5 ตุลาคม 2551 06:37 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.เรือที่เธอจ้ำพายถึงชายหาด
เรือกระดาษลำหลังยังรั้งท้าย
ไกลแสนไกลไม่อาจถึงหาดทราย
เพราะสลายด้วยน้ำกระหน่ำเรือ
กระดาษที่เรี่ยรายบนชายฝั่ง
นั่นคือเศษซากซังที่ยังเหลือ
ปล่อยให้น้ำกัดกร่อนตะกอนเกลือ
กัดกินเยื่อก่อนย่อยจมรอยทราย
ฉันปล่อยมือกำไม้เพราะพายหัก
คนที่ฉันแสนรักถึงจุดหมาย
ขอหลับตาฟังเพลงแห่งภูติพราย
ไร้ดวงดาวประกายกับสายโยง
๒.เมื่อขาดแคลนแผ่นไม้แทบไม่เหลือ
จะต่อเรือข้ามคืนแห่งคลื่นโค้ง
ไร้ใบเรือ พายเก่า เสากระโดง
ซ้ำต้องรอดอุโมงค์อันมืดมน
จึงต่อได้เรือจ้อยลำน้อยนิด
มีชีวิตเพียงหนึ่งจะพึงพ้น
เรือบรรจุคนได้เพียงหนึ่งคน
มีเหตุผลนับร้อยที่เลือกเธอ
เรือฉันจะอยู่ใกล้และไม่ห่าง
จะพายอยู่เคียงข้างเธอเสมอ
เหมือนกับวันเก่าเก่าที่เราเจอ
ข้อเสนอของฉัน..คือสัญญา
เพราะว่าฉันยังเหลือเรือกระดาษ
แม้ไม่อาจวาดหมายถึงปลายฟ้า
ใช้กาวติดเชื่อมกันใช้ชันทา
เจ้าจะพาฉันไปถึงไหนกัน
เรือกระดาษเริ่มข้ามลำน้ำกว้าง
และไม่ห่างเรือนำดังคำมั่น
มีเพียงพายเล่มน้อยเพื่อคอยดัน
ให้เรือเธอสู่ฝันเท่านั้นเอง
แต่เรือกระดาษฟางนั้นบางเปราะ
ออกจากเกาะเพียงน้อยก็ลอยเคว้ง
น้ำซึมเข้าในโพรงจนโคลงเคลง
เมื่อทะเลวังเวงบรรเลงลม
โน่นเรือเธอแล่นกรายถึงชายฝั่ง
เรือลำหลังเซซวนและจวนล้ม
เศษซากคงลอยฟ่องมิต้องงม
หากเรือล่มถูกสาดถึงหาดทราย
ฉันปล่อยมือกำไม้เพราะพายหัก
คนที่ฉันแสนรักถึงจุดหมาย
ขอหลับตาฟังเพลงแห่งภูติพราย
ไร้ดวงดาวประกายกับสายโยง..
๒๒ มกราคม ๒๕๕๕
1 ตุลาคม 2551 21:35 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ข้าจึงขึงปีกแกร่งเต็มแผงหลัง
บินไปยังที่จุดสูงสุดสอย
พุ่งทะยานปานเสกผ่านเมฆลอย
จะคว้าปอยเมฆเทาให้เล่าลือ
ข้ามองหมู่เมฆาใต้ฝ่าเท้า
นี่เมฆเทาต่ำกว่าตัวข้าหรือ?
ข้าคว้าเมฆได้แน่..พอแบมือ
มิได้ถือสิ่งใดเอาไว้เลย
ข้าอ้าแขนแหงนมองสุดท้องฟ้า
ยังทายท้าใช่ไหมหัวใจเอ๋ย
ยังตะกายสายลมมาชมเชย
ข้าไม่เคยพ่ายแพ้เพียงแค่นี้
บินถลามาสู่ใต้หมู่เมฆ
ความวิเวกใจแล่นเข้าแทนที่
เมฆเป็นฝนหล่นโลมลงโจมตี
หรือบางทีข้าพลั้งเพราะตั้งใจ
เพราะเอื้อมคว้าเมฆหมายแต่ได้ฝน
จะกี่หนกำน้ำเกินกำไหว
เปียกเปื้อนนิ้วผิวกายแล้วหายไป
เหลืออะไรเช่นเฉกคว้าเมฆปอย
ข้าไม่อาจกราดปีกบินอีกครั้ง
ใช่กำลังทั้งหมดข้าถดถอย
ยิ่งไขว้คว้าไม่หยุดยิ่งหลุดลอย
ใจดวงน้อยนี่หนอ..บอกพอแล้ว
๑ ตุลาคม ๒๕๕๑
25 กันยายน 2551 22:51 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ฉันเดินเท้าตามทางที่ว่างเปล่า
มีเพียงเสาไฟฟ้าแสงจ้าเหลือง
หลีกมุมอันมืดมนของคนเมือง
ความรุ่งเรืองที่อาบด้วยสาบไคล
บนถนนสายเก่า..เหงา..และร้าง
การเดินทางปิดฉากแล้วใช่ไหม
หรือการแปลความหมายของฝ่ายใด
พลาดผิดไปจึงคงเดินหลงทาง
เราจะไม่พบกันเช่นนั้นหรือ
เคยจับมือแล้วปล่อยให้ลอยห่าง
แหวนจากโคนคอดกิ่วของนิ้วนาง
ถูกถอดวางลงแล้วอย่างแผ่วเบา
เราอาจพบกันอีกใช่หลีกเร้น
ซึ่งอาจเป็นเหตุผลของคนเขลา
คนที่ยืนตรงข้ามกระจกเงา
อาจเป็นเราต่างฝั่งต่างฝังใจ
คงเหลือเพียงภาพวาดที่ขาดวิ่น
เธอจะชินกับมันก่อนฉันไหม
บนถนนยามค่ำแสงรำไร
ดูซิใครยังทนเดินคนเดียว
เพราะรู้ว่าไม่อาจจะคาดหวัง
แม้บางครั้งจะโกรธความโดดเดี่ยว
นกกางเขนตัวย่อมและผอมเซียว
จะบินเลี้ยวสู่คอนอันอ่อนเอน
ซึ่งจะเป็นวันพรุ่งแต่รุ่งเช้า
ด้วยปีกเบาแบบบางของกางเขน
จะสู่รังสุดหวงใช่ร่วงเลน
แค่เจ้าเข่นความกลัวของหัวใจ
๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๔
20 กันยายน 2551 23:11 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.เป็นค่ำคืนที่ฟ้ามีพายุ
กิ่งไม้ผุหล่นร่วงลงริมรั้ว
ลูกนกพลัดตกรังมาหนึ่งตัว
ดูหวาดกลัวหนาวสั่นกับฝันร้าย
ซากรังนกฉีกเฉือนอยู่เกลื่อนพื้น
หวังเพียงตื่นทุกอย่างจะจางหาย
แต่พอตื่นทุกอย่างพังทลาย
ภาพความตายพ่อแม่และพี่น้อง
โลกเบื้องล่างหดหู่ไม่รู้จัก
โลกเจ้าหักเมื่อคืนดุจปืนส่อง
เหลือเพียงขนเปียกน้ำจนฉ่ำนอง
จะประคองชีวีได้กี่วัน
หลับเถิดหนอนกน้อยผู้เหนื่อยอ่อน
ชีพจรเบาเลือนจนเหมือนฝัน
ฝันว่าได้นอนหลับนับนิรันดร์
ในรังนั้นแม่นกได้กกเกย
๒.พอรุ่งเช้าแสงฟ้าก็จ้าฟ้า
น้ำบนหญ้าฉ่ำเยิ้มเริ่มระเหย
เรไรเปิดตาน้อยค่อยค่อยเงย
เปิดหับเผยเห็นภาพอันพาบพัง
เธอลุกขึ้นโผวิ่งสู่กิ่งไม้
เสียงหัวใจบอกบท..อย่าหมดหวัง
อุ้มลูกนกที่หลับอยู่กับรัง
บอกว่ายังไม่ตายให้ยายยิน
เศษผืนผ้าห่มห่อพอกรุ่นกรุ่น
คงอบอุ่นพอใช้กันไรริ้น
หนอนตัวอ่อนป้อนให้เจ้าได้กิน
ปีกเคยบินชาเหน็บคงเจ็บร้าว
ตัดตะไคร้จากกอมาห่อปีก
พันทับอีกด้วยผ้าขาวบางขาว
ดวงตาของเรไรประกายวาว
วางเศษข้าวเศษกล้วยในถ้วยชา
ยายอมยิ้มหัวร่อว่าหมอน้อย
เดี๋ยวอีกหน่อยแปลงร่างเป็นนางฟ้า
นกจะหายด้วยเหตุแห่งเมตตา
มิใช่ว่าใบตะไคร้ที่ใช้พัน
เวลายังเดินทางเหมือนอย่างเก่า
ค่ำถึงเช้าวนเวียนและเปลี่ยนผัน
ย่อมเยียวยาแม้แต่แผลฉกรรจ์
เป็นเช่นนั้นตราบเท่านานเท่านาน.
๓.เช้าวันนี้อากาศสะอาดใส
ชีวิตใหม่ลืมตาอย่างกล้าหาญ
ปีกที่เคยบอบช้ำสีน้ำตาล
ก็โผผ่านละแวกแห่งแมกไม้
พอเย็นย่ำค่ำชื้นก็คืนกลับ
บ้านเคยหลับผืนผ้าเคยอาศัย
มีข้าวเปลือกข้าวโพดรสละไม
รอรุ่งใหม่แดดโผล่จะโผบิน
ยายมองดูหลานสาวยังเยาว์นัก
เธอหลงรักนกดงผู้หลงถิ่น
เพราะอยู่อย่างกำพร้าจนชาชิน
อยู่กลางดินแมมมอมและผอมเพรียว
หากว่านกบินไปแล้วไม่กลับ
เธอพร้อมรับหรือเปล่า..ความเปล่าเปลี่ยว
โลกที่ไร้สหายจะดายเดียว
จะซีดเซียวหงอยเหงาอย่างยาวนาน
แกจึงบอกเรไรออกไปว่า
ยายจะหากรงให้เป็นไผ่สาน
นกจะอยู่อิ่มหนำสุขสำราญ
เป็นเพื่อนหลานคุยเล่นไม่เว้นวัน
เด็กน้อยแหงนสบตาประสาเด็ก
ตาคู่เล็กบอบบางดูช่างฝัน
มองนกจิกข้าวเปลือกกับเผือกมัน
ก่อนผลุนผลันกระพือปีกไปอีกครั้ง
เธอตอบยายช้าช้าบอกว่า..หนู-
ไม่ชอบดูนกพงในกรงขัง
เพราะว่ากรงไม้ไผ่มิใช่รัง
มันคงหวังบินท่องทั่วท้องฟ้า
แม้วันหนึ่งบินไกลแล้วไปลับ
หนูยิ่งกลับสุขใจนะยายจ๋า
นกควรอยู่อย่างนกสกุณา
อยู่ในป่าใช่กักในกรงไม้
ยายลูบผมนางฟ้าผู้ตาแป๋ว
หลานโตแล้วนะหนูหลานรู้ไหม
ใช่เติบโตที่ตัวหรอกเรไร
ยายหมายถึงหัวใจที่เติบโต
๘ มกราคม ๒๕๕๕
22 มิถุนายน 2551 08:25 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ฉันเคยรักบทกวีดั่งชีวิต
เคยยึดติดจมปรักตัวอักษร
หลงอาหารหวานรสคือบทกลอน
แม้ยังอ่อนเชิงด้อยในถ้อยคำ
บทกลอนรักถักร้อยแม้น้อยนัก
มิอาจจักพอมอบคนบอบช้ำ
บทกลอนมีสาระเรื่องพระธรรม
เพียงเพื่อนำแง่คิดสะกิดใจ
ฉันเห็นความเป็นอยู่ของผู้เฒ่า
ฉันจึงเล่าเรื่องคนที่หม่นไหม้
ฉันเห็นความงามขลับแล้วดับไป
จึงเล่าไว้บางถ้อยของร้อยกรอง
ฉันอยากบอกเธอนักให้รักชาติ
ฉันจึงวาดภาพผู้ที่กู่ก้อง
ท่ามกลางดินแดงเดือดหยดเลือดนอง
ให้เสียงร้องร่ำยินถึงวิญญาณ
ฉันเห็นความทุกข์ทนความจนยาก
จึงเล่าฝากคำให้เธอได้อ่าน
ฉันเห็นความชุ่มชื้นและชื่นบาน
จึงเขียนกานท์จารจดทุกหยดรอย
มีคำให้ไขว่คว้าเต็มอากาศ
ซึ่งเธออาจต่อเชื่อมเพียงเอื้อมสอย
ความงดงามวิจิตรประดิดประดอย
ย่อมมากน้อยแตกต่างตามทางตน
ได้รู้จักเพื่อนพ้องและน้องพี่
ผ่านวลีลุ่มลึกที่ฝึกฝน
รู้เรื่องราว..ร้าว..สุข ของทุกคน
นี่คือมนต์โดยแท้อย่างแน่นอน
ฉันยังรักบทกวีดั่งชีวิต
ยังเฝ้าคิดแกะสลักตัวอักษร
หาความต่างบางรสในบทกลอน
แม้ยังอ่อนเชิงด้อยในถ้อยคำ.
๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๑