9 มีนาคม 2553 22:06 น.
ฤกษ์ ชัยพฤกษ์
ตั้งแต่วันปีใหม่ พวกเราสามหนุ่ม สามแง่หลายมุม ตั้งเข็มกันว่าจะไปเคาท์ดาวน์กันบนเขาเขียว แต่เกิดอุบัติเหตุทางความคิด มีคนมาชวนให้ไปหัวหิน ก็เลยเปลี่ยนแผนเสียก่อนและได้เขียนเล่าให้เพื่อน ๆ แล้วใน เพลินวาน คราวนี้ถึงคราวเขาเขียวตามที่ตั้งใจไว้ คุณปู่ของเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเราซึ่งท่านเกษียรอายุราชการจากกองทัพอากาศมานานแล้ว ที่มียศ ตำแหน่งก่อนเกษียรอยู่บ้าง มีลูกน้องยังรักเคารพอยู่มากแต่ท่านมีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงตามวัยที่ล่วงเลย ได้วานให้พวกเราไปทำบุญให้ท่านที่เขาเขียวโดยท่านช่วยติดต่อประสานอำนวยความสะดวกให้อย่างเรียบร้อย
สถานีควบคุมและเตือนเครื่องบินของกองทัพอากาศ ตั้งอยู่บนยอดเขาเขียวเลยจากหน่วยของกรมป่าไม้บนเขาใหญ่ขึ้นไป ใช้เวลาขับรถเกือบชั่วโมง ก่อสร้างโดยการร่วมมือของประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ตามโครงการช่วยเหลือทางการทหาร เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว เรียกสั้น ๆ ว่า สถานีรายงานเขาเขียว มีกำลังทหาร และเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยรัดกุมแข็งขัน บุคคลภายนอกหาไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีโอกาสผ่านเข้าไปเด็ดขาด
หน้าที่หลักคือ ตรวจจับความผิดปกติในท้องฟ้าว่ามีสิ่งใดแปลกปลอมผ่านเข้ามา ถ้าพิสูจน์สัญชาติไม่ได้ก็ต้องแจ้งหน่วยบินของกองทัพอากาศขึ้นสกัดกั้น บังคับลง หรือทำลาย หากพิสูจน์สัญชาติได้จึงปล่อยผ่านเข้ามาได้ มีสโลแกนหรือคำขวัญกำลังใจของหน่วยงานคือ
แม้ยามนี้มีเราเฝ้าเวหา คอยพิทักษ์รักษาไม่หวั่นไหว
ทั้งท้องฟ้าผืนน้ำขืนล้ำไทย อย่าหมายใจว่าจะพรั่นหรือหวั่นเกรง
บนสถานีรายงานเขาเขียวแห่งนี้ มีพระพุทธรูปสำคัญ เป็นที่เคารพนับถือบูชา ของกำลังพลและเจ้าหน้าที่ทุกคน เรียกกันว่าหลวงพ่อเขาเขียว เป็นต้นเหตุของการมาถึงของพวกเราครั้งนี้ เพราะเขากำลังสร้ากุฎิ
ให้ท่าน โดยรวบรวมปัจจัยเงินทองจากผู้มีจิตศรัทธาบริจาค ในรูปของผ้าป่าบ้าง หมู่คณะหรือข้าราชการกองทัพอากาศที่เกษียรอายุทราบข่าวก็ช่วยกันคนละไม้ละมือ อย่างเช่นพวกเราถูกคุณปู่ของเพื่อนให้ช่วยนำเงินมาบริจาคถึงแม้จะเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามกำลังของแต่ละคน ก็สามารถทำให้กิจกรรมสำเร็จได้ ท่านทหารอากาศทั้งหลาย
ถ้าได้อ่านข้อความนี้และอยากจะทำอย่างคุณปู่บ้างก็ไม่ผิดกติกาอันใด
การเดินทางของพวกเราไม่มีปัญหาอะไรมาก เพราะเรื่องการเที่ยวนี้เตรียมตัวแค่สองสามนาทีก็ไปได้แล้วชอบมาก สปอร์ตไลเดอร์พร้อมสามหนุ่ม ออกจากรุงเทพฯแต่เช้าแวะกินข้าวแกง ที่ร้านอะไรก็ไม่รู้เห็นคนเยอะ ๆ ก็แวะเข้าไปอยู่แถว ๆ ประตูน้ำพระอินทร์หรืออะไรนี่แหละ อาหารอร่อยมาก จะกินอะไรก็หยิบ ก็สั่งเอาเลย น้ำแข็งน้ำกินก็หยิบกันเองเลือกที่นั่งกันเอง เสร็จแล้วก็มีคนมาคิดสตางค์ไม่แพงเลย ถึงแยกสระบุรีเราแวะเทศโก้โลตัส เตรียมเสบียงกรังของขบเคี้ยว มีคนกระแดะอยากกินไวน์ก็เลยติดไปสองไห ที่เรียกไหเพราะเบอกันดี้เป็นขวดกลม ๆ มีหูหิ้วคล้าย ๆ ไหมีบุหรี่บ้าง แต่เราไม่ได้สูบแล้วเพราะมีเพื่อนในบ้านกลอนนี่แหละเตือนว่าเป็นของไม่ดีอย่ากลับไปสูบอีกเลยเลิกได้แล้วก็เลิกเสียเถอะแต่ติดเอาไว้เผื่อแลกอะไรได้บ้างครั้งละสองมวนอ้าว ๆ นอกเรื่องไปกันใหญ่แล้ว จากสระบุรีไปแวะที่มวกเหล็ก น้ำตกเจ็ดสาวน้อย ดูชมสาวน้อย ๆ เล่นน้ำกันตรึมไปเลย
กะกันว่าจะเลยไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ก็เกรงจะเสียเวลามากก็เลยไม่ไปมาแวะเสต็กโชคขัย กินทีโบนซะคนละชุดอิ่มหนำไปเลยแล้วรีบไปปากช่องทางเข้าเขาใหญ่ ระหว่างทางพวกก็เปิดไวน์ล้างคอช่วยย่อยเนื้อกันตามทางจนถึง
Palio Khao Yai ติดกับโรงแรมจุลดิสหมดไว้น์ไปเกือบครึ่งไหแล้ว คนขับบ่นอู้ กินกับเขาไม่ได้เอาเปรียบกันนี่หว่า เราเห็นรถยนต์จอดกันแน่นไปหมด ไม่ทราบว่า Palio เป็นสถานที่อะไร เคยผ่านมาไม่เคยมี เพิ่งก่อสร้างเสร็จเปิดบริการได้ไม่นาน ก็เลยแวะเข้าไปดูให้รู้แน่
การก่อสร้างแบบแปลกหรูหราเหมือนจำลองมาจากเมืองเก่าในอิตตาลี่หรือเวนิช มีร้านค้าเล็ก ๆทุกซอกซอยทุกมุม มีธนาคารสองแห่งคือ ออมสิน และกสิกรไทย แบ่งเป็นสองโซนคือ Plazza Palio และ
Plazza felio ลูกค้าแน่นตรึมเป็นวัยโจ๋ เจี้ยวจ้าวถ่ายรูปเล่นกันสนุกสนาน ของที่ขายก็จะมีของฝากเก๋ไก๋ เป็นส่วนมาก อาหารของกินก็มีบ้าง ดูแล้วนึกถึง เพลินวาน แต่เป็นคนละยุค เราเดินเล่นขึ้นชั้นโน้นลงชั้นนี้ สักพักก็
พากันมาขึ้นรถมาเขาใหญ่เสียค่าธรรมเนียมผ่านและแวะไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่แล้วจึงขับขึ้นเขาด้วยความสบายใจว่า เจ้าพ่อจะต้องคุ้มครองเราให้ตลอดรอดฝั่งแน่ เขาใหญ่ก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาจนถึงกลุ่มบ้านพักทางแยกถ้าตรงไปก็จะเป็นน้ำตกเหวสุวัต ถ้าเลี้ยวขวาก็จะไปปราจีนบุรีน้ำตกเหวนรก เราเลี้ยวขวาไปนิดเดียวก็มีทางแยกซ้ายเข้าไปสถานีรายงานเขาเขียว
มีบ้านพักเจ้าหนาที่อยู่ตรงทางขั้นเราเข้าไปสอบถามบอกความประสงค์เขาแนะนำให้ขับรถโดยระมัดระวังขับรถมาตามทางขั้นเขาแรก ๆ ก็ไม่ชันมากนักสองข้างทางเป็นป่าไม้สมบูรณ์ ถึงทางชันเป็นพับผ้าหลายแห่งดูน่ากลัวมีศาลอยู่แห่งหนึ่งสงสัยว่าจะเคยเกิดอุบัติเหตุจึงได้ตั้งศาลไว้ชื่อ ศาลเจ้าพระยาโกษาเทพประสิทธิ์มีจุดชมวิวผาเดียวดาย เราขับรถดัวยความระมัดระวัง จนถึงกองรักษาการ ติดต่อแล้วผ่านเข้าไปได้คงจะมีการประสานกันไว้ก่อนแล้ว ขับผ่านเข้ามาเห็นบริเวณบ้านพักปิดเงียบ รู้ภายหลังว่าเป็นบ้าน วีไอพี ผู้ใหญ่จะมาพักต้องได้รับอนุญาตจากส่วนกลางเท่านั้น ผ่านเข้ามาเห็นเสาสูงมีจานใหญ่ ๆหลายจาน เห็นสถานีกลม ๆ ใหญ่ ๆ ทาสีเขียวขี้ม้าคงเป็นอุปกรณ์เกี่ยวกับเรด้า รถมาจอดตรงหลังเสาธง เขากำลังก่อสร้างสถานที่ตั้งของพระพุทธรูปอยู่ตรงนั้น เป็นกุฎิไม่ใหญ่นัก หลังคาจัตุรมุขสวยงาม พื่น,ผนัง ,เสา กำลังใช้หินอ่อนสวยงามปูทับ งานยังไม่เสร็จจะต้องทำอีกมาก คงจะประมาณปลายเดือนมีนาคม อาจจะเสร็จเรียบร้อยมีพิธีอัญเชิญหลวงพ่อเขาเขียวขึ้นประดิษฐาน ซึ่งปัจจุบันองค์หลวงพ่อเขาเขียวตั้งอยู่ในโรงเลี้ยงหรืออาจเรียกว่าสโมสร เจ้าหน้าที่มารับเราคงจะเป็นผู้ควบคุมดูแล้วอายุคราว ๆ พ่อ ใจดีมาก เล่าว่ารู้จักกับคุณปู่ของเพื่อนดีเคยปฏิบัติงานอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วยเราก็ไม่กล้าถามชื่อ ยศ ตำแหน่ง เรียกเขาว่าคุณลุง ท่านก็ถือเหมือนพวกเราเป็นลูกหลาน พาไปกราบหลวงพ่อเขาเขียวแล้ว ก็พาไปที่พัก
นึกแปลกใจมาก ที่พักมีชื่อว่า บ้านชัยพฤกษ์ เหมือนนามสกุลเราคิดเอาว่า อาจจะตั้งตามชื่อต้นไม้ หรืออาจจะมีคนบริจาคสร้างให้แล้วตั้งชื่อตามคนบริจาคก็ได้ บ้านไม่ใหญ่มีสามห้อง เราได้เข้าพักห้องหนึ่งมีเตียงเล็ก ๆ ปูผ้าไว้สอาดสอ้านสามเตียง พักนอนกันได้สบายมาก ห้องอื่นยังมีคณะอื่นเข้าพักด้วยตกเย็นอากาศเริ่มมีกลิ่นอายของความหนาวโชยมาอาบน้ำแล้วต้องใส่เสื้อแขนยาวหนา ๆจึงจะสบายมองดูวิวไปเบื้องล่างไม่เห็นอะไรเลยเป็นสีขาวคล้ายหมอก คงจะอยู่สูงมากสถานที่เป็นสถานที่ราชการและคงจะสำคัญมากเราจึงไม่กล้าเดินเพ่นพ่านตามใจชอบได้ คุณลุงเรียกไปกินอาหารมีปลาทับทิมทอด หมูย่าง แกงเลียง
ข้าวร้อน ๆ พวกเรากินเสียอิ่มแปล้ ได้กระทำภารกิจของปู่โดยมอบซองเงินบริจาคแล้วพากันเดินเล่นดูสถานที่ใกล้ ๆ ก่อนความมืดจะโรยตัวเข้ามาเห็นเรือนพักอีกแห่งใกล้ ๆ กันชื่อ อาคารชื่นใจ จุคนได้มาก มีคณะใหญ่มาพัก มีการร้องคาราโอเกะสนุกสนานกันด้วยพวกเรานึกครึ้ม ๆ ก็เลยเอาไวน์มารินดื่มล้างคอกันนิด ๆ หน่อย ๆ หมดที่เตรียมไปพอดีก็เข้านอน
ตื่นกันแต่เช้ารีบอาบน้ำแต่งตัว กินข้าวต้มหมู อร่อยมาก มอบเงินบำรุงสถานที่เล็กน้อย แล้วกราบลาคุณลุงกลับ ผ่านทางลงมาก็ดูวิวต้นไม้ตามสองข้างทางเสียมากมองไม่ค่อยจะเห็นอะไร และต้องขับรถด้วยความระมัดระวังมีทางลาดชัน หักศอกเป็นระยะจนถึงปากทางแยก เราเลี้ยวซ้ายไปทางปราจีนบุรีผ่านทางเข้าน้ำตกเหวนรก ทุกคนเคยมากันแล้วก็โหวตกัน เสียงไม่เข้าไปมากกว่าก็เลยไม่แวะเลยเรื่อยลงมาถึงปราจีนบุรีแวะเข้าไปโรงพยาบาลอภัยภูเบศ นวดแผนโบราณซะคนละชั่วโมง หาซื้อต้นไม้แปลก ๆ เพื่อนได้ต้น ส้มมือ มาสองต้น เห็นลูกที่เขามาโชว์ด้วย คล้าย ๆ มือจริง ๆ เขาบอกว่าเอาไว้ทำยาดม หอมดีนัก เป็นไม้หายากขึ้นทุกวัน แล้วก็เดินทางกลับมาทางนครนายก ตัดสินใจกลับบ้านไม่แวะเขื่อนบ้านด่าน น้ำตกสาลิกา เพราะเคยไปมากันหมดแล้ว
การเที่ยวเขาเขียวก็จบลงเพียงเท่านี้
4 มีนาคม 2553 21:04 น.
ฤกษ์ ชัยพฤกษ์
อทินนาทาน
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2542 ให้คำแปลไว้ว่า การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แก่ตน , การลักทรัพย์
พฤติกรรมการกระทำอทินนาทาน มีเกิดขึ้นดึกดำบรรพ์ ในทุกสรรพสัตว์ สัตว์ใหญ่แย่งชิงอาหารจากสัตว์เล็ก สัตว์เล็กแอบลักอาหารของสัตว์ใหญ่ มนุษย์สมัยหินถือตะบองไปทุบหัวคนอื่นเอาอาหารบ้าง ลากผมผู้
หญิงถูลู่ถูกังกลับไปถ้ำของตัวเองบ้าง ล่วงเลยมาเป็นพันเป็นหมื่นปี วิธีการเปลี่ยนแปลงไป มีการรวบรวมไพร่พลเป็นกองทัพยกเข้าย่ำยี แย่งชิงสิ่ที่ต้องการจากชาติอื่นกลุ่มอื่น ถึงฆ่าฟันกันล้มตายจนเกิดสงครามโลก ล้วนเป็นพฤติกรรมอทินนาทานทั้งสิ้น
เจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยวงศ์ เกิดเบื่อหน่ายชีวิตเห็นสภาพความแตกต่างของผู้คนในสังคม ชนชั้นสูง
ฟุ้งเฟ้อหลงใหลกับความสุขสบายทรัพย์สินเงินทองปราสาทราชมณเทียรและเหล่าสนมกำนัล คนชั้นต่ำที่ได้พบเห็นมีแต่ความทุกข์ยากอดอยากทรมาน เจ็บไข้ได้ป่วยล้มตายอย่างไร้ที่พึ่งพิง จึงได้เสด็จออก มหาภิเนษกรมณ์
(บวช)โดยหลบออกจาพระนครกบิลพัสต์ด้วยม้า กัณฐกะ พร้อม อำมาตย์ (ข้าเฝ้า) ชื่อนายฉันนะ ถึงฝั่งแม่น้ำ
อโนมา แล้วจับพระเกศจุฬาโมลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย จับพระขรรค์แก้วด้วยพระหัตถ์ขวา ตัดพระเกศาจนขาดแล้วขว้างพระจุฬาโมลีไปในอากาศ เป็นที่อัศจรรย์นัก พระจุฬาโมลีลอยอยู่บนอากาศสูงถึงหนึ่งโยชน์โดยไม่ตกลงมา พระอมรินทราธิราช(พระอินทร์)จึงอัญเชิญ พระจุฬาโมลี ไว้ในผอบแก้ว ซึ่งมีสัณฐานสูงใหญ่ได้หนึ่งโยชน์ประดิษฐานบรรจุไว้ใน พระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ ทำด้วยแก้วอินทนิลสูงประมาณสี่โยชน์อยู่ในดาวดึงส์เทวโลก
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะบำเพ็ญเพียรอยู่ 6 ปีจนสำเร็จตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้จาริกไปสั่งสอนปวงชนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ผู้ที่เข้าใจปฏิบัติตามจนบรรลุเป็นพระอรหันต์จำนวนมากมายด้วยธรรมอันประเสริฐสูงสุดที่สั่งสอนไว้ถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ มีผู้สรุปคำสอนของพระองค์ท่านไว้เหลือเพียงประโยคเดียวคือ สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ แปลว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
แต่ปวงชนจำนวนมากใช่ว่าจะมีผู้เข้าใจธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทั้งหมด ดังที่ได้เปรียบเป็นดอกบัวในบึงมีหลายระดับ ท่านจึงได้กำหนดข้อปฏิบัติเบื้องต้นไว้เพื่อปวงชนได้ยึดถือ เพื่อขัดเกลา กาย วาจา ใจ
ด้วยศิล 5 ข้อ ให้สังคมสงบร่มเย็นไม่เบียดเบียนกัน จะได้มีสติปัญญาที่จะเข้าใจถึงธรรม ที่ท่านได้สั่งสอน
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สั่งสอนปวงชนอยู่นานถึง 45 ปี ผู้ที่เชื่อถือปฎิบัติตามข้อศิลได้ครบถ้วน ก็ได้รับความสุขตามสมควรระดับหนึ่ง ผู้ที่เข้าใจปฎิบัติถึงธรรมขั้นสูง ก็ได้สำเร็จบรรลุผลตามกำลังของตน จนถึงขั้น อรหันต์ผล ก็มีจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามไม่มีสิ่งใดจะยั่งยืนคงทนได้ตลอดไปอย่าว่าแต่ธรรมสูงสุดจะต้องเสื่อมสลายไปเลย แม้แต่ศิล เบื้องต้น ทันทีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขนธ์ปรินิพพาน ก็มีการระเมิดศิล ข้อ อทินนาทาน กันทันทีแล้ว
เมืองกุสินารา ทั้งเมืองเกิดทุกข์โทมสัส พุทธบริษัท ปุถุชนทุกชั้นโศกเศร้าเสียใจ กับการเสด็จดับขันธ์
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทำการสักการะสมพระเกียรติอยู่ 6 วันได้ก่อพระสถูปที่กลางทางสี่แพร่งเพื่อทำ
การถวายพระเพลิงพระศพ โดยพระกัสสปะเถระ นำพระสงฆ์ 500 รูปเดินทางมาทันเวลาถวายพระเพลิงพอดี
ได้ทำการถวายพระเพลิงอยู่ถึง 7 วัน เมื่อพระเพลิงมอดไหม้สงบลงแล้ว เหลือพระธาตุ ตือ พระอุณทิศ (มงกุฎธาตุ)
1 ชิ้น พระรากขวัญธาตุ (ไหปราร้า) ซ้าย,ขวา รวม 2 ชิ้น พระทาฒธาตุ (เขี้ยวแก้ว) เบื้อง ซ้าย , ขวา บน และ เบื้อง ซ้าย , ขวา ล่าง รวม4 ชิ้น นอกนั้นเป็นพระบรมสารีริกธาตุ มีสัณฐาน เล็กใหญ่ 3 ขาดคือ ขนาด เมล็ดถั่วแตก ขนาดข้าวสารหัก และ ขนาดเมล็ดพันธุ์ผักกาด จึงได้อัญเชิญ พระธาตุทั้งหมดป้องกันรักษาไว้ถึงห้าชั้น คือ ชั้นในสุดเป็นพลช้าง ถัดมาเป็น พลม้า , พลรถรบ ,พลธนู แถวนอกเป็น พลเดินเท้าถือหอกแข็งขัน
ข่าวการถวายพระเพลิงพระศพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขจรขจายไปดุจไฟไหม้ฟาง บรรดาผู้ที่เคารพนับถือต่างโศกเศร้าอาดูร บรรดากษัตริย์เมืองต่าง ๆ ได้ยกพหลพลไกร มาขอแบ่ง พระธาตุ จากเมือง กุสินารา
มี พระเจ้าอชาตศัตรูราช กษัตริย์ลิจฉวี กษัตริย์ศากยราช กษัตริย์โกลิยราช มหาพราหมณ์เมืองเวฎฐทีปกะ และ
มัลลราชเมืองปาวา จนจวนเจียนจะเกิดกระทำสงครามแย่งชิงพระธาตุกันรวมทั้งเมือง กุสินารา
เดชะบุญบารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้มี โทณพราหมณ์ ผู้ที่ กษัตริย์ทั้งหลายให้ความเคารพนับถือเข้ามาไกล่เกลี่ย โดยแบ่งปัน พระธาตุด้วย ทะนานทอง เป็น 8 ส่วน ๆ ละ 2 ทะนาน แจกไปให้กษัตริย์ทั้งหลาย เพื่อนำไปสักการะยังเมืองของตน แต่ในขณะที่ปวงชนกำลังเศร้าโศก สนใจอยู่ที่การแบ่งพระธาตุ โทณพราหมณ์ ฉวยโอกาส กระทำ อทินนาทาน โดย ยักเอา พระทาฒธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)ด้านบนเบื้องขวา ซ่อนไว้ใน
ผ้าโพกศรีษะของตน หวังจะเอาเป็นสมบัติของตัวเอง ปรากฏว่าขณะที่ทำการแบ่งพระธาตุเพื่อแจกจ่ายให้ กษัตริย์ต่าง ๆ นั้น พระอินทร์ได้มาทอดทัศนา เป็นสักขีพยานอยู่ด้วย การกระทำของ โทณพราหมณ์ จึงไม่รอดพ้นจากทิพยจักษุ พระอินทร์ จึงได้ใช้ความชำนาญในอิทธฤทธิ์ ฉวยเอาพระเขี้ยวแก้วจากผ้าโพกศรีษะของ โทณพราหมณ์
ไปโดยที่ โทณพราหมณ์ ไม่รู้ตัวเลย
พระอินทร์ มิได้นำเอาพระทาฒธาตุ (พระเขี้ยว แก้ว) เบื้องบนด้านขวาไปเป็นของตนเอง แต่ได้นำไป บรรจุไว้ใน พระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ ในดาวดึงส์ เทวโลก รวมกับ พระจุฬาโมลี ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่บรรจุไว้แต่แรก ผู้ที่เกิด ปีจอ ว่ากันว่า ต้องเดินทางไปสักการะพระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ ที่ดาวดึงส์เทวโลก จึงจะตรงกับพระธาตุ ประจำปีเกิด ใครได้ไปมาแล้วช่วยมาเล่าให้ฟังกันบ้าง
การกระทำของ โทณพราหมณ์ เรียกว่า อทินนาทาน การกระทำของพระอินทร์ ถึงแม้จะเล็งเห็นว่า
โทณพราหมณ์ มิอาจทำการสักการบูชาที่สมควรแก่ พระบรมธาตุได้ จึงได้ยึดถือเอามาบรรจุไว้ใน พระเกศซแก้วจุฬามณีเจดีย์ ก็ยังถือได้ว่า กระทำ อทินนาทาน เช่นกัน ส่วนการยึดเอาทรัพย์สินของ พันตำรวจโท ด๊อกเตอร ทักษิน ชินวัตร และครอบครัว มาเป็นของรัฐนั้น จะเข้าข่าย อทินนาทาน หรือไม่ ผู้อ่านก็คิดเอาเองก็แล้วกัน