29 เมษายน 2555 08:42 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
ริมถนนสายหลักอันขวักไขว่
คุณหรือใครอาจคงจะเคยเห็น
โคนต้นคูนหน้าแล้งใต้แสงเย็น
ข้างร้านเซเว่นซึ่งวุ่นวาย
แอคคอร์เดี้ยน..หีบเพลงอันแหบพร่า
เล่นเพลงล้าราวโลกแหลกสลาย
จากบุรุษผู้พาดสายสะพาย
จากปลายนิ้วซีดที่กรีดลง
มีหมวกฟางวางเรียงรอเหรียญบาท
ปีกหมวกขาดคลุกขุ่นด้วยฝุ่นผง
นิ้วแกมีรอยแกร็นจากแหวนวง
ที่ยังคงรอยกิ่วบนนิ้วนั้น.
ป้ายรถเมล์ด้านหน้ายังหนาแน่น
เสียงรถแล่น..เสียงแย่งเสียงแข่งขัน
กลบเสียงเพลงเหงาด้วยเทาควัน
กลบแสงวันสีชาจนลาเลือน..
จนแสงไฟสีเหลืองเริ่มเรืองแสง
ดอกคูนแห้งเรี่ยรายลงกรายเกลื่อน
เหนือถนนหม่นเซียวมีเดียวเดือน
การมาเยือนอีกคราของราตรี
คนจรจัดเกลือกนอนอย่างร่อนเร่
เธอยังรอรถเมล์สายสิบสี่
นานแล้วเอย..ไม่เคยดูทีวี
นานแล้วที่ก้อยเกี่ยวความเดียวดาย
กับเช้าที่เร่งรุดก่อนรถติด
และออกจากออฟฟิคคนสุดท้าย
ฝันของเจ้าหญิงเคยพริ้งพราย
ก่อนสลายพังพาบจนราบเตียน..
ฟังซิ!..เพลงอาดูรใต้คูนใหญ่
ดึกแล้วใครยังคลอแอคคอร์เดี้ยน
หรือจากชายวิปริตผู้จิตเพี้ยน
ไฉนเขียนเพลงเหงาได้เศร้านัก
กรีดเสียงอ้างว้างข้างถนน
ที่ต่างคนต่างอยู่ไม่รู้จัก
ที่ต่างคนต่างเฉยไม่เคยทัก
ไม่เคยพัก..คืนค่ำยังกรำงาน
เธอมิใช่คนเดียวที่เปลี่ยวเหงา
ผู้เปลี่ยวเปล่ากลาดเกลื่อนเป็นเรือนล้าน
วันนี้มีเพื่อนพ้องบริวาร
ตอนต้องการ..บางทีไม่มีใคร
วันที่เธอมืดมนและจนตรอก
ยากจะบอกให้ใครเข้าใจได้
แม้รอบข้างจะหลั่งกำลังใจ
แต่เธอต้องผ่านไปเพียงลำพัง..
เหรียญที่เธอหยอดใส่ในหมวกว่าง
เขาเรียกเงินทุกสตางค์ว่า..ความหวัง
ขณะที่เธอเรียกว่า..เศษตังค์
ประดุจดังคำตอบว่า..ขอบคุณ
เธอลืมฝันละไมในวัยเด็ก
โลกใบเล็กบางครั้งหนาวบางคราวอุ่น
เสียงเพลงของชายเฒ่าเศร้าละมุน
แต่หอมกรุ่นด้วยไอแห่งไมตรี
ขอความรักศรัทธาก็หาไม่
แค่เข้าใจคนเหงาก็เท่านี้
อย่างน้อยดวงจันทร์จะฝันดี
รถเมล์สายสิบสี่กำลังมา....
๒๙ เมษายน ๒๕๕๕
12 เมษายน 2555 12:22 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.เสียงเล็กเล็กลอยลอดจากร่องฝา
เป็นเสียงเรียกปู่ย่าจากลูกหลาน
ดูแตกต่างยิ่งเหลือจากเมื่อวาน
วันนี้ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเรือน
รอยยิ้มอันยับยู่ของปู่ย่า
ฉายความสุขจากตาอันฝ้าเฝื่อน
แกเฝ้าดูปฏิทินทุกสิ้นเดือน
รอคอยการมาเยือนของลูกชาย
๒.ลูกชายอวดหลานแม่ยังแบเบาะ
ร่วนหัวเราะเอิ้กอ้ากับปลาหวาย
พวงตะเพียนร้อยโซ่เป็นโมบาย
หลานขี้อายยิ้มร่าช่างน่าชัง
ขวัญเอ๋ยขวัญมา..ให้ย่าอุ้ม
ด้วยแขนนุ่มโอบอ้อมถนอมหลัง
เจ้ากินนมตอนรุ่งแล้วหรือยัง
ย่าจะนั่งไกวเปลแล้วเห่นอน
เปลที่เคยเห่คลอให้พ่อเจ้า
กล่อมเพลงเก่านกขมิ้นสีเหลืองอ่อน
มีแม่ซื้อป้องภัยคอยให้พร
อย่าตัวร้อนรุมไข้อย่าได้ซน
๓.วันพ่อเจ้าเติบใหญ่ไปจากบ้าน
ย่ารอคอยสงกรานต์มากี่หน
ความสุขที่อุบัติโดยบัดดล
แล้วผ่านพ้นดั่งเพียงภาพลวงตา
รอแต่น้ำมะลิโรยกุหลาบ
ใส่ขันอาบชั่วครู่ให้ปู่ย่า
การเดินทางของเข็มนาฬิกา
หมุนกลับมาที่เดิมแล้วเริ่มวน
๔.ลานหน้าบ้านเงียบงันเหมือนวันเก่า
สองผู้เฒ่านั่งมองท้องถนน
ก่อนอาทิตย์ปิดม่านลงมืดมน
อาจมีคนรู้จักมาทักทาย
๑๐ เมษายน ๒๕๕๕
13 มีนาคม 2555 18:12 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.เธอยังนั่งชันเข่าบนเก้าอี้
ควันบุหรี่รสกร่อยยังลอยคว้าง
ลิปสติกแห้งผากบนปากบาง
ฤๅอำพรางอดีตอันซีดเจือ
ร่างชายหนุ่มวัยอ่อนยังนอนหลับ
ในห้องที่ประดับด้วยไฟเรื่อ
จบเพลงกามกระสันบนหนั่นเนื้อ
ท่ามกลิ่นเหงื่อกลั้วเกลือกด้วยเมือกกาม
๒.แสงยามสายฉายส่องสู่ห้องหม่น
ริมถนนจีวรเหลืองอร่าม
สงฆ์ผู้น่าเคารพสงบงาม
ท่านก้าวข้ามกองทุกข์แล้วหรือไร
๓.แม่คงตื่นก่อนไก่เตรียมใส่บาตร
คงถือถาดใบน้อยไม่ค่อยไหว
ลูกเคยช่วยหุงข้าวจุดเตาไฟ
เธอจากไปนานจนคนลืมเลือน
ลืมเด็กหญิงคอซองชั้น ม.สาม
ผู้หนีตามชายหนุ่มในกลุ่มเพื่อน
เด็กที่ไม่แยแสคำแม่เตือน
เด็กที่เปื้อนเปรอะคราบแห่งราคี
เพราะยังเยาว์อ่อนไหวและไร้หลัก
มีความรักแรกคล้ายไอบุหรี่
หลงควันขาวว่าคือมุกมณี
เพียงนาทีก็สลายลงหายวับ
รู้ตัวว่าถลำก็ร่ำไห้
เวลาไม่มีวันจะหวนกลับ
เมื่อโลกใบน้อยน้อยเธอย่อยยับ
เหลือประทับรอยบาปเป็นภาพจำ.
๔.เธอกระดิกบุหรี่เคาะขี้เถ้า
ควันสีเทาก้นหอยกลับลอยต่ำ
คลี่เศษแบงค์ค่าเกมแห่งกามกรำ
คงพอนำส่งบ้านให้มารดา
เป็นสิ่งดีสิ่งเดียวที่ทำได้
ที่ทำให้ชีพนี้พอมีค่า
กตัญญูต่อผู้ควรบูชา
จากเคยศรัทธาในยาพิษ
๕.ลิปสติกสีแจ่มถูกแต้มใหม่
ล้างคราบใคร่คาวเขรอะที่เปรอะติด
ยิ้มเถิดให้ฟ้าดวงอาทิตย์
เพราะชีวิตยังต้องดำเนินไป
๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕
11 ธันวาคม 2554 14:30 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.แสงตะวันทาบผ่านสะพานไผ่
เกลื่อนใบไม้กรอบแห้งสีแดงฉาน
แล่นไปเถิดสองล้อจักรยาน
ไปบอกลาวันวาน..อาคารไม้
ลานโรงเรียนเตียนร้างและว่างเปล่า
ธงยอดเสาล้าแรงจะแกว่งไหว
ราวรับรู้การลาคำอาลัย
ของผู้ไปไขว่คว้าชะตาตน
ผนังห้องเรียนไม้แตกลายเก่า
วันที่เขามาหยุดสุดถนน
เพื่อนบ้างอยู่บ้างย้ายไปหลายคน
แต่สายชลฝันสลายเมื่อปลายเทอม
เพราะความฝันดุจดาวอันวาววับ
มามอดดับโดยพลันมิทันเริ่ม
การเดินทางสิ้นสุดที่จุดเดิม
เมื่อเชื้อเติมเรี่ยวแรงมาแห้งเลือน
เขาไม่ได้เรียนต่อจาก ม.สาม
จึงติดตามลมฟ้ามาหาเพื่อน
กว่าสามปีที่เพียรมาเวียนเยือน
บัดนี้เรือนเรียนร้างไปทั้งโรง
เพื่อนเรียนจบ ม.ปลายกันไปหมด
อนาคตรุ้งสายคงฉายโค้ง
อาจจะไกลเกินเอื้อมไปเชื่อมโยง
แต่ลานโล่งยังกรุ่นด้วยฝุ่นลอย
จักรยานผ่านเนินเคยเดินเท้า
รอยเท้าเก่าหายไปมิใช่น้อย
รอยเท้าใหม่มากมายอีกหลายรอย
ต่างทยอยปรากฏขึ้นทดแทน
เหลืองรวงข้าวอีกเดี๋ยวคงเกี่ยวข้าว
ก่อนลมหนาวพัดใจไปไกลแสน
ไปเถิดจักรยานกับอานแบน
ปั่นสู่แดนทุ่งทองทานตะวัน
น้องจะขึ้น ม.สี่ในปีหน้า
จงสานต่อปรารถนาและกล้าฝัน
จงเรียนต่อให้ได้อย่าพ่ายมัน
กี่หมื่นพันพี่จะหาเป็นค่าเรียน
อย่าหวังเงินที่ได้จากขายข้าว
เพราะทุกคราวต้องเจียดกระเบียดกระเสียร
ที่เหลือจากใช้หนี้ไม่กี่เกวียน
ก็จวนเจียนร่อยหรอไม่พอใช้.
๒.จักรยานคันเก่าที่เขาขับ
ได้หวนกลับมาบนสะพานไผ่
มองสายน้ำไหลผ่านสะพานไป
จะสื้นสุดที่ใดยังไม่รู้
มีความฝันมากมายในกระเป๋า
สองบ่าเขาแบกไว้จนไหล่ลู่
ขอเมืองหลวงได้โปรดเปิดประตู
ต้อนรับผู้ไส้กิ่วและผิวนิล.
๓.สองล้อจอดหยุดหมุนใต้ถุนบ้าน
ดอกอ้อบานลอยไกลสุดไพรผิน
จะเติบโตเมื่อละอองเจ้าต้องดิน
แต่ไม่เคยคืนถิ่นจนสิ้นลม
สิ้นแสงสูรย์ขอบฟ้าตะวันตก
เสียงหมู่นกคืนรังก็ดังขรม
ดวงตะวันแดงส้มรูปทรงกลม
ค่อยค่อยจมจบวันที่คันนา
ดอกโสนเด็ดรอในหม้อต้ม
หอมแกงส้มปลาช่อนยังร้อนฉ่า
พอพ่ออิ่มข้าวสุกก็สูบยา
ผ้าขาวม้ากวัดไกวคอยไล่ยุง
แม่นั่งข้างสายชลอยู่บนเถียง
แขวนตะเกียงตามไฟไว้ใกล้ยุ้ง
หลังคาเถียงเป็นเพิงที่เพิ่งมุง
อยู่ข้างคุ้งสำหรับนั่งนับดาว
ฟ้ามีดาวดาษดื่นในคืนนี้
แม่จึงชี้ให้ดูดวงสีขาว
ดวงที่ทอดทอแสงสุกสกาว
เยือกเย็นราวน้ำค้างกลางใบไม้
แม่ว่าดาวนี้นามว่า..ความหวัง
ถ้าบางครั้งลูกล้มและร้องไห้
ดาวจะนำทางลูกตลอดไป
แม้วันวัยโชติช่วงและล่วงเลย
เขาเอนร่างหนุนพักบนตักแม่
ไม่มีแม้คำใดจะให้เอ่ย
ตักของแม่อบอุ่นและคุ้นเคย
ช่วยชดเชยเรี่ยวแรงที่แหว่งเว้า
แม่บอกว่าสายน้ำที่ไหลหลั่ง
คือความหวัง..คือนิยามของนามเจ้า
น้ำย่อมเริ่มจากดินและรินเบา
กระทั่งเท่ากับกว๊านธารนที
มีเม็ดทรายบนโลกกี่ล้านเกล็ด
มีกี่เม็ดกันบ้างที่ต่างสี
มีกี่เม็ดเป็นอัญมณี
แหละจะมีกี่เม็ดเป็นเพชรแท้
บนหนทางที่ถมด้วยคมหนาม
ผู้เดินข้ามย่อมพร้อยด้วยรอยแผล
หนามจะกรองตะกอนที่อ่อนแอ
จะคัดแร่จนเหลือแต่เนื้อดี..
๔.ฟ้าในเมืองพรุ่งนี้คงสีหม่น
มีอีกคนบนลาดบาทวิถี
เขาจากบ้านลานข้าวเขียวขจี
เข้ามาทำหน้าที่ของพี่ชาย
มีสมุดเก่าวิ่นกับดินสอ
ซึ่งคงพอใช้จดเขียนจดหมาย
เมืองที่มีเสาไฟฟ้าทางม้าลาย
ลูกคงคล้ายก้อนกรวดกลางยวดยาน
หากจดหมายไปรษณีย์ไม่ตีกลับ
แม่ได้รับขอแค่ให้แม่อ่าน
ตอบว่าอยู่สุขสันต์หรือกันดาร
คนไกลบ้านอย่างลูกยังอยากรู้
จะมองดาวความหวังทุกครั้งค่ำ
คำแม่พร่ำยังก้องทั้งสองหู
คำนั้นแทรกทุกเยื่อเนื้ออณู
จารึกอยู่ในจินต์ดวงวิญญา
ไม่ว่าโลกจะค่ำหรือย่ำสาย
ดาวไม่เคยสูญหายจากใต้ฟ้า
ยังสาดแสงส่องลอดตลอดเวลา
ซึ่งหัวใจ..ใช่ตารู้ว่ามี
............................................
๖.รถขนแกลบแหนบเก่าแต่เพลาแกร่ง
ทิ้งฝุ่นแดงพาโค้งผ่านโรงสี
ขณะบ้านลับตาเพียงนาที
ขณะที่ความเหงาคลอเบ้าตา..
๑ มกราคม ๒๕๕๕
18 กุมภาพันธ์ 2554 09:24 น.
ฤทธิ์ ศรีดวง
๑.เย็นเอ๋ย..เย็นชื่นนักคืนนี้
แม้ไม่มีดาวดื่นเช่นคืนนั้น
ป่าไผ่เวิ้งลานวัดเวฬุวัน
แสงเพ็ญจันทร์เย็นฉ่ำช่างอำไพ
แลใบไผ่ใบแล้งลิดใบร่วง
อำลาห้วงมหรรณพสู่ภพใหม่
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
มิมีใครสักคนจะพ้นมัน...
๒.พันสองร้อยห้าสิบสมณะ
ผู้เป็นพระอริยะอรหันต์
เดินท่ามทางเย็นเยียบและเงียบงัน
มีแสงจันทร์นำทางทุกย่างเท้า
สติรู้ย่ำดินหรือหินกรวด
ทุกผู้บวชด้วยพระพุทธเจ้า
อาศัยการปฏิบัติมาขัดเกลา
หมายเข้าเฝ้าพระศาสดาที่อาราม
ผ่านกอไผ่ถึงฐานแท่นประทับ
แสงจันทร์จับเด่นดวงในเดือนสาม
ขณะพระตถาคตผู้งดงาม
ประทับท่ามจันทราในราตรี
แสงจากเพ็ญพราวลานฤๅหาญแข่ง
กับวงแสงฉัพพรรณรังสี
ของพระผู้เต็มด้วยบารมี
ดังสุรีย์คราวฉายประกายพรึก
แม้แสงผ่องกว่าเพ็ญแต่เย็นยิ่ง
สงบนิ่งทุกอณูจนรู้สึก
ผู้ใดได้ฟังธรรมย่อมสำนึก
ย่อมรำลึกด้วยความกตัญญู
ดั่งเหล่าสงฆ์องค์พระอรหันต์
อยู่ต่างขัณฑ์ต่างจุดไกลสุดกู่
มารวมกราบพระปฐมบรมครู
โดยทุกผู้มิได้นัดหมายกัน
บัดนี้ลานนั้นแน่นขนัด
แต่สงัดราวดั่งแดนสวรรค์
สดับเสียงสมณภควันต์
อรหันต์ประนมหัตถ์นมัสการ
ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์
ว่าสัตว์โลกในวงวัฏฏ์สงสาร
ควรตั้งใจหมายทิพย์พระนิพพาน
เมื่อสังขารอำลาโลกมนุษย์
ทำดีเป็นประจำไม่ทำชั่ว
ทำจิตมัวให้ใสบริสุทธิ์
คือหัวใจแห่งศาสนาพุทธ
เป็นทางหลุดพ้นจากวิบากกรรม
แล้วจึงทรงสอนสั่งสงฆ์ทั้งหลาย
อย่ากล่าวร้ายผู้ใดให้ใจช้ำ
อย่าทำร้ายผู้ใดด้วยใจดำ
สำรวมในพระธรรมวินัย
รู้จักพอประมาณในการฉัน
เลือกที่อันสงัดสงบไว้
เพื่อนั่งนอนฝึกจิตและฝึกใจ
พระจอมไตรจบพุทธวาจา
อรหันต์ทุกองค์บรรจงกราบ
ด้วยซึ้งซาบในธรรมคาถา
แต่เสียงหนึ่งเบาแผ่วที่แว่วมา
เสียงคนธรรพ์เทวาสาธุการ
๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔