16 กรกฎาคม 2549 11:35 น.
-ร้อยแปดพันเก้า-
แว่วเสียงคุยเบาเบาเคล้าลมผ่าน
เหมือนมีงานบุญรอคลอเพลงร่าย
เสียงบรรเลงคลอขับดูคลับคล้าย
ในหมู่บ้านมีคนตายอยู่ท้ายซอย
วงพิณพาทย์กังวานผสานปี่
ฆ้องวงตีระงมรางถนัดถ้อย
เสียงระนาดกระชั้นเตือนสติลอย
เมื่อรับรู้จึงทยอยมาบ้านงาน
เป็นงานบุญงานโศกวิโยคไห้
ชั่วอึดใจคนเดินเต็มลานบ้าน
ด้วยเยื่อใยผูกพันในวันวาน
เสียงกล่าวขานอาลัยในความดี
สองพี่น้องมิคาดนึกสะอึกสะอื้น
ต้องกล้ำกลืนฝืนไห้ใจริบหรี่
ต้องกำพร้าไร้แม่นับแต่นี้
สองชีวีอย่าท้อสู้ต่อไป
ขอจงหลับให้สบายอย่าได้ห่วง
เมื่อสิ้นบุญปลดบ่วงโลกใบใหญ่
เราที่เหลือยังมีกรรมต้องทำใจ
มิเว้นใครถึงวันนี้มีแน่นอน
4 กรกฎาคม 2549 19:14 น.
-ร้อยแปดพันเก้า-
ข้าคือ..ผู้ยิ่งใหญ่บนยอดเขา
หมอกบางเบาเคลื่อนผ่านสะท้านสั่น
เย็นยะเยือกเทือกผาร่ำลาตะวัน
กลับรังรักจักฝันถึง จันทร์ ดาว
แว่วสายลมต่อถ้อยค่อยค่อยเถียง
เจ้ายืนเคียงภูผาท้าลมหนาว
ไกลกังวลคนร้างห่างเรื่องราว
ใจฮึกห้าวทุกเมื่อเหนือผู้ใด
แน่ใจหรือ..????
เจ้ายึดถือแท้จริงว่ายิ่งใหญ่
เช่นภูสูงเทียมฟ้าเหนือกว่าใคร
ลองแหงนมอง" หิมาลัย " ..นัยยั่วล้อ
ข้าอยู่สูง..หัวใจวางไว้สูง
มารเดินจูงพาไถลยังใจฝ่อ
ข้ารู้จักตัวตนจนดีพอ
ไม่ร้องขอไม่เอาเปรียบเหยียบหัวคน
เคยเห็นแต่ผู้ใหญ่บ้านเมืองนี้
แผ่บารมีเทวดายังด่าก่น
หลงกิเลสยึดอัตตาแห่งตัวตน
ปากพาจน..ดึงฟ้าต่ำกว่าดิน
3 กรกฎาคม 2549 10:25 น.
-ร้อยแปดพันเก้า-
เป็นกบน้อยใต้กะลามีฝาครอบ
เหมือนเกราะกรอบกันภัยใต้โลกกว้าง
กลางพนาธานีที่รกร้าง
หลบเพื่อห่างคาวขมที่ตรมตรอม
ภูมิใจที่มีกะลาเป็นสมบัติ
แม้นแน่ชัดไร้ใจใครถนอม
โลกอบอุ่นในใจสร้างไว้พร้อม
ที่รายล้อมความลึกซึ้งไว้ส่วนตัว
ใต้กะลาวาดโลกสวยด้วยความหวัง
เปี่ยมพลังอารมณ์ขันฝันได้ทั่ว
เรียนรู้โลกลึกได้ไม่หวั่นกลัว
รู้ดี-ชั่วตัดโศกบนโลกชัง
เป็นกบน้อยโตคารูอยู่โลกแคบ
เลือกเลียนแบบครูดีที่สอนสั่ง
ชี้แนวทางวางทิศไม่ผิดพลั้ง
และปลูกฝังทุกศิษย์ให้คิดเป็น
เป็นกบน้อยใต้กะลาแต่ฟ้ากว้าง
สื่อแนวทางตัวตนให้คนเห็น
ภาคภูมิกับมิตรดี(ช่วย)ชี้ประเด็น
ใจนิ่งเย็นเขียนฝันอันเสรี
2 กรกฎาคม 2549 14:15 น.
-ร้อยแปดพันเก้า-
หมอกเลือนลางบางเบายามเช้าตรู่
ใจหดหู่ห่วงหายามฟ้าเหงา
หมอกเสน่ห์สีจางกลางฟ้าเทา
แอบมองเจ้ากลางสายหมอก..ดอกเอื้องดอย
เจ้าผุดผ่องสีขาวกลางราวป่า
สวยบอบบางงามตาแต่ว่าหงอย
รอใครหนอชะเง้อหาตั้งตาคอย
ใจคงร้อยเวียนวนบนรอยราน
ณ ภวังค์ไถ่ถามผ่านความเงียบ
ความเย็นเยียบคำตอบคือร้าวฉาน
เผาะน้ำค้างพร่างพรมห่มยาวนาน
ซ้อนทับกาล..ในนามความผันแปร
ลมกระเซ้าเย้าหยอกหมอกยามเช้า
แม้นแผ่วเบายังย้ำซ้ำรอยแผล
แดดเช้าตรู่ฤดูหนาวร้าวดวงแด
ค่อยค่อยแผ่ค่อยค่อยฉายจากปลายฟ้า
หนาวของลมเกรียวกรูอยู่หน่วงหนัก
ใจไร้รักมักขื่นขมจมปรารถนา
บอกหัวใจไร้เงาเขาคืนมา
ซึมน้ำตาซับรอยแสนน้อยใจ
จ่อมจมเงาเงียบงันเหมือนฝันค้าง
เขาเด็ดทิ้งระหว่างทางเพราะแปลกใหม่
ดอกเอื้องดอยอ้างว้างกลางลมไกว
เจ้าล้ำค่ากลางไพร..ใช่ป่าเมือง