4 พฤศจิกายน 2551 21:03 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
เขาเดินทางมาจากอีกฟากฝั่ง
หอบความหวังมั่นมุ่งเต็มถุงเป้
ฝ่าฟ้าครามข้ามน้ำข้ามทะเล
ความว้าเหว่รินรดเป็นหยดเกลือ
ยามคิดถึงพึ่งลมทะเลบอก
จากระลอกคลื่นขรมหนาวลมเหนือ
จากหัวใจดวงน้อยที่ลอยเรือ
จากผิวเนื้อดำด้านเพราะกร้านลม
ทะเลเวิ้งอ้างว้างในบางค่ำ
กระแสน้ำเชี่ยวเหลือกลัวเรือล่ม
มองแต่ดาวพราวฟ้าดับอารมณ์
บางคืนข่มตาหลับไปกับดาว
แต่รุ่งสางบางหนก็ฝนตก
ในหัวอกบางวันก็สั่นหนาว
เมื่อลมไกวไหวลู่จนกรูกราว
อีกฝั่งอ่าวข้ามฟากช่างยากเย็น
บทบันทึกหมึกขาดกระดาษเหลือง
เพราะเล่าเรื่องมากมายที่ได้เห็น
ได้รู้รสจดจำความลำเค็ญ
บางหน้าเว้นจารึกเพราะหมึกจาง
แม้ไม่อาจคาดหมายถึงภายหน้า
ตื่นเผชิญโชคชะตาทุกฟ้าสาง
ไหว้พ่อปู่บูชาแม่ย่านาง
ให้เดินทางถึงรอดอย่างปลอดภัย
ฝากลมหนาวคราวสู่ประตูบ้าน
เธอเปิดม่านฟังดูจะรู้ไหม
หรือบทเพลงจากเรือและเหงื่อไคล
จะจางใจหมดแล้วนะแก้วตา
เมื่อเย็นเยียบเงียบเสียงยินเพียงหมอก
กระซิบบอกแหบโหยอิดโรยว่า
เธอมิได้รอรับการกลับมา
ปล่อยนาวาทอดสมออย่างรอคอย
เห็นเขาโขดโดดเดี่ยวกับเกลียวคลื่น
อย่าสะอื้นเลยหนอผู้ท้อถอย
วันเวลาจะกลบเลือนลบรอย
แม้ถูกปล่อยนอนหนาวกลางอ่าวไทย
นกนางนวลเคียงคู่บินสู่ฝั่ง
กลับคืนรังอุ่นนุ่มในพุ่มไม้
แต่เรือน้อยลอยคว้างไร้ทางไป
จอดรอให้สายลมมาจมเรือ.
๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
29 ตุลาคม 2551 22:06 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
มานอนหลับรับลมบนพรมหญ้า
หยุดเวลาเร่งรีบสักงีบหนึ่ง
หยุดความคิดความจำความคำนึง
หยุดคิดถึงเรื่องงานปิดม่านตา
ลมพัดใบไม้สั่น..เถาวัลย์ถัก
ฟังเพลงรักทักทายของใบหญ้า
ว่าแรมรอนร่อนเร่หลายเวลา
เราเสาะหาสิ่งใดหรือใจตน
ละอองน้ำฉ่ำสางค่อยจางหาย
ล้วนละลายแห้งหมดทุกหยดฝน
ประสาใดกับจินต์ที่ดิ้นรน
ต่างเวียนวนเกิดตายคล้ายคล้ายกัน
ฉันสืบถามความสุขไปทุกซอก
โดยพร่ำบอกว่าตามหาความฝัน
สุดท้ายพบความจริงต้องนิ่งงัน
ความสุขนั้นคือ..สงบ.. ฉันพบแล้ว
๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๑
25 ตุลาคม 2551 21:17 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ฝันเอยฝันเล็กเล็กของเด็กน้อย
ยังรอคอยหล่อหลอมนะจอมขวัญ
หากดวงตาดำดำยังสำคัญ
โปรดจงปั้นพวกเขาด้วยเบ้าใจ
แม่คะนิ้งนิ่งหนาวในพราวหมอก
เกาะกลีบดอก..ใบหญ้าและใบไม้
รอต้องแสงอาทิตย์ทออุทัย
จะรวมไหลรินหยดเป็นผดแพรว
เปรียบประดุจเด็กน้อยคือพลอยหม่น
รอเพียงคนเจียรไนจะใสแจ๋ว
ทุกดวงตาขี้อายนั้นฉายแวว
จะเกิดแก้วอำพันแห่งปัญญา
ฝากเพลงก้องกังวานประสานเสียง
สำหรับเพียงหนึ่งครูบนภูผา
ผู้อุทิศชีวิตและเวลา
หอบศรัทธางดงามสู่น้ำปิง
ผู้สุมไฟใส่ฟืนในคืนหนาว
เธอคือดาวภูเขาหรือเจ้าหญิง
ผู้สร้างโลกเสื่อมทรามสู่ความจริง
มานั่งผิงมือมองภาพกองไฟ
ใต้ผ้าห่มคร่ำคร่าทว่าอุ่น
เด็กน้อยหนุนมอมแมมแต่แก้มใส
ใช่สองแก้มแต้มแต่งจากแดงใด
แดงจากไอหนาวเหน็บจนเจ็บเนื้อ
เธอผู้เฝ้าเล่าเรื่องคนเบื้องล่าง
เรื่องดาวหางกลางหาวกับดาวเหนือ
เรื่องทะเลกว้างใหญ่กับใบเรือ
บนผืนเสื่อปูรองต่างห้องเรียน
โรงเรียนเก่าเสาพังหลังคาร่อน
กลางวันสอนกลางลานทั้งอ่านเขียน
กลางคืนใช้แสงโสมแทนโคมเทียน
ไม่อาจเปลี่ยนใจแกร่งกว่าแรงกาย
เด็กหนุนตักแสนสุขมือซุกเข่า
ขอฝันเจ้าทุกคนอย่าหล่นหาย
อย่าให้สิ่งแวดล้อมหลอมละลาย
เจ้าคือสายเลือดใหม่แห่งไพรภู
ถ้าอุษาสางสายสลายหมอก
ครูจำออกเดินทางแต่สางตรู่
เพราะจบสิ้นภารกิจชีวิตครู
ต้องคืนสู่ความจริงที่ทิ้งมา
ตราบดาวยังวาววับจงรับทราบ
มิตรภาพ..น้ำเสียงไร้เดียงสา
ทุกแววซื่อส่องฉายประกายตา
จะเจิดจ้างดงามในความจำ
......................................
ตั้งใจฟังเถิดครู..ความรู้สึก
จากส่วนลึกเด็กดอยผู้ต้อยต่ำ
จากส่วนลึกเด็กดอยทุกถ้อยคำ
เสียงพึมพำจากตัก..หนูรักครู.
๑ ตุลาคม ๒๕๕๒
17 ตุลาคม 2551 00:42 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ป้อมปราการแข็งแรงกำแพงใหญ่
ตามคบไฟเป็นระยะพอกะเห็น
ศีรษะอริราชขาดกระเด็น
เสียบไม้เซ่นข่มขวัญน่าพรั่นพรึง
ธงทิวปลิวปัดสะบัดแกว่ง
ฝูงแร้งกาเห็นซากเหม็นหึ่ง
พุ่งถลาถาปีกลงฉีกดึง
รุมทึ้งซากศพตลบควัน
ธุลีลอยฝอยฟุ้งเป็นฝุ่นหมอก
ดาบหอกทวนปักหักสะบั้น
ศพกลาดเกลื่อนพื้นเป็นหมื่นพัน
ราชันย์หนึ่งสลดรันทดใจ
ข้าชนะมามากบนซากศพ
ข้ารบฆ่าเหยื่อทั้งเหนือใต้
ปีนเขาข้ามเหวฝ่าเปลวไฟ
เกรียงไกรลือเลืองทุกเมืองรู้
ข้ากรีฑาพลเคลื่อนเขยื้อนทัพ
ย่อยยับทุกทิศที่คิดสู้
เมืองนี้น้ำตาประชาพรู
ข้าหดหู่ทุกข์เทวษอาเพศนัก
ได้อะไรขึ้นบ้างหรือว่างเปล่า
หรือเราเขลาทำแต่กรรมหนัก
กี่ชีวิตชีพหล่นสูญคนรัก
กี่ซากปรักหักพังเงียบวังเวง
เขาอ่อนข้องอหัวเพราะกลัวข้า
มิใช่ว่าชื่นชมพวกข่มเหง
แต่พระแสดงธรรมเขายำเกรง
เขาไหว้เองด้วยใจมิใช่กลัว
ข้าจะหัดยืนในหัวใจเขา
จะไม่เฝ้าก่อกรรมหรือทำชั่ว
ข้าเห็นภาพหดหู่จึงรู้ตัว
ว่าเมามัวเข่นฆ่ามาช้านาน
อโศก..วางดาบลงกราบองค์พระ
เพื่อชำระไฟเขลาที่เผาผลาญ
ที่รั้งรัดกัดกินถึงวิญญาณ
ช่วยสืบสานศาสนาชั่วฟ้าดิน
แคว้นกาลิงคะ..ขณะนี้
แสงสุรีย์ลาแล้วจากแนวหิน
เสียงแซ่ซ้องก้องไกลพอได้ยิน
คราวสูญสิ้นฆ่าฟันแต่นั้นมา
๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๑
9 ตุลาคม 2551 21:30 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.อโยธยาธานินทร์คงสิ้นแล้ว.
ยินเสียงแผ่วกระพรวนกับตรวนโซ่
เศษซากเรือนดำดั่งตอตะโก
กับเสียงโห่เหยียดหยามอย่างย่ามใจ
เชลยเอ๋ยอกร้าวเมื่อคราวล้ม
ขนมต้ม..กล้ำกลืนสะอื้นไห้
มองวัดวาถูกเผาเป็นเถ้าไอ
จากจัญไรพม่าผู้สามานย์
เรือนที่สืบเชื้อสายแต่ยายย่า
กลับต้องมาสิ้นบุญในรุ่นหลาน
ตกเป็นข้ารามัญอันธพาล
จะเนิ่นนานแค่ไหนยังไม่รู้
ศพเพื่อนพ้องน้องพี่เป็นขี้เถ้า
วันที่เราทั้งหมดต้องอดสู
วันหน้าแม้ถ้ามีเป็นทีกู
มึงทุกผู้ทั้งหมดต้องชดใช้.
.......................................
๒.ช่วงเวลาทารุณช่างหมุนช้า
อาจนำพาบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่
เมื่ออังวะกษัตริย์ยกฉัตรชัย
จึงโปรดให้เปรียบมวยไปด้วยกัน
ว่ามวยไทยขึ้นชื่อฝีมือกล้า
มวยพม่าชาติเสือก็เหนือชั้น
มาเถิดมาเฉลิมวางเดิมพัน
เลือกพนันพม่าหรือว่าไทย
เสียงโห่ร้องตะโกนดั่งโจรป่า
จนพลับพลาราชันย์สนั่นไหว
มวยพม่าเชิงคล่องและว่องไว
ได้เปรียบใหญ่ยืนกร่างกลางเวที
ขนมต้มเผยร่างที่บางกว่า
แต่ใช่ว่าสีเลือดจะเผือดสี
ยังแดงเข้มและมีอย่างเคยมี
ยังไหลปรี่แน่นอัดในมัดเนื้อ
แล้วคาดเชือกสองแขนจนแน่นหนา
สองดวงตาคมดุประดุจเสือ
ภาพเพื่อนถูกฆ่าเข่นตายเป็นเบือ
ไม่เคยเจือจากฝันแม้วันเดียว
พม่าสาวหมัดสาดก็พลาดเป้า
ต้องคมเข่าจนเคล็ดแหละเข็ดเขี้ยว
เข่านี้แทนข้าวอุ่นแหละคุณเคียว
ข้าวที่เคี้ยวจนใหญ่แต่ไรมา
เพลงแม่ไม้มวยไทยของไพร่หนึ่ง
จะพรั่นพรึงพิศวงถึงหงสา
จะหยุดเสียงคุยโวและโห่ฮา
จะเยียวยาหัวใจที่ไร้รัง
อีกหนึ่งมวยพม่าจึงปรากฏ
หยาดเหงื่อหยดชุ่มแขนถึงแผ่นหลัง
ว่ามวยไทยรู้มือกูหรือยัง
อย่าโอหังมาท้าพญายม
แต่เชิงมวยที่ผิดกันลิบลับ
การโต้กลับของนายขนมต้ม
หมัดศอกสับกับเท้าและเข่าคม
โถมถล่มพม่าจนตาค้าง
แด่ซากศพสหายที่ตายเกลื่อน
แต่ซากเรือนเคยอยู่จนตรู่สาง
แด่วัดวาเทียนธูปสถูปปรางค์
แด่ความฝันเลือนลางและจางล้า
จากยอดมวยคนหนึ่งไปถึงสิบ
ชั่วตาพริบเอวังสิ้นกังขา
มิทันน้ำจะล้นรูกะลา
คาวเลือดปร่ากระเด็นจนเหม็นดิน
เจ้าอังวะจึงทรงตบพระหัตถ์
หยุดปะหมัดได้ไหมกูอายสิ้น
มึงขืนสู้มิใช่จะได้กิน
เพราะมึงหมิ่นศัตรูด้วยดูเบา
อ้ายคนไทยนี่หรือฝีมือนัก
พิษสงหนักรอบจัดทั้งหมัดเข่า
ชัยชนะสิบหนแก่คนเรา
หัวใจเจ้า..กษัตริย์ยังศรัทธา
ถ้าคนไทยรู้รักจะยากแพ้
มิใช่แค่คอยคิดแต่อิจฉา
สามัคคีคงเส้นและคงวา
อโยธยาจะอับปางได้อย่างไร
.......................................
๓.อิสรภาพเมื่อสาบสิ้น
จะได้กลิ่นว่าหอมกว่าหอมไหน
จะเห็นค่าเมื่อวันเสียมันไป
และอาจไม่มีวันได้มันคืน
รอเพียงแสงสายรุ้งวันพรุ่งนี้
อาจจะมีคนกล้าลืมตาตื่น
เพื่อกู้กรุงย่อยยับให้กลับยืน
เพื่อจะฟื้นดินปู่เป็นผู้นำ
ฟ้ายามเย็นยามนี้เป็นสีส้ม
ขนมต้มบอกลาขอบฟ้าค่ำ
ปราบพม่าราบคาบจนหลาบจำ
เขาได้ทำหน้าที่อย่างดีแล้ว.
..........................................
กลอนเก่า ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๑
เกลาใหม่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔