30 มีนาคม 2546 03:49 น.
ราม ลิขิต
สูงนั้นสรรค์หนาวสาวไหน
ขุนเขาใครใคร่ไขขาน
ดิ้นรนดลร้อนดอนราน
ไต่ร่านต้านรกตกลง
มุ่งหน้ามาในไม่แน่
ร่อแร่ลุกไล่ไหลหลง
ปุ่มป่ำปล้ำไปไป่ปลง
มั่นคงม่งขั้นหมั่นคลาน
คำเว้าเขาว่าค่าว่อน
กระชอนกลายฉับกลับฉาน
ได้แท่นแดนไท้ใดทาน
พิมานผ่านมาพ่าห์เมือง
เหนือคนนนท์ครองนองคราบ
ใต้ราบตอดหล้าตาเหลือง
เหนือใครในคิดนิดเคือง
อาจเขื่องเอื้องเคี้ยวเอี้ยวคม
เป็นหนึ่งปึ่งนรป้อนนั่ง
อิ่มพลั่งอังก์พรอ่อนผม
ขึ้นฉิวคิ้วชอนค่อนชม
เหยียบจมยมจู่ยู่ใจ
จึงใครใจคิดจิตครุ่น
มานมุ่นหม่นหมองมองไหม
หมายเพียงเมียงเพื่อเมือไพ
ตีไรไต๋ร่ำตำลึง
ปิดตาป่าตั้งปังสุ์ตับ
ไม่เห็นเหม็นหับหมับหึง
ใครสวนควนสูขูซึง
รำพึงรึงพร่ำรัมย์พัง
เขาบ่นข้นบ่มคมบาก
ยิ้มฝากอยากใฝ่ไย่ฝัง
เขาบอกคอกบ้าค่าบัง
เขาเบื่อเคื้อบั้งขังบอ
ไปสูงปรุงแสร้งแปลงเส
สามัญสรรค์เมเซหมอ
กระท่อมกล่อมทักกักทอ
เรียบง่ายไร้งอร่องาม
ภาพตัดพิมพ์แต่งแพร่งไต่
ตรงข้ามต่างใคร่ไต่ขาม
ขึ้นลงคงลับขับราม
คุกความคิดคล้องครองคน/.
29 มีนาคม 2546 03:07 น.
ราม ลิขิต
ฉายชะวากฉากวุ้งเป็นคุ้งวิ่น
ทะเลชินคลื่นเฉียงกรรเชียงฉาน
ซัดระลอกกลอกเลียดละเอียดลาน
ระทึกจารจดใจฤทัยจอง
ไม่เคยหลับเย็นร้อนอาวรณ์ร่ำ
บ้างก็ขำบ้างเขี่ยบ้างเสียของ
รักพาชื่นลื่นพาชักมักช่ำชอง
หากไม่ตรองต้องซังเตโดนเฮตึง
อยู่ใกล้ใกล้ไกลกันรนมันก่อ
รักเข้าขอแต่ไข้กลับไล่ขึง
อยู่เขาเขียวรู้ค่าเหมือนหน้าคลึง
ห่างก็ถึงใจแทบชิดแนบทาง
ด้วยดวงจิตชิดจุดอุทธัจจับ
ใดใดทับรับท้นวนเวียนถาง
มันวอกแวกแหวกวับแวะรับวาง
วิ่งระหว่างพันเวิ้งระเริงไว
เห็นโกงกางก้างเก้งกระเตงเกาะ
อยากหัวเราะให้ร่วนสำรวลไหล
ต้นเป็นกลุ่มสุมก้อนเห็นพอนไกล
เหตุไฉนชนชนักปักฉะนี้
มาแตกกลุ่มซุ่มเกลียดแล้วเสียดกลับ
ฟันไม่นับสับแน่เพื่อนแห่หนี
เลิกร่วมอยู่จู่แยกใจแหลกยี
ประหลาดนี่หน่อเนื้อชอบเถือแนว
กับรอยยิ้มเยิ้มหยาดมีดพาดหยัก
แหละทายทักจรดท่องจ้องเชือดแถว
พอเล่นกลคนกู่เขารู้แกว
มือยังแมวคลานหมอบพินอบมา
เพียงอยากใหญ่ไล่เหยียบศอกเสียบหยาบ
ศิโรราบก็รุกไล่ไปเป็นหลา
เพียงสรวลชื่นรื่นชื่อว่าลือชา
ก็สุขาสุขขมอารมณ์คน
จึงใจจ้าวครองจ้านคานกายจิก
ใจระริกกายละล้าตาถลน
ใจละล่องกายหลุกหลิกขาพลิกลน
ใจประดนธรรมดีกายมีดาว
ในภาพฉายเวิ้งฉากชะวากฉ่อง
เห็นเชิงช่องรู้ชื่ออันอื้อฉาว
นามอารมณ์สมอาลัยใส่เรื่องราว
ทะเลยาวห้วงใหญ่ต้องใช้ญาณ/.
28 มีนาคม 2546 14:05 น.
ราม ลิขิต
๐ชีพหนึ่งนี้ มินาน
นับแต่คลาน ไข่ตั้ง
มัชฌิมขาน วัยแข่ง
ที่สุดจั้ง จ่อมตาย
๐ฝันใฝ่ค่า เคยฝัน
เคยสวยจันทร์ แจ่มแจ้ง
เคยขยัน ขยับ
ไยหยุดแย้ง ย่านฝัน
๐ไกลสุดห้วง บรรหาน
แรงเสียดทาน ทิ่มจ้วง
ขอบจักรวาล ใจหวั่น
อีกหนึ่งร่วง ล่ะหรือ
๐ฤาจิตต้อง เงินตรา
ฤาชฎา ใส่ดิ้น
ฤาหน้าหนา แต่งกาก
จึงหมดสิ้น กำแหง
๐รสโลกหล้า พิลึก
รอนคนคึก ไขว่ห้าม
ลวงการตรึก ตรองหลอก
ข่มขี่คร้าม ข่วงใจ
๐ยืนอยู่เบื้อง บุญหน
ยืนหยัดบน บาปบ้า
ยืนเพื่อยล ใดเล่า
ทางทอดท้า เลือกทาง
๐กายแค่รู้ หายใจ
กายกลไก กอปรเข้า
ชีวาลัย ลอยล่อง
ชีวาตม์เศร้า เศษคน
๐อยู่อย่างโก้ อาเกียรณ์
เฝ้าวนเวียน กราบไหว้
เฝ้าสองเศียร ทอส่วย
แค่สอดไส้ โศกศัลย์
๐วันหนึ่งป้อม ปราการ
กังสดาล กึกก้อง
จักพับพาน ตกพ่าย
แตกหักร้อง รื่นไฉน
๐ชีพหนึ่งสั้น โศกา
ใช่โสภา ผ่องแผ้ว
รัตนา คืนเก็จ
ยาวยิ่งแล้ว ระยับ/.
28 มีนาคม 2546 02:10 น.
ราม ลิขิต
๐ราศีเช้าสู่หน้า โนมพรรณ
ยามเที่ยงประทับทรวง ส่องเหย้า
สองบาทบ่งสายัณห์ ยงเยี่ยม
ไตรแต่งศรีเคื้อเข้า ต่อคน
๐กบิลพรหมเปี่ยมด้วย สัจจา
แจ้งสัตบุตรีตน แต่งตั้ง
ตัดเศียรส่งธิดา ดารแห่
ดลห่างมิให้พลั้ง พลาดถึง
๐ตำนานนัยแน่สร้าง สงกรานต์
เทพพ่ายปัญญาจึง ชีพแจ้น
มนุษย์ชื่อธรรมบาล บอกเรื่อง
ปีใหม่ละมื้อแม้น ม่วนหนอ
๐จำแนกนับเนื่องขึ้น ตรีวัน
มหาแห่งสงกรานต์พอ ภาพพร่าง
วันเนาติดตามกัน กรกระ
ขึ้นศกใหม่เศร้าม้าง มุ่งเถลิง
๐กลับคืนเคหะห้อง ห่างแหน
กราบพ่อก่อดำเกิง กราบแม่
ประยูรญาติเสี่ยวแสน สนิท
เหน้าหนุ่มกริ่มกรุ้มแส้ จีบสาว
๐ไปวัดน้อมจิตนี้ วิวัฒน์
พระผ่องสรงน้ำพราว ใหม่แผ้ว
นิ่งฟังท่องธรรมทัศน์ สงฆ์เทศน์
เลี้ยงภัตมิเคว้งแคล้ว คล่องสวรรค์
๐ขนทรายกรายเกตุแจ้ง เจดีย์
ช่วยก่อระดะรัน รูปร่าง
ดอกไม้ธูปเทียนสี สวยยิ่ง
ตาสบตาแต้มค้าง ข่มใจ
๐สะบ้าดูมิ่งแม่ มาแจ่ม
เพลินท่าท่วงทีไทย ที่เล่น
ผ้าถุงหลุดร่วงแถม ถนัด
คว้าพรวดรีบเม้มเม้น มากขวย
๐รดน้ำฉ่ำชัดเรื่อง รวมมิตร
รดร่วมรดรักรวย รื่นแป้ง
รดน้ำใช่เลือดลิตร รดสาด
รดสุขรสกลุ้มแกล้ง เกลียดเหลือ
๐สงกรานต์การกราดเกรี้ยว ถึงกราน
สงสิ่งวงศ์ว่านเครือ ส่งสร้าง
สงเศษเสพสังหาร สงห่วย
ไปสู่เรียนรู้ข้าง เขตดี/.
27 มีนาคม 2546 04:01 น.
ราม ลิขิต
๐เยื้องยาตรบาทดุ่มดั้น กุญชร
เท้าสี่จตุลังค์ ปกป้อง
บนหลังหนึ่งควาญคอน คอยขับ
ประภาสนัยน์ผู้จ้อง แจ่มชัด
๐ยาบเยิบขยับย่ำ ยนต์แซง
คืนค่ำคนขนัด แน่นหล้า
ร้านรวงช่วงสีแสง สุกส่อง
ดูปล่งปล่อยเท้าหน้า แน่วถึง
๐มือถือปากท่องอ้อย เอาเงิน
ออกโอษฐ์เลี้ยงช้างอึง บ่นอู้
กล้วยหวียี่สิบเกิน การหน่อย
ขานต่อรองร้องสู้ ซุ่มเสียง
๐ช้างใหญ่น้ำย่อยย่อม ใหญ่ตาม
ห้าท่อนสองหวีเพียง แผ่วอ้ำ
สองหูโบกเบียนขาม ขออีก
หิวยิ่งโหยท้องช้ำ ชอกเหลือ
๐สูญศักดิ์หนักฉีกหน้า แหลกนาม
พงศ์เผ่าคเชนทร์เครือ เอกข้าง
เคยยงยิ่งยุทธขาม คราวศึก
กลับภิกขาคร้ามอ้าง อดสู
๐พงไพรเพียงตึกตั้ง ตระการ
คอนกรีตป่าใดดู ดกด้วน
เติบต้นเต่งสูงตาล ตึงบ่า
ใบบ่บงแท้ถ้วน โท่หาย
๐คนควาญคุณค่าแค่ รังควาน
ไส้ขดคดคนควาย แค่นค่า
อ้างคชอดขอทาน ถูเหงือก
ยังยื่นยอแย้มหน้า อีกหนอ
๐คนซื้อบุญเกลือกแล่น บาปลอย
ดีจิตแต่พิษพอ นาคเพี้ยง
โมหันธ์หั่นคอหอย คอยห่า
เรียกสุขสุกไหม้เกลี้ยง กลบแถม
๐ขวัญเอยขออย่าเศร้า โศกทรวง
จงเภทพิบัติแรม ห่างหล้า
สรรพางค์แง่งางวง งามยิ่ง
ศรีสู่ทแกล้วกล้า เกียรติสาง
๐เยื้องยาตรบาทดิ่งดั้น กุญชร
เท้าสี่ลับเลือนลาง จากแล้ว
เป็นเบี้ยหนึ่งนาคร โขกสับ
คืนค่ำเก็บรุ้งแก้ว กักขัง/.