28 มกราคม 2552 10:40 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
พ่อจอดรถตอนรับลูกกลับบ้าน
มองสัญญาณเมื่อไหร่จะไฟเขียว
ใกล้จะหมดรถติดอีกนิดเดียว
จะได้เลี้ยวขวาไปเข้าในซอย
ชี้ลูกดูไฟแดงที่แผงเหล็ก
เป็นตัวเลขย้อนกลับวิ่งนับถอย
เลขที่คนตั้งหน้าตั้งตาคอย
จะถูกปล่อยตามเวลาจราจร
แต่ละวินาทีเหมือนชีวิต
ถูกรอนริดถูกตัดถูกกัดกร่อน
ไม่มีใครค้ำฟ้าอย่าถาวร
จะเกิดก่อนเกิดหลังไม่ต่างกัน
ลูกจะเติบโตสู่วัยผู้ใหญ่
แต่พ่อไม่ได้เป็นดังเช่นนั้น
ย่อมทรุดโทรมล้มลุกลงทุกวัน
ไฟความฝันพลันลดจนหมดไฟ
เราถอยหลังที่จุดเราหยุดวิ่ง
วันเวลาคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่
เป็นนายสิ่งทั้งปวงทุกช่วงวัย
มีมอบให้เรียกกลับ แล้วดับลง
วัยลูกยังมีแรงเพื่อแข่งขัน
อย่าทิ้งฝันนานเกินจนเดินหลง
หากหาทางสร้างฝันอย่างบรรจง
จะมั่นคงทุกทางที่ย่างเท้า
เจอหน้าผาอย่าท้อสร้างข้อแม้
อย่ายอมแพ้แม้ปีนด้วยตีนเปล่า
ต้องคมหินเลือดไหลวัดใจเรา
จะคุกเข่าหรือว่ายังกล้าไป
.............................................
แล้วรถก็แล่นไปเมื่อไฟเขียว
ก่อนจะเลี้ยวขวาค่อยเข้าซอยใกล้
เด็กคนนั้นหันจ้องไปมองไฟ
เมื่อหัวใจเริ่มเปลี่ยนเริ่มเรียนรู้......
๒๘ มกราคม ๒๕๕๒
15 มกราคม 2552 21:00 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.งอน
แค่ไม่อยากผลุดลุกจากคุกเข่า
คงไม่เน่าเฉาตายกลางสายฝน
หัวใจข้าทรหดยังอดทน
อย่าได้สนใจข้า..อย่าสนใจ
ที่ร้องไห้ใช่ข้าจะขี้แพ้
ก็เพียงแค่ฝนมาน้ำตาไหล
ก็มีบ้างบางวันถูกควันไฟ
เหตุมิใช่แก้วตา..อย่าสำคัญ
ใต้ขนข้าถูกหมัดมันกัดยับ
แต่ใจกลับเฉยเฉยยังเย้ยหยัน
ต้องตากฝนนั่งแช่เพื่อแก้คัน
ไอ้เรื่องหวั่นเรื่องไหวข้าไม่มี
หัวใจข้าช้ำฟกก็อกข้า
ข้าเยียวยาผ่าตัดข้าขัดสี
ข้าอยู่ของข้าได้มาหลายปี
เรื่องนารีหักอกตลกจัง.
๒.เจ็บ
กระดูกหมูดูร่อยเพราะรอยเขี้ยว
ข้าเคยเคี้ยวเคยขบก่อนกลบฝัง
ขณะเจ้าเห็นเขาแล้วเห่าดัง
เดินตามหลังต้อยต้อย..ข้าน้อยใจ
กี่แผลลึกเจ็บล้าแสนสาหัส
ถูกลอบกัดสลบเหมือดกี่เลือดไหล
เขี้ยวเคยคมล้มแล้วก็แล้วไป
แต่ผู้เย้ยกลับใกล้ไม่ไกลตัว
ข้าล้มลุกคลุกคลานลงคลานเข่า
รอแผลเน่าแห้งเหือดล้างเลือดชั่ว
หรือเจ้าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
หรือข้ามัวเมาสนแต่ตนเอง
ยิ่งเห่ายิ่งเจ็บแปลบเสียงแหบโหย
ข้าอิดโรยร้าวร่างจนครางเอ๋ง
ขอหันหลังตั้งหลักอย่างนักเลง
คนเคยเก่งบัดนี้เหมือนขี้ยา
จบความเจ็บฝนล้างจะจางไร้
แลกกับให้รถยนต์วิ่งชนหมา
หากข้ารอดข้าจะเลือกเปิดเปลือกตา
รับอรุณแสงจ้ารักษาใจ.
๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๑
13 มกราคม 2552 17:39 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.ไอ้จุกวิ่งหน้าตั้งมานั่งหอบ
แล้วดึงขอบชายเสื้อเช็ดเหงื่อไหล
หลวงพ่อนั่งสมาธิกุฏิใน
ก็ตกใจเสียงไอ้จุกที่ลุกลน
๒.เปิดประตูออกมาเห็นหน้าศิษย์
หลวงพ่อคิดถึงเจตน์และเหตุผล
จึงนั่งลงที่เหมาะเฉพาะตน
มิพร่ำบ่นแต่กลับคอยรับฟัง
๓.ตะกี้จุกเห็นทางลุงข้างบ้าน
ลงไปคลานดิ้นรนเหมือนคนคลั่ง
ร้องมอมอเหมือนวัวน่ากลัวจัง
จุกหันหลังหลับตาไม่กล้ามอง
๔.สักครู่จึงดูเหมือนหยุดเคลื่อนไหว
หรือแกหยุดหายใจจึงไม่ร้อง
น้ำลายไหลเยิ้มเหม็นอยู่เป็นฟอง
ตาลุกพองเบิ่งอ้าอย่างน่ากลัว
๕.จุกขอถามหลวงพ่อพอรู้ไหม
ตอนหนุ่มใหญ่แกทำแต่กรรมชั่ว
ชอบเชือดไก่จับปลาชอบฆ่าวัว
ตอนนี้ตัวตายไปอยู่ไหนกัน
๖.หลวงพ่อยิ้มชอบใจตอบไอ้จุก
แกรับทุกขเวทนาก่อนอาสัญ
อาจเกิดเป็นสัตว์นรกตกโลกันตร์
อยู่ในนั้นทรมาณเป็นล้านปี
๗.จุกฟังยิ่งสนใจถามใหม่ว่า
ยังงี้ถ้าคนตายใช่รายนี้
ถ้าเป็นคนเคยทำแต่กรรมดี
อยากรู้ที่เกิดบ้างดูอย่างไร
๘.คนย่อมทำดีบ้างทั้งสร้างบาป
ยากจะทราบชาติเกิดกำเนิดใหม่
ภาพนิมิตติดจินต์ก่อนสิ้นใจ
ย่อมบอกใบ้ให้รู้ทุกผู้คน
๙.จะเห็นภาพแต่หลังเหมือนหนังฉาย
ภาพสุดท้ายที่เห็นจะเป็นผล
จึงสุดรู้สุดคาดถึงชาติตน
แต่ฝึกฝนเลือกได้และง่ายทำ
๑๐.ถ้าเห็นภาพไฟฟอนเหล็กร้อนฉ่า
สัตว์เคยฆ่าย่างกรายหมายขย้ำ
จนหวาดกลัวร้องกรีดดั่งมีดตำ
ย่อมดิ่งล้ำลงนรกไฟลุกแรง
๑๑.ถ้าเห็นภาพข้าวลีบรวงกลีบหล่น
ถ้ำมัวหม่นมืดดับและอับแสง
จะเป็นเปรตเวทนานัยน์ตาแดง
ลำคอแห้งดั่งทรายกระหายน้ำ
๑๒.ถ้าเห็นภาพทุ่งหญ้าและป่ากว้าง
เห็นม้า ช้าง กวาง ฯลฯ เล่นลมเย็นฉ่ำ
จะเกิดเป็นเดรัจฉานจากฐานกรรม
นิมิตย้ำภาพสัตว์อย่างชัดเจน
๑๓.ถ้าเห็นภาพเนื้อเหมือนว่าเคลื่อนไหว
ก้อนหัวใจในครรภ์ที่มันเต้น
จะเกิดเป็นคนใหม่ไปสร้างเวร
หรือเลือกเป็นคนดีอยู่ที่เรา
๑๔.ถ้าเห็นภาพเทวดาและปราสาท
รุกชาติงดงามไร้ความเศร้า
จะเป็นเทพมีวิมานอยู่นานเนา
ไม่แก่เฒ่าบนสวรรค์ตราบวันตาย
๑๕.ถ้าเห็นพระพุทธองค์ผู้ทรงฤทธิ์
อรหันต์สานุศิษย์ทุกทิศสาย
เบื่อขันธ์เบือนเรือนร่างที่วางวาย
ย่อมเกิดกายเป็นทิพย์อยู่นิพพาน
๑๖.ไอ้จุกฟังทุกข้อหลวงพ่อตอบ
จึงถามสอบเพื่อแยกให้แตกฉาน
ถ้าก่อเวรเข่นฆ่ามาช้านาน
ก่อนวายปราณเปลี่ยนพับโจรกลับใจ.
๑๗.เอ็งไม่ต้องถามต่อหลวงพ่อรู้
เรื่องที่อยู่หลังตายแล้วใช่ไหม
มีธรรมเนียมน่าสนของคนไทย
คนสมัยก่อนเล่าให้เราฟัง
๑๘.ถ้าใกล้ตาย..มองพระพุทธ ผู้ผุดผ่อง
เขาให้ท่อง สัมมา อะระหัง
สมัยนี้ละทิ้งไม่จริงจัง
สิ่งปลูกฝังยายย่าก็ว่าเชย
๑๙.ถ้าเราท่องภาวนา จำหน้าพระ
ก่อนเราจะสิ้นใจไปเฉยเฉย
โอกาสไปอเวจีไม่มีเลย
และไม่เคยมีใครไม่ไปดี
๒๐.จะเกิดบนสวรรค์แม้ชั้นต่ำ
ถึงก่อกรรมฆ่าสัตว์ทำบัดสี
แต่อารมณ์ก่อนสิ้นชาติอินทรีย์
แหละบ่งชี้ที่เกิดดังกล่าวมา
๒๑.แต่ว่ากรรมทั้งหลายไม่หายสาป
ที่สร้างซ้ำทำบาปจนหยาบหนา
เมื่อหมดสิ้นผลหนุนจากบุญญา
ย่อมมุ่งหน้านรกร้อนกลางฟอนไฟ
๒๒.ไอ้จุกเอ๋ย..ถ้าใครที่ใกล้ดับ
หูเลิกรับรู้เสียงแม้เพียงไหน
แม้แต่ภาพพระรัตนตรัย
แม้แต่ใครมาฉุดท่องพุทโธ
๒๓.ภาพทุกภาพถึงเวลาย่อมปรากฏ
เรากำหนดไม่ได้ไม่ให้โผล่
จะจนรวยแค่ไหนหรือใหญ่โต
ไม่พ้นโซ่ตรวนกรรมที่ทำเวร
๒๔.พระพุทธองค์จึงตรัสดำรัสไว้
ให้ตั้งใจทำดีอย่ามีเว้น
ลดละบาปไม่ทำแม้จำเป็น
หมั่นบำเพ็ญภาวนาเป็นอาการ
๒๕.ถ้าจิตติดภาวนา..ก่อนลาลับ
จิตจะจับท่องจำถ้อยคำขาน
เสียง สัมมา อะระหัง จะกังวาน
ในดวงมานเรารู้เพียงผู้เดียว
๒๖.จะลอยลิบสู่ทิพยสถาน
อาจนิพพานสำเร็จถ้าเด็ดเดี่ยว
เป็นความจริงแน่แน่โดยแท้เทียว
ข้าถึงเคี่ยวเข็ญจุกอยู่ทุกวัน
๒๗.จุกก้มกราบหลวงพ่อ จุกขอโทษ
อย่าได้โกรธที่ว่าจุกก๋ากั่น
จะหมั่นท่อง พุทโธ เป็นโล่กัน
จะสวดมนต์อย่างขยันจุกสัญญา
๑๓ มกราคม ๒๕๕๒
8 มกราคม 2552 21:19 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ใบไม้หล่นบนม้านั่งหน้าบ้าน
มองสะพานผุพังกับกังหัน
ผ่านเวลาทุกข์สุขเหมือนทุกวัน
เฝ้าปลอบขวัญตัวเองด้วยเพลงเดิม
แลลานร้าวร้าวรานสงสารหญ้า
ต้องลมหน้าเหมันต์ก็สั่นเทิ้ม
ฤๅน้ำค้างจางหมดไม่หยดเติม
ใบจึงเริ่มแห้งเหี่ยวทั้งเรียวใบ
เปิดสมุดเก็บภาพเปื้อนคราบฝุ่น
แล้วอิงหนุนหมอนปลอกรูปดอกไม้
โล้ชิงช้าล้าแรงจะแกว่งไกว
เรียกดวงใจดวงดับให้กลับมา
เขาเผลอหลงลืมชื่อเธอหรือไม่
เขามิได้ลืมชื่ออย่าถือสา
ภาพปลายก้อยน้อยนิดยังติดตา
ตราบเวลากำหนดความจดจำ
สะพานข้ามลำน้ำเคยงามมาก
เหลือเพียงซากแห้งกรอบและบอบช้ำ
ภาพถ่ายเล่าเรื่องราวสีขาวดำ
เหลืองเป็นจ้ำโดยรอบริมขอบจาง
เธอเหินห่างจางหายเหมือนสายหมอก
อยากจะบอกคำหนึ่ง..คิดถึงบ้าง
เมื่อลาลับ..กลับเยือนคงเลือนลาง
อาจอ้างว้าง..นานลงก็คงชิน
วันที่เหลือเพื่อคอยนับถอยหลัง
จากรวงรังอ้อมอก..เธอผกผิน
จากตะวันโผผกจนตกดิน
จนสูญสิ้นความฝันไม่หันดู
เขาเรียนรู้เพื่อมีคู่ชีวิต
เมื่อครั้งคิดจะมีชีวิตคู่
เมื่อเธอเมินเดินออกนอกประตู
กลับเรียนรู้เพื่อทนอยู่คนเดียว
ขอผ่อนพักสักวันเถิดฝันร้าย
บนเส้นด้ายปลายขดที่คดเคี้ยว
จบความจำน้อยนิดที่ผิดเกลียว
จะโดดเดี่ยวก็ขอเดินต่อไป
ปิดสมุดเก็บภาพเปื้อนคราบฝุ่น
ใต้หมอนหนุนลายปลอกรูปดอกไม้
อาจไม่มีหลงเหลือแล้วเยื่อใย
แต่อย่างน้อยหัวใจ..เคยได้รัก
๘ มกราคม ๒๕๕๒