6 มีนาคม 2557 02:36 น.

สักวัน

ร้อยฝัน

ฉันเหลือบมองนาฬิกา  จะตีสองแล้ว ความง่วงงุนคืบคลานเข้ามา
หากแต่ใจฉันไม่ยอมหลับ ร่างกายเพลีย แต่สมองยังสั่งการยึดเยื้อ
กลับเรื่องที่ผ่านเข้ามาในวันนี้
ความเครียดเกาะกุมฉันตั้งแต่ช่วงบ่าย  ฉันรู้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต
อะไรนักหนา  แต่ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ มันทำให้ฉันฟุ้งซ่าน
ฉันมองเห็นมิตรภาพอาบยาพิษ ของคนบางคน ที่เพียงมองฉันแค่
เพียงสะพานให้เขาได้ไต่เต้าได้ดังปรารถนา 
ใช่สิฉันต้องยอมรับมัน  ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวล 
ฉันต้องเรียนรู้ที่จะต้องเป็นผู้แย่งชิงแล้ว มิใช่เป็นแต่เพียงผู้ให้
แต่เพียงฝ่ายเดียว คำปรามาสที่เขาว่านั้น คงมีแต่เพียงฉันเท่านั้นที่เข้าใจ
เขาใช้เวลาเพียงแค่สองสามเดือนเท่านั้นที่ตัดสินฉัน แต่คุณความดีที่สั่งสม
มานั้นเขาไม่เคยเห็น ไม่เคยได้รับรู้  จะโทษเขาสักทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะเขา
ไม่รู้จักเราจริง ๆ แต่มิตรภาพที่ฉันเคยให้กับใครบางคนช่างบางนัก แม้รู้อยู่
แก่ใจแต่เพื่อผลประโยชน์กับตนนั้น ทำให้มองไม่เห็นว่า มีฉันอยู่ตรงนี้ด้วย
การเป็นเพื่อนกันมาอย่างยาวนานนั้น มันขาดสะบั้นลงนะวันนี้ ความรู้สึกดี ๆ
ที่เคยมีให้นั้นมันหมดลงแล้ว หมดลงพร้อมกับน้ำตาของฉัน 
ฉันไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้ เงินเพียงแค่เศษเสี้ยวนั้นฉันหาได้มากกว่านั้นด้วยซ้ำ
แต่ที่ฉันเสียดาย คือ ความจริงใจที่ฉันให้ไป มันจ่ายแสนแพง ด้วยคำว่า
ผลประโยชน์
หรือลองนึกย้อนอีกทีนึง  ฉันคงเป็นแบบเค้าว่า ไม่มีผลงาน อะไรออกมาเป็นที่ประจักษ์
ไอ้งานที่เขาโยน ๆ มากองไว้ให้ฉันสาง ฉันแก้นั้น มันก็เพียงแค่เศษงานที่เขา
จะเอาไปสานต่อ เติมสี ตีไข่ดี ๆ ก็งามแล้ว
ฉันกำลังบอกตัวเองว่า  หัวเราะสิ หัวเราะกับความโง่เง่าเต่าตุ่นของฉัน บทเรียนครั้งนี้
แพงนัก ฉันแลกมันด้วยหัวใจ ซื้อมันมาด้วยความจริงใจ และฉันจะขายมันไปในสักวัน
วันนี้อาจจะไม่ใช่วันของฉัน แต่วันต่อ ๆ ไปเล่า จะไม่มีสักวันหรือ สักวันฉันจะยืนอย่าง
ผงาด ฉันไม่เสียใจกับสิ่งที่ไม่ใช่ในวันนี้ แต่ฉันเสียใจในความอ่อนแอของตัวเอง
เสียใจกับภาพลวงตาที่ฉันหลง  คำว่าคนย่อมเห็นแก่ตัวในที่สุด ฉันน่าจะประจักษ์ในข้อนี้ดี
ถ้าคิดอีกทีแล้ว นี่คงเป็นโอกาสให้ฉันหลุดพ้น ให้ฉันได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักเสียที
บางทีองค์กรนี้  คน ๆ นี้ คงต้องการสอนอะไรเรา แต่การตบหน้ากันแบบนี้  
ขอให้คุณรู้ไว้เถอะว่า  ครูดี ๆ คนหนึ่งกำลังจะกลายพันธุ์  
8 มีนาคม 2556 20:12 น.

วันอ่อนไหวกับใจดวงเดิม

ร้อยฝัน

ดวงตะวันกลมโตสีส้มสวย ตัดกับกลุ่มเมฆสีเทาหม่นลอย  เด่นท่ามกลางแสงสีทอง 
สาดตัดทาบทับกลุ่มเมฆ สะท้อนแสงพราวเหมือนลำแสงทอดยาวจากสรวงสวรรค์  ลมร้อนพัด
กรู ๆ เข้ามาต้องผิวกาย ขัดแย้งกับช่วงเดือนในฤดูหนาว
	ฉันยืนมองดวงตะวันที่คล้อยต่ำลงทุกที  ความมืดสลัวเริ่มคืบคลานมาอย่างช้า ๆ
อ้อยอิ่งนักในความรู้สึกเหมือนหนึ่งว่า ช่วงวันยาวนานกว่าที่ควรจะเป็น
	ร่าง ๆ หนึ่งเดินใกล้เข้ามาทุกที  จากเงาตะคุ่มเล็ก ๆ เริ่มแจ่มชัดขึ้นท่ามกลาง
แสงสลัวเรื่อรางของยามเย็น 
	"ไม่กลับบ้านใช่ไหมอาทิตย์นี้"  เสียงเอ่ยถามจากผู้เข้ามานั้นดังขึ้นก่อนจะถึงตัวฉัน
	"คงไม่กลับ มีงานหลายอย่างต้องสะสาง" 
	"มีเวลาว่างสัก 2-3 ชั่วโมงไหม"
	"จะให้ช่วยอะไร"
	"จะช่วยไหม" 
	"ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง"
	"ช่วยไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ เพื่อนนัดกินข้าวน่ะ"
	"แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน แกก็ไปกับเพื่อนสิ ฉันจะทำงาน"
	"น่านะ ไปเป็นเพื่อนหน่อย หาที่เย็น ๆ กินข้าวกัน ไม่นานหรอก 2-3 ชั่วโมง"
	"ไม่มี ดื่มกันใช่ไหม"
	"มีนิดหน่อยน่า"
	"ไม่ไป"
	"อะไรวะ รับปากแล้วนี่ว่าจะช่วย เฮ้ย แค่นี้ก็ไม่ได้เหรอวะ แม่งโคตรไม่มีน้ำใจ 
แค่ไปเป็นเพื่อนเอง"  มันบ่นงุบงิบ 
	"แกว่าไงนะ เอ้าก็ได้แต่อย่านานนะโว้ยไม่อยากนอนดึก เดี๋ยวไม่สวย"
	"จ๊ะ แม่คุณสวยตายเลยนะ ยังกะแพนด้าน่ะแก"
	"ปากเสีย ๆ แบบนี้จะไปด้วยอยู่เหรอเนี่ยเรา"
	"เฮ้ย  ๆ  ๆ  ล้อเล่น ไปกันเร็ว"
	แล้วสุดท้ายฉันก็ตกลงปลงใจ ไปเป็นเพื่อนมันจนได้
	" เฮ้ย แกช่วยดูหน่อยสิ สวยไหม"  มันยื่นกล่องกำมะหยี่สีแดง บรรจุแหวนทอง
ลงยาสลักเป็นตัวหนังสือสีแดง  K & P  ให้ฉันดู
	" ไอ้กบเอ้บ แกอย่าบอกนะว่าแกจะไปจีบสาว แล้วเอาฉันไปด้วยเนี่ย"
	"เออสิ"
	"ไอ้บ้า แกจะเอาฉันไปเป็น กขคง  ทำไมวะ"
	" เออน่ะ  ฉันมีเหตุผลแล้วกัน  แล้วไอ้  กขคง ของแกมันคืออะไร ฉันเคยได้ยินแต่
กขค  ก้างขวางคอ"
	"อย่างแก น่ะมันต้องเติม ง เข้าไปด้วย ก้างขวางคองู  ไงเล่า แกกลับไปส่งฉันเถอะ
อย่าเอาฉันไปนั่งแหง่วเลย"
	"ไม่ได้  แกคือคนสำคัญเลยล่ะ"
	"แกอย่าบอกนะ แกจะทำเหมือนในหนังน่ะ  มุขบอกรักเพื่อน"
	"เฮ้ย ไอ้นี่ดูหนังจนเพี้ยน ถ้าฉันจะรักแก ฉันรักไปนานแล้ว ไม่รอให้แกพองเป็นแพนด้า
หลอกหลอนฉันอยู่งี้หรอก"
	"อื้ย  ไอ้นี่คำก็แพนด้า สองคำก็แพนด้า คอยดูฉันจะสวยให้แกดู  ไปไปกันเลยฉันอยาก
จะรู้เหมือนกันว่า แฟนคนสวยของแกจะสวยกว่าฉันสักกี่มากน้อย"
	"แล้วแกจะรู้  อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้แกสวย"
	ผู้หญิงมักจะทนไม่ได้เมื่่อโดนเปรียบเทียบความสวยความงาม จากปฏิเสธก็กลายเป็น
กระตือรือร้น เพราะคำดูถูก
	"เฮ้ย เดี๋ยวใกล้ถึงบ้านพลอยแล้ว แกไปนั่งข้างหลังนะ"
	"เออ ฉันน่ะรู้ตำแหน่งดี ทำไมแกไม่บอกเอารถมาคนละคันวะ แล้วฉันต้องแยกโต๊ะ
กินข้าวด้วยหรือเปล่า"
	"อาจจะ  ว่ะเพื่อน"
	"งั้นเอางี้ แกจอดรถเอากุญแจรถมา แล้วไปนั่งข้างหลังฉันขับเอง ไปส่งแกกับแฟน
ก่อนฉันค่อยกลับ"
	"เอ้า แล้วฉันจะกลับยังไงล่ะ"
	"แกล้งถามใช่ไหมเนี่ย กลับไม่ได้แกก็นอนอยู่นั่นแหละ ไอ้ที่จะไปกินข้าวกันเนี่ย
มันโรงแรมไม่ใช่เหรอ แหมลึกนะแก เอาเพื่อนมาเป็นคนขับรถ"
	"เฮ้ย ไม่ใช่อย่างนั้น อยากชวนแกมากินข้าวจริง ๆ"
	"ทีหลังแกก็บอกเหตุผลก่อนนะ  เสียความรู้สึกจริง ๆ เลย"
	"แกโกรธใช่ไหมเนี่ย เฮ้ย ขอโทษไม่ได้คิดแบบนั้นจริง ๆ นะ"
	"พอเลย  จอดรถ แล้วกลับไปส่งฉัน"
	"ไม่ แกต้องไปกับฉัน"
	"ฉันไม่ไป ไม่มีเหตุผลที่จะไป"
	"แกเชื่อฉันสักครั้ง ฉันมีเหตุผลที่ต้องให้แกไปเป็นเพื่อนจริง ๆ ขอร้องนะ มันอาจ
จะดูแปลกแต่ไม่มีเพื่อนคนไหนที่ฉันไว้ใจเหมือนแกจริงๆ "
	"ฮึ  งั้นแกจอดรถ เอากุญแจมาแล้วไปนั่งข้างหลัง"
	"แกจะไปส่งฉันแค่นั้นเหรอ"
	"ใช่ แล้วแกค่อยกลับไปเอารถแล้วกัน"
	"แกโกรธ"
	"ใช่ฉันโกรธแกจริง ๆ นะคราวนี้"
	"ฉันขอโทษ แต่ฉันจะจอดก่อนถึงบ้านพลอยแล้วกัน"
	"ตามใจแก  ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว"
	"ขอบใจมากว่ะ "
	"คราวหน้าคงไม่มีอีก แล้วแกก็ไม่ต้องไปหาฉันอีกเลยนะ "
	"เฮ้ย ขนาดนั้นเชียวเหรอ"
	"คนนะเว้ย ไม่ใช่แบคทีเรียจะได้ไม่มีความรู้สึก รู้สาอะไร"
	"แกเป็นอะไรของแก  ไม่เคยเห็นแกโกรธแบบนี้เลยนะ"
	"แกจะถามให้มันได้อะไร จอดได้รึยังล่ะรำคาญ"
	"ดุจังวะ ยัยแพนด้า กินอะไรเข้าไปล่ะเนี่ยวันนี้"
	"ไม่ขำ  จอดรถ"
	ไอ้กบจอดรถเทียบข้างทาง ทำหน้าตาล้อเลียน หวังจะฉันอารมณ์ดีขึ้น แต่ความ
ขุ่นมัวในใจฉันมันฟุ้งเสียจนไม่มีทางจะสงบลงได้  ทั้งที่จริงแล้วฉันไม่เคยโกรธใครง่าย ๆ 
โดยเฉพาะเพื่อนรักอย่างไอ้กบ ฉันแทบไม่เคยโกรธมันเลย แต่คราวนี้ฉันยังแปลกใจตัวเอง
เหมือนกันว่าทำไมถึงโกรธมันเพราะเรื่องแค่นี้
	คนขับรถเปลี่ยนจากไอ้กบเป็นฉัน ฉันกระชากรถเหยียบซะแทบมิดเท้า ชำเลืองดู
ไอ้ต้นเหตุ นั่งหน้าเครียด นิ่งไม่พูดไม่จาอะไร กระนั้นฉันก็พามาจอดเทียบหน้าบ้านแฟนของ
ไอ้กบอย่างปลอดภัย เสียงไอ้กบถอนหายใจอย่างโล่งอก ฉันแอบยิ้มเยาะในใจ เอาเถอะก้าว
ลงรถเมื่อไหร่ฉันจะทิ้งมันไว้ที่นี่
	ดูเหมือนไอ้กบมันจะรู้ทัน มันไม่ก้าวลงรถ แต่กลับโทรศัพท์บอกให้แฟนสาวออกมา
หาแทน
	"แกจะไม่ลงรถไปรับเขาหน่อยเหรอ อย่างน้อยแกก็น่าจะไปขออนุญาตพ่อแม่เค้า"
	"เค้าอยู่คนเดียว ถ้ามาเองไม่ได้ก็ไม่ต้องไปหรอก"
	"โห คุณเธอยังกล้าคบแกเป็นแฟนอีกเนาะ" ฉันประชดมัน
	ไอ้กบไม่ตอบแต่กลับหัวเราะเบา ๆ แทน  
	ทันทีที่เห็นพลอยเป็นครั้งแรก  ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเม็ดทรายในทันใด
ไอ้ที่จะสวยสู้พลอย ทางเป็นไปได้เท่ากับศูนย์  ถ้าแค่พอเทียบเคียงกันได้บ้างฉันคงต้อง
Modify ใหม่ทั้งตัว นึกเล่น ๆ แค่ค่ารีดไขมันออกก็คงหลายแสน ไหนจะจมูก ตา รูปหน้า
สีผิว ฉันขอไปเกิดใหม่เสียยังจะดีกว่า ฉันมองหน้าไอ้กบผ่านกระจกหลัง  แกช่างไม่เจียม
กะลาหัวหนอกบเอ๋ย แค่พลอยมองมันเนี่ยก็คงบุญของมันนักหนาแล้ว ขนาดที่คบมันเป็นแฟน
เนี่ยเรียกว่าโชคดีมหาศาล
	" กบ ไม่ลงมาก่อนเหรอ"
	" อือ ผมเจ็บข้อเท้าน่ะเดินลำบาก เลยต้องให้พลอยออกมาเอง ขอโทษนะ"
	(ไอ้ตอแหล ฉันคิดในใจ เดินไปหากูไม่ยักกะเจ็บ)
	" ไปหาหมอหรือยัง แวะไปหน่อยไหม "
	" ผมไปมาแล้วครับ  อ้อ พลอย นี่หญิงเพื่อนผม ให้มาเป็นเพื่อนแล้วขับรถให้
ผมขับไม่ไหวน่ะ พลอยคงไม่ว่าอะไรนะ "
	"ไม่หรอกค่ะ ทานหลาย ๆ คนอร่อยดี สวัสดีนะคะคุณหญิง"
	"สวัสดีค่ะคุณพลอย  คุณพลอยน่ารักจัง" ฉันชมพลอยจากใจจริง จากใจที่นึกเหยียด
เหยียดผู้หญิงคนนี้ก่อนพบหน้า กลับกลายเป็นว่าฉันรู้สึกดี ๆ ดีจนอยากหายตัวไปจากตรงนั้น
	"คุณหญิง คะ จ้องพลอยนานแล้วนะ ไปกันหรือยัง พลอยเริ่มหิวแล้วค่ะ"
	"ค่ะเชิญค่ะคุณพลอย"
	พลอยก้าวมานั่งข้างหน้าข้างฉัน
	"อ้าวคุณพลอย ทำไมไม่นั่งกับกบละคะ"
	"คุณหญิงไม่ใช่คนขับรถนี่คะ  คุณเป็นเพื่อนของกบ เพื่อนของพลอย"
	"ขอบคุณค่ะคุณพลอย"  ฉันขอบคุณอย่างแผ่วเบา ในหัวใจยิ่งเบาโหวงยิ่งกว่า
	ฉันขับรถ ถึงร้านอาหารในสมองคิดหาทางแวบออกไปอย่างแนบเนียนที่สุด
	"คุณพลอย กับกบ เข้าไปสั่งอาหารไว้รอนะคะ เดี๋ยวขอตัวไปทำธุระแป๊บนึง"
	"เฮ้ยอย่านานนักนะเว้ย กลับมาจะเหลือแต่ลายจานจะหาว่าไม่เตือน"  ไอ้กบขู่
	"ทำธุระนะโว้ย  ไม่ได้ไปอาบน้ำ หิวก็กินก่อนเดี๋ยวกลับมาสั่งให้แกจ่าย"
	"เออ  รีบไปรีบกลับ เปิดโทรศัพท์ไว้ด้วย"
	ฉันนิ่งไม่ต่อความ  หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ รีบไปรีบกลับ แหมในใจมันคงอยากบอกว่า
ไปแล้วอย่ากลับมาซะมากกว่า ฉันหันไปอีกครั้งยิ้มบาง ๆ ให้กลับพลอยแล้วรีบเดินออกไป
	ห่างสายตาคู่รัก นั้นนะไกลโข ฉันเตร็ดเตร่เดินวนไปมา อยู่หน้ารถ ไปไหนดีหว่า 
กลับบ้านพักก็ขี้เกียจ ไอ้ตะกอนขุ่นในใจมันฟุ้งขึ้นมาอีกครา ฉันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่
จะตัดสินใจก้าวขึ้นรถขับออกไปอย่างเร็วจนหลายคนหันมอง
	ฉันขับรถไปโดยไม่รู้จุดหมาย  วนไปวนมาในเมืองอยู่หลายเที่ยว ความหิวที่เคยคุกรุ่น
กลับจางหายไปแต่มีความอึดอัดใจเข้ามาแทนที่
	โว้ย  อะไรกันวะ บ้าไปแล้วหรือไอ้หญิง  ฉันถามตัวเองซ้ำ ๆ อยู่หลายรอบ คำตอบ
ในใจที่ได้กลับมา คือ ใช่ ฉันบ้าไปแล้ว สุดท้ายฉันเลือกนั่งในสวนสาธารณะริมสระน้ำ  
นั่งเหยียดขายาวเก็บก้อนหินรอบ ๆ ตัว ทุ่มลงไปในสระน้ำ เหมือนคนบ้า ๆ ในหนังเขาชอบทำกัน
เสียงเพลงเศร้า ๆ ดังแว่วมาจากที่ใดที่หนึ่งของสวน	
	    
	อาจมีฝนที่หล่นมาชั่วคราว
	และเมฆขาวที่ผ่านมาเพียงชั่วคืน
	เจอะกับลมก็ปลิวไป
	ไม่มีใครรื้อฟื้น
	ไม่ได้เป็นความยั่งยืนเสมอไป

	แต่กับเธอที่ผ่านมาชั่วคราว
	และเรื่องราวที่เปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน
	กับอะไรที่เป็น ก็ยังไม่เคยลืม
	เหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ

	เราไม่เคยจะรักกัน
	มีแต่วันที่อ่อนไหว
	ผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา

	เป็นแค่ความประทับใจ
	ที่ยังคงแน่นหนา
	มีแต่ฝนมีแต่ฟ้าที่เข้าใจ

	ใต้ต้นไม้ที่ไม่มีร่มเงา
	กิ่งก้านมันไม่ได้สูงสักเท่าไร
	แต่รากลึกลงในดินหยั่งลึกลงในใจ
	มีความหมายมากมายตลอดมา

	(เนื้อเพลง stay ของ ปาล์มมี)

	ฉันนิ่งฟังเพลงเงียบ ๆ เหมือนเพลงนี้เป็นเพลงของฉัน ฉันรู้สึกอย่างนั้น จากนั้นฉันร้องคลอ ๆ
ไปกับเสียงเพลงแผ่ว ๆ น้ำตาเจ้ากรรมมันเริ่มคลอ
	 คนสวย รับสาย  คนสวยรับสาย   เสียงริงโทนของฉันมันดังขึ้น ฉันมองไปที่โทรศัพท์
ที่ขึ้นชื่อคนโทร  "ไอ้กบ"  ฉันตัดสายทิ้งทันที ความหงุดหงิดฟุ้งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
	คนสวย รับสาย  คนสวยรับสาย  เสียงริงโทนดังซ้ำ ๆ  จนฉันรำคาญ ฉันยกโทรศัพท์
ขึ้นรับอย่างหัวเสีย
	"มีอะไร ก็รีบพูดมา กำลังคุยธุระอยู่"
	"แกมาหาฉันที  พลอยเขาไปแล้ว"  เสียงไอ้กบแหบ ๆ เครือ ๆ ชอบกล
	"ไปไหน แล้วแกทำไมไม่ไปกับเค้าล่ะ "
	"ไม่รู้ แกมาหาฉันที"
	"เออ ทีงี้เรียกหา ไอ้เพื่อนบ้า เออ ๆ รอนั่นแหละเดี๋ยวไปหา"
	แวบแรกฉันอยากปฏิเสธ  แต่ไม่ว่าคราวไหนฉันก็ปฏิเสธมันไม่ลงสักที แกล้งมันให้มันรอ
สักชั่วโมงฉันคิดแบบนั้น แต่พอเอาเข้าจริงฉันกลับไปหามันในเวลาไม่ถึง 10 นาที
	พอฉันไปถึง ไอ้กบนั่งอยู่เพียงลำพัง สภาพของไอ้กบแทบจะดูไม่ได้ ข้าวปลาอาหาร
ยังวางอยู่เต็มโต๊ะ เหล้าขวดใหญ่พร่องไปเสียเกือบลิตร 
	"เฮ้ย  เป็นอะไรแล้วพลอยล่ะ"
	"เค้าไปแล้ว ไปกับคนอื่นแล้ว"
	"อ้าว ทะเลาะกันหรือเปล่า"
	"เปล่า มีคนมารับพลอยแล้วฉันเป็นคนบอกพลอยให้ไปกับเค้าเอง"
	"เฮ้ย ทำไมแกทำยังงั้นวะ"
	"ฉันไม่อยากให้พลอยลำบากใจ  แค่มองก็รู้แล้วว่าพลอยรักเค้า"
	"แกบ้าหรือแกโง่กันแน่วะ  แล้วตัวเองมานั่งเสียใจเนี่ยนะ"
	"อื้อ แกอยู่เป็นเพื่อนฉันได้รึเปล่า ฉันอยากเมา"
	"เอ้อ เอ้าแกจะกินก็กินไป เดี๋ยวฉันนั่งเป็นเพื่อน"
	ไอ้กบกินเหล้าไป รำพึงรำพันเพ้อคร่ำครวญไป จากเสียงเบา ๆ ก็เริ่มดังขึ้น ๆ จนคนเริ่ม
เหลียวมอง
	"เฮ้ย พอเหอะกบ  กลับบ้าน"
	"ไม่อาว ไม่พอ ฉันไม่กลับบ้าน"
	"กลับบ้าน  ไอ้กบ ถ้าแกไม่กลับฉันจะปล่อยให้แกโดนกระทืบอยู่ตรงนี้"
	"อื้อ ไอ้เพื่อนเลว แกไม่รักเพื่อน ปล่อยฉัน ปล่อยฉันตาย" ไอ้กบเริ่มอาละวาด
	ฉันเห็นท่าจะไม่ดี จึงรีบลากมันแล้วยัดขึ้นรถอย่างทุลักทุเล  ไอ้กบดิ้นขลุกขลักในรถสักพัก
พอฉันออกรถไปได้สักประเดี๋ยวมันก็หลับเป็นตาย จนถึงบ้าน ฉันเริ่มมีปัญหาใหญ่จะเอามันขึ้นบ้าน
ได้ไงตัวยังกะยักษ์  ฉันเดินวนรอบ ๆ รถหาทางที่เอาไอ้กบขึ้นบ้าน แสงไฟบนบ้านก็สว่างพรึบ
	"กบหรือลูก  กลับมาแล้วเหรอ" เสียงทักมาจากบนบ้าน
	"แม่ขา หญิงค่ะ กบเมาหญิงไม่รู้จะพาขึ้นบ้านยังไง"
	"อ้าว งั้นเดี๋ยวแม่เรียกพ่อให้ ให้พ่อพาขึ้นบ้านแล้วกันนะลูก"
	"งั้นหญิงกลับเลยนะคะ ถ้ากบฟื้นให้ไปเอารถที่บ้านพักหญิงแล้วกันค่ะ"
	"เดี๋ยวหญิง หญิงอยู่เป็นเพื่อนกบได้ไหมสักพักได้ไหมลูก  สภาพนี้อยู่คนเดียวคงไม่ไหว"
	"แล้วพ่อกับแม่ละคะ"
	"พ่อกับแม่จะไปทำบุญกัน เนี่ยก็จะถึงเวลานัดแล้วล่ะ หญิงช่วยอยู่เป็นเพื่อนกบก่อนนะลูก"
	"ค่ะ อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ"
	พ่อลากไอ้กบขึ้นบ้านไปแล้ว  ฉันนั่งแกร่วอยู่ชั้นล่างเปิดทีวีดูยื้อเวลา แล้วก็ผล็อยหลับไป
พอตื่นขึ้นมาฟ้าสว่างแล้ว ฉันสลัดหัวไปมาไล่ความง่วงงุน แล้วเดินไปดูไอ้ตัวต้นเหตุยังหลับอุตุไม่มี
วี่แววว่าจะรู้สึกตัว 
	ฉันคงต้องกลับแล้ว ฉันบอกตัวเองอย่างนั้น ใจก็นึกเป็นห่วงอยู่ครามครัน แต่ก็ต้องตัดใจ
มีอะไรต้องทำอีกเยอะ ฉันให้เหตุผลกับตัวเอง แต่กระนั้นความเป็นห่วงก็ยังตามหลอกหลอน
	ตื่นมามันจะ แฮงค์ ไหมนะ ฉันถามตัวเองอีกครั้ง แล้วจึงตัดสินใจขับรถไปตลาด
ซื้อเครื่องดื่ม ที่เขาโฆษณา  ดื่มเพื่อลดอาการแฮงค์  พร้อมกับผลไม้ และของกินสองสามอย่าง
		"ตื่นแล้วก็ดื่มมันซะ กินซะจะได้ดีขึ้น ฉันกลับแล้วนะไอ้กบเน่า"
	ฉันเขียนข้อความติดไว้ที่กระจกในห้องนอนของไอ้กบก่อนที่กลับมาที่บ้านพัก อาบน้ำ นอน
พักด้วยไม่มีจิตใจที่จะทำอะไรต่อ
	สาย ๆ เกือบเที่ยง เสียงโทรศัพท์ ฉันดังขึ้น
	"เฮ้ย ว่าไงกบ ฟื้นแล้วเหรอ "
	"เออ แกออกมาหน้าบ้านหน่อยสิ"
	"ออกไปทำไม"
	"ตอนนี้ฉันอยู่หน้าบ้านแก"
	ฉันเดินออกไปหน้าบ้าน ไอ้กบยิ้มร่าทั้งที่หน้าตายังซีดเซียว
	"เออ ว่าไง มีอะไร "
	"ฉันคิดถึงแกว่ะ เมื่อวานฉันยังไม่กินข้าวกับแกเลยนะ"
	"เออ ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าก็ได้"
	"ฉันเป็นข้อความที่แกแปะไว้แล้ว  หญิงแกคิดยังไงกับฉัน"
	"ก็แกเป็นเพื่อนฉัน"
	"เป็นมากกว่านั้นได้ไหม"
	"อะไรของแก ไม่ได้ ฉันเป็นแพนด้า"
	"มันเกี่ยวอะไร"
	"ไม่รู้ แกกลับได้แล้วไป ฉันจะนอนเหนื่อย"
	"หญิง"
	"แกไม่รักฉันหรอก  แกไม่เคยจะรักฉันแกเพียงแค่อยากมีใครสักคนเท่านั้นเวลานี้"
	"แต่ "	
	"ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น แกเอารถแกกลับไปด้วย"
	"ฉันขับไปไงตั้งสองคัน แกขับไปส่งฉัน แล้วฉันจะกลับมาส่งแก"
	"ไม่ แกทิ้งไว้ที่นี่แหละอยากได้เมื่อไรค่อยมาเอาคืนไป"
	"หญิง"
	"ไปได้แล้ว"
	ฉันหันกลับขึ้นบ้านปิดประตูขังตัวเองไว้ในห้อง  แว่วเสียงไอ้กบร้องเรียกอยู่นานจนสิ้นเสียงไป
ฉันร้องไห้อยู่ในห้องลำพัง  เสียงเพลงของฉันดังก้องอยู่ในหัวใจ

	แต่กับเธอที่ผ่านมาชั่วคราว
	และเรื่องราวที่เปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน
	กับอะไรที่เป็น ก็ยังไม่เคยลืม
	เหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ

	เราไม่เคยจะรักกัน
	มีแต่วันที่อ่อนไหว
	ผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา

	เป็นแค่ความประทับใจ
	ที่ยังคงแน่นหนา
	มีแต่ฝนมีแต่ฟ้าที่เข้าใจ

	ใต้ต้นไม้ที่ไม่มีร่มเงา
	กิ่งก้านมันไม่ได้สูงสักเท่าไร
	แต่รากลึกลงในดินหยั่งลึกลงในใจ
	มีความหมายมากมายตลอดมา

	เสียงเพลงของฉันวนเวียนอยู่ซ้ำ ๆ น้ำตาเจ้ากรรมมันไหลรินอย่างช้า ๆ ท่อนเดิมซ้ำ ๆ 
วนเวียนไปมา  เราไม่เคยจะรักกัน  มีแต่วันที่อ่อนไหว ผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา 
เป็นแค่ความประทับใจ  ที่ยังคงแน่นหนา มีแต่ฝนมีแต่ฟ้าที่เข้าใจ				
27 ตุลาคม 2555 22:19 น.

ไอ้ต้นคนเดิม

ร้อยฝัน

เก็บเรื่องเก่าเอามาคุย  อ๊ะ อ๊ะ อย่าหาว่าฉันเป็นลูกอีช่างขุดช่างคุ้ยนะ ฉันเป็นคน ไม่ใช่หมานะเออ
แล้วก็ไม่ต้องมาปากเสีย ไม่สุภาพกับฉันยังงั้น ฉันยังไม่แก่นะ แค่เหยียด ๆ เลขสี่นำหน้าเท่านั้นเอง
มองโลกในแง่ดีกันหน่อย  ๆ กล้า ๆ คุยเรื่องเก่า ๆ กับฉันสิ  แหม.......
        ฉันมีเรื่องถามคุณหน่อย  คุณช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยได้ไหม
สมมติ นะสมมุติ  มีเพื่อนฉันตั้งแต่วัยกระเตาะ (แล้วบอกไม่แก่  คุณแอบพูดอย่างนี้ใช่ไหม)
สมัยแบกเป้โบกรถลุยเหนือ ล่องกลางกัน  (ใต้ไปไม่ถึง) วันดีคืนดีมันก็โผล่มายังกะผีหลอก
กับเทคโนโลยีไร้สาย   "เฮ้ย รำลึกความหลังกันหน่อย  ตะลอนทัวร์กันเถอะ" 
"ไปไหน ไกลรึเปล่าวะ " 
"เฮ้ย คนอย่างแกกลัวความไกลเหรอวะ  ใช่คนเดิมรึเปล่าเพื่อน"
"เออ  ข้าคนเดิม แต่มันเพิ่มความรับผิดชอบ ไปไหนไกลไม่ได้โว้ย"
"แต่เพื่อน ๆ มันบอกยังเหลือแกคนเดียว  ที่โต๋เต๋ ไม่มีลูกกวนตัว มีผัว กวนใจ"
"ใครบอกว่าฉันไม่มีลูก  ฉันมีเป็นร้อย ๆ "
"ไม่ได้หมายถึงลูกศิษย์  แกนี่ยิ่งอายุเยอะ ยิ่งโง่ " มันหลีกเลี่ยงคำว่าแก่  แต่กระนั้นยังรู้สึกว่าถูกด่า
"เออ  ถ้าข้าฉลาดขึ้นมาแผ่นดินนี้จะไม่มีที่เหยียบ"
"ทำไม"
"ก็แกโง่กว่าฉันอีกว่ะ  บอกให้เอาบุญ ถ้าคนโง่มันเกิดฉลาด ไอ้คนที่ฉลาดมันก็ฉลาดยิ่งขึ้น  
มันคงรานไปทั้งพิภพ บนดิน ใต้บาดาล  แม้แต่เทวดาก็ต้องตกสวรรค์ล่ะวะงานนี้"
"การเมืองเรื่อง ยาขม  อย่าไปพาดพิงมันโว้ย  คิดทีไร รู้สึกตัวว่าโง่บรมทุกที"
"แกรู้ได้ไงเรื่องการเมือง  นั่นมันเรื่องโง่ ๆ ของคนอยากฉลาดโว้ย"  
"แกพูดอะไรของแก  ไม่เข้าใจ"
"เออ แกฉลาดขึ้นแล้ว  ก็ข้าพูดเรื่องที่แกไม่รู้เรื่อง นะแหละ"
"แกนี่มันบ้าจริง ๆ ข้าก็เพิ่งรู้ว่าแกมันบ้าไปแล้ว"
"เบาหน่อยเพื่อน ว่าแต่ว่าจะไปไหนกัน"
"ไร่ข้า  ที่ด่านซ้าย "
"มันระลึกความหลังตรงไหน ขับรถปรู๊ดเดียวก็ถึงแล้ว"
"แหม แก  ขับรถไปซะที่ไหน  ระลึกความหลังด้วยการโบกรถไปดิวะ"
"พวกแกคิดอะไร  โบกรถเนี่ยนะ อายุรึก็ปูนนี้  หน้าตาแต่ละคนยังกะโจรปล้นควาย 
ใครจะรับแกไปด้วยวะ"
"เออ นั่นแหละเครื่องพิสูจน์  เราเรียกทริปนี้ว่า  ตามหาน้ำใจให้คนอายุเยอะ"
"เออ ก็น่าสนุกนะ งั้นแกเตรียมเครื่องสนาม ข้าแบกเต็นท์ไป "
"เฮ้ยไม่ต้อง  นอนเข่งปลาทู  หม้อสนามสักสองหม้อ ไฟแช็ก ข้าวสาร เกลือ แค่นี้่ก็หรูแล้ว"
"อ้าว แล้วยาแก้ไอพวกแกล่ะ ใครรับผิดชอบ"
"เออน่า  มันมีเองแหละ อย่าห่วงเลย"
"แล้วโบกรถเนี่ยนะ  แกคิดว่า แกอายุสักเท่าไหร่วะ แล้วกี่วันจะถึงไร่แก"
"ก็บอกแล้วว่าตามหาน้ำใจ ช่างมัน ค่ำไหนนอนนั่น "
"เอาก็เอาวะ  แล้วออกเดินทางวันไหน"
"พรุ่งนี้ "
"เฮ้ย  แล้วไม่ให้เตรียมอะไรบ้างเลยเหรอ"
"ลางาน 2 วันไว้เลยเพื่อน แค่นั้นสำหรับการเตรียมตัว"
"ถ้าเกิดข้าลางานไม่ได้"
"แกลาได้แน่  ข้าเคลียร์ไว้แล้ว  เขียนใบลาเลยเพื่อน"
"แกทำอะไร" ฉันชักแหยง ๆ ในการเคลียร์ของไอ้เพื่อนรักคนนี้
"ไม่เกินบ่ายโมง  แกก็จะรู้"
"คงไม่ทำให้ข้าต้องมาแก้ปัญหาภายหลัง"
"ไม่หรอกเพื่อน เดี๋ยวเจอกัน"
"หมายความว่าไง  เดี๋ยวเจอกัน"
"เออน่า ตกลงตามนั้น"
"เอาไง เอากัน ยังไงก็คงต้องตามนั้นใช่ไหม แกจะมาหาข้าเหรอ"
"ถูกต้องแล้วคร๊าบ เออเตรียมแจ่วบองด้วยนะ"  
"เออ ๆ เอาอะไรอีกป่ะ เดี๋ยวออกไปตลาด บ่ายโมงตรงนะเว้ย ช้าวินาทีเดียวอด"
"เออน่า  จะถึงบ้านพักแกแล้วอีก 5 นาที"
"เฮ้ยไอ้พวกนี้  เอองั้นเดี๋ยวรอที่บ้าน"
	พอฉันวางหู ก็มีเสียงแตรรถบีบลั่นบ้าน  
"เฮ้ย ไหนว่าห้านาที เพิ่งวางหูเอง"
"นาทีเค้านับตั้งแต่เริ่มโทรเว้ย แกนี่ตกเลขนี่หว่า"
"เออ ไหนว่าโบกรถ เอารถมาทำไม"
"ก็จะเอามาจอดไว้นี้  เรียบร้อยยังไปกันเถอะ เดี๋ยวมืดค่ำ"
"เอ้ย ยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย เดี๋ยวเก็บของก่อน"
"นับหนึ่งถึงสองร้อยให้ไว ไม่งั้นช่วย"
"เออ พวกแกนี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ"
"เปลี่ยนก็ไม่เพื่อนแก ให้เร็วเลยจะนับแล้วนะ"
	ฉันกลับขึ้นห้องจับเสื้อผ้าขาวม้ากางเกงยีน แล้วก็อะไร ๆ อีกสองสามตัว
ยัดลงเป้ พร้อมกับชุดเดินทางของฉัน ลงมาจากบ้าน ไอ้เพื่อนบ้ามันนับถึงสามร้อยแล้ว
"เฮ้ย ช้าโดนปรับเป็นยาแก้ไอสองกลมนะแก"
"อะไร ๆ ข้าเพิ่งนับได้สิบเอง  หาเรื่องนะแก"
"ไม่รู้โว้ย ไอ้พวกนั้นเป็นพยาน สองกลม"
"เออ ก็ได้เว้ย  ไปไปกันได้แล้ว"
	เราทัวร์หาน้ำใจ เริ่มต้นหาจากหน้าโรงเรียนของฉัน  ไม่นานสักเท่าไรก็มีรถ
ปิ๊คอัพจอดกึกข้างหน้า  แต่ละคนมองหน้าแล้วยักคิ้วให้กัน คนในรถลดกระจกลง
"อาจารย์ สิไปไสคับ ผมสิไปส่ง "  ผู้ปกครองนักเรียนนั่นเอง
"อ้อย สิไปด่านซ้ายค่ะ  สิไปไสคะ " 
"ไปเมืองเลยคับ  ขึ้นมาโลดคับ ไปส่งฮอดเมืองเลยเนาะ "
"จ้าขอบคุณจ้า "
"เฮ้ย พวกแกขึ้นรถ"
"แล้วแกล่ะ"
"ข้างหน้า แอร์เย็น ๆ โว้ย คนพิเศษว่ะ 5555 "
"เออทีของแก"
	ผู้ใจบุญคนแรกส่งให้ถึงเมืองเลย จากนั้นเราก็ต้องใช้โชคชะตาหาคนใจบุญ
ต่อไปถึงด่านซ้าย  เรารออยู่นานพอสมควร ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคจริง ๆ หรือเพราะฉัน
ใส่เสื้อสัญลักษณ์ของ EU ไป ไม่นานมีรถของ EU จอดตรงหน้าเรา
" คุณทำงานให้ EU หรือครับ"
"แต่ก่อนเคยทำค่ะ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้ว เราจะไปเที่ยวกันค่ะ ขอโทษนะคะที่ใส่เสื้อ
ของ EU มา"
"เราเป็นเพื่อนกันครับ  แล้วพวกคุณจะไปไหน "
"ไปด่านซ้ายค่ะ"
"ผมจะไปที่หน่วยผ่านทางนั้นเหมือนกัน  ถ้าไม่รังเกียจไปกับผมก็ได้ครับ"
"ขอบคุณค่ะ ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งค่ะ"
	แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี  แต่มันไม่ดีก็อีตอนจะเข้าไร่ เราไม่สามารถโบกรถ
ใครได้อีกเลย จนกระทั่ง
"อีพ่อใหญ่ สิไปไส ไปนำได้บ่"
	ฉันใช้เสียงในฟิล์มถามชาวบ้านแถวนั้น 
"พ่อสิไปไฮ่ในดง  พวกอีหล้าสิไปไส"
"ไปในดงพู้นละพ่อ พวกสันไปนำได้บ่"
"ไปกะไปติ มาแย่กันแหน่เด้อ"
"จ้า  บ่เป็นหยังดอก"
	ไปในดง กับรถอีแต๊ก สองข้างทางเต็มไปด้วยหนามไมยราบยักษ์ กับก้อนหิน
ก้อนเขื่อง ๆ นั่งโยกเยกกันไปมา เกือบสองชั่วโมง  แล้วก็ต่อด้วยเดินเท้าเข้าไปในไร่
อีกประมาณหนึ่งกิโลเมตร
" เฮ้ย ไอ้ต้นคิดไปหาฟืนมาก่อไฟหุงข้าว"
" โอยพักก่อนได้ไหม เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว"
"เฮ้ยไม่ได้เดี๋ยวมืด ไอ้เบี้ยวแกไปตักน้ำ ไอ้เล็กแกสำรวจสิมีอะไรพอจะทำกินได้บ้าง"
"มีแต่ข้าวสารกับเกลือ "
"เวรแล้วไหมล่ะพวกแก ระลึกความหลังแค่ข้าวสาร เกลือ กับไฟแช็ค ตายไหมละพวกมึง"
"เออ อย่าบ่นนักเลยเดี๋ยวเราเข้าไปดูในไร่มีอะไรกินได้บ้าง"
	ฉันรับหน้าที่ไปสำรวจไร่ หากับข้าวที่พอจะดัดแปลงได้ ปลา ไก่ หรืออะไรพวกนั้น
ในดง และค่ำขนาดนั้นคงหาไม่ได้
	ฉันได้แตงไทยเกือบสุกลูกเล็ก ๆ สองสามลูก พริกป่าอีกกำมือ นอกจากนั้นก็ไม่มี
อะไรที่พอกินได้  พอถึงที่พักไอ้เบี้ยวกางผ้าใบที่พักเสร็จแล้ว ไอ้เล็กยังง่วนในการจุฟืนโหมไฟหุงข้าว
ไอ้ต้น ต้นคิดกำลังรูดฝักถั่วแดง เอาเมล็ดออกมา 
"เฮ้ยหุงข้าวหม้อเดียวพอ  ไอ้ต้นแกไปตัดเอาอ้อยไร่ตรงข้ามสักสองสามลำสิ จะทำถั่วต้มน้ำตาล
กินแก้หนาว"
"เออว่่ะความคิดดี คืนนี้หนาว แน่ๆ ยังไม่มืดเท่าไรน้ำค้างลงแล้ว"
"บททดสอบข้อแรก พวกแกอยู่เมืองร้อนมานาน จะทนได้ไหมกับอากาศเย็นชื้น ๆ แบบนี้"
"บทที่สอง พวกแกชินอยู่กับการกินอาหารดี ๆ วันนี้กินมังสวิรัตนะมึงอยู่ได้รึเปล่า"
"บทที่สาม ยาแก้ไอพวกแกจะพอรึเปล่า แค่สองกลม แล้วกินแบบเพียว ๆ นะแก"
"บทที่สี่ ไร้คลื่นโทรศัพท์ทุกระบบ อย่าคิด ๆ จะอัพสเตตัส 5555"
"บททดสอบแกเหลืออีกมั๊ย อะไรว่ะมันเป็นครูคนเดียวเนี่ยมันก็บ่นให้พวกเราทั้งฝูง
ไอ้นี่เสียนิสัย "
"เออ ถ้าข้าไม่บ่นพวกแกก็เหงา ไปทำงานตามที่สั่งเลยไป"
"มันสั่งจังวะ แกทำกับข้าวให้เสร็จแล้วกัน"
"เออ"
	ฉันใช้มีดพกขูดแตงเป็นเส้นเล็ก ๆ พักไว้ เอาพริกป่าใส่ถุงพลาสติกใช้ก้อนหินทุบจนบุบ
แล้วจึงนำไปคนกับแตงที่ขูดไว้แล้ว โรยเกลือแล้วขยี้ใบส้มลมให้ละเอียดผสมลงไป เขย่า ๆ ถุงให้ส่วน
ผสมทุกอย่างคลุกกัน แล้วชิมรสออกเปรี้ยว หวาน เค็มปะแล่ม ๆ แต่จะออกเผ็ดโดดเนื่องจากพริกป่า
จะเผ็ดกว่าพริกบ้าน แล้วจึงเทกลับลงไปในเปลือกแตงไทยเป็นถ้วยตำแตง
	จากนั้นฉันก็เริ่มทำของหวาน โดยนำถั่วแดงคั่วในหม้อสนามจนหอมและกรอบใส่น้ำลงไป
ต้มจนถั่วเริ่มเปื่อย ใส่เกลือลงไปเล็กน้อยพร้อมกับลำอ้อยที่ปอกเปลือกหั่นเป็นท่อนเล็ก ๆ ลงไป
หอมถั่วคั่ว หอมน้ำตาลจากอ้อยหวานน้อย ๆ อุ่น ๆ เป็นของหวานที่พวกเราละเลียดได้ แล้วก็ยกนิ้วให้
กันทุกคน
	บรรยากาศวันนั้นอาจจะแตกต่างกับครั้งที่เรายังละอ่อนอยู่เล็กน้อย  ไม่มีกีตาร์ ไม่มีบทเพลง
ของพวกเราแต่ยังมีเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำของความเป็นเพื่อน  จากเสียงเบา ๆ เริ่มดังขึ้น ๆ 
เพราะยาแก้ไอสองกลมนั่น  แต่ไม่สามารถทำให้ใครเมามายได้มากจนเสียจริต เพราะอากาศรอบ ๆ
ตัวหนาวเหน็บกว่าพื้นราบมากมายนัก  มุขเก่า ๆ ขุดคุ้ยมาพูดคุย มาหัวเราะ
"เฮ้ย หนาวไหมวะ"
"อื้อ "
"จำได้ไหม วงแหวนแห่งความอบอุ่นของพวกเรา"
"ทำมันอีกครั้งได้ไหม"
"อื้อ"
	พวกเราทั้งห้าคนหันหลังพิงกัน ยกเข่าขึ้นมือทั้งสองข้างพาดวางบนไหล่เพื่อน ทุกคนซบหน้า
ลงบนเข่าวงแหวนแห่งความอบอุ่นของพวกเรา มันยังอบอุ่นเสมอ ถึงแม้วันนี้วงแหวนวงนี้จะเล็กลง
แต่วงแหวนของพวกเราก็คงอยู่
"แกว่าพวกเรายังจะมีวันดี ๆ อย่างนี้อีกต่อไปไหม"
"อื้อ แต่อาจจะไม่ดีเท่าวันนี้"
"ทำไมล่ะ"
"ทุกอย่างมันมีเสื่อมไปตามกาลละวะ"
"ตะกี้แกกินข้าวอร่อยมั๊ย"
"อร่อยที่สุดเลยว่ะ"
"ทั้งที่กับข้าวไม่มีอะไร แล้วทำไมข้าวอร่อยวะ"
"หิว เหนื่อย มีเพื่อนกิน แล้วก็บรรยากาศ"
"มันไม่แค่นั้นหรอก ที่มันอร่อยเพราะพวกเรากินด้วยกันต่างหาก"
"เออ จริง ปีหน้าเราจะได้กินอย่างนี้อีกไหม"
"ไม่แน่ว่ะ พวกแกรู้ไหม อาทิตย์หน้าข้าต้องฝ่าตัดสมอง มันมีอะไรโง่ ๆ เยอะต้องเอามันออก"
"เฮ้ย พูดจริงหรือเล่น"
"จริง ข้าเลยอยากพบพวกแก อยากให้พวกแกจำข้าได้ เผื่อข้าจำพวกแกไม่ได้"
"ไม่ขนาดนั้นมั๊ง"
"อย่าปลอบ ข้าจะร้อง ช่างมัน พวกแกสัญญานะถึงข้าจะจำพวกแกไม่ได้ แกต้องจำข้าได้"
"เออ  อย่าคิดมากน่ะ ไม่มีอะไรหรอกไปนอนกัน"
"เออ  พวกแกนอนเถอะ ข้าจะอยู่เวรให้เอง"
"เฮ้ย  แกไม่สบายแกนั่นแหละนอนข้าอยู่เอง"
"ไม่ต้องทำอย่างนี้กับข้า แกทำเหมือนข้าไม่ป่วยได้ไหม แค่สองวันนี้ ที่พวกเราอยู่ด้วยกัน
ได้ไหม"
"ตามใจมันเถอะ"
 	แล้วคืนนั้นทุกคนเป็นยาม ไม่มีใครหลับ เข่งปลาทูก็ยังเป็นเข่งปลาทูหากแต่ว่า
ไม่มีใครทำใจให้หลับลงได้  เสียงสะอื้นสั้น ๆ ขาด ๆ หาย ๆ เริ่มมาจากทางไอ้ต้น แล้วก็ดัง
ขึ้น ๆ เป็นทอด ๆ  ฉันเริ่มทนไม่ไหว
"เฮ้ย ลุก ๆ เป็นห่าอะไรกัน ร้องกันเข้าไป เรามาสนุกกันนะเว้ย ลุกขึ้นมาเลยพวกแก ใคร
ร้องไห้ข้าเหยียบลุกขึ้นมา"
"อื้อ ร้องเพลงกัน  จากวันนี้จะมีเรา เราและนาย"
	เราร้องเพลงร่วมกัน เสียงดังผิดบ้าง เพี้ยนบ้าง เสียงเครือสั่นจะร้องไห้กันทุกคน
เพลงร้องไม่จบ แต่มันจบลงที่เราทุกคนกอดคอกันร้องไห้ จู่ ๆ ไอ้ต้นมันก็หัวเราะเสียงดัง
"เฮ้ย หยุดร้องเว้ย พวกแกดูคลิปนี่ จี้เป็นบ้าเลยว่ะ ไอ้อ้อยแกขี้มูกย้อย  ไอ้เล็กมึงเสียงดัง"
"ไอ้ต้น ไอ้เลว มึงแต่งเรื่องล้อเล่น เล่นกับความรู้สึกเพื่อนเลยนะมึง"
"เออน่า พวกแกก็รู้ข้าคือใคร"
"ไอ้ต้นคนเดิม  ไอ้เ__ห้"
"ขอบคุณครับ ที่จำอัตลักษณ์ของเพื่อนได้"
	คืนนั้นไอ้ต้นก็โดนรุม มันทำให้ทุกคนได้หัวเราะกันทั้งคืน บรรยากาศความรักของเพื่อน
อบอวล  และเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วเราทุกคน ไปลาไอ้ต้นเป็นครั้งสุดท้าย ไอ้ต้นนะไอ้ต้นหลอกเพื่อนได้
จนวาระสุดท้ายจริง ๆ แต่เราทุกคนสัญญานะว่าจะไม่ลืมแก หลับให้สบายนะเพื่อน
	แกคือเพื่อนตลอดไป				
21 กันยายน 2555 16:17 น.

บ้านน๊อก บ้านนอก (อีกสักที)

ร้อยฝัน

เสียงโทรศัพท์ดังลั่นกลางดึก  ตรุ๊ง ๆๆๆ  WaW WaW  ฉันเอื้อมมือคว้ามารับทั้งงัวเงีย ไม่ดูแม้กระทั่่งเบอร์ที่โชว์ 
สวัสดี ค่าาาาาาาาา

เฮ้ย  โทรมากวนหรือเปล่าเนี่ย เสียงยังงัวเงียอยู่เลย ก็มันคิดถึงแกว่ะ 

สวัสดี ค่าใครคะ

ไอ้นี่ ทำเป็นจำไม่ได้นะแก  แหวว โว้ย

เฮ้ย  เออว่าไง ทำไมแกโทรมาตอนนี้ไม่รอให้ฉันละเมอก่อนล่ะ

เออ ก็มันคิดถึงแกตอนนี้ ก็โทรตอนนี้แหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ลืม

เอ้ามีอะไรว่ามา ฉันให้เวลาแกสิบวินาที ไม่งั้นนอน

เสาร์-อาทิตย์นี้แกว่างไหม 

อื้อ จะชวนไปไหน

ไปบ้านแก   

ได้เลยเพื่่อนโคกนกทายินดีต้อนรับ				
27 กรกฎาคม 2555 23:39 น.

เสียงพล่อย ๆ

ร้อยฝัน

ชาเขียวหอมๆ กรุ่นไอลอยช้า ๆ จากถ้วยเซรามิก แดดอุ่น ๆ ตอนเช้าขับไล่ไอหมอกขาวค่อยจางหายไปในช่วงวัน  คลุ้งกลิ่นฟืนไฟอวลอบจากครัวหลังเก่า กาต้มน้ำสีดำถูกปล่อยต้มทิ้งไว้อย่างนั้น  จวบจนกระทั่งไฟจากฟืนมอดดับเป็นเถ้าถ่านไฟ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟร้อยฝัน
Lovings  ร้อยฝัน เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟร้อยฝัน
Lovings  ร้อยฝัน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟร้อยฝัน
Lovings  ร้อยฝัน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงร้อยฝัน