2 มีนาคม 2554 10:26 น.
ฤกษ์ ชัยพฤกษ์
ปลายเขตอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์ ติดกับอำเภอทับคล้อ จ.พิจิตรมีเส้นทางถนนแยกจากสายเอเซียก่อนถึงนครสวรรค์ไป อ.สากเหล็ก จ. พิษณุโลก ผ่านพอดี บ้านโป่งนกแก้ว อยู่ห่างจากทางแยกทับคล้อไปเจ็ด กม.
ไม่ได้มาเขียนเรื่องภูมิศาสตร์ แต่จะเล่าว่าผมไปเกี่ยวข้องกับบ้านโป่งนกแก้วได้ยังไงแล้วทำไมถึงสำคัญกับผม อาจจะเป็นความโลภ หรือการมองอนาคตเบื้องหน้าก็ได้ พวกเขามาชวนหุ้นกันซื้อที่
รวมประมานร้อยไร่ เป็น นส.3ทางการกำลังออกโฉนดแจกฟรี ผมเห็นว่าดีเหมือนกันราคาก็ไม่แพงนักแบ่ง ๆ กันก็พอจะเป็นที่อยู่อาศัยทำมาหากินเป็นชาวไร่ได้ยามแก่ชราก็เลยพากันไปซื้อเอาไว้ตอนนี้ได้โฉนดเรียบร้อยแล้วเป็นที่โล่งว่างใกล้เคียงปลูกข้าวโพดบ้างมะขามบ้าง เราก็ปลูกยูคาลิปตัสตามสมัยนิยม
วาดหวังกันว่าคงได้ทุนคืนบ้างหรอก แต่อนิจจาพอต้นเท่าขา
อาศัยที่ไม่มีคนเฝ้า ก็มีคนเอารถสิบล้อพร้อมคนงานเข้าไปตัดขนไปจนหมดสิ้นร้อยไร่เหลือแต่ตอกับต้นเล็กต้นน้อยพวกเราไปดูนั่งคอตก ชาวบ้านไม่ยอมบอกตำรวจว่าเป็นใครบอกว่าไม่รู้จักนึกว่าเจ้าของขาย
ไกลจากบ้านโป่งนกแก้วไปอีกหน่อยเดียว เป็นเหมืองทองคำใหญ่ของบริษัทต่างชาติที่ได้สัมปทาน เขาทำการขุดหาทำเหมืองทองคำกันเป็นล่ำเป็นสัน ที่เคยมีข่าวออกไปไม่ไกลนักก็มีทองคำกระจัดกระจายทั่วไป มีชาวบ้านบางแห่งหัวใส เปิดขายดินในที่ของตัวเองกระสอบละร้อยบาทให้คนซื้อดินไป ร่อนกับน้ำได้แร่ทองคำบ้างไม่ได้บ้าง แต่คนขายดินก็รวยไปแล้ว เพราะคนไม่มีงานทำต่างไปแสวงโชคก็ล้นหลาม แร่ทองคำที่ร่อนได้เหมืองทองนี้เขามีตัวแทนรับซื้อไม่อั้น
พวกเราเคยไปดูและคุยกับคนร่อนทองคำ แร่ทองคำที่ร่อนได้เขาใส่ขวดเล็ก ๆ เอาให้ดู คล้าย ๆ เศษหินเศษดิน สีเหลืองหม่น ๆ
เขาบอกว่าบางวันก็ได้หลายร้อยบาทเหมือนกัน แล้วคิดดูสิว่าเหมืองทองคำของต่างชาติจะโกยเอาทรัพยากรของชาติไปเท่าไหร่
แต่ที่น่ายินดีมีคนมาติดต่อขอซื้อที่ดินบริเวณที่ของพวกเรา
มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า มีการสำรวจพบว่าสายแร่ทองคำใต้ดินอยู่ลึกพอควรอยู๋ใต้ที่ดินของเราด้วย ชาวบ้านแถวนั้นขายที่ให้นายทุนไปเยอะแล้วแต่พวกเรายังสองจิตสองใจมั่นใจว่าพวกสัมปทานต่างชาติคงรวบรวมเนื้อที่ดินเพื่อขยายพื้นที่สัมปทาน และตอนนี้เราไม่ทำอะไรปล่อยรกว่างเพราะเซ็งเรื่องขโมยจะขายดีไม่มีดียังคุยกันอยู่แต่ก็เสียดายไม่มีโอกาศอีกแล้วในชีวิตนี้ที่จะหาที่ตั้งรกราก
ถ้าเราไม่ขาย จะทำอะไรดีที่ขโมย เอาของเราไปไม่ได้เพราะพวกเราไม่มีเวลาไปดูแลต้องรอให้แก่เสียก่อนจึงมีเวลาไปอยู่ดูแล
อย่ากระนั้นเลย เรามาปลูกต้นตาลกันเถอะ กว่าจะโตเราก็แก่พอดี
จะได้ทำสวนตาล ทำน้ำตาลตะโหนด อาจจะทำกระแช่กินได้ด้วย อิอิ ตอนนี้กำลังรวบรวมลูกตาลเอาเม็ดเพาะ แต่เขาบอกว่าต้องวดูเป็นเพราะเม็ดตาลมีสองอย่างตือตัวผู้และตัวเมีย ปลูกตัวเมียจะดีกว่าจะมีลูกตาลถ้าตัวผู้จะไม่มีลูก ใครมีความรู้เรื่องดูเม็ดตาลว่าเป็นตัวผู้ตัวเมียยัไงช่วยแนะนำด้วยครับ
9 มีนาคม 2553 22:06 น.
ฤกษ์ ชัยพฤกษ์
ตั้งแต่วันปีใหม่ พวกเราสามหนุ่ม สามแง่หลายมุม ตั้งเข็มกันว่าจะไปเคาท์ดาวน์กันบนเขาเขียว แต่เกิดอุบัติเหตุทางความคิด มีคนมาชวนให้ไปหัวหิน ก็เลยเปลี่ยนแผนเสียก่อนและได้เขียนเล่าให้เพื่อน ๆ แล้วใน เพลินวาน คราวนี้ถึงคราวเขาเขียวตามที่ตั้งใจไว้ คุณปู่ของเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเราซึ่งท่านเกษียรอายุราชการจากกองทัพอากาศมานานแล้ว ที่มียศ ตำแหน่งก่อนเกษียรอยู่บ้าง มีลูกน้องยังรักเคารพอยู่มากแต่ท่านมีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงตามวัยที่ล่วงเลย ได้วานให้พวกเราไปทำบุญให้ท่านที่เขาเขียวโดยท่านช่วยติดต่อประสานอำนวยความสะดวกให้อย่างเรียบร้อย
สถานีควบคุมและเตือนเครื่องบินของกองทัพอากาศ ตั้งอยู่บนยอดเขาเขียวเลยจากหน่วยของกรมป่าไม้บนเขาใหญ่ขึ้นไป ใช้เวลาขับรถเกือบชั่วโมง ก่อสร้างโดยการร่วมมือของประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ตามโครงการช่วยเหลือทางการทหาร เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว เรียกสั้น ๆ ว่า สถานีรายงานเขาเขียว มีกำลังทหาร และเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยรัดกุมแข็งขัน บุคคลภายนอกหาไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีโอกาสผ่านเข้าไปเด็ดขาด
หน้าที่หลักคือ ตรวจจับความผิดปกติในท้องฟ้าว่ามีสิ่งใดแปลกปลอมผ่านเข้ามา ถ้าพิสูจน์สัญชาติไม่ได้ก็ต้องแจ้งหน่วยบินของกองทัพอากาศขึ้นสกัดกั้น บังคับลง หรือทำลาย หากพิสูจน์สัญชาติได้จึงปล่อยผ่านเข้ามาได้ มีสโลแกนหรือคำขวัญกำลังใจของหน่วยงานคือ
แม้ยามนี้มีเราเฝ้าเวหา คอยพิทักษ์รักษาไม่หวั่นไหว
ทั้งท้องฟ้าผืนน้ำขืนล้ำไทย อย่าหมายใจว่าจะพรั่นหรือหวั่นเกรง
บนสถานีรายงานเขาเขียวแห่งนี้ มีพระพุทธรูปสำคัญ เป็นที่เคารพนับถือบูชา ของกำลังพลและเจ้าหน้าที่ทุกคน เรียกกันว่าหลวงพ่อเขาเขียว เป็นต้นเหตุของการมาถึงของพวกเราครั้งนี้ เพราะเขากำลังสร้ากุฎิ
ให้ท่าน โดยรวบรวมปัจจัยเงินทองจากผู้มีจิตศรัทธาบริจาค ในรูปของผ้าป่าบ้าง หมู่คณะหรือข้าราชการกองทัพอากาศที่เกษียรอายุทราบข่าวก็ช่วยกันคนละไม้ละมือ อย่างเช่นพวกเราถูกคุณปู่ของเพื่อนให้ช่วยนำเงินมาบริจาคถึงแม้จะเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามกำลังของแต่ละคน ก็สามารถทำให้กิจกรรมสำเร็จได้ ท่านทหารอากาศทั้งหลาย
ถ้าได้อ่านข้อความนี้และอยากจะทำอย่างคุณปู่บ้างก็ไม่ผิดกติกาอันใด
การเดินทางของพวกเราไม่มีปัญหาอะไรมาก เพราะเรื่องการเที่ยวนี้เตรียมตัวแค่สองสามนาทีก็ไปได้แล้วชอบมาก สปอร์ตไลเดอร์พร้อมสามหนุ่ม ออกจากรุงเทพฯแต่เช้าแวะกินข้าวแกง ที่ร้านอะไรก็ไม่รู้เห็นคนเยอะ ๆ ก็แวะเข้าไปอยู่แถว ๆ ประตูน้ำพระอินทร์หรืออะไรนี่แหละ อาหารอร่อยมาก จะกินอะไรก็หยิบ ก็สั่งเอาเลย น้ำแข็งน้ำกินก็หยิบกันเองเลือกที่นั่งกันเอง เสร็จแล้วก็มีคนมาคิดสตางค์ไม่แพงเลย ถึงแยกสระบุรีเราแวะเทศโก้โลตัส เตรียมเสบียงกรังของขบเคี้ยว มีคนกระแดะอยากกินไวน์ก็เลยติดไปสองไห ที่เรียกไหเพราะเบอกันดี้เป็นขวดกลม ๆ มีหูหิ้วคล้าย ๆ ไหมีบุหรี่บ้าง แต่เราไม่ได้สูบแล้วเพราะมีเพื่อนในบ้านกลอนนี่แหละเตือนว่าเป็นของไม่ดีอย่ากลับไปสูบอีกเลยเลิกได้แล้วก็เลิกเสียเถอะแต่ติดเอาไว้เผื่อแลกอะไรได้บ้างครั้งละสองมวนอ้าว ๆ นอกเรื่องไปกันใหญ่แล้ว จากสระบุรีไปแวะที่มวกเหล็ก น้ำตกเจ็ดสาวน้อย ดูชมสาวน้อย ๆ เล่นน้ำกันตรึมไปเลย
กะกันว่าจะเลยไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ก็เกรงจะเสียเวลามากก็เลยไม่ไปมาแวะเสต็กโชคขัย กินทีโบนซะคนละชุดอิ่มหนำไปเลยแล้วรีบไปปากช่องทางเข้าเขาใหญ่ ระหว่างทางพวกก็เปิดไวน์ล้างคอช่วยย่อยเนื้อกันตามทางจนถึง
Palio Khao Yai ติดกับโรงแรมจุลดิสหมดไว้น์ไปเกือบครึ่งไหแล้ว คนขับบ่นอู้ กินกับเขาไม่ได้เอาเปรียบกันนี่หว่า เราเห็นรถยนต์จอดกันแน่นไปหมด ไม่ทราบว่า Palio เป็นสถานที่อะไร เคยผ่านมาไม่เคยมี เพิ่งก่อสร้างเสร็จเปิดบริการได้ไม่นาน ก็เลยแวะเข้าไปดูให้รู้แน่
การก่อสร้างแบบแปลกหรูหราเหมือนจำลองมาจากเมืองเก่าในอิตตาลี่หรือเวนิช มีร้านค้าเล็ก ๆทุกซอกซอยทุกมุม มีธนาคารสองแห่งคือ ออมสิน และกสิกรไทย แบ่งเป็นสองโซนคือ Plazza Palio และ
Plazza felio ลูกค้าแน่นตรึมเป็นวัยโจ๋ เจี้ยวจ้าวถ่ายรูปเล่นกันสนุกสนาน ของที่ขายก็จะมีของฝากเก๋ไก๋ เป็นส่วนมาก อาหารของกินก็มีบ้าง ดูแล้วนึกถึง เพลินวาน แต่เป็นคนละยุค เราเดินเล่นขึ้นชั้นโน้นลงชั้นนี้ สักพักก็
พากันมาขึ้นรถมาเขาใหญ่เสียค่าธรรมเนียมผ่านและแวะไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่แล้วจึงขับขึ้นเขาด้วยความสบายใจว่า เจ้าพ่อจะต้องคุ้มครองเราให้ตลอดรอดฝั่งแน่ เขาใหญ่ก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาจนถึงกลุ่มบ้านพักทางแยกถ้าตรงไปก็จะเป็นน้ำตกเหวสุวัต ถ้าเลี้ยวขวาก็จะไปปราจีนบุรีน้ำตกเหวนรก เราเลี้ยวขวาไปนิดเดียวก็มีทางแยกซ้ายเข้าไปสถานีรายงานเขาเขียว
มีบ้านพักเจ้าหนาที่อยู่ตรงทางขั้นเราเข้าไปสอบถามบอกความประสงค์เขาแนะนำให้ขับรถโดยระมัดระวังขับรถมาตามทางขั้นเขาแรก ๆ ก็ไม่ชันมากนักสองข้างทางเป็นป่าไม้สมบูรณ์ ถึงทางชันเป็นพับผ้าหลายแห่งดูน่ากลัวมีศาลอยู่แห่งหนึ่งสงสัยว่าจะเคยเกิดอุบัติเหตุจึงได้ตั้งศาลไว้ชื่อ ศาลเจ้าพระยาโกษาเทพประสิทธิ์มีจุดชมวิวผาเดียวดาย เราขับรถดัวยความระมัดระวัง จนถึงกองรักษาการ ติดต่อแล้วผ่านเข้าไปได้คงจะมีการประสานกันไว้ก่อนแล้ว ขับผ่านเข้ามาเห็นบริเวณบ้านพักปิดเงียบ รู้ภายหลังว่าเป็นบ้าน วีไอพี ผู้ใหญ่จะมาพักต้องได้รับอนุญาตจากส่วนกลางเท่านั้น ผ่านเข้ามาเห็นเสาสูงมีจานใหญ่ ๆหลายจาน เห็นสถานีกลม ๆ ใหญ่ ๆ ทาสีเขียวขี้ม้าคงเป็นอุปกรณ์เกี่ยวกับเรด้า รถมาจอดตรงหลังเสาธง เขากำลังก่อสร้างสถานที่ตั้งของพระพุทธรูปอยู่ตรงนั้น เป็นกุฎิไม่ใหญ่นัก หลังคาจัตุรมุขสวยงาม พื่น,ผนัง ,เสา กำลังใช้หินอ่อนสวยงามปูทับ งานยังไม่เสร็จจะต้องทำอีกมาก คงจะประมาณปลายเดือนมีนาคม อาจจะเสร็จเรียบร้อยมีพิธีอัญเชิญหลวงพ่อเขาเขียวขึ้นประดิษฐาน ซึ่งปัจจุบันองค์หลวงพ่อเขาเขียวตั้งอยู่ในโรงเลี้ยงหรืออาจเรียกว่าสโมสร เจ้าหน้าที่มารับเราคงจะเป็นผู้ควบคุมดูแล้วอายุคราว ๆ พ่อ ใจดีมาก เล่าว่ารู้จักกับคุณปู่ของเพื่อนดีเคยปฏิบัติงานอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วยเราก็ไม่กล้าถามชื่อ ยศ ตำแหน่ง เรียกเขาว่าคุณลุง ท่านก็ถือเหมือนพวกเราเป็นลูกหลาน พาไปกราบหลวงพ่อเขาเขียวแล้ว ก็พาไปที่พัก
นึกแปลกใจมาก ที่พักมีชื่อว่า บ้านชัยพฤกษ์ เหมือนนามสกุลเราคิดเอาว่า อาจจะตั้งตามชื่อต้นไม้ หรืออาจจะมีคนบริจาคสร้างให้แล้วตั้งชื่อตามคนบริจาคก็ได้ บ้านไม่ใหญ่มีสามห้อง เราได้เข้าพักห้องหนึ่งมีเตียงเล็ก ๆ ปูผ้าไว้สอาดสอ้านสามเตียง พักนอนกันได้สบายมาก ห้องอื่นยังมีคณะอื่นเข้าพักด้วยตกเย็นอากาศเริ่มมีกลิ่นอายของความหนาวโชยมาอาบน้ำแล้วต้องใส่เสื้อแขนยาวหนา ๆจึงจะสบายมองดูวิวไปเบื้องล่างไม่เห็นอะไรเลยเป็นสีขาวคล้ายหมอก คงจะอยู่สูงมากสถานที่เป็นสถานที่ราชการและคงจะสำคัญมากเราจึงไม่กล้าเดินเพ่นพ่านตามใจชอบได้ คุณลุงเรียกไปกินอาหารมีปลาทับทิมทอด หมูย่าง แกงเลียง
ข้าวร้อน ๆ พวกเรากินเสียอิ่มแปล้ ได้กระทำภารกิจของปู่โดยมอบซองเงินบริจาคแล้วพากันเดินเล่นดูสถานที่ใกล้ ๆ ก่อนความมืดจะโรยตัวเข้ามาเห็นเรือนพักอีกแห่งใกล้ ๆ กันชื่อ อาคารชื่นใจ จุคนได้มาก มีคณะใหญ่มาพัก มีการร้องคาราโอเกะสนุกสนานกันด้วยพวกเรานึกครึ้ม ๆ ก็เลยเอาไวน์มารินดื่มล้างคอกันนิด ๆ หน่อย ๆ หมดที่เตรียมไปพอดีก็เข้านอน
ตื่นกันแต่เช้ารีบอาบน้ำแต่งตัว กินข้าวต้มหมู อร่อยมาก มอบเงินบำรุงสถานที่เล็กน้อย แล้วกราบลาคุณลุงกลับ ผ่านทางลงมาก็ดูวิวต้นไม้ตามสองข้างทางเสียมากมองไม่ค่อยจะเห็นอะไร และต้องขับรถด้วยความระมัดระวังมีทางลาดชัน หักศอกเป็นระยะจนถึงปากทางแยก เราเลี้ยวซ้ายไปทางปราจีนบุรีผ่านทางเข้าน้ำตกเหวนรก ทุกคนเคยมากันแล้วก็โหวตกัน เสียงไม่เข้าไปมากกว่าก็เลยไม่แวะเลยเรื่อยลงมาถึงปราจีนบุรีแวะเข้าไปโรงพยาบาลอภัยภูเบศ นวดแผนโบราณซะคนละชั่วโมง หาซื้อต้นไม้แปลก ๆ เพื่อนได้ต้น ส้มมือ มาสองต้น เห็นลูกที่เขามาโชว์ด้วย คล้าย ๆ มือจริง ๆ เขาบอกว่าเอาไว้ทำยาดม หอมดีนัก เป็นไม้หายากขึ้นทุกวัน แล้วก็เดินทางกลับมาทางนครนายก ตัดสินใจกลับบ้านไม่แวะเขื่อนบ้านด่าน น้ำตกสาลิกา เพราะเคยไปมากันหมดแล้ว
การเที่ยวเขาเขียวก็จบลงเพียงเท่านี้
4 มีนาคม 2553 21:04 น.
ฤกษ์ ชัยพฤกษ์
อทินนาทาน
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2542 ให้คำแปลไว้ว่า การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แก่ตน , การลักทรัพย์
พฤติกรรมการกระทำอทินนาทาน มีเกิดขึ้นดึกดำบรรพ์ ในทุกสรรพสัตว์ สัตว์ใหญ่แย่งชิงอาหารจากสัตว์เล็ก สัตว์เล็กแอบลักอาหารของสัตว์ใหญ่ มนุษย์สมัยหินถือตะบองไปทุบหัวคนอื่นเอาอาหารบ้าง ลากผมผู้
หญิงถูลู่ถูกังกลับไปถ้ำของตัวเองบ้าง ล่วงเลยมาเป็นพันเป็นหมื่นปี วิธีการเปลี่ยนแปลงไป มีการรวบรวมไพร่พลเป็นกองทัพยกเข้าย่ำยี แย่งชิงสิ่ที่ต้องการจากชาติอื่นกลุ่มอื่น ถึงฆ่าฟันกันล้มตายจนเกิดสงครามโลก ล้วนเป็นพฤติกรรมอทินนาทานทั้งสิ้น
เจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยวงศ์ เกิดเบื่อหน่ายชีวิตเห็นสภาพความแตกต่างของผู้คนในสังคม ชนชั้นสูง
ฟุ้งเฟ้อหลงใหลกับความสุขสบายทรัพย์สินเงินทองปราสาทราชมณเทียรและเหล่าสนมกำนัล คนชั้นต่ำที่ได้พบเห็นมีแต่ความทุกข์ยากอดอยากทรมาน เจ็บไข้ได้ป่วยล้มตายอย่างไร้ที่พึ่งพิง จึงได้เสด็จออก มหาภิเนษกรมณ์
(บวช)โดยหลบออกจาพระนครกบิลพัสต์ด้วยม้า กัณฐกะ พร้อม อำมาตย์ (ข้าเฝ้า) ชื่อนายฉันนะ ถึงฝั่งแม่น้ำ
อโนมา แล้วจับพระเกศจุฬาโมลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย จับพระขรรค์แก้วด้วยพระหัตถ์ขวา ตัดพระเกศาจนขาดแล้วขว้างพระจุฬาโมลีไปในอากาศ เป็นที่อัศจรรย์นัก พระจุฬาโมลีลอยอยู่บนอากาศสูงถึงหนึ่งโยชน์โดยไม่ตกลงมา พระอมรินทราธิราช(พระอินทร์)จึงอัญเชิญ พระจุฬาโมลี ไว้ในผอบแก้ว ซึ่งมีสัณฐานสูงใหญ่ได้หนึ่งโยชน์ประดิษฐานบรรจุไว้ใน พระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ ทำด้วยแก้วอินทนิลสูงประมาณสี่โยชน์อยู่ในดาวดึงส์เทวโลก
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะบำเพ็ญเพียรอยู่ 6 ปีจนสำเร็จตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้จาริกไปสั่งสอนปวงชนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ผู้ที่เข้าใจปฏิบัติตามจนบรรลุเป็นพระอรหันต์จำนวนมากมายด้วยธรรมอันประเสริฐสูงสุดที่สั่งสอนไว้ถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ มีผู้สรุปคำสอนของพระองค์ท่านไว้เหลือเพียงประโยคเดียวคือ สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ แปลว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
แต่ปวงชนจำนวนมากใช่ว่าจะมีผู้เข้าใจธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทั้งหมด ดังที่ได้เปรียบเป็นดอกบัวในบึงมีหลายระดับ ท่านจึงได้กำหนดข้อปฏิบัติเบื้องต้นไว้เพื่อปวงชนได้ยึดถือ เพื่อขัดเกลา กาย วาจา ใจ
ด้วยศิล 5 ข้อ ให้สังคมสงบร่มเย็นไม่เบียดเบียนกัน จะได้มีสติปัญญาที่จะเข้าใจถึงธรรม ที่ท่านได้สั่งสอน
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สั่งสอนปวงชนอยู่นานถึง 45 ปี ผู้ที่เชื่อถือปฎิบัติตามข้อศิลได้ครบถ้วน ก็ได้รับความสุขตามสมควรระดับหนึ่ง ผู้ที่เข้าใจปฎิบัติถึงธรรมขั้นสูง ก็ได้สำเร็จบรรลุผลตามกำลังของตน จนถึงขั้น อรหันต์ผล ก็มีจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามไม่มีสิ่งใดจะยั่งยืนคงทนได้ตลอดไปอย่าว่าแต่ธรรมสูงสุดจะต้องเสื่อมสลายไปเลย แม้แต่ศิล เบื้องต้น ทันทีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขนธ์ปรินิพพาน ก็มีการระเมิดศิล ข้อ อทินนาทาน กันทันทีแล้ว
เมืองกุสินารา ทั้งเมืองเกิดทุกข์โทมสัส พุทธบริษัท ปุถุชนทุกชั้นโศกเศร้าเสียใจ กับการเสด็จดับขันธ์
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทำการสักการะสมพระเกียรติอยู่ 6 วันได้ก่อพระสถูปที่กลางทางสี่แพร่งเพื่อทำ
การถวายพระเพลิงพระศพ โดยพระกัสสปะเถระ นำพระสงฆ์ 500 รูปเดินทางมาทันเวลาถวายพระเพลิงพอดี
ได้ทำการถวายพระเพลิงอยู่ถึง 7 วัน เมื่อพระเพลิงมอดไหม้สงบลงแล้ว เหลือพระธาตุ ตือ พระอุณทิศ (มงกุฎธาตุ)
1 ชิ้น พระรากขวัญธาตุ (ไหปราร้า) ซ้าย,ขวา รวม 2 ชิ้น พระทาฒธาตุ (เขี้ยวแก้ว) เบื้อง ซ้าย , ขวา บน และ เบื้อง ซ้าย , ขวา ล่าง รวม4 ชิ้น นอกนั้นเป็นพระบรมสารีริกธาตุ มีสัณฐาน เล็กใหญ่ 3 ขาดคือ ขนาด เมล็ดถั่วแตก ขนาดข้าวสารหัก และ ขนาดเมล็ดพันธุ์ผักกาด จึงได้อัญเชิญ พระธาตุทั้งหมดป้องกันรักษาไว้ถึงห้าชั้น คือ ชั้นในสุดเป็นพลช้าง ถัดมาเป็น พลม้า , พลรถรบ ,พลธนู แถวนอกเป็น พลเดินเท้าถือหอกแข็งขัน
ข่าวการถวายพระเพลิงพระศพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขจรขจายไปดุจไฟไหม้ฟาง บรรดาผู้ที่เคารพนับถือต่างโศกเศร้าอาดูร บรรดากษัตริย์เมืองต่าง ๆ ได้ยกพหลพลไกร มาขอแบ่ง พระธาตุ จากเมือง กุสินารา
มี พระเจ้าอชาตศัตรูราช กษัตริย์ลิจฉวี กษัตริย์ศากยราช กษัตริย์โกลิยราช มหาพราหมณ์เมืองเวฎฐทีปกะ และ
มัลลราชเมืองปาวา จนจวนเจียนจะเกิดกระทำสงครามแย่งชิงพระธาตุกันรวมทั้งเมือง กุสินารา
เดชะบุญบารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้มี โทณพราหมณ์ ผู้ที่ กษัตริย์ทั้งหลายให้ความเคารพนับถือเข้ามาไกล่เกลี่ย โดยแบ่งปัน พระธาตุด้วย ทะนานทอง เป็น 8 ส่วน ๆ ละ 2 ทะนาน แจกไปให้กษัตริย์ทั้งหลาย เพื่อนำไปสักการะยังเมืองของตน แต่ในขณะที่ปวงชนกำลังเศร้าโศก สนใจอยู่ที่การแบ่งพระธาตุ โทณพราหมณ์ ฉวยโอกาส กระทำ อทินนาทาน โดย ยักเอา พระทาฒธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)ด้านบนเบื้องขวา ซ่อนไว้ใน
ผ้าโพกศรีษะของตน หวังจะเอาเป็นสมบัติของตัวเอง ปรากฏว่าขณะที่ทำการแบ่งพระธาตุเพื่อแจกจ่ายให้ กษัตริย์ต่าง ๆ นั้น พระอินทร์ได้มาทอดทัศนา เป็นสักขีพยานอยู่ด้วย การกระทำของ โทณพราหมณ์ จึงไม่รอดพ้นจากทิพยจักษุ พระอินทร์ จึงได้ใช้ความชำนาญในอิทธฤทธิ์ ฉวยเอาพระเขี้ยวแก้วจากผ้าโพกศรีษะของ โทณพราหมณ์
ไปโดยที่ โทณพราหมณ์ ไม่รู้ตัวเลย
พระอินทร์ มิได้นำเอาพระทาฒธาตุ (พระเขี้ยว แก้ว) เบื้องบนด้านขวาไปเป็นของตนเอง แต่ได้นำไป บรรจุไว้ใน พระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ ในดาวดึงส์ เทวโลก รวมกับ พระจุฬาโมลี ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่บรรจุไว้แต่แรก ผู้ที่เกิด ปีจอ ว่ากันว่า ต้องเดินทางไปสักการะพระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์ ที่ดาวดึงส์เทวโลก จึงจะตรงกับพระธาตุ ประจำปีเกิด ใครได้ไปมาแล้วช่วยมาเล่าให้ฟังกันบ้าง
การกระทำของ โทณพราหมณ์ เรียกว่า อทินนาทาน การกระทำของพระอินทร์ ถึงแม้จะเล็งเห็นว่า
โทณพราหมณ์ มิอาจทำการสักการบูชาที่สมควรแก่ พระบรมธาตุได้ จึงได้ยึดถือเอามาบรรจุไว้ใน พระเกศซแก้วจุฬามณีเจดีย์ ก็ยังถือได้ว่า กระทำ อทินนาทาน เช่นกัน ส่วนการยึดเอาทรัพย์สินของ พันตำรวจโท ด๊อกเตอร ทักษิน ชินวัตร และครอบครัว มาเป็นของรัฐนั้น จะเข้าข่าย อทินนาทาน หรือไม่ ผู้อ่านก็คิดเอาเองก็แล้วกัน
7 มกราคม 2553 12:43 น.
ฤกษ์ ชัยพฤกษ์
สามหนุ่มแต่หลายมุมเตรียมเต๊นท์ รถสปอร์ตไลน์เดอร เป้าหมายจะไปเคาน์ดาวน์รับปีใหม่กันที่เขาเขียว บนยอดเขาใหญ่ ซึ่งมีสถานีเรด้าของทหารอากาศตั้งอยู่ ลงมติกันว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอร์ห้ามนำติดไปเด็ดขาด
แต่ว่า ก่อนจะออกเดินทางวันที่ 31 ธค. 52 ไม่กี่ชั่วโมงเพื่อร่วมกลุ่มอีกคนซึ่งเขามีโปรแกรมไปเที่ยวกับครอบครัวใหญ่ ทางหัวหิน โทรมาบอกว่า คุณปู่ ป่วยกระทันหัน ครอบครัวไปเที่ยวไม่ได้ ถ้าพวกเราจะเปลี่ยนใจไปกับเขา รวมเป็นสี่คน
คน ก็จะไม่ต้องคืนห้องสูทที่จองไว้ซึ่งไม่แนว่าจะคืนได้หรือเปล่า
เราไม่ต้องคิดมากตอบโอเค เปลี่ยนใจทันที กลายเป็นว่า ต้องเคาน์ดาวน์กันที่กรุงเทพฯ รุ่งเช้าใส่บาตรทำบุญนิดหน่อยก่อจะออกเดินทางเพราะเขาจองห้องวันที่ 1-2 มค. 53 ตอนเช้าวันปีใหม่เรารีบตื่นอย่างยากลำบากแต่เช้าเพราะเคาน์ดาวน์กันดึกมาก แล้วรีบไปวัดชลประทานรังสฤษธิ์ ฟังพระธรรมวิมลโมลี
เจ้าอาวาสที่ขึ้นมาแทนหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ และได้รับพระราชทานเลื่อนสมนศักดิ์จาก พระเทพปริยัติเมธี เมื่อ 5 ธค. 52 นี่เอง ท่านก็เทศน์สั่งสอนตามแบบของท่านจบแล้วใส่บาตรที่ลานหินโค้ง ก็พอดีเพื่อนเจ้าของโปรแกรมหัวหิน นั่ง
แท๊กซี่มาถึงตามนัดพอดี
รถยนต์เคลื่อนจากวัดอย่างมีศิริมงคลเพราะรับพรจากพระมาหยก ๆ
คิดว่าคงถึงหัวหินบ่ายสองโมงได้เวลาเข้าพักโรงแรม ดูเอกสารจองแล้วชื่อ
โรงแรม Springfild @sea resort & spa เพิ่งเปิดใหม่อยู่ห่างชะอำแปด กม.ยังไม่ถึงหัวหิน ราคา ไม่อยากบอกแพงหูฉี่ บอกไปกลัวไม่เชื่อ
มื้อเที่ยงแวะกินที่ ตุ๊โภชนา อ. เขาย้อย แวะซื้อของขบเคี้ยวที่ เพชรบุรี
รถแน่นถนนแต่ไปได้เรื่อย ๆ ถึงโรงแรมประมาณสองโมง ได้ห้องพักเลขที่ 512
เลขน่าแทงหวยจัง แต่คงไม่ได้แทงแล้ว เพราะรัฐบาลกำลังยึกยักเล่นแง่กับล๊อกเล่ย์อยู่ยังไม่รู้เป้าหมาย ถ้าเดินหน้าต่อไม่ยกเลิก ก็แสดงว่าสำเร็จตามเป้า
ถ้ายกเลิกให้ฟ้องร้องกันก็แสดงว่าไม่สำเร็จ ห้องพักเป็นคล้าย ๆเรือนเดี่ยว
แต่ติดกันเพียงสี่ยูนิตที่แยกออกมาพิเศษ มีสองชั้นครอบครัวใหญ่มาได้สบาย
เราสี่คนจึงแฮบปี้ มีสระอาบน้ำส่วนตัวฝากระจก มีที่นั่งให้น้ำพ่นแบบสปา ครั้ง
ละสองคน ขณะที่เล่นน้ำอยู่ คนที่นอนอยู่ที่เก้าอี้นอนด้านล่างข้างฝากระจกก็จะ
มองผ่านกระจกเห็นทุกแง่มุม แต่ว่าของเราไม่น่าจะมองกันเลยเพราะรกรุงรังยุ่ม
ยุ่มย่ามไปหมดถ้าเป็นผู้หญิงเล่นน้ำอยู่คงนอนดูกันเพลินไปเลยละไม่มีคนอื่นมาเห็นได้
สภาพทั่วไปโรงแรมนี้มีลานจอดรถสองชั้น อาคารแต่ละหลังสูงแค่สี่ชั้นรูปแบบคลาสสิคงดงาม มีสระน้ำรวมกว้างใหญ่ ถึงสามช่วง มีสปาพ่นน้ำอยู่รอบ ๆ สระ น้ำพ่นแรงมากน้ำใสสะอาด มีสไลเดอร์ ให้เด็ก ๆ เล่นผู้ใหญ่ก็ไปเล่นด้วยครึก
ครื้นหน้าโรงแรมติดทะเลมีถนนกั้นเดินข้ามถนนก็ลงทะเลเลย พวกเราไม่รอช้า
เล่นน้ำในสระส่วนตัวไม่สนุกก็เดินออกมาลงทะเล หาดทรายไม่ค่อยดีนัก แต่น้ำสะ
สะอาดฝรั่งเล่นกันมากส่วนใหญ่พักที่เดียวกัน มีเรือประมงพื้นบ้านจอดอยู่หลายลำ
ลำ ขึ้นจากทะเลก็ลงสระรวมของโรงแรม สาว ๆ ทั้ง ไทย จีน ฝรั่ง วันพีช ทูพิช
เต็มขีดเลยละ บ้างว่ายน้ำ บ้างนั่งสปาให้น้ำพ่น บ้างเล่นโปโลน้ำมีเสาโกว์ลอยน้ำได้
บ้างก็เล่นสไลน์เดอร์ร่วมกับเด็ก ๆ พวกเราสนุกกันเต็มพิกัดจนบ่ายเย็น
เดินดูเห็นเขามีห้องสปา ห้องนวด ห้องอาหาร และจัดงานให้เด็ก สอยต้นกัลปพฤกษ์รับรางวัล มีกิจกรรมให้เด็กระบายสี พวกเราเล่นน้ำจนเบื่อจึงขั้นมาแช่น้ำอุ่นในอ่าง เตรียมแต่งตัวไปท่องราตรีหัวหิน
เล่ามาตั้งนาน ยังไม่ได้กล่าวถึง เพลินวาน ตามหัวเรื่องเลย อดใจเดี๋ยว
จะถึงเรื่องของวันวาน เรากะจะไปกินข้าวเย็นกันที่หัวหิน แต่งตัวเสร็จขับรถ
มาหาที่จอดหน้าตลาดหัวหินแทบแย่ รถแน่น คนแน่น เดินเข้าซอยที่จะไปรถไฟ ซอยนี้เคยขายอาหารมากมาย แต่ตอนนี้มีแต่เสื้อผ้า อาหารมีน้อย ไปอยู่ท้ายซอย
มากแต่ก็ตั้งหน้าตั้งตาจะขายแต่ฝรั่งคนไทยไม่สน จึงเดินกลับออกมาข้ามถนน
ไปทางท่าน้ำลงทะเลถึงอีกสี่แยกหนึ่งมีร้านอาหารคล้ายคนจีน ลูกค้าแน่นมาก
ไม่มีโต๊ะว่า คนยืนรอเข้าคิวหลายกลุ่ม พวกเราไม่ค่อยหิวก็เลยจองคิวไว้ รอชั่ว
โมงกว่าจึงได้ที่นั่ง อาหารเขาอร่อยจริงราคาไม่แพง เราสั่งมาหลายอย่าง เช่น
ปลาเก๋า กุ้ง กั้ง ฯ หมดไปไม่เท่าไหร่ อิ่มหนำแล้วเดินเข้าไปทางท่าน้ำลงทะเล เลี้ยวทางซายผ่านโรงแรม ร้านค้าเยอะแยะ มีฝรั่งมากมาย ตั้งใจจะไปกินข้าว
เหนียวมะม่วงเจ้าดัง ปรากฏว่าคิวยาวเหลือเกินเขาขายไม่ทันเราไม่อยากรอ เดินเล่นกันใกล้สามทุ่มจึงขึ้นรถไปเที่ยวสถานที่ซึ่งเขาตั้งชื่อว่า เพลินวาน
อยู่ตรงข้ามเยื้องพระราชวังไกลกังวล เพิ่งเปิดกิจการไม่นาน การก่อสร้าง ตบแต่ง แบบโยราณทั้งหมด เหมือนยกห้องแถว โรงแรม โรงรับจำนำ เก่า ๆ สมัยโบราณมาตั้งไว้ มีสองชั้น มีทางเดินต่อเนื่องได้ตลอด กิจการทุกอย่างทำได้จริงหมด ถ่ายรูป กินอาหาร กาแฟ ดัดผม ข้าวแกงมีบาร์แบบโบราณมีวงดนตรีร๊อกโบราณเครื่องดื่มผสมแก้วละร้อยบาท ด้านท้ายมีหนังกลางแปลง ยิงเป้า ปาเป้า
โรงแรม ติดโคมเขียว ไว้ข้างหน้า แกล้งถามอาโก หน้าเคาเตอร์ ว่ามีบริการโคมเขียวแบบโบราณด้วยหรือเปล่า แกหัวเราะ แหะ ๆ บอกไม่มี โรงแรมเข้าสพักได้จริง
จริงมียี่สิบห้งสองฟาก ราคาห้องละ 3200 บาท เดอรลุค3700 บาทพักได้
ห้องละสองคน สำรองที่พักได้จริง โทร 032-520311-2ต่อ 700ถ้าไม่เชื่อโทรเดี๋ยวนี้เลย เราเดินเที่ยวดูของเก่า ๆ ดื่มอะไรนิดหน่อยแล้วก็กลับมานอนอย่างสุขขารมณ์
ตื่นเช้าสักหกโมง พากันไปเดินชายหาดเล่นจนเหงือซึม กลับขึ้นห้องอา
หาร หรูหรามาก เรามีบัตรกินอาหารเช้าฟรีครบคนอยู่แล้วถามเขาว่าถ้ามีเพื่อนมาเพิ่ม เขาว่าได้แต่คิดหัวละประมาณ หกร้อยบาท อาหารมีหลายอย่าง ทั้งไทย
จีน ฝรั่ง มีข้าวต้มเครื่อง ข้าวต้มกับ ไข่ดาว ไข่ลวก สลัด แล้วแต่จะเลือกกิน
น้ำนมสด น้ำผลไม้หลายชนิด เราชอบน้ำกีวี่ อร่อยดี มีกาแฟทั้งโบราณและสมัยใหม่โดยเพาะ ไก่งวง อบเหลืองอร่าม มีคนคอยเฉือนให้ด้วย คนไทยมีน้อย
ฝรั่งกับจีนมาก เรากินกันเต็มพิกัดอิ่มแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผาเป็นกางเกงว่ายน้ำ
พากันลงทะเล ฝรั่งเล่น สกุ๊ดเตอร์ พวกเขาเล่นเก่งมาก ไม่เห็นมีร้านให้เช่าสงสัย
เขานำมากันเอง ตอนสาย ๆเราเห็นเรือประมงพื้นบ้านเข้ามาจอด มีคนหามอะไรไม่รู้ดูหนัก ๆ ลงจากเรือ เราก็เข้าไปดู เป็นว่าหามอวนลงมา เป็นอวนที่พวกเขานำไปวางดักไว้ตอนกลางคืนกู้มาตอนเช้า ถามว่าได้อะไรบ้าง เขาว่ามีน้อยมาก ได้ปูม้าบ้างเล็กน้อย เราก็นั่งดูเขาแกะปูม้าออกจากอวน อวนสามหลัง ได้ปูม้าแค่ห้ากิโล
ยังเป็น ๆ ถามซื้อเขาเอากิโลละ 250บาท เราก็เอาทั้งหมด เขาแนะนำให้ไปจ้างป้านิดนึ่ง เราจึงเอาปูมาหาป้านิด แกคิดค่านึ่งกิโลละยี่สิบบาท เลยนั่งดูแกนึ่ง แกต้องแช่น้ำแข็งให้ปูสลบก่อ บอกว่าถ้านึ่งตอนเป็นๆ ปูจะปล่อยก้าม ปล่อยขา ออกเหลือแต่ตัวไม่สวยไม่น่ากิน เลยให้แกหุงข้าวให้หม้อเล็กและทำน้ำจิ้มให้ด้วยกะจะไว้กินมื้อกลางวันแล้วพากันมาเล่นน้ำสระของโรงแรม ชื่นชมหุ่นเซ็กซี่ ของ ฝรั่ง จีน โดยเฉพาะไทย ที่พูดกันรู้เรื่อง
จนหนำใจดีแล้วก็ไปเอาปูนึ่งกับข้าวและน้ำจิ้มจากบ้านป้านิดข้างโรงแรม
มากินที่ศาลาเล็กหลังห้องพักข้างสระน้ำฝากระจก ชมทะเลไปด้วยกินไปด้วย ใครจะลงสระไปกินไปก็ได้ แต่มีแต่มารุมกินปู อร่อยที่สุดตั้งแต่กินปูมาแกะเป็นบ้างไม่เป็นบ้างแต่ก็พยายามกันทุกคน เนื้อหวาน เจือเค็มนิด ๆ จิ้มน้ำจิ้มแล้ว ซี๊ด ๆ ๆ ๆ
อยากให้คนอ่านมากินด้วยจัง ตกลงมื้อนี้หมดปูม้าห้ากิโล ข้าวไม่หมดหม้อ พากันนอนผึ่งพุงจนบ่าย รีบกระวีกระวาดแต่งตัวไปเที่ยว พระราชนิเวศน์มฤคทายววันว
วันกันดีกว่าอยู่ไม่ไกลออกจากโรงแรมเข้าค่ายพระรามหกก็ถึง
เคยมาชมแล้วครั้งหนึ่งแต่คราวนี้แปลกไปมาก ที่จอดรถอยู่ด้านนอก ต้องเสียค่าผ่านประตูเข้าไปคนละ 30 บาท สถานที่ได้รับการปรับปรุงโดย มูลนิธิ
พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ส่วนพระราชฐานที่ประทับ ร่วมกับตำรวจตระ
เวณชายแดนค่ายพระรามหก จึงดูสะอาดเรียบร้อย ผ่านประตูเข้าไปต้องเดินชมไปเรื่อย ๆเพราะเปิดให้ขึ้นชมจากพระที่นั่งองค์สุดท้าย ต้องรับบัตรคิว เป็นรอบ ๆ
รอบสุดท้ายเวลา 16.10น, พระราชนิเวศน์มฤคทายวันนี้งดงามยิ่งนัก สร้างด้วย
ไม้สักทองทาสีเหลือง ยากที่จะบรรยายความงดงาม จึงขอยกเอา บทประพันธ์
ของ พระยาอนุศาสนจิตกร ใน นิราศตามเสด็จ ประพันธ์ไว้เมื่อคราวตามเสด็จ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว แปรพระราชฐาน พศ.2467 เพียงบางส่วน
ส่วนดังนี้
พระที่นั่งดังพิมาน มโหฬารดูสดใส
พร้อมพรั่งทั้งน่าใน งามเงื่อนล้ำในอัมพร
นามสมุทพิมาน งามตระการประภัศร
อีกพิศาลสาคร ได้ลมดีมิได้ขาด
อีกองค์งามบวร สโมสรเสวกามาตย์
ตั้งอยู่หัวแหลมหาด เฉลียงโปร่งโล่งสบาย
ดูเหนือเห็นชอำ ท้องคุ้งล้ำนัยน์ตาหมาย
ปลูกเรือนอยู่เรียงราย แลเป็นจุดสุดสายตา
ดูใต้เห็นหัวหิน ริมวารินล้วนภูผา
แลลิ่วจนสุดตา ซ้อนต่อติดพิศพึงชม
ลมพัดเย็นสบาย ดูหาดทรายสระสวยสม
คลื่นซัดมาตามลม ไม่แรงจัดซัดซ่าฟอง
ฯลฯ
พวกเราได้ขึ้นชมพระราชนิเวศน์ เป็นกลุ่มสุดท้าย เริ่มตั้งแต่ด้านท้ย เรียกว่าฝ่ายใน มีห้องแสดงเครื่องแต่งกายยุคก่อน ห้องพระสนมเอก ศาลาลงสรงของฝ่ายใน
ที่เสวยฝ่ายในฯ มาจนถึงฝ่ายน่า ศาลาลงสรงของพระมหากษัตริย์ ท้องพระโรง
ห้องเสวยพระกระยาหารต้อนรับอาคันตุกะ ห้องบรรทม เรื่อยมาจนถึง สโมสรเสวกามาตย์ อยู่ท้ายสุดใกล้ทางออก เป็นคล้ายโรงละคร กว้างขวาง
เมื่อชมจนหมดแล้วก็มาร้านค้าของที่ระลึก แล้วออกมาขึ้นรถกะจะไปกินอาหารเย็นที่เชิงเขาตะเกียบมีร้านอาหารทะเลสด ๆ ให้เลือก ผ่านหัวหินถึงเขาตะเกียบเลยขึ้นไปบนวัดเขาตะเกียบใกล้มืดแล้ว พวกลิง ที่เคยยั๊วเยี๊ย ก็ไปนอนกันหมด มีแต่กลิ่น ขี้เยี่ยวลิง คละคลุ้งไปหมด ขึ้นบรรไดไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนมนฑพ แล้วรีบลงมาร้านอาหารด้านล่าง มีเรือประมงพื้นบ้านจอดอยู่หลังร้านเป็นแถว สั่งอาหารพวกปลา กุ้ง ฯ ปูไม่เอาเพราะกินมาตอนกลางวันเยอะแล้วใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะกลับถึงโรงแรมก็สี่ทุ่มเข้าไปแล้ว บางคนยังโดดลงสระเล่นน้ำอีกแต่บางคนนอนดูหุ่นของพวกเล่นน้ำผ่านกระจกปลงสังเวชกันไป
รุ่งเช้า กินอาหารฟรีอีกหนึ่งมื้อเหมือนเดิม พักผ่อนนิดหน่อยก็เก็บข้าวของเชคเอ๊า
เอ๊าท์ ปรากฏว่ารองเท้าแตะที่เขาให้ไว้สำหรับเดินสระน้ำหายไปหนึ่งคู เขาเรียกค่าเสียหาย 290บาท เราก็พากันหารอบไปหมดไม่เจอ จนกระทั้งพบเจ้าหนาที่สระเขาเก็บเอาไว้เลยรอดตัวไป ความสนุกสนานฉลองปีใหม่ก็จบลงเพียงเท่านี้
10 มิถุนายน 2550 13:47 น.
ฤกษ์ ชัยพฤกษ์
เพื่อน ๆ ไทยโพเอ็มที่เคยอ่านเรื่องสั้น เรื่อง เซียมซี ที่ผมนำลงไว้เมื่อเดือน สค. 49 คงจำได้ว่า ผมพาเพื่อนสองคนสามีภรรยา ไปบนบานขอลูก กับ
ฤษีหินเขียวที่เขาตั้งชื่อกันว่า ฤษี นาคสิทธิโคดก อยู่ที่มณฑป กลางน้ำวัด โปรดเกษเชษฐาราม อำเภอพระประแดง แล้วสัญญาไว้ว่าจะรายงานผลให้เพื่อน ๆ ทราบ
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเพื่อนคนนั้นโทรมาหานัดให้ไปพบกันที่วัดนั้นอีก ขอให้ไปให้ได้จะรอตอนสักสิบโมงเช้า ผมก็เป็นคนใจอ่อนกับเพื่อนเสมอมาจำเป็นต้องไป
หนทางไปเคยบอกไว้แล้ว ข้ามสะพานพระรามเก้า ลงฝั่งธนเลี้ยวไปทางป้อมพระจุลฯ หรือจะไปข้ามสะพาน พระบริบาล ที่เปิดใหม่จากคลองเตย ก็มาลงใกล้ ๆ กัน
ถึงทางแยกพระประแดงถามหาทางไปวัดโปรดเกษ ฯ ไม่ยากแล้ว พอไปถึงเจอสองคนสามีภรรยานั่งรออยู่แล้วดูเขามีความสุขมากตระเตรียมของมาเยอะ มีกล้วย
น้ำว้าหวีใหญ่ มะพร้าวอ่อน น้ำผึ้งอีกขวด พร้อมดอกไม้ธูปเทียน ที่น่าตื่นเต้นแปลกตาก็คือ ภรรยาเขาใส่ชุดคลุมท้องแบบคนท้องแก่ ผมพลอยยินดีกับเขาด้วย เขา
เล่าว่าได้ให้หมอตรวจสอบอุลตราซาวด์แล้วเป็นทารกเพศชาย ตอนนี้ สักเจ็ดเดือนกว่าแล้ว แข็งแรงดีแม่ก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ บอกว่าที่มาวันนี้ไม่ใช่มาแก้บน มาไหว้
ฤษีเฉย ๆ อยากพบผมเพื่อแจ้งข่าวดีเสร็จพิธีจะพาไปกินอาหารทะเลสักมื้อเท่านั้นเอง
สองคนเขาจุดธูปเทียนไหว้ฤษีกันรอสักครึ่งชั่วโมง ก็พากันกราบลา และไม่ได้เอาสิ่งของที่นำมาไหว้กลับ เขาบอกว่าให้เป็นทานเด็กวัด เขาคุยว่าได้สอบถามเส้นทาง
ไปและชื่อร้านที่จะกินอาหาร จากคนรู้จักไว้แล้ว ขอให้ขับรถตามกันไป ผมก็ขับรถตามเขามาเรื่อย ๆ ออกจากวัดถึงถนนสุขสวัสดิ์ไปทางป้อมพระจุลจอมเกล้า ผ่านสะพาน
กำลังก่อสร้าง เป็นสะพานวงแหวนรอบนอกจะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาตรงบางหัวเสืออำเภอพระประแดง อีกไม่นานคงเปิดใช้ได้ ตกลงแถวนี้มีสะพานข้ามแม่น้ำถึงสามสะพาน
สะพานพระบริบาล น่าทึ่งมาก มีสามแยกกลางอากาศจากพระประแดงข้ามไปคลองเตยถนนพระราม 3 หรือข้ามไปถนนปู่เจ้าสมิงพรายตรงข้ามตัวอำเภอพระประแดง
ก็ได้น่ามาขับรถเล่นจัง
เราขับรถมาเรื่อย ๆถึงสามแยกเจดีย์พระสมุทร์เจดีย์แต่ไม่เลี้ยวเข้าไป ขับเลยไปทางป้อมพระจุล ฯ พอถึงสะพานเล็ก ๆ โค้งสูงนิดหน่อยข้ามไปแล้วทางซ้ายมือเป็นอู่ซ่อม
เรือเดือนทะเล ขวามือเป็นทางแยกมีป้ายบอกว่า สถานีตำรวจ พระสมุทรเจดีย์ เลี้ยวเข้าไปขับไปเรื่อย ๆ ผ่านหมู่บ้าน มีร้านอาหารเป็นระยะ ผ่านบ่อเลี้ยงปูทะเลสองข้างทาง
จนถึงร้านอาหาร ชื่อ ปูหลน มีที่จอดรถริมทาง เพื่อนให้สัญญาณว่าถึงแล้ว แต่ให้ตามไปก่อน เราก็ขับตามไปเรื่อย ๆ ผ่ายบ่อเลี้ยงปู คนตั้งแค๊มป์ขายปู จนเข้าเขต สถานีตำรวจ
ต.สาขลา จนถึงตลาดมีร้านขายปูทะเลสด ๆ เพื่อนเขาซื้อปูสองสามกิโล บอกว่าจะเอาไปฝากคนรู้จัก แล้วพากันขับกลับมาทางเดิมจอดที่ร้านปูหลน
ร้านเขากว้างขวางปลูกแยกออกไปหลายปีก อยู่บนผืนน้ำที่เป็นบ่อเลื้ยงปูปลา กว้างสุดลูกตา เพื่อนสั่งอาหารหลายอย่าง มีปูหลน เมนูดั้งเดิม กินกับข้าวตัง อร่อยมาก กุ้ง
แม่น้ำเผา ปูทะเลนึ่ง พล่ากุ้งใหญ่ย่าง ส้มตำปูไข่ดองแช่เย็น ปลากระพงนึ่งมะนาว จนผมต้องขอร้องว่าพอเถอะเดี๋ยวกินไม่หมด อาหารเขาอร่อยจริง ๆ ไม่ได้มีค่าโฆษณาอะไรนะนี่
ตามด้วยของหวานทับทิมกรอบใส่น้ำมะพร้าวปั่น อร่อยอีกนั่นแหละ ในระหว่างอาหารเขาชื่นชมกับผลงานผลิตของเขามากเราก็พลอยชื่นชมด้วย เขาบอกว่า พ่อแม่ทางภรรยาเตรียม
ทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลไว้รับขวัญหลานตา ผมก็พลอยยินดีนึกอวยพรในใจให้เด็กได้กำเหนิดมาอย่างสมบูรณ์ไม่ผิดปกติดอย่างใด ๆเถิด จะได้เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพต่อไป
ในอนาคตข้างหน้า
จะเป็นความศักดิ์สิทธิ์ตามคำลำลือว่า มาขอลูกกับฤษีองค์นี้มักจะได้ลูกผู้ชายแก่แก้วนัก หรือว่าจะเป็นความบังเอิญตามธรรมชาติก็แล้วแต่ ที่ผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีผู้ใดว่าอยู่แล้ว
แต่ผมก็อำหนำสำราญไปมื้อหนึ่งแล้วละ อิอิ ผมได้รายงานผลตามสัญญาแล้วนะ อิอิ