2 เมษายน 2555 23:06 น.
ร้อยฝัน
พายุฤดูร้อนพัดกราว ๆ ต้นมะพร้าวข้างบ้านพักโดนพัดแทบหักโค่นไปกับลม แต่กระนั้นต้นตรงสง่าก็ยังยืนฝืนต้านลมมิได้หวั่น
ฝนเม็ดเป้ง ๆ สาดพัดขึ้นมาบนระเบียงบ้าน เสียงข้าวของ
ที่อยู่ข้างนอกปลิวกระทบกันปึงปัง ๆ ฉันรีบวิ่งเข้าไปหลบในห้องน้ำข้างล่าง ซึ่งประเมินแล้วว่าเป็นพื้นที่ที่น่าจะปลอดภัยที่สุดของบ้านพัก กระนั้นก็ตามเมื่อมองออกไปข้างนอกฟ้าแลบแปลบปลาบ
ตามด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสั่นไปถึงหัวใจ ฉันนั่งสวดมนต์ภาวนาขอให้สิ่งศักสิทธ์คุ้มครอง ทั้งกลัวฝน กลัวฟ้า กลัวความมืดมิดที่จะตามมาหลังพายุ ทั้งบ้านพักไม่มีใคร ฉันได้แต่นั่งกลัวอยู่ในห้องน้ำ
เพียงลำพัง
อ้อย อ้อย อยู่รึเปล่า แว่วเสียงดังจากข้างนอก เงาตะคุ่ม ๆ เดินฝ่าสายฝนเข้ามาใกล้
ฉันแง้มประตูห้องน้ำ เงี่ยหูฟังและแอบดูจากช่องรอยแง้มนั้น เมื่อเห็นคนที่เข้ามาชัดเจนฉันแทบจะกระโดดเข้าไปกอด
ยาย ยาย ไปไหนมา อ้อยกลัวแทบแย่
ยายติดฝนที่อาคาร นึกขึ้นได้ว่าอ้อยอยู่บ้านคนเดียวก็เลยฝ่าฝนมา กลัวใช่ไหมนั่น
ใช่ค่ะยาย ขอบคุณยายนะคะที่มาอยู่เป็นเพื่อน
อ้าว แล้วทำไมไม่อยู่บนบ้านล่ะ
อ้อยกลัวค่ะยาย บนบ้านน่ากลัว ทั้งฝนทั้งฟ้า อ้อยอยู่ไม่ได้
แล้วทำไมอยู่ในห้องน้ำได้
ห้องน้ำมันมืด มันไม่เห็นฝน ไม่เห็นฟ้าแลบ แล้วเสียงดังน้อยกว่าบนบ้านด้วย
อ้อย เอ้ย ไม่เคยเห็นกลัวอะไร กลัวพายุเนี่ยนะเรา
มันน่ากลัวนะยาย น่ากลัวจริง ๆ
ไปบนบ้านเถอะเดี๋ยวยายอยู่เป็นเพื่อน ห้องน้ำเหม็นจะตายอยู่เข้าไปได้แถมปิดห้อง ซะมิดเชียว น้องเอ้ย ยายพูดเจือหัวเราะ
เบา ๆ
พายุพัดโหมอยู่สักพัก ก็อ่อนแรงลง ยายเห็นฉันเริ่มมีอาการดีขึ้น แกก็ขอตัวไปบ้านพักอีกหลังที่อยู่ติดกันเพื่อสำรวจความเสียหายจากพายุ ร่อยรอยของพายุ ไม่ได้ทำความเสียหายอะไรมากนักนอกเสียจากการพัดข้าวของกระจุยกระจาย ใบไม้ร่วงเกลื่อนบริเวณ
อ้อย คงไม่มีอะไรแล้วนะ อ้อยอยู่ได้ไหม ถ้ากลัวก็ขึ้นมาอยู่กับยายก็ได้นะ ยายยื่นน้ำใจให้คนขี้กลัวอย่างฉัน
ไม่เป็นไรแล้วล่ะยาย อ้อยอยู่ได้ ยายไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ
ฝ่าฝนมาตั้งนาน เดี๋ยวเป็นหวัด มีอะไรอ้อยจะเรียกยายแล้วกันนะ ขอบคุณค่ะยาย ยายไปพักเถอะ
แน่ใจนะว่าอยู่ได้ ยายย้ำเพื่อความแน่ใจ
ชัวร์ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์น่ะยาย ถ้าไม่มีพายุพัดอีกนะ แค่นี้จิ๊บ ๆ
จ้า งั้นยายไปนะ
เจ้าค่ะคุณยาย ขอบคุณค่ะ ฉันพูดเจือหัวเราะเล็ก ๆ
อ้อยเอ้ย ดู๊ดู หัวเราะเสียงใส ตะกี้สั่นเป็นลูกหมูเชียว ดูมัน ๆ ยายส่ายหน้าแล้วเดินลับ
เข้าบ้านไป
*********************************************************
ฉันขึ้นไปบนบ้าน เริ่มเก็บกวาดเศษใบไม้ เก็บของให้เข้าที่
เข้าทาง ยุ่งจนลืมดูเวลาแต่เวลาของร่างกายฉันมันฟ้องด้วยอาการหิวจนแสบไส้ ฟ้าข้างนอกมืดแล้ว ฉันมองไปที่บ้านพักหลังของยาย ไม่มีแม้แต่แสงไฟ ยายคงหลับ ฉันเรียกยาย แต่ไม่มีแต่เสียงตอบรับ ฉันยอมแพ้ที่จะปลุกยาย เดินกลับเข้าห้องเปิดตู้เย็นควานหาของกิน นอกจากน้ำสองขวด ไข่สองฟอง ที่แอ้งแม้งอยู่ในนั้นนานนับเดือนแล้วก็ปราศจากสิ่งใด ๆ อีก ฉันหัวเราะกับตัวเอง รำพึงเบา ๆ ของกินหายไปไหนหมดวะ ปกติตู้เย็นของฉันมันอัดยัดแน่นไปด้วยของกินสารพัด สารพัน แต่วันนี้กลับว่างจนน่าใจหาย เอาวะมีไข่ รอดตายแล้วเรา
ฉันเปิดไฟชั้นล่างของบ้านพัก สำรวจดูข้าวสารที่เก็บไว้ คงพอเหลือได้หุงบ้างสักจานสองจาน ในไม่ช้าข้าวก็พร้อมหุง ประการต่อมาฉันนึกถึงกับข้าว .... ไข่ต้ม.... มันผุดขึ้นในหัวฉัน
อือ มันง่ายดี ล้างไข่ให้สะอาด ซุกในหม้อหุงข้าว ง่ายดีไม่ต้องเหนื่อย ขณะที่รอข้าวสุก ฉันรื้อหนังสือเก่าเก็บออกมาดู หนังสือหลายเล่มที่เป็นเล่มโปรด หนังสือที่เก็บความทรงจำเก่า ๆ เอาไว้ มีร่องรอยลายมือยุกยิก บางเล่มมีรูปภาพเก่า ๆ สอดเก็บในนั้น
และหนังสือเล่มนั้น หนังสือที่ฉันรักที่สุดและฉันเก็บมันไว้เมื่อนานมาแล้วในนั้น มีรูปข้าวคลุกไข่ต้ม แทรกอยู่ ฉันหยิบรูปขึ้นมาดูน้ำตาหยดหนึ่งหยดแหมะลงในรูป ภาพแต่หนหลังพรั่งพรูเข้ามาดุจดังเหตุการณ์นั้นเพิ่งผ่านไป ความทรงจำที่ไม่เคยตายไป
จากฉัน
******************************************************************
ภาพในอดีตแจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ มันฉายซ้ำซากอยู่อย่างนั้นไม่เคยเหนื่อย แว่วเสียงใครคนนั้นเอ่ยทักเหมือนว่าเรายังอยู่ด้วยกัน
อ้อย เป็นไงบ้าง ซ้อมทั้งวันเหนื่อยไหม คำถามที่ทำให้หัวใจละลายได้เสมอ
เหนื่อยสิ หิวด้วย มีอะไรกินไหม
อือ ไม่มี แต่มีข้าวกับไข่ กินไหมเดี๋ยวเค้าจัดการให้
ให้ไวเลย หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว
ไม่นานเลยสำหรับการรอ ข้าวไข่ต้มแสนอร่อยจานนั้น ข้าวสวยหุงใหม่หอมกรุ่นเหยาะน้ำปลาเค็มปะแล่ม ๆ ไข่ต้มบี้ ๆ คลุกข้าวสีเหลือง กินไปมองหน้าคนปรุงยิ้มไป อาหารง่าย ๆ ที่อร่อยจนไม่อยากจะแลกกับอะไร
************************************************************************
ฉันหวังว่าข้าวไข่ต้มวันนี้ มันจะอร่อยเหมือนวันนั้น ข้าวสุกคลุกน้ำปลา คลุกไข่ เหมือนเดิมกับที่ใครบางคนคลุกให้ ฉันตักข้าวเข้าปากคำแรก รู้สึกปร่าที่ลิ้นวันนี้ข้าวไข่ต้มจืดชืด ฉันเติมน้ำปลา
ลงไปอีก เติมลงไปอีก เค็มจนขม ไม่ว่าจะคำไหนก็ไม่อร่อย ฉันผลักจานข้าวให้ห่างออกไป ข้าวกระเด็นจากจานลงเปื้อนพื้น กลิ่นน้ำปลาเหม็นกระจาย แต่ฉันไม่รับรู้ ฉันรู้แต่ว่าข้าวมัน
ไม่อร่อย มันเจ็บตรงหัวใจ เจ็บจนน้ำตามันไหล ภาพวันนั้นยังแจ่มชัดเหลือเกิน ไม่มีวันลบเลือนภาพวันรับปริญญา วันที่ฉันน่าจะมีความสุขที่สุด มันกลับมีความทุกข์ที่สุดเช่นกัน
เขายื่นดอกไม้ช่อสวยให้ฉัน
สำหรับคนเก่ง เขาบอกอย่างนั้น
ขอบคุณนะ อือ เป้งมาทางนี้หน่อยสิ พ่อกับแม่เค้ารออยู่ตรงโน้นน่ะ ไปไหว้ท่านหน่อยไหม
อ้อย ไม่ดีกว่ามั๊ง
อ้าวทำไมล่ะ
เรามีเรื่องอยากจะบอกอ้อยน่ะ เราเลิกคบกันเถอะ
เลิกคบเหรอ มันเกิดอะไรขึ้น
เขาไม่ตอบกลับอุ้มเด็กคนหนึ่งเข้ามาใกล้
น้อง คิง สาธุ แม่ทูนหัวสิลูก
เป้ง หมายความว่ายังไง
เราไม่สามารถหลอกอ้อยได้อีกต่อไป เรามีครอบครัวแล้ว
เราขอโทษ
ขอโทษ นายทำได้ดีที่สุดแค่นั้นใช่ไหม นายออกไปเลย นายจะไปไหนก็ไป ไป
ฉันออกปากไล่ กลั้นน้ำตาไว้เต็มที่ ในเวลาอย่างนั้นฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทน ชีวิตฉันยังต้องก้าวต่อไป พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ตรงนั้นจะเห็นน้ำตาฉันในวันที่พวกเค้ากำลังมีความสุขไม่ได้ ฉันกำมือแน่น เล็บที่จิกลงไปในเนื้อทำให้รู้สึกเจ็บแต่ฉันก็ไม่ยักกะรู้สึก เจ็บที่มันกินอยู่ในใจมันเจ็บกว่าบาดแผลใด ๆ ที่เกิดขึ้น
*************************************************************************
นานนักแล้วสินะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันยังยืนอยู่ได้ลำพังโดยไม่มีเขาหรือใคร แต่บางสิ่งบางอย่างมันไม่เคยจางจากไปในความทรงจำ ไม่ว่านานเท่าใดก็ตามฉันก็ยังจำมันไว้ทั้งที่รู้ว่ามันเจ็บ เจ็บเหลือเกิน เจ็บกว่าการตายจากกัน
ฉันนั้นไร้ความหวัง ฉันนั้นไร้จุดหมาย ...วันที่เธอไปจากฉัน
ฉันเหมือนไร้ชีวิต กัดฟันก้าวข้ามผ่าน พ้นจากวันนั้นมา
เหมือนฉันนั้นหายดีแล้ว แต่ยิ่งเดินไกลเท่าไร สุดท้ายฉันก็ยิ่งได้รู้
*เจ็บกว่าการไม่มีความหวัง ก็คือการไม่ลืมความหลัง
เท้าก้าวเดินไป แต่หัวใจหยุดตรงนั้น
เธอรู้ไหมการคิดถึง คนที่ไม่มีทางพบกัน
นั้นปวดร้าวและทรมานเหลือเกิน
ทุกคืนที่หลับตา ทุกวันที่ตื่นมา ยังไม่เคยลืมได้สักครั้ง
ทั้งๆที่ก็รู้ต้องเจ็บและต้องร้าวราน ฉันก็ยังคิดถึงเธอ
พรุ่งนี้ที่ไร้จุดหมาย อาจเขียนขึ้นมาได้ใหม่ แต่จะลบวันวานอย่างไร (*) (*)
บทเพลงนี้ช่างตรงกับฉันตอนนี้เหลือเกิน ใครกันนะช่างแต่งช่างปั้น เอาชีวิตจริง ๆ มาล้อเล่น ฉันนึกถึงเนื้อเพลง ร้องมันออกมาเบา ๆ เพื่อซับน้ำตาที่หยดไหล จนน้ำตาแห้งเหือดไปแล้ว แต่ใจฉันยังไม่ลืม ฉันมองไปยังข้าวไข่ต้มจานนั้น มันหกกระเด็น เหม็นหึ่งด้วยกลิ่นน้ำปลา ถึงเวลาเก็บกวาดมันแล้ว ฉันลุกขึ้นหยิบไม้กวาดและไม้ถูพื้นเตรียมพร้อมจะเก็บกวาด และฉันจะทำอย่างนี้
เสมอ ๆ เวลาใดก็ตามที่นึกถึงมัน ถึงเวลาเก็บกวาดแล้ว กวาดมันให้เกลี้ยงไปถึงหัวใจและความทรงจำ เพื่อลบมันออกไป
เจ็บกว่าการไม่มีความหวัง ก็คือการไม่ลืมความหลัง
เท้าก้าวเดินไป แต่หัวใจหยุดตรงนั้น
เธอรู้ไหมการคิดถึง คนที่ไม่มีทางพบกัน
นั้นปวดร้าวและทรมานเหลือเกิน
มันปวดร้าวและทรมานเหลือเกิน
30 พฤศจิกายน 2554 09:58 น.
ร้อยฝัน
ท้องฟ้าครึ้มดำด้วยเมฆฝน แจมด้วยแสงฟ้าแลบอยู่แปลบปลาบ
ฝนใกล้ตกแล้ว ลมฝนพัดมาเยือนอยู่กราวกรู เสียงหน้าต่างกระทบกันปึงปัง ฉันเดินเอื่อยเฉื่อยอย่างไม่อาทรร้อนใจ แว่วเสียงใครคนหนึ่งกระตุ้นให้เร่งฝีเท้า
เดินเร็วเข้าสิคุณ ฝนจะตกแล้วนะเดี๋ยวไม่ทันฝนตกเปียกกันพอดี
แต่ฉันไม่แยแสกับเสียงนั้น ยังคงเดินเอื่อย ๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อน
โธ่คุณ ขืนคุณเดินอย่างนี้ผมไม่รอแล้วนะ
คุณไปเถอะ อย่างห่วงฉันเลย ฉันพูดและหันไปยิ้มให้ หากหัวใจมันบอกว่าไม่ใช่เพียงแค่คำพูดเท่านั้นในใจฉันบอกอย่างนั้นจริง ๆ
คุณเป็นอะไรของคุณนะ มาเร็วเข้า ไม่เพียงแต่จะเร่งให้เดินหากแต่เจ้าของคำพูดนั้นรีบจ้ำอ้าวกลับมา คว้าแขนกึ่งลากกึ่งจูงฉันให้เร่งเดินไป ฉันมิได้ขัดขืน
มองหน้าแต่ไม่พูดอะไร น้ำตาเจ้ากรรมมันไหลลงมาอย่างเงียบๆ
คุณ คุณ ร้องไห้ทำไม ผมแค่ไม่อยากให้คุณเปียกเท่านั้นเอง คุณเจ็บเหรอผมขอโทษ
ใช่ฉันเจ็บ คุณปล่อยฉันไปเถอะ ปล่อยฉันไป ฉันพูดโดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนถาม
คุณเป็นอะไรไป บอกผมสิคุณเป็นอะไร เขาหันหน้ากลับมาสายตาวิงวอนขอคำตอบ
ฉันเป็นคนเดิม คนที่รอคุณอยู่ตรงนี้
คุณรอผม คุณพูดอะไรผมไม่เข้าใจ
คุณเข้าใจ แต่คุณไม่ยอมรับมัน
ยอมรับอะไรเล่าคุณ คุณพูดถึงอะไร ผมไม่รู้เลย ถ้าคุณยังงี่เง่า คุณก็อยู่ไปก็แล้วกัน ผมไปล่ะ
เขาส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่ายแล้วเดินห่างจากฉันไปไกลทุกที
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เรียกความเข้มแข็งคืนกลับมา ยิ้มให้ตัวเองแล้วก้าวเดินออกไป
ท่ามกลางพายุฝน ฉันจะอดทนโอบกอดตัวเองไว้
หัวใจฉันมันร่ำร้องบอกตัวเองอย่างนั้น ฉันโอบกอดตัวเองด้วยแขนทั้งสองข้างพร้อมทั้งปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาพร่างพรูปนกับสายฝนที่กำลังตกมาอย่างบ้าคลั่ง
ฝนจ๋า ช่วยกลืนน้ำตาฉันได้ไหม
ขอแค่วันที่ไม่มีใคร อย่าให้ฉันร้องไห้เพียงลำพัง
ท่ามกลางสายฝน ความเค็มของน้ำตากลับพร่าเลือนจืดปร่าไปกับน้ำฟ้านั่นกายฉันเหน็บหนาว แต่ใจนั้นเล่ารุ่มร้อนดังไฟลุกโหมข้างในก็ไม่ปาน ฉันเดินไปเรื่อยโดยไม่รู้ทางข้างหน้ามันมีอะไร
หนทางข้างหน้าที่ไม่รู้ว่ามี แต่ยังดีกว่าใกล้แล้วไม่รู้
ฉันหยุดเดินปล่อยกายใจรับสายฝนเต็มที่ ทำอะไรบ้า ๆ สักทีก็ดีเหมือนกันใช่สินะ เส้นทางที่ไม่เคยรู้ว่ามี อาจจะแฝงสิ่งดี ๆ ให้เจอก็ได้ ถ้าฉันจะเดินหลงทางนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปไม่ถึง ฉันแหงนหน้ารับสายฝนปล่อยให้ฝนล้างกายใจที่ทุกข์ร้อนให้ทุเลาลง คนที่เร่งเร้าให้ฉันรีบเดินก่อนหน้าฝนตกยังยืนมองฉัน
ภายใต้ชายคาคุ้มฝน
น้ำตายังไม่เหือดแห้ง หากแต่กลายกลืนเป็นหยดน้ำเดียวกับฝนเย็นเยียบฉันออกเดินอีกครั้งมุ่งตรงไปยังชายคานั้น หยุดยืนอยู่ตรงหน้ายิ้มบาง ๆ ให้กับใครคนที่เคยบอกว่าไม่เข้าใจฉัน
เพียงเห็นว่าคุณอยู่ใกล้ แต่หัวใจไม่ได้รับรู้ ทุกวันที่เป็นอยู่ ใจมันรู้แค่คนคุ้นเคย
คนคุ้นเคย เราคุ้นเคยกันมานานแค่ไหนแล้วนะ 1 วัน 3 เดือน 1 ปี 10 ปี หรือนานกว่านั้น ใจเดิม ๆ คนเดิม ๆ ก็ยังเป็นแบบเดิมที่เคยคุ้น
ใจเอ๋ยชาชินแล้วใช่ไหม จะคิดถึงอะไรมากมาย กับคนไม่มีหัวใจเช่นคุณ
10 สิงหาคม 2554 23:09 น.
ร้อยฝัน
นานนักแล้วที่ฉันเฝ้ารอวันที่จะไปรู้จักเมืองเชียงรายสักเสี้ยว ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตแน่นเปรี๊ยะเส้นทางจากกูเกิล แหล่งกิน แหล่งเที่ยว ที่พัก ฉันยัดใส่สมองที่เกิดอาการรวนเรอย่างเห็นได้ชัดฉันสามารถคิดเลขได้อย่างรวดเร็ว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างเฉียบคม แต่กุญแจรถที่ห้อยไว้ที่ประตู เมื่อ 30 วินาทีที่ผ่านมากลับหาไม่เจอ ถึงขั้นต้องรื้อโต๊ะ รื้อตู้ บางวันมันล้าจนต้องนอนนิ่งๆให้สมองมันว่างเปล่าสักเสี้ยวเวลาหนึ่ง แม้กระนั้นวันก่อนเดินทางขึ้นเหนือ ฉันนอนเวลา 05.30 น. แล้วตื่น 06.50 น. มีเวลา 10 นาทีในการจัดการภารกิจทุกอย่าง ก่อนนั่งรถยาว 10 ชั่วโมงถึงเชียงใหม่
ฉันนั่งด้านหลังของรถอาจารย์ แม่ (ของฉันนะ) ตาฉันหลับแต่สมองกับลุกโพรงกับเสียงเพลงไทยเดิมอ้อยอิ่ง เอื้อยเอื้อนชวนให้ใจสงบ งามนักกับศิลปะแบบไทยที่ฉันหลงลืมไปเสียนาน
เราหยุดรถกินข้าวกันที่หล่มสัก หลังจากอิ่มหมีพีมันฉันก็พร้อมที่จะวิ่่งตามตะวันอีกสักที ก่อนที่จะก้าวขึ้นรถ ฉันเหลือบเห็นมูลของเจ้าตัวเขียวตกเรี่ยรายบนทางเท้ามากพอดู ฉันสอดส่ายสายตาหาเจ้าของอยู่นานกว่าจะพบ เจ้าเพื่อนตัวน้อยของฉันมันกำลังนอนอย่างเป็นสุขอยู่ใต้ใบดอกพุด
อาจารย์แม่มองด้วยพอเห็นมันท่านร้องเฮ้ยออกมาดังๆ แล้วมองอย่างหวาด ๆ มาทางฉัน อ้อยทำไมชอบอะไรแปลกๆ แบบนี้ลูกฉันหัวเราะเบา ๆ ก่อนบอกว่า ก็อ้อยแปลกกว่ามันอีกนะแม่ แล้วเดินขึ้นตามคุณแม่ไป
23 ธันวาคม 2551 06:38 น.
ร้อยฝัน
ภาพของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ผอมแกร็น เดินต้อย ๆ ตามหลังพ่อ
ที่กำลังเดินหนีอย่างหนึ่งว่ารำคาญใจหนักหนา ผุดขึ้นในรู้สึก
" พ่อให้อ้อยไปนำหมู่เด้อ ไปค่ายนำหมู่เด้อ"
" บ่สิไปเฮ็ดหยัง ไปบ่ได้ดอก แต่ลมกะสิพัดล้มอยู่ มันบ่ม่วนคือไปเล่นเด๊"
จะอ้อนวอนปานใด ผู้เป็นพ่อก็ยังใจแข็งไม่ยอมให้เด็กหญิงตัวน้อยไป
อยู่ดีอาจเพราะความเป็นห่วงสารพัด สารพันของคนเป็นพ่อ
ในวันที่กำหนดมาถึง ร้อยฝันจำได้อย่างขึ้นใจว่ารถที่มารับเยาวชนไปค่ายนั้นเป็นรถโตโยตาสีขาว ล้อโต ๆ สูง ๆ
มีตรากรมป่าไม้ติดที่ประตูรถ เสียงพ่อเรียกนักเรียนที่จะไปค่ายทุกคน
จัดเตรียมสัมภาระ และตรวจเช็คของให้ครบก่อนขึ้นรถสร้างความอลหม่าน
เกิดขึ้นทันที บางคนตื่นเต้นกับการได้ขึ้นรถยนต์ เพราะพื้นเพของชาวบ้าน
แถบนี้ อย่างโก้ในตอนนั้น ก็คือรถลากล้อ เด็ก ๆ ดูตื่นเต้นอย่างมาก
รวมทั้งร้อยฝันที่แอบขึ้นรถ หิ้วถุงผ้าที่มีเพียงเสื้อสองตัว กางเกงขายาว
หนึ่งตัวกับผ้าห่มผืนบางที่แอบเอามาซ่อนไว้ในห้องเรียนวันละชิ้น สองชิ้น
ถ้าพ่อไม่ให้ไปก็จะแอบไปกับเพื่อน นั่นคือความคิดในคราวเป็นเด็ก
กว่าเด็กทุกคนจะขึ้นรถและจัดสัมภาระเรียบร้อย ก็เสียเวลาไปโข
ก่อนจะไปเจ้าหน้าที่ได้พูดคุยร่ำลาพ่อร้อยฝันได้โอกาสยืดตัวให้ดู
เด่นกว่ากลุ่มเพื่อน
"พ่ออ้อยไปนำหมู่แล้วเด้อ"
"เฮ้ยลงมา สิไปหยัง ไปอิหลีบ่"
"ไป ไปแท้ ๆ ล่ะ"
"เดี๋ยว ๆ อย่าฟ้าว พ่อไปเอาเสื้อมาให้" พ่อเดินหันหลังกลับ
เข้าไปในอาคารเรียนพร้อมกับหอบเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ของพ่อ และถุงยา
ส่งให้เจ้าหน้าที่พร้อมกำชับ
" ฝากเบิ่งนำแหน่ บ่ค่อยแข็งแรง ถ้ากินอิหยังแล้วฮาก
ให้กินยานี้เด้อ"
"ให้ลงมาบ่ครับ " เจ้าหน้าที่ดูเป็นกังวล
"ปล่อยไปโลด จั๋งได๋กะห้ามบ่ฟัง คั่นสิไป ผมสิขี่มอไซต์นำ
ก้น"
ลูกสาวของพ่อแข็งแรงกว่าที่คิด แทบไม่มีอาการใด ๆ ผิดปกติ
เลย พ่อจึงต้อลงมาเพราะเป็นห่วงเด็ก ๆ ที่คอยอยู่โรงเรียนกว่าร้อยชีวิต
นั่นคือการเข้าค่ายครั้งแรกของร้อยฝัน เป็นค่ายที่อยู่ในความทรงจำ
และเป็นค่ายที่ห้วยกุ่มแห่งนี้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพักกันที่ไหน
จะเป็นแลนง้อ หรือ รอยเสือ ก็ไม่แน่ใจ เพราะสภาพในก่อนนั้น
กับตอนนี้แตกต่างกันจนไม่เหลือสภาพเดิม แต่จำได้ว่าที่พักมีบ้าน
หลังใหญ่ที่สร้างด้วยไม้ไผ่เกือบทั้งหลัง และมีบ้านเล็ก ๆ 2 หลังขนาบข้าง
อยู่ไม่ไกลจากสายน้ำห้วยกุ่มเท่าไหร่เลย อาหารมื้อแรกที่ร้อยฝันจำได้
เหมือนติดปลายลิ้น เป็นกับข้าวง่าย ๆ พื้นๆ แต่อร่อยเสียยิ่งกว่าอาหารหรู
ๆ ในโรงแรมดัง ที่เคยชิมข้าวที่พี่เจ้าหน้าที่หุงให้กิน อร่อยกว่าที่บ้าน
แกงผักหวานใส่ปลาทูเค็ม กับเห็ดกระด้าง อร่อยเสียจนซดน้ำจนเกลี้ยง
อาจจะเพราะความหิว ความสดสะอาดของผักหวานอ่อน ๆ เห็ดกระด้าง หรือเพราะกำลังใจ ก็ไม่รู้ที่ทำให้ร้อยฝันกินอาหาร แปลกใหม่นี้ได้
เพราะปกติร้อยฝันกินอะไรที่เค็ม ๆ ไม่ได้จะอาเจียนออกมาหมด
แต่ครั้งนี้เหมือนกับโรคที่เคยเป็นอยู่มันหายสนิทร้อยฝันกินปลาทูเค็มไ
ด้แล้ว ครั้งแรกในชีวิตที่ไม่อาเจียนออกมาถ้าใครคนหนึ่งซึ่งเคยร่วมเป็นสมาชิกครั้งนั้น ได้อ่านอาจจะรื้อฟื้นความทรงจำดี ๆ กลับคืนมา กับความประทับ
ใจของพวกเรา ที่พี่ ๆ เรียก เรารุ่นไล่จับ เหตุเพราะพี่ ๆ จะพาเราขึ้นไป
ดูเขื่อนห้วยกุ่ม ด้วยแรงที่อนุรักษ์ที่ พี่่ ๆ กระตุ้นเตือน พอพวก
เราเห็นชาวบ้าน สองสามคน กับนกกะเรียนมีทั้งตายแล้ว และยังไม่ตาย
บริเวณหน้าเขื่อน เด็กว่าสี่สิบคนล้อมหน้าล้อมหลัง จนชาวบ้านไม่สามารถ
หนีได้ คราวนั้นพี่่ ๆ ควบคุมชาวบ้านไปด้วยความเป็นเด็ก ยังไม่รู้หรอกว่า
ชาวบ้านทำไปเพราะเหตุผลใด เพราะเป็นวิถีชีวิต หรือความอยู่รอด หรือเพราะเหตุผลอื่น การทำหากินของชาวบ้านจริง ๆ ไม่ได้มีผลกระทบกับป่ามากมายนัก หากไม่มีพวกหนึ่งซึ่งเห็นชีวิตหนึ่งเป็นของเล่น กินได้ ขายได้ แม้แต่ชาติบ้านเมือง ยังกินยังขาย อย่างไม่อายหมาเลย แต่ร้อยฝันคิดแทนเพื่อนทุกคนว่า ในเหตุการณ์นั้นทุกคนคงคิดว่า จับมัน ฆ่ามันทำไม ไม่สงสารมันหรือ นั่นอาจเป็นความคิดในตอนนั้น
ณ ปัจจุบันหลายครั้งที่ร้อยฝันขึ้นไปที่ห้วยกุ่ม ร้อยฝันเห็นแต่นกกระเรียน
ในภาพวาด นั่นคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ร้อยฝันได้มีโอกาสเห็นนกกระเรียน
ตัวเป็น ๆ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่กระตุ้นเตือนให้ร้อยฝันผูกพันธ์กับค่าย
อนุรักษ์ เมื่อเข้าเรียนในระดับมัธยม ร้อยฝันไม่เคยพลาดในการเป็นสมาชิก
ค่าย ไม่เคยพลาดในกิจกรรมปลูกป่าที่พี่ทหารนำรถคันโตมารับ ไปปลูก
ต้นสัก ต้นกระถิน ในราวป่าดงลาน และทุกครั้งที่ขับรถผ่านแถวนั้น
ร้อยฝันยังมีความภูมิใจลึก ๆ ว่านั่นคือป่าที่ฉันปลูก ป่าที่ฉันมีส่วนร่วมสร้าง
จนมันซึมเข้าสายเลือดไปแล้ว การเข้าเรียนในระดับที่สูงขึ้นทำให้โอกาสของ
ร้อยฝันมีมากขึ้น เริ่มจากการเป็นน้องค่าย จนกลายเป็นหนึ่งในทีมพี่ที่จัดค่าย
บ้าจนกระทั่งโหมทำ Project ให้เสร็จ จนเข้าโรงพยาบาล เพราะแรงกระตุ้น
หนึ่ง คือ ไปค่ายกับเพื่อน จนเพื่อนที่เรียนด้วยกันหมั่นไส้
"แกลาออกไปเรียนพัฒนาชุมชนไป เอกคอม ฯ ไม่เหมาะกับแก"
แต่ ณ ตรงนี้ วันนี้ ร้อยฝันก็ทำมันสำเร็จ และมายืนอยู่ตรงนี้ แถมเยาะในใจ
เรียนอะไร ก็ทำค่ายได้ถ้าใจรัก (555555555555)
การจัดกิจกรรมค่ายร่วมกับบ้านกลอนไทย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3
ครั้งแรกเป็นค่ายที่จัดเมื่อครั้งที่ย้ายมัธยมหนองเขียดใหม่ ๆ ร้อยฝันมี
เพื่อน ร้อยฝันมีพี่น้องที่เข้าใจ และยอมเสียสละ ร้อยฝันจัดค่ายในครั้งแรก
ด้วยความกดดัน ก่อนจัดค่ายไม่มีเงินอื่นเลยนอกจากค่ารถที่เก็บกับนักเรียนที่ฝัน
อยากเข้าค่ายเพราะนั่นเป็นค่ายแรกของมัธยมหนองเขียด แต่ร้อยฝันมีเพื่อน มี
พี่น้อง ที่ขอขอบคุณไว้ ณ ตรงนี้ พี่น้องชาวบ้านกลอนไทย ร่วมบริจาค
เงิน สิ่งของ และมาช่วยเป็นวิทยากร รวมกับพี่น้องชาวห้วยกุ่ม พี่น้องที่
มีแนวทางและความคิดเดียวกัน จนเกิดเป็นค่ายขึ้นมา มีใครคนหนึ่งบอกว่า
ค่ายของร้อยฝัน เป็นค่ายที่ไม่เคยได้ค่าวิทยากร แถมวิทยากรยังต้องเสีย
ตังค์ อีกตังหาก แต่คนพูดบ่นไปยิ้มไป ตรงนั้นร้อยฝันรู้สึกภูมิใจเป็นที่สุด
(ฮา) วิทยากรค่ายของร้อยฝัน นอกจากจะเสียเวลามาแล้ว ยังต้องเสียเงิน
นั่นเป็นสโลแกน ค่าย
กับคำพูด เหล่านี้ ร้อยฝันถือว่าเป็น มงคลสูงสุดที่ได้ยิน
" ค่าที่พัก ค่าวิทยากร แล้วแต่จะให้ " คำพูดจากน้ำใจของพี่
น้องชาวห้วยกุ่ม
" เจ๊ ผมเรียกน้อง ๆ มาช่วย ค่าวิทยากรไม่ต้อง มีข้าวกิน มีค่า
รถกลับพอแล้ว " คำพูดจากน้ำใจของเจ้าโต และบรรดาน้อง ๆ บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย
" เดี๋ยวโอนตังค์ไปให้ อยากได้อะไร รางวัลเด็ก ของแจก
เด็ก ๆหนังสือเก่า " นั่นเป็นน้ำใจจากเพื่อน ๆ พี่น้องชาวบ้านกลอนไทย
"อาจารย์ ค่ารถพวกหนูออกกันเองก็ได้ค่ะ "นั่นคือน้ำใจของเด็กนักเรียน
"เอ้าเฮ็ดเลย กิจกรรมดี ๆ กับเด็กน้อยโรงเรียนมีงบให้ 2,000 "
นั่นเป็นความกรุณาของผู้บริหาร เป็นเพราะสภาพโรงเรียนเล็กที่กระเบียด
กระเสียนงบประมาณอันน้อยนิดนอกเหนือจากแผนพัฒนาไปจัดทำค่าย ซึ่งผู้ใหญ่บางคนบอกค่ายอนุรักษ์เหรอไม่ต้องทำก็ได้ และนั่นเป็น งบก้อนแรกในการจัดซื้อจัดเตรียมทำค่าย
" สิไปเบิ่งเด็กน้อยซ่อยดอก" นั่นคือน้ำใจจากคณะครูโรงเรียน
มัธยมหนองเขียด
จนค่ายครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 3 และร้อยฝันจะไม่ทำ
ค่ายอีกหลายปี ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นแวดล้อม แต่เป็นเหตุผลจากตัวร้อยฝัน
เอง ที่เหนื่อย เพราะภาระงานที่เพิ่มขึ้นตามอายุ และอายุที่ไม่ยอมถอยลงให้
ชื่นใจ แต่ร้อยฝันยังจะไปร่วมช่วยกับค่ายอื่น ๆ ที่เพื่อน ๆ พี่น้องจัด ค่าย
นี้คงเป็นค่ายที่ร้อยฝันอยากเก็บไว้ในความทรงจำดีๆ
ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนทำให้เกิดค่ายนี้ ขอบ
คุณเพื่อน ๆ พี่น้องที่ช่วยเหลือ ขอบคุณเยาวชนตัวน้อยที่เข้าร่วมกิจกรรมใน
ครั้งนี้
การเพาะกล้าไม้ แม้ว่าเราจะหยอดเมล็ดไปร้อยเมล็ด ก็อาจจะงอกงามเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงเพียงเมล็ดเดียว
ค่ายเยาวชนก็มีจุดหมายเดียวกัน เฉก
เช่นการเพาะกล้าไม้ อย่างน้อย ก็ยังเป็นสิ่งเดียวที่บอกให้รู้ว่า สิ่งที่ทำไปไม่
สูญค่า การเพาะกล้าไม้ที่เติบโตแข็งแรงได้หนึ่งต้น จากร้อยเมล็ด นั่นคือ
สิ่งที่ร้อยฝันหวัง และตั้งใจ และขอให้เยาวชนทุกคนผองเพื่อน พี่น้อง ได้
ช่วยกันสานต่อก่อฝันให้มันเป็นความจริง เพื่องานเขียน ที่เรารัก เพื่อ
ธรรมชาติที่จะคงอยู่ตลอดไป
จากใจ
ร้อยฝัน
18 มีนาคม 2551 18:22 น.
ร้อยฝัน
ตีสองกว่าแล้ว ฉันยังนั่งจมอยู่กับคอมพิวเตอร์เครื่องเดิม
MSN ส่งเสียง ตุ้งนิ๊ง ตุ๊งนิ๊ง น่ารำคาญ ดึกป่านนี้ใครบ้ามาทักวะ
ฉันดูรายชื่อ เพื่อนที่ออนไลด์ มีไม่กี่คน อ้อ ไอ้คนที่ทักไม่อยากคุย
ฉัน sign out ออกไป วันอย่างนี้ไม่คุยกับใครดีที่สุด
เขย่งเก็งกอย หมาน้อยขโมยกินปลา
แมวเหมียวกระโดดเข้ามา เจ้าหมาตั้งท่า เห่า โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ เพลงที่ฉันแต่งเอง ร้องเอง ดังขึ้น
"วู้ ใครผีเข้าตอนนี้วะ มันไม่หลับไม่นอนกันหรือไง " ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เบอร์แปลก ๆ ของใครก็ไม่รู้
"โรคจิตหรือเปล่าวะ เอาวะเจอโรคจิตยิ่งกว่ามันจะว่ายังไง" ฉันกดรับ หยอดเสียงหวานลงไป
"สวัสดีค่ะ มูลนิธิ ปล้ำผีลุก ปลุกผีนั่งค่ะ คุณจะสั่งพิซซ่ารึเปล่าคะ ขอแนะนำพิซซ่า หน้าเนื้อเน่า เหยาะน้ำเหลือง เหลืองอ๋อย เหม็นหึ่ง เป็นเมนูสุดท้ายค่ะ "
เสียงปลายสายตอบรับมาแค่คำสั้น สั้น
"ครับ" ฉันแทบเต้น
"นี่คุณ คุณเป็นใคร ดึกป่านนี้คุณยังโทรมากวนฉันอีก ที่บ้าน ที่โรงเรียนคุณคงสอนมาดีนะ แต่คุณน่ะมีสมองรึเปล่า "
"ครับ"
"อ้อ พูดเป็นแค่ครับเหรอ งั้นฉันวางสาย"
"เดี๋ยวครับ " เพิ่มมาอีกคำ
"คุณมีอะไรว่ามา"
" เอ่อ ผมแค่อยากฟังคุณคุยน่ะ"
" อยากฟังฉันคุย จะบ้าเหรอคุณ คุณเป็นใคร ฉันไม่เคยรู้จัก"
"แต่ผมรู้จักคุณ"
"รู้จักฉัน คุณรู้จักฉันได้ไง"
"ผมคุยกับคุณมานานแล้วนะ ทาง MSN ไง วันนี้คุณไม่ยอมคุยกับผมเลย ผมทักคุณตั้งแต่หัวค่ำแล้ว"
ฉันดู MSN อีกครั้ง อีเมล์นั้น เป็นเมล์เพื่อนฉันจริง ๆ แล้วเป็นผู้หญิงด้วย
"นี่คุณ อีเมล์นี่เป็นของเพื่อนฉัน คุณมาสมอ้างได้ยังไง คุณรู้จัก เพื่อนฉันเหรอ"
" เปล่า นี่เป็นอีเมล์ที่ผมใช้แต่แรก ก็คุณเป็นคนแอดมาเองนะ "
" จะบ้าเหรอคุณ ฉันไม่เคย.....เอ่อ ฉันแอดคุณไปเมื่อไหร่"
" วาเลนไทน์ ปีกลาย "
" เฮ้ ที่ฉันคุยด้วยเป็นปี คุณเหรอ "
"ครับ"
"แล้วทำไมคุณไม่บอกฉัน"
"ผมชอบคุณ คุณคุยสนุกดี"
" ตายละหวา ตั้งปี เฮ้ คุณรู้อะไรบ้าง"
"ทุกเรื่องที่คุณบอก ชื่อคุณ ที่อยู่คุณ เบอร์โทรศัพท์คุณ รูปคุณ คุณเกลียดวันวาเลนไทน์"
"เหวย อีตาบ้า หลอกกันได้ตั้งเป็นปี"
"ครับ"
"คุณยอมรับว่าคุณหลอกฉันเหรอ"
"เปล่า ผมเพียงอยากเป็นเพื่อนคุณ"
"แต่ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนคุณแล้ว ขอบคุณนะราตรีสวัสดิ์
"ครับ"
"พูดให้มากกว่าคำว่าครับได้ไหม"
"ครับ"
"เอ๊ะคุณ ถ้าจะกวนประสาทละก็ฉันวางหูแล้วนะ"
"ครับ "
ปลายสายตัดสายไปแล้ว อีตาบ้า คนอะไร พูดได้แค่คำว่าครับ ฉันยิ้มกับตัวเองอย่างนึกขัน อย่างน้อยวันวาเลนไทน์ปีนี้ ฉันมีอีตาบ้าอยู่เป็นเพื่อน แม้ว่ามันจะสุดคาดเดา มันก็ดีว่าที่ฉัน ต้องนั่งจ่อมจม กับคืนวันเก่า ๆ กับน้ำตาเพียงลำพัง ฉันเสไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์แปลกนั้น ฉันลืมบางอย่างไป
"สวัสดีครับ"
"สวัสดีอีตาบ้า คือฉันลืมนะ ลืมอวยพรคุณ ขอให้รักสุขสมหวังในวันวาเลนไทน์"
"ครับ"
"ครับอีกแล้วเหรอ คุณไม่อวยพรฉันบ้างหรือไง"
"ขอให้รักคุณสุขสมหวังในวันวาเลนไทน์ เช่นกันครับ"
"คุณแช่งฉัน ฉันผิดหวัง ในวันวาเลนไทน์ปีที่แล้ว แล้วปีนี้ฉัน ไม่มีใคร"
"ครับ ผมรู้ คุณคุยกับผมมาเป็นปีแล้ว"
"ฉันขอโทษนะ ฉันนึกว่าคุณเป็นเพื่อนฉันน่ะ ฉันเพียงแค่อยากมีใครสักคนที่รับฟัง"
"ฉัน............ฉัน" ฉันเริ่มติดอ่าง น้ำตามันคลอ ๆ
"ผมเป็นเพื่อนคุณ ถ้าคุณไว้ใจผม "
"ขอบคุณ แต่คำอวยพรของคุณ ก็ยังไม่เป็นผลอยู่ดี ฉันยังไม่มีใคร ร้องไห้วันวาเลนไทน์เหมือนเดิม"
"ถ้าคุณหยุดร้องไห้ คำอวยพรก็เป็นผล คุณมีผม"
" มันต่างกัน"
"ถ้าคุณไม่อยากให้มันต่าง คุณฟังผมให้ดี ผมรักคุณ"
"อีตาบ้า"
"ครับ ผมรักคุณ"
"ไม่คุณ ก็ฉันบ้า คุณรักคนที่คุยกันทางตัวอักษร โดยที่คุณไม่รู้ว่าโลกจริงฉันคือใคร"
"ครับ "
"คุณ "
"ครับ"
"ฉันไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว"
"ครับ ฝันดีนะครับ พรุ่งนี้เจอกัน"
"เดี๋ยวคุณ เจอกัน บน M เนี่ยเหรอ"
"เจอกันที่บ้านคุณ นอนนะครับ ราตรีสวัสดิ์"
ปลายสายตัดไปแล้ว ฉันนั่งยิ้ม อย่างน้อยวาเลนไทน์ปีนี้ก็ทำให้ฉันมีรอยยิ้มแทน รอยน้ำตา ขอบคุณนะ อีตาบ้า ฉันฝัน ว่าพรุ่งนี้ฉันจะพบคุณ จริง ๆ ฉันไม่เกลียดวาเลนไทน์แล้ว ถึงแม้ไม่มีตัวตนในโลกจริง แต่โลกเสมือนแห่งนี้ ฉันก็รักคุณ อีตาบ้า