30 ตุลาคม 2550 19:09 น.

ฝากลม

ฤทธิ์ ศรีดวง

ที่โน่นคงเริ่มหนาวแต่เช้าตรู่
แต่ที่นี่เข้าสู่ฤดูฝน
ไม้ผลิใบโผล่หน่อพอได้ยล
ที่โน่นผลัดใบหล่นลงหรือยัง

ลมฝนอ่อนก่อนเย็นเป็นลมหนาว
ส่งข่าวคราวมาบ้างคนข้างหลัง
กลอนเชยเชยเคยฝากอยากให้ฟัง
คงสมหวังหากพายุกรุณา

ค่ำทางโน้นคืนไหนไร้ดาวส่อง
บางค่ำของน้ำเค็มดาวเต็มฟ้า
คืนที่คลื่นสะอื้นอ่าวคราวจากลา
บอกเธอว่าโปรดคอยอย่าน้อยใจ

ฟ้าเริ่มสางฝนซานอกหน้าต่าง
ลมเดินทางหรือหลงที่ตรงไหน
บทกวีฝากฟ้าลมพาไป
ถึงหรือไม่แล้วแต่กระแสลม				
18 ตุลาคม 2550 20:26 น.

ครู

ฤทธิ์ ศรีดวง

เรือส่งคนขึ้นฝั่งครั้งสุดท้าย
แล้วค่อยพายล่องลอยกลับถอยหลัง
แม้พื้นผุแผ่นไม้ใกล้จะพัง
แต่ก็ยังเข้าจอดอย่างปลอดภัย

ภาพศิษย์ครั้งเมื่อคราวแรกก้าวขา
ยังติดตาทุกยุคทุกสมัย
พวกเธอต้องเติบโตกันต่อไป
ครูภูมิใจเปี่ยมสุขศิษย์ทุกคน

หน้าที่ครูปิดฉากจากวันนี้
แต่หน้าที่เธอถึงทางเริ่มต้น
หากปัญหาโถมทับจนอับจน
จงอดทนฝ่าฟันด้วยปัญญา

เรือจ้างคงห่างไกลในสายหมอก
มวลไม้ดอกผลิผลจากต้นกล้า
ผีเสื้อเพิ่งพ้นฝักดักแด้มา
กางปีกอ้าเติบโตออกโผบิน

๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๐				
12 ตุลาคม 2550 22:25 น.

ฝนตก

ฤทธิ์ ศรีดวง

ดูซิฟ้ามืดมิดมาอีกแล้ว
คงไม่แคล้วกระหน่ำจนฉ่ำฟ้า
ชั่วนับหนึ่งถึงสิบเพียงพริบตา
ก็สาดซ่าซัดซู่ลงสู่ดิน
ซิมโฟนีบรรเลงบทเพลงฝน
ที่เวียนวนฤดูมิรู้สิ้น
เป็นทั้งนาทีแห่งชีวิน
แหละนาทีกลืนกินทำลายล้าง

มาเถิดเริงระบายกลางสายฝน
ล้างรอยมลทินหยาบและคราบด่าง
นานแสนนานเหลือเกินการเดินทาง
นานจนใจกระด้างดังกรวดทราย
แห้งแล้งเหลือเกินทางเดินนั้น
ฝุ่นเถ้ากำมะถันเป็นควันสาย
แดดส่องเม็ดกรวดเป็นประกาย
มีความตายอยู่ทุกขณะใจ

เธอเห็นฝนอึงอื้อนั่นหรือเปล่า
ถอดรองเท้าเถิดเธออย่าเผลอใส่
ให้สองเท้านิ่มเนื้อนุ่มละไม
สัมผัสไอน้ำฝนแต่หนเดียว
แล้วเธอจะหลงรักฤดูฝน
จะหลงมนต์ดอกไม้ใบไม้เขียว
เมื่อรอยปวดเจ็บปร่าถูกยาเยียว
เธอจะไม่เปล่าเปลี่ยวอีกต่อไป

ดูซิน้ำแห่งฟ้าเมื่อปรากฏ
โลกในบางบริบทช่างสดใส
ฝนรินบนใบไม้ทีละใบ
รอการกำเนิดใหม่ของสายรุ้ง

ฟ้าหลังฝนสวยเสมอหากเธอฝัน
เป็นความมหัศจรรย์ของวันพรุ่ง
จับมือเถิดเพื่อนยากเพื่อพยุง
เพื่อขี่รุ้งแสนสวยไปด้วยกัน

๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕				
1 ตุลาคม 2550 21:46 น.

โยนกนคร

ฤทธิ์ ศรีดวง

ยุคขอมดำฟูเฟื่องเรืองอำนาจ 
ไทยเป็นทาสอัปยศถูกกดขี่
โยนกนครอ่อนล้าทั่วธานี
ปฐพีแหลมทองนองน้ำตา
.......................................
สามเณรหนึ่งเพลินเดินธุดงค์
จุดประสงค์ไหว้เส้นพระเกศา
เจริญธรรมตามคำพระสัมมา
ที่ภูผาเชียงแสนดินแดนไกล

ย่างเท้าย่ำตามดินบิณฑบาต
ทรราชถามว่า..มาจากไหน
มีคนตอบ..สามเณรเป็นคนไทย
เฮ้ย..อย่าให้มันกินแม้กลิ่นแกง

สามเณรนึกปลงอย่างสงสาร
มองชาวบ้านทุกข์ทั่วหัวระแหง
กลับถึงถ้ำภาวนาอย่างล้าแรง
เห็นลำแสงฉัพพรรณอันตระการ

เกิดดื่มด่ำในธรรมะปิติ
จึงดำริที่จะละสังขาร
ขอเกิดใหม่อีกครั้งหลังวายปราณ
มากู้บ้านปลดทาสช่วยชาติไทย
.
ณ เวียงวังแห่งพังคราชา
ท่านโหราเขียนคำทำนายไว้
มเหสีจะมีบุตรสุดเกรียงไกร
มาขับไล่ขอมดำให้จำนน

ปลื้มปิติแก่ชนทุกหนแห่ง
เหมือนดินแห้งแง่งหน่อเฝ้ารอฝน
สหชาติสองร้อยห้าสิบคน
บันดลเกิดพร้อมกันในวันเดียว

พรหมกุมารเติบใหญ่วัยสิบหก
ปวงพสกสมคาดฉลาดเฉลียว
หลอมชนแสนขื่นขมจนกลมเกลียว
ทรงเด็ดเดี่ยวจิตใจไหวพริบดี

พระบิดา
ถึงเวลาแตกหักเรื่องศักดิ์ศรี
จะทวงผืนดินพ่อธรณี
มันย่ำยีพร่าผลาญสันดานช้า

ส่วยทองคำส่งปียี่สิบชั่ง
เราหมดหวังหมดตัวกันทั่วหน้า
ลูกเตรียมการทำศึกฝึกศาสตรา
แก่บรรดาชาวบ้านมานานแล้ว

ทั้งหญิงชายทุกคนรู้กลยุทธ
เรียนอาวุธด้วยใจไม่แตกแถว
ปลูกพืชผักขุดคลองทำร่องแนว
ทำหลาวแหลวดาบหอกดอกธนู

มีช้างเผือกเชือกงามตั้งสามเชือก
เอาไว้เลือกขี่คอเพื่อต่อสู้
กำลังใจแข็งกล้ากว่าศัตรู
ขอมมีอยู่สี่เท่าเราไม่กลัว

โหรทำนายศึกนี้ไม่มีแพ้
จะสู้แค่หมดลมไม่ก้มหัว
ประชาชนโดยรอบทุกครอบครัว
จงเตรียมตัวมีชัยต่อไพรี

กษัตริย์ตรัสต่อหน้าประชาราษฎร์
ความเป็นทาสขาดสะบั้นในวันนี้
เราทนมากว่ายี่สิบสองปี
เพื่อน้องพี่ชาวเรามีข้าวกิน

ไทยแข็งข้อขอมดำหมายกำราบ
ยกพลปราบทุรยศให้หมดสิ้น
ยามเคลื่อนทัพขยับเขยื้อนสะเทือนดิน
ได้ยินกึกก้องทั่วท้องฟ้า

พรหมกุมารเตรียมคนขุนพลศึก
กลับวังดึกแสงเดือนเยือนเคหา
ประทับกอดเทวี..พี่ขอลา
จะกลับมาพร้อมชัยมิใช่ทาส

สวามี.
อย่าหมายค่าสตรีนั้นขี้ขลาด
คราวต้องพลีชีวารักษาชาติ
ก็องอาจแน่วแน่ไม่แพ้ชาย

วิธีการรบทัพและจับศึก
น้องร่วมฝึกเยี่ยงชนคนทั้งหลาย
ให้นั่งอยู่ห้องหับคงอับอาย
ขอสู้ตายเคียงบ่าสวามี

พระกุมารสะท้านทรวงในห้วงลึก
มิอาจนึกค้านคำมเหสี
เพราะเด็กจนคนแก่แลสตรี
มิมีครั่นคร้ามต่อความตาย

พรหมกุมารทรงพลายประกายแก้ว
อยู่หน้าแถวทหารกล้าอยู่ขวาซ้าย
ทหารหญิงสวมชุดบุรุษชาย
เป็นอุบายซ่อนหอกหลอกศัตรู

กองทัพขอมกระหยิ่มใจเมื่อใกล้เข้า
หมิ่นไทยเขลาวิปริตคิดต่อสู้
อหังการหาญกล้ากบฏกู
จะคอยดูเผ่าพันธุ์มันบรรลัย

ขอมเคลื่อนผ่านลานข้าวและชาวป่า
เป็นกลศึกลวงตาหารู้ไม่
ตกในวงล้อมพลันทันใด
ธนูไฟถาโถมโจมตี

เพลิงร้อนเผาผลาญกระพือ
แตกฮืออกสั่นขวัญหนี
ทัพไทยโรมรันทันที
บดขยี้ขอมร่นลนลาน

ดาบกระทบรบกันสนั่นโคก
จนชุ่มโชกเลือดข้นพลทหาร
ขอมปิดเมืองพัลวันแล้วลั่นดาน
คชสารพุ่งถลาเอางาแทง

ประตูไม้ฉีกแตกแหลกสะบั้น
พระกุมารกายสั่นทรงกรรแสง
เห็นชายาถูกหอกเลือดออกแดง
พิงกำแพงร่างทรุดหยุดหายใจ

อกเอ๋ยมเหสีพลีชีวิต
ยอมอุทิศเพื่อรักษาถิ่นอาศัย
ภาระนี้พี่จะทำจนกำชัย
แผ่นดินไทยจะเสรีพี่สัญญา

พรหมกุมารดาลเดือดด้วยเลือดแค้น
ทะยานแล่นไสช้างใครขวางหน้า
ก็ร่วงผล็อยย่อยยับลงกับตา
จวบเวลาสามราตรีจึงคลี่คลาย

เพลานี้
แสงสุรีย์งดงามมีความหมาย
แผ่นดินเกิดที่หวังจะฝังกาย
อยู่ภายใต้อ้อมอก..โยนกนคร

แล้วอัญเชิญพระบิดามาครองราชย์
บำรุงชาติโดยธรรมตามคำสอน
พระพุฒโฆษาจารย์ประทานพร
แล้วเล่าย้อนเรื่องเก่าแก่ราชา

พระพุทธเจ้าคราวเสด็จเยือนดอยน้อย
อธิษฐานสามปอยเส้นเกศา
ให้จมฝังยังพื้นพสุธา
ทรงพยากรณ์ถิ่นแผ่นดินนี้

จะเจริญยิ่งใหญ่ในภายหน้า
ชาวประชาอยู่เย็นเป็นสุขี
จะดำรงศาสนาห้าพันปี
ขอเจดีย์สร้างไว้ไหว้กราบกราน

พระบรมสารีริกธาตุ
มหาราชโปรดใส่ไว้ใต้ฐาน
พระไตรปิฎกล้ำค่ามาช้านาน
อาตมามอบท่านเพื่อบ้านเมือง

พังคราชย์ปรีดาคำอาจารย์
ทั้งชาวบ้านก้มกราบเมื่อทราบเรื่อง
ผอบเงิน งา ทอง อันรองเรือง
เป็นเครื่องบูชาธรรมใส่สำเภา

แล้วฝังดินใต้ดานเป็นฐานล่าง
ทับโดยสร้างเจดีย์ที่ภูเขา
นำทองคำรีดแบนเป็นแผ่นเบา
แล้วจึงเอาหุ้มยอดตลอดองค์

เป็นพระธาตุงามพร้อม..จอมกิตติ
สมดำริปวงชนจนพระสงฆ์
เจดีย์ปูนเป็นกรอบมาครอบลง
ยังอยู่คงปัจจุบันทุกวันนี้

........................................
ขอบคุณภาพจากเว็ปไซท์				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฤทธิ์ ศรีดวง