเสียแขนขาดก็อาจหาญ
แต่สูญเสียสติและพิการ
จะกลับบ้านอย่างไรเล่าใจรู้
ให้ข่าวข้าสูญหายหรือตายลับ
การไม่กลับบางบทอาจหดหู่
แต่วันหนึ่งเธอกล้าเปิดตาดู
จะเลือกอยู่เพื่อย่างเหมือนอย่างเคย
โลกของข้าผุพังรอฝังศพ
สงครามจบลงแล้วทแกล้วเอ๋ย
แหละป่วยการถามทวงวันล่วงเลย
สู้ยิ้มเย้ยชะตาให้สาใจ
จึงมิหลงเหลือฝันถึงวันหน้า
เลยเวลาปะผุอายุขัย
เพียงเลี้ยงตัวให้รอดและปลอดภัย
ยากแค่ไหนกว่าวานจะผ่านวัน
ตอนข้าเห็นความตาย..สหายเฒ่า
พรุ่งนี้เช้าคือคำแค่ขำขัน
พิโรธเพลิงแดงโร่จากโลกันตร์
ขบเคี้ยวฟันราวพญาแห่งซาตาน
อาจประสงค์พระเจ้าให้เรารอด
สู่อ้อมกอดแผ่นดินหอมกลิ่นหวาน
ได้เห็นท้องฟ้าใสดอกไม้บาน
ปฏิญาณให้ดินทั้งสิ้นรู้
หากข้าศึกฮึกเหิมและโหมกล้า
อย่าหมายว่าหัวใจข้าไม่สู้
ด้วยเลือดแดงพรูผุดจนหยุดพรู
หวังแผ่นดินรักกูอย่างกูรัก
..............................................
๒.ดึกดื่นคืนหนาวหลากดาวหาง
พุ่งร่างร่วงสู่กลางหมู่สัก
แร่น้อยรอยร้าวนั้นวาวนัก
รอยหยักแร่เย็นกว่าเพ็ญพราว
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓