14 มิถุนายน 2552 17:17 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ณ เนินกว้างทางไหนก็ไม้ดอก
ที่ผลิออกอวดชูเต็มภูเขา
แดดเช้าฉายไม้ช่อจึงก่อเงา
สายลมเบาโบกคว้างอยู่กลางดิน
เขาเงยหน้าตาหลับสดับเสียง
แม้แผ่วเพียงลมพัดสัมผัสหิน
แม้เสียงปีกกำดัดนกหัดบิน
และได้ยินคำบอกของหมอกโปรย
ภารกิจอยู่ยังอีกฝั่งฟาก
เธออาจฝากข่าวไปหากไห้โหย
ลมวสันต์กรรโชกจะโบกโบย
เขารู้โดยยินแค่กระแสลม
แม้มิใช่มนุษย์คนสุดท้าย
เขายอมตายไม่พร้อมจะยอมล้ม
มีความฝันวันตื่นไว้ชื่นชม
ไม่ยอมก้มศีรษะต่อชะตา
ในท้องน้ำค่ำไหนคงไม่ต่าง
ทุกเดินทางคำตอบคือขอบฟ้า
คงมีเรื่องเล่าฝากจากปากกา
จะกลับมาสวมกอดเมื่อจอดเรือ
..จงเข้มแข็งเพื่อฉันอย่าหันหลัง
หากเธอยังเชื่อมั่นเหมือนฉันเชื่อ
หวั่นศรัทธาถอยห่างจนจางเจือ
อย่าน้อยเนื้อต่ำใจยามไกลจร
ถ้าใจน้อยบ่อยครั้งจะฝังราก
จนลึกมากเกินหยั่งหรือรั้งถอน
ถ้าคิดถึงทุกคราวก่อนเข้านอน
ก็ยากคลอนใจคลายให้หน่ายกัน
แหวนดอกไม้วงน้อยดูด้อยค่า
สวมเถิดถ้าวันหนึ่งคิดถึงฉัน
อาจเก็บไว้ใส่ตลับคอยนับวัน
อย่าปล่อยมันทิ้งขว้างลงกลางทราย
แหวนที่มือหยาบกร้านฉันสานจีบ
ทุกก้านกลีบมาลีมีความหมาย
มีสุขทุกข์เจ็บปวดเป็นลวดลาย
ขมวดปลายเป็นขดแทนอดทน
หวังหนาวหน้าฝ่าคลื่นมายืนคู่
ฝ่าฤดูมรสุมและกลุ่มฝน
ผ่านวันล่วงเลยล่องเราสองคน
คงข้ามพ้นความเหงาแห่งเยาว์วัย
จะเรียนรู้ใจกันเมื่อวันห่าง
ระยะทางเปลี่ยนแปรเราแค่ไหน
ฉันจะยังคงรอเธอก่อไฟ
โปรดอย่าให้ไฟสรวงนั้นร่วงลง
ทะเลค่ำน้ำเค็มไร้เข็มทิศ
เมื่อมืดมิดเรือน้อยคงลอยหลง
ถ้าแสงสรวงดวงนั้นยังมั่นคง
ก็โปรดจงส่องสว่างนำทางเรือ
ฉันจะรอดาวรุ้งจนรุ่งฟ้า
นำนาวาเดินทางด้วยหางเสือ
หวั่นเขม่าเร้ารุมจนคลุมเครือ
อาจเป็นเหยื่อมัจฉาให้ปลากิน
ฉันจะใช้การกระทำแทนคำพูด
บทพิสูจน์ชายชาญคืองานหิน
เมื่อภาระผ่านพ้นไร้มลทิน
นกขมิ้นอาภัพจะกลับรัง.
........................................
แล้วเรือลำน้อยน้อยก็ลอยล่อง
สู่ห้วงท้องธารพรากไปจากฝั่ง
เธอยืนมองท้องน้ำตามลำพัง
ก่อนจะหลั่งน้ำตาอย่างล้าแรง
จึงจับแหวนดอกไม้ที่ไร้ค่า
เคยสัญญากับเขาจะเข้มแข็ง
กลับผิดคำสัญญาสองตาแดง
กลายเป็นแอ่งหยดน้ำแทนคำลา
เพียงหวังการเดินทางใช่ลางร้าย
ยังคาดหมายพบกันในวันหน้า
แลเรือน้อยลอยลับไปกับตา
ขณะฟ้าจรดน้ำเริ่มค่ำลง..
๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๒
7 มิถุนายน 2552 14:43 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ฉันลืมตาจากหมอนในตอนสาย
ฝนเพิ่งหายจากฟ้านอกหน้าต่าง
เหลือละอองเต็มตรอกเป็นหมอกจาง
คล้ายน้ำค้างเย็นเยือกจับเปลือกไม้
มองฟ้าเทาเท้าย่างลงทางหิน
หอมไอดินกลิ่นหอมกว่าหอมไหน
ระเหยหอบความชื้นมาชื่นใจ
แหละเตือนให้รับรู้ฤดูกาล
ฝนร่วงกรูกราวใหญ่ใบกระเพื่อม
อุ้งมือเอื้อมน้ำเย็นกระเซ็นซ่าน
น้ำฝนฉ่ำชุ่มใบดอกไม้บาน
คิดถึงบ้านคงสู่ฤดูนา
เห็นใบแห้งแฝงกายอยู่ใต้ต้น
เปียกปอนฝนยับยุ่ยเป็นปุ๋ยหญ้า
เมล็ดพันธุ์วันหนึ่งจะลืมตา
เป็นต้นกล้ากล้าแกร่งท้าแรงลม
ต้นไม้ใหญ่ใบคบสงบนิ่ง
เหมือนเห็นสิ่งมากมายเกิด ตาย ล้ม
จากผลิดอกงอกเงยน่าเชยชม
จวบโทรมซมล้วนเล่ห์แห่งเวลา
ใบหูกวางสีแดงและแห้งกรอบ
ถูกลมหอบลอยล่องสู่ท้องฟ้า
พอลมหมดแรงยกก็ตกมา
สู่กอหญ้าริมทางเหมือนอย่างเดิม.
๗ มิถุนายน ๒๕๕๒