21 มีนาคม 2546 02:25 น.
ราม ลิขิต
ตัดสินผินข้างบนทางแพร่ง
เกลียดรักหนักแรงจะแข่งขาน
คันชั่งตราชูเอียงดูการ
เที่ยงตรงคงฐานประการใด
ประเด็นเห็นได้ในมนุษย์
สามด้านพล่านผุดมิหยุดไหว
หนึ่งคือคัลลองของธงชัย
สีขาวพราวไปในลีลา
หนึ่งคือมรรคหลงของดงดาบ
สีดำชุ่มอาบและฉาบหนา
หนึ่งคือหว่างคั่นอันตรา
สีเทาหม่นมาตรงค่ากลาง
เวียนวนบนห้วงห่วงสมุทร
วนว่ายส่ายจุดมิหยุดหมาง
แวดล้อมพร้อมกฎกำหนดวาง
วิญญาณถูกย่างระหว่างวัน
เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจึงฉายภาพ
ปั่นป่วนรวนราบนาบสวรรค์
พระเจ้าหายใจแทบไม่ทัน
ธรรมะเป็นหมันทุกวันมา
จึงขอเพียงเอนไม่เบนหัก
ขอรักโลกชาติปรารถนา
ของกึ่งของหยาดหทยา
มองพื้นพสุธาด้วยปรานี
มองคนนัยค่าคำว่าพื่อน
ดาวเดือนจักพร่างไม่สร่างศรี
มองคนนัยค่าว่ากาลี
วสวัตตีจักสำเริง
เพียงพร่ำกำแหงสำแดงเดช
ก็รู้สมเพชกิเลสเหลิง
เพียงปืนแผดเปรี้ยงแรกเสียงเปิง
ก็รู้มารเกิงจะเริงดิน
จึงใจของตนต้องค้นตอบ
รู้ชอบดำริรู้ติฉิน
ไม่รู้ใดใดในชีวิน
หมดสิ้นประเสริฐที่เกิดกาย
ดอกไม้ว่ายฟ้าเวหาห้วง
แปลงดอกตอกข่วงจะล่วงหาย
แดงฉานผลาญจบทุกศพทราย
ขอร้ายเลิกแรงเถิดแพร่งคน/.
20 มีนาคม 2546 02:50 น.
ราม ลิขิต
ขึ้นลอยโล้ลำสำเภาล่ม
กลางคมคลื่นเบ้ที่เห่เหว
กลางคนกินคนทุรนเลว
ย่อมเหลวตกก้อนตะกอนกรัง
ชีพชื่นยืนใช้แค่ไล่ฉก
คือกกซากทรามของความหวัง
เห็นภาพกรายกรุยเห็นขุยซัง
เห็นปากเหมือนดังจะดูดดาว
เห็นอยู่รู้ผอมว่าตรอมโศก
เห็นโรคทุกข์หลากบนขวากหลาว
เห็นเงินเอิ้นทองรีบจองยาว
เห็นหาวมองเหมือนจะเอื้อนแมน
คนเต็มติดต่อมารอตรวจ
ขมวดคิ้วเข้มว่าเต็มแขน
โรงรัฐมัดหมอระย่อแกน
ละคนหน้าแบนแค่นแค่นมา
เจ็บไข้ได้ยันตะบันป่วย
โรคซวยวันวันตะบันหา
หงิกหงอรอฉันตะบันยา
นิ่วหน้านี่นั่นตะบันไป
รวบรัดตัดทอนด้วยร้อนตอด
ลวกลวกตลอดจะดอดไหน
เย็นชาหน้าชัดอึดอัดใจ
กระเปำเผาไฟให้หาเงิน
เวลาเร่งหมดใจจดจ่อ
ควบห้อคลีนิคใส่ปีกเหิน
ไพเราะเพราะผันสวรรค์เพลิน
หยอกเอินไอ้อีเห็นสีทอง
ลืมหลงองค์พ่อต่อดำรัส
ประโยชน์ตัวตัดเป็นที่สอง
ส่วนรวมที่หนึ่งให้พึงครอง
ตรึกตรองความเข้มให้เต็มตา
หากแม้นร้างไร้ใจรู้สึก
คือผลึกใช่มณีศรีสง่า
ในปีกแห่งความกรุณา
ต้องนิวัตจรรยามาสู่ตน
เยือกเย็นเช่นชลให้คนชื่น
หยัดยืนรู้โยคต่อโภคผล
สมค่าอ่างามนามของคน
เป็นบัวอุบลที่เบิกบาน/.
19 มีนาคม 2546 09:12 น.
ราม ลิขิต
การได้มองดูเรียนรู้โลก
เป็นโชคงามเถียรดั่งเทียนไข
วับแวมเมื่อสร้างระหว่างวัย
ต่อยอดสุกใสเมื่อปลายทาง
คงทนด้นคมในลมเสื่อม
หากเชื่อมเปลวใจอุทัยสาง
มอดลงเย็นชืดในมืดพราง
หากจิตพิษพร่างสรรพางค์พา
สำรวยสวยสั้นในวันหนึ่ง
เขลายาวจักตรึงถึงวันหน้า
เรียนรู้เหลวไหลในเวลา
วิญญาณ์เปล่าเปลืองเคืองระคาย
ตรึกตรองมองชั้นบันไดด้าว
ย่างก้าวกังวลจะหล่นหาย
เหยียบหัวตัวกลั่นอันตราย
ถีบถัดปัดป่ายตะกายกัน
แย่งชิงวิ่งพล่านแต่การพร่า
รอยยิ้มปริ่มหน้าแต่ง่าขรรค์
รุ่มร้อนในหล้าที่อาธรรม์
ณ วันสังคมระทมธรรม
จึงการเรียนรู้อันคู่โลก
คือโยคตัวตนพิมลขำ
แทงสิ้นวิญญาณตัดก้านกรรม
หนุนนำนรเศรษฐ์ประเวศชน
จึงชอบกอปรรู้ไปสู่สุข
ปลอบปลุกเมตตาสง่าผล
สมค่ามนุษย์พุทธพล
เผาตนแต่งเทียนเสถียรงาม
คงแค่กระดาษอันปราศค่า
ปริญญากลืนใจจนใครหยาม
หยิบชี้ตีแผ่แย่นิยาม
ขนแต่งไก่ตามความนิยม
บัณฑิตคิดอ่านใช่การโอ่
เติบโตไต่คั่วแค่ตัวสม
เป็นหวังลอยหายในสายลม
เป็นตมหลงตัวว่าบัวบาน
สู่การเรียนรู้ประตูโลก
งามโชคแจ่มชัดพิพัฒน์ขาน
เสียงสวดบรรลุสาธุการ
กล่อมเทียนแท่งธารละลานเปลว/.
17 มีนาคม 2546 23:48 น.
ราม ลิขิต
ในวิถีของคนอันล้นค่า
ต่างมีความปรารถนาที่บ่าไหล
บ้างอุทกตกถั่งประดังไป
บ้างลาไลเอื่อยรินกระสินธุ์มา
มุ่งมาดวาดที่ชีวีสุข
เกลียดทุกข์รุกถมระดมหา
เติบใหญ่ในกร้านกาลเวลา
เล็กลงอ่อนล้าในอารมณ์
ค้นหาความหมายในสายหมอก
คืนค่ำจ้ำออกเก็บดอกฉม
กุหลาบอาจหายพระพายพรม
คว้าได้ลั่นทมมาล้มทรวง
นั่นใครกันหนอดูหงอหงอย
กะหร่องกองกอยตาคอยสรวง
ใช่คนหรือเปล่าเหมือนเราปวง
หลายคนหลีกล่วงตะขวงใจ
ปากท้องเขาหาโหยอาหาร
เห็นจานว่างเปล่าข้าวอยู่ไหน
ตีนถีบปากกัดเหมือนหมัดไร
เล็กแท้แค่ไพร่ในนคร
บ้านเขาเรือนชานกระดานเก่า
หลังคาฝาเสาดุจเงาหลอน
ผ้าผวยเสื่อขาดที่พาดนอน
มุ้งหมอนที่มีคือที่มาร
เรือนกายเขาผอมถนอมสอด
เสื้อผ้าผุตอดตลอดฐาน
ปกจุดอุดกะกันประจาน
อุจาดชัดจ้านเป็นประจำ
เจ็บไข้ได้ป่วยคือห้วยปลัก
เงินทองกองตักหนักถนำ
หยูกยากะเกณฑ์แต่เวรกรรม
คะมำเมื่อใดให้มันมา
คือคนคนหนึ่งซึ่งเป็นอยู่
อย่าดูชี้ตายคนกลายหมา
ไม่ต้องสมเพชเวทนา
แค่ไม่หมิ่นค่าประชาจน
ไม่เหยียดเดียดหยามก็งามยิ่ง
ใจจริงแผ่บ้างสล้างผล
ไม่กอดยากลุปุถุชน
กอดคนรู้คนว่าคือใคร/.
17 มีนาคม 2546 12:41 น.
ราม ลิขิต
โรงเรียนเก่า
ซุ้มแก้วของเราเจ้าอยู่นั่น
แดดสายทายทักรักตะวัน
ผุดผ่องผิวอันพรรณราย
พระเกี้ยวตราตรูดูสง่า
ประดับค่าควรเมืองเมลืองฉาย
ประดนใจใครชื่นนับหมื่นชาย
ประดุจกายสังกรที่ซ้อนกัน
โรงเรือนสองชั้นอันสงบ
เขาลบออกไปอยู่ในฝัน
เปลี่ยนตึกใหญ่โตอักโขครัน
คิดถึงเธอนั้นแทบขาดใจ
เสาธงวงกลมเคยข่มเข้ม
ครูตีแรงเต็มน้ำตาไหล
กลางเพื่อนนับร้อยรอยอาลัย
กิ่งสนหวดให้เจ้าไปดี
สนามกีฬาใจกล้าหาญ
ฤดูกาลบรรลุจตุสี
เหงื่อผุดพร่างพราวราวนที
ละหยดบ่งชี้น้ำใจชม
เสียงระฆังกังสดาลฟังหวานแว่ว
แต่ละแก๊งปานแก้ววาวแววถม
อาขยานลอยเลื่อนมาเตือนตรม
โรงเรียนเลิกเหมือนลมบรรเลงราน
โรงเรียนเก่า
ซุ้มแก้วของเราเจ้าอ่อนหวาน
จักยืนอยู่เนาในไปตราบนาน
ร้อยสายบ่ายผ่านคงขานใจ/.
....................................................................
จากศิษย์เก่าโรงเรียนชายประจำจังหวัดคนหนึ่ง
ขอคิดถึง โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี
หน่อยนะครับ