23 พฤษภาคม 2553 22:25 น.
ราตรีน้ำแข็ง
“Exteam” เรียกว่า เดทแรก...หรอ?
ยังคงเกาะกระแสอยู่กับนายเอกขี้อายคนเดิมคะ พอดียุคช่วงนี้มันเป็นยุคของระบบอินเตอร์เน็ตอะไรๆก็ต้องใช้เจ้าอินเตอร์เน็ตไปหมดเลย แม้เกมส์เด็กเล่นเดี๋ยวนี้ยังต้องออนไลท์เลย (บางทีไม่ใช่แค่เด็กนะคะที่เล่น)
หนึ่งวัฒนะธรรมที่มาคู่กับระบบนี้ก็คือ “Chat” หรือจะเรียกว่าเขียนจดหมายหากันผ่านระบบอินเตอร์เน็ตก็ได้คะ ยิ่งเดี๋ยวนี้มี Hi5 ด้วยแล้วยิ่งติดต่อสื่อสารมาได้มากยิ่งขึ้น แต่ทว่า...ผลที่ตามมาของความง่ายนั้นก็คือ “การโกหกครั้งมโหฬาร...เพื่อแค่จะได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการต่อเพศตรงข้าม” หรือจะพูดกับเป็นภาษาพื้นๆเลยก็คือ หวังจะฟันนั่นเองคะ
เอกเขาเป็นคนที่นิยมชมชอบการเล่นเกมส์มาตั่งแต่เด็กๆ หรือจะเรียกว่าติดกันมางอมแงมเลยก็ได้ จากเกมส์เครื่องมาสู่เกมส์บนหน้าจอ เขายังคงตั้งหน้าตั้งเล่นอย่างจริงจัง จนมาจบที่เกมส์ออนไลท์นี่แหละคะ เพราะว่าเกมส์ประเภทนี้เล่นยังไงก็ไม่มีวันจบ
เดิมทีจุดประสงค์ของมันก็คือการคบหาเพื่อนในเกมส์ที่เล่นอยู่ ณ ที่ต่างๆแต่ปัจจุบันมันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ต่างคนต่างเล่นนายเอกของเราก็เลยเซ็งไม่รู้จะเล่นต่อไปทำไมก็เลยหันมาศึกษาการใช้คอมฯแทน ไหนๆก็มีพื้นฐานจากการเล่นเกมส์มาแล้ว และดูท่าจะไปได้สวยเสียด้วย
“จริงๆแล้วหมอนี่อยากจะหาแฟนในเกมส์ต่างหากละ...แต่เดี๋ยวนี้สาวๆเขาไม่เล่นเกมส์แบบนี้กันแล้ว มีแต่ผู้ชายปลอมตัวเป็นผู้หญิงเล่น นายเอกเราก็เลยหลอนกินไปเลย”
พักนี้เขาไม่ค่อยได้เข้ามาที่บ้านฉันสกเท่าไรนักเห็นว่ามีงานเข้าเยอะเลยยุ่งมากเลย กลายเป็นฝ่ายฉันที่ไปเที่ยวบ้านของเขาบ่อยๆเพราะว่า โดยส่วนตัวแล้วฉันชอบไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะที่มันเงียบๆสงบๆและก็ชอบให้อาหารปลาด้วย ซึ่งที่แถวบ้านของนายเอกที่อยู่ทางฝั่งนนทบุรีมีสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ์ เป็นสถานที่ที่สวยงามมากเลย
ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสแบบนี้ฉันจะขับรถมอเตอร์ไซด์ส่วนตัวไปที่นั้นเป็นประจำอย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้ง จนคนที่บ้านของนายเอกเริ่มสงสัยแล้วว่าฉันกับลูกชายของเขานี่เป็นอะไรกัน มั่นไปมาหาสู่กันบ่อยเสียเหลือเกิน เหอะๆ
ครั้นเมื่อมาถึงสวนสาธารณะที่ว่านั้นแล้วฉันจอดรถที่หน้าทางเข้าก่อนจะเดินเท้าเข้าไปชมความงามและความร่มรื่นของต้นไม้ใบหญ้าและที่ด้านหลังสุดของที่นี่อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยเป็นที่ให้อาหารปลาชั้นยอดเลย (ปลาเยอะมากเสียด้วยคะ)
เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้นระหว่างที่ฉันกำลังเดินไปด้านหลังเพื่อให้อาหารปลา เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์ของเอกโทรเข้ามา
“โหล...มาถึงแล้ว เดี๋ยวค่อยเข้าไป” ฉันรู้ว่าหมอนี่โทรมาทำไม
“เออๆ หวานรีบเข้ามาด้วยแล้วกันมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง”
“เรื่องอะไรหรอ เล่าตอนนี้เลยก็ได้นะ” ฉันอยากรู้เหมือนกัน
“ไม่สะดวกวะ...เดี๋ยวหวานเข้ามาแล้วค่อยเล่าจะดีกว่า” เอกยืนยันแบบเดิม
“ก็ตามใจ แต่เดี๋ยวหวานให้อาหารปลาก่อนแล้วกันนะ”
และฉันก็วางสายจากเพื่อนคนนี้ไป จากนั้นก็ไปให้อาหารปลาที่ริมตลิ่งของสวนแห่งนี้ ที่นี่มีปลาเยอะมากเลยคะในน้ำเหมือมีตัวอะไรดำๆขนาดใหญ่ยุบยับกันนัวเนียไปมาจนดูน่ากลัวเมื่อเราโยนขนมปังลงไปในน้ำ
มีผู้คนมากมายมาพักผ่อนกันที่นี่ ถึงแม้จะเป็นช่วงสายๆของวันแต่ว่าที่นี้ไม่ได้ร้อนกว่าที่คิดเพราะ “โคตรร้อนเลยพระยาคะ” แต่ว่ามีลมพัดผ่านตลอดเวลาจึงรู้สึกเย็นสบาย แต่ฉันก็ต้องยืนหลบๆพี่แดดเอาไว้บ้างเดี๋ยวตัวดำ จะพาลขายไม่ออกล่ะยุ่งเลย
ช่วงเที่ยวฉันต้องรีบขับรถเข้าไปหลบแดดที่บ้านของเอก แต่จริงแล้วจุดประสงค์หลักก็คือไปหาอะไรกินนั้นเอง เพราะว่าฝีมือการทำกับข้าวของหมอนี้ไม่ธรรมดา มีเมนูอะไรประหลาดๆมาโชว์ออฟเสมอรสชาติก็ไม่น่าเกียดด้วยนะ เสียอย่างเดียว...พี่แกใช้เวลาในการทำเป็นชั่วโมงเลย บางทีที่มันกินได้เพราะฉันรอจนหิวจัดล่ะมั้ง
ครั้งนี้เหมือนว่าเอกระรูตัวแล้วเขาจึงเตรียมทำกับข้าวไว้รอตั้งแต่ตอนที่ฉันให้อาหารปลา จนเมื่อฉันไปถึงอาหารก็...ยังไม่เสร็จเหมือนเคยคะท่าน
ฉันเดินเข้าไปทักทายพ่อและแม่ของเอกด้วยความอ่อนน้อม
“สวัสดีคะคุณลุงคุณป้า”
“เรียกพ่อแม่ได้แล้วม้าง หนูหวาน” พวกท่านแซวกลับมาด้วยความสนิท (ไปบ่อยจนสนิทกับพ่อแม่ของเอกเลยง่ะ)
ที่นี่ต่างจากที่บ้านของฉันมากเลย ถึงจะเป็นบ้านไม้สองชั้นคล้ายๆกันมีพื้นที่เป็นธรรมชาติไม่แพ้กัน แค่ที่แตกต่างก็คือคนที่นี่เขาชอบดูรายการอะไรก็ไม่รู้ มวยอย่างงี้ ฉันไม่รู้เรื่องเลยดูไม่เป็นจริง (เกิดมาเป็นผู้หญิงนี่น่า) ทางออกที่ดีที่สุดก็คือออกไปที่ส่วนของห้องครัวและไปช่วยเอกทำกับขาวดีกว่า จะได้กินเร็วๆด้วยหิว
เป็นหองไม้เล็กๆทรงสี้เหลี่ยมด้านในสุดเป็นเตาแก๊สซึ่งเอกกำลังทำอะไรบางอย่างที่น่ากลัวอยู่ที่นั้น ใกล้ๆมีโต๊ะไม้เล็กๆเอาไว้เก็บเครื่องปรุงต่างๆ
“มีไรให้ช่วยรึเปล่าเอก” ฉันเอ่ยถาม
“ไม่มีเลยหวาน...แต่ช่วยหยิบน้ำตาลให้หน่อยสิ” เอกกล่าวขึ้นพร้อมชี้นิ้วไปที่กระปุกน้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆข้างครัว
“นี่ขนาดว่าไม่มีอะไรนะ ยังใช่เลย”โวยวายนิดหน่อยพอเป็นพิธี ก่อนจะไปหยิบน้ำตาลให้หมอนั้น
ช่วงที่เอกกำลังทำกับข้าวที่ดูไม่รู้ว่ามันคืออะไรในกระทะ (สีออกดำๆ น่ากลัวโคกๆเลยคะพี่น้อง) เขาเริ่มที่จะเล่าเรื่องที่ว่านั้นให้ฉันฟังอย่างช้าๆ
...เมื่อสามวันก่อนเอกบเขาเข้าไปเล่น Hi5 และได้รู้จักเพื่อนสาวเด็กลูกครึ่งมาคนนึง ชื่อ “ปูน” เอกพยายาม พรีเซนส์ ยกยอว่าหล่อนเป็นคนน่ารักอายุก็พึ่งจะ23 แถมเด็กนอกด้วย...(มีอาการหื่นขึ้นมาเล็กน้อย) นี่เห็นว่าจะนัดไปเดทกันอยู่ในวันพรุ่งนี้
“ก็เจ๋งสิเอก...กำลังจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักทีนะเพื่อน” ฉันแสดงความดีใจกับเพื่อน
“ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะยังไง เราว่าจะพาเธอไปเที่ยววัดแถวๆนี้ จะได้ไปทำบุญกันด้วย”
“หรอ...ก็ดีนะ ชวนสาวไปทำบุญ ดูเป็นพ่อพระดีเหมือนกัน...แต่อย่าหลุดคราบโจรออกมาล่ะ 555+”
“เหอะๆๆ ถ้าอย่างนี้เป็นโจร แล้วอย่างไอ้แซดเรียกว่าอะไรละ” แซดเป็นเพื่อนของเอกคะ เป็นหนุ่มนักรัก...ไม่สิ นักฟันมากกว่า หมอนั้นจีบสาวไปทั่ว ถึงหน้าจะชั่วๆแต่ว่าใจกล้ากว่านายเอกเยอะคะ
โดยส่วยตัวแล้วฉันมักจะชอบไปเที่ยวสถานมีสวยงามหรือไม่ก็ไปเที่ยวตามสวนต้นไม้ในต่างจังหวัด ดังนั้นการที่เอกพาสาวไปเที่ยววัดเก่าๆย่านนนทบุรีนั้นก็เป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว ฉันพยายามไม่โทรไปรบกวนเวลาส่วนตัวของเอกในวันถัดมาแต่ก็รุ่นอยู่เหมือนกันว่าผลออกมาจะเป็นเช่นไร แต่ทว่า...
ในวันต่อมา...ตะวันยังไม่ทันจะลืมตาเลย เอกก็โทรมาตั้งแต่ไก่โห่...ฉันต้องแคะตัวเองออกมาจากเตียนนอนอย่างลำบากใน ร่างกายมันเหมือนนักขึ้นมาอีก50กิโล ลุกยังไงก็ลุกไม่ขึ้น สุดท้ายจึงได้แต่กลิ้งตัวเองไปที่อีกด้านนึงของเตียงและหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะขึ้นมารับสายด้วยสภาพงัวเงีย
“โหล....” ฉันกล่าวทักสั้นๆ
“หวานหรอ...”
“ขอใจนะที่โทรมาบอกว่าเราชื่ออะไร...”
“เวร...ไม่ไช่เว๊ย มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง” เอกทำเสียงตื่นเต้น แต่ฉันยังไม่ตื่นเลยจนเผลอคิดไปด้วยว่ากำลังฝันคุยกับเพื่อนอยู่
เอกเล่าอย่างตื่นเต้นว่าเมื่อวานได้พาสาวซ้อนท้ายมอไซด์ตะเวนไปทั่วย่านบางกรวยเพื่อไปทำบุญที่วัดต่างๆ อาทิเช่นวัดชะลอ วัดเพลง บางวัดก็เหลือแต่ซากอย่างวัดยาง เอกก็พาไป...
“แล้วผู้หญิงเขาว่าอะไรหรอ...” ฉันถาม
“จะว่าอะไรละ เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด เอกว่านะเด็กนอกมันต้องเจอพาไปเที่ยวแบบเอ็กทรีมแบบนี้แหละ เจ๋ง!” ดูนายเอกจะดีใจและภูมิใจมากเลย ฉันก็ดีใจที่จะได้เห็นไอ้เพื่อนคนนี้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนไปสักที
สามวันให้หลังฉันกำลังนั่งดูรายการโทรทัศน์ “นินทาดารา” อยู่ ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าจะไปรู้เรื่องของคนอื่นเขาทำไม ใครจะไปคบกับใครมันก็เรื่องของเค้า ยังไงก็คนเหมือนกัน แต่ที่ฉันชอบในรายการนี้ก็คือคนที่เขาภาคเสียงคะ พี่เขาพูดเก่งมากเลย มุกนี่แพรวพราวได้ฟังก็ขำดีคะ และเอกโทรเข้ามือถือมา ครั้งนี้เขาโทรมาตอนสายๆ (ครั้งที่แล้วโดนด่าคะท่าน)
“โหล...” ฉันกล่าวทักสั้นๆเช่นเคย
“หวาน...น้องปูนไม่รู้เค้าเป็นอะไรวะ ติดต่อไม่ได้เลย” น้ำเสียงของเอกดูเป็นกังวนมากเลย
“ไม่เป็นอะไรม้าง...อาจจะอยู่ที่อับสัญญาณก็ได้ หรือไม่ก็อยู่กับแฟนเขาก็ได้นี่”
“เป็นกำลังใจที่ดีมากเลยหวาน ได้ฟังแล้วอยากกระโดดถีบหวานจังเลยเนอะ”
“แล้วลองโทรเข้าเบอร์บ้านหรือเบอร์อื่นดูบางยังละ เผื่อมือถือน้องเขาเสีย” ฉันแนะนำพลางหันไปเห็นแม่กำลังทาเล็บอยู่บนโซฝา ฉันเห็นท่านนั่งทามาประมาณสามรอบได้แล้ว ทาแล้วยังไม่ทันไรเลยท่านก็จะเดินไปทำโน้นทำนี่ จากนั้นก็จะมีเสียงอุทาน “ว๊าย” เหมือนเดินไปสะดุดอะไรบางอย่าง และก็กลับมานั่งทาใหม่อีกรอบ (มีความสุข)
ฉันพยายามบอกให้เอกรอต่ออีกหน่อย เดี๋ยวน้องเขาก็ติดต่อมาเอง แต่ดูเหมือนเอกตอนนี้กำลังจะเริ่มงอนสาวเสียแล้ว ก็น่าจะงอนอยู่เหมือนกันแหละ...
เวลาที่เราติดต่อใครสักคนไม่ได้เป็นเวลานานๆและเขาก็ไม่ติดต่อกลับมา มันจะทำให้เราเป็นห่วง พอห่วงมากๆก็เริ่มจะหงุดหงิดและก็จะเริ่มโกรธจากนั้นก็งอนตามระเบียบคะ ดังนั้นมั่นติดต่อหาคนของคุณในเวลาที่เหมาะสมบ้างนะคะ จะเป็นการดีไม่น้อยเลย
“แล้วทำไมเอกไม่ลองไปหาน้องเขาดูที่บ้านละ” ฉันเสนอขึ้นอีก
“อืมม์จริงสิ เดี๋ยวเอกไปหาน้องเขาดูก็ได้นี่หว่า ไม่แน่เดี๋ยวจะแวะบ้านของหวานก่อนด้วยนะ”
“ห๊า...แวะหรอ บ้านน้องเขาอยู่ไหนเนี๊ยะถึงมาแวะบ้านหวานได้”
“อยู่บางนา”
คำตอบสั้นๆของเอกทำเอาหัวใจฉันแทบ “Y” ดีไม่ดีอาจจะลามไปถึง.”Z” แล้วก็ได้ คือฉันอยากจะบอกว่า ระหว่างบ้านของเอกกับบ้านของน้องปูนนั้น ตำแหน่งบ้านของหวานอยู่ตรงกลาง ถ้าถามว่าจากบ้านหวานไปหาเอกไกลมั้ย คำตอบก็คือ “ไกล” และคิดดูสิคะว่าจากบ้านเอกมาบ้านน้องปูน มันเท่ากับ โคตรไกลเลยคะพี่น้อง
“ไอ้บ้า...เดทแรกนายพาน้องเขาถ่อมาจากบางนาไปนนทบุรีนี่นะ ทำไมไม่พาอเมริกาเลยล่ะ” ฉันโวยวายเพราะอดไม่ได้จริงๆ
“ก็เดทแบบเอ็กทรีมไง”
“ทรีมบ้านแกสิเอก นายก็บอกเองไม่ใช่หรอว่าน้องเขาขี้ร้อน และนี้นายก็พาน้องเขานั่งสังเคราะห์แสงจากบางนาไปนนทบุรี และพานั่งกินลมจากนนกลับไปบางนาอีก มันไม่บ้าพลังไปหน่อยหรอเพื่อน”
“เอาเบอร์น้องเค้ามาสิ เดี๋ยวเราเช็คให้เอง” ฉันขอเบอร์น้องปูนมาเพื่อจะโทรไปหา แต่ไม่ใช่ว่าจะโทรไปคุยนะคะแค่โทรเช็คดูว่าน้องเขารับสายรึเปล่า ปรากฏว่าน้องเขารับสาย ฉันจึงบอกแค่ว่าโทรผิด จากนั้นฉันลองให้เอกโทรกลับไปหาน้องเขาใหม่อีกครั้งแต่น้องเขาไม่รับสายเลยแถมวางสายทิ้งอีกต่างหาก...
สรุปคะ...นายเอกของเรา แห้วอีกแล้วคะท่าน เดทแบบเอ็กทรีม...มิควรเอาเยี่ยงอย่างนะคะ (จากบางนาไปนนทบุรี ไม่น่าจะต่ำกว่า 50-60กิโลเมตร ยังไม่รวมขากลับด้วยนะคะ)
...มาว่าถึงเรื่องเดทกันดีกว่าคะ การออกเดทครั้งแรกนั้นสำคัญมากเลยนะคะสำหรับผู้หญิงอย่างฉัน เพราะมันไม่ใช่แค่การเที่ยวธรรมดาๆ แต่มันเป็นการดูอีกฝ่ายด้วยว่าเป็นอย่างไร เขาดีมั้ย ดูแลเราได้รึเปล่า หรือว่าจ้องแต่จะฉวยโอกาส
ด่านแรกของต้องพบเจอ “ไปที่ไหนดีละ” นี่เป็นคำถามที่สาวมักจะถามผู้ชายตอนเริ่มนะคะ ห้ามตอบว่า ”ไม่รู้” เด็ดขาดเลย ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้คิดว่าจะไปไหนก็ตาม สิ่งที่ควรทำก็คือถามหล่อนกลับไป “เธอชอบไปเที่ยวแบบไหนละ” และฝ่ายหญิงจะมีคำตาบตามประเพณีว่า “ก็ที่ไหนก็ได้” ให้รู้ในที่นี้เลยนะคะว่า...ไม่จริง คำว่า ”ที่ไหนก็ได้” ในที่นี้เหมือนมาจากภาษาอื่นที่แปลว่า “แล้วจะพาไปไหนละ” นั้นก็คือว่าให้ผู้ชายเสนอสถานทีไปหลายๆทีหลายๆแบบอย่างเช่น ไปกินนั้นกินี่ ดูหนัง สวนสาธารณะ อะไรประมาณนี่และเดี๋ยวผู้หญิงก็จะเผยสถานที่ที่อยากไปออกมาเองคะ
สถานที่การไปเดทนั้นมีมากมายคะแล้วแต่เราจะเลือก แต่ส่วนมากแล้วมักจะคิดกันไม่ค่อยออกว่าจะไปไหนกันดี ซึ่งถ้าไม่ใช่นายเอกแล้ว ก็คงไปตายรังกับห้างฯใกล้ๆบ้านของฝ่ายหญิง ซึ่งแน่นอนว่าเดทแรกแต่ละฝ่ายก็ต้องเว้นระยะห่างกันไว้คนละก้าว
สิ่งที่สาวๆจะดูฝ่ายชายในช่วงนี้ก็คือ...การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ดังนั้นฝ่ายชายควรจะต้องมีการตัดสินใจที่เฉียบคมพอตัวเลยคะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าให้เผด็จการนะคะ ถามผู้หญิงเขาด้วยก็ดีแต่สุดท้ายผู้ชายก็ควรจะต้องตัดสินใจ บางคนไม่กล้าตัดสินใจรอให้ผู้หญิงเป็นคนตัดสินใจแทน นั้นหมายถึงความเป็นผู้นำของของผู้ชายได้ 0 คะแนน (แต่ก็ไม่ใช้กับสาวทุกคนนะคะ แต่ฟังไว้บ้างก็ดี)
อยากจะชวนสาวไปทำบุญ...อันดีคะเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไม่ใช่ว่าพออ่านถึงตรงนี้ปุ๊บโทรไปชวนสาวของคุณปั๊บเลยนะคะ ดูด้วยว่าอีกฝ่ายเขานับถือศาสนาอะไร เกิดเป็นคนละประเภทละซวยเลยนะคะท่าน...ดูให้ดีๆละ
คำถามที่ใช้เช็คความสุขของอีกฝ่ายที่ดีก็คือ “เป็นไงบ้างครับสนุกมั้ย...เหนื่อยรึเปล่า” ถ้าอีกฝ่ายตอบด้วยสีหน้าปกติหรือหน้านิ่งๆ มีโอกาสเป็นแบบนายเอกสูงพอสมควร แต่ถ้ามีสีหน้ายิ้มแย้มถึงน้ำเสียงจะดูเหนื่อยๆแต่ก็มีความประทับใจแฝงมาด้วยนะคะ
และก็อย่าเอาแต่สนุกตัวคนเดียวนะคะ แหมไม่ใช่พวกพาไปแต่สถานที่ที่ตัวเองชอบอย่างเดียวเลย อีกฝ่ายอยากไปที่อื่นตัวก็ไม่สนใจ...ระวังให้ดี ยอมเสียสละบ้างก็ได้ เหมือนการไปดูภาพยนตร์เลยคะ สาวอยากดูหนังรัก อีตาผู้ชายอยากดูหนังบู้ ถ้าเป็นผู้ชายควรจะหลอกถามนิดก่อน “เรื่องนี้น่าสนุกนะครับ” ถ้าสาวเห็นด้วยก็ดูเรื่องนั้นแต่ถ้าสาวเสนอขึ้นมาอีกเรื่อง “เรื่องนี้ก็โรแมนติกดีนะคะ” เตรียมตัวโรแมนฯได้เลยคุณ
เคยมีเหตุการณ์นะคะที่ว่าอยากดูหนังคนละแนว สาวอยากดูหนังรักอีตาผู้ชายก็จะต้องดูหนังบู้ให้ได้ด้วยเหตุผลที่ว่า “ก็กูอยากดูอ่า...” (เสียเงินแล้วก็อยากดูหนังที่ชอบ) สุดท้ายก็พาสาวเข้าไปดูหนัง...ฟันกันเลือดสาดเต็มจอพระยาคะ ออกมาเลิกกันเลย เหอะๆ
สิ้นสุดการเดทแล้วควรจะมีคำหวานก่อนกลับด้วยก็ดีนะคะ อย่างเช่น “วันนี้ขอบคุณมากนะ สนุกมากเลย” ตามด้วยการทิ้งทวนด้วยคำพูดที่เป็นห่วงเป็นใย อย่างเช่น กลับบ้านดีๆนะ เดี๋ยวโทรหานะ ขับรถดีๆนะ อะไรประมาณนี้
สำหรับนายเอกหรอ...ขอบใจนะที่พาไปผจญภัย...อย่าได้เจอกันอีกเลย
ปล. “แรกๆก็อย่างนี้ทุกรายแหละ” จำคำของหวานให้ดีๆนะคะ
23 พฤษภาคม 2553 13:35 น.
ราตรีน้ำแข็ง
รออะไรอยู่...!!!
ช่วงหนึ่งฉันเคยไปเที่ยวที่นนทบุรี พอดีว่าช่วงนั้นสนิทกับเพื่อนที่อยู่ย่านบางกรวย รายนี้ชื่อ เอก เขาเป็นคนรูปร่างหน้าตาดีนะคะ หน้าคมคิ้วเข้มตาโตผิวสีแทน (ระยะสุดท้ายนิดๆ) และจัดได้ว่าเป็นคนสูงหุ่นดีเลยทีเดียว อายุก็พึ่งจะยี่สิบต้นๆ แต่สัพสิ่งบนโลกไม่มีอะไรที่สมบรูณ์แบบคะดิฉันของบอก
เอกหน้าดีก็จริงแต่ว่าเป็นนางอาย และรายนี้เขาอายในสิ่งที่ไม่ควรอาย...
เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ที่ห้างดังย่านสีลมมีอีเวนของงานสตาร์วอลและทรานฟอร์มเมอร์ ภายในงานมีการแสดงละครเวทีสั้นๆของสตาร์วอล ซึ่งนายเอกคนนี้และเพื่อนๆของเขาเป็นทีมงานภาคให้เสียงตัวละคร ส่วนเรื่องการแสดงนั้นมีอีกทีมหนึ่งจัดการให้แล้ว
แต่ทว่า...เจ้าพระเอกละครเวทีที่เขาหามาได้นั้น...ฉันของพูดคำนิยามสั้นๆให้กับเขาผู้นั้นได้แค่ว่า “แห้งไร้อารมณ์” คือว่าเป็นการเล่นคิวบู้ที่เรียบร้อยที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยเห็นมาเลยในชีวิต ใครรู้จักกับสุดยอดภาพยนตร์เรื่องนี้ย่อมรู้ดีว่าผู้ที่ได้รับบท “เจได” นั้นมันต้องใช้ลีลาขนาดไหน แต่พี่แห้งเรายืนตรงฟังดาบ...
“เอก สงสัยต้องเป็นเอ็งแล้ววะ เรื่องน่าดานๆแบบนี้ต้องเอ็งคนเดียวเลย” รุ่นพี่คนนึงที่สนิทกับเขากล่าวขึ้นช่วงที่ชมการแสดงรอบปฐมฤทธิ์ของนายแห้ง
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละพี่มด” เอกกล่าวตอบด้วยสีหน้าแห่งความชั่ว ไม่ใช่นิสัยนะคะฉันหมายถึงเรื่องอะไรแบบนี้เจ้าหมอนี่จะกล้ามากๆ จัดว่าหน้าดานมือพระกาฬเลย (ยังดีนะที่หนวดพอจะทิ่มแทงขึ้นมาได้)
ฉันเป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวของเขามีเหรอที่พลาดไปชมตอนที่นายเอกเขาฝึกคิวบูของการแดงและความได้เปรียบที่เอกเป็นหนึ่งในคนภาคเสียงเขาจึงรู้ว่าตอนไหนบทอะไร ว่าแล้วนายนี้กัดการลำดาบซะ...ทำเอาพี่อาร์ม (คนรับบทเป็นดาทเวเดอร์) มันส์ได้ด้วยเลย
เนี่ยะ...ไอ้เรื่องแบบนี้เอกกล้ามาก จบการแสงดพี่แกเล่นเดินซะทั่วงานเลยและบอกก่นนะคะว่าตัวละครเจได เป็นตัวเดียวที่ไม่ต้องใส่หน้ากาก พี่เล่นเดินซะ...ฉันนี่อายแทนเพื่อนคนนี้เลยคะ
หลังจากนั้นประมาณสามอาทิตย์เพื่อฉันคนนี้มาเที่ยวที่บ้านของฉันอยู่ย่านลาดพร้าว นานๆเพื่อนคนนี้จะมาสักครั้ง และทุกครั้งที่มากก็มักจะหนีไม่พ้นเรื่องเซ็งๆของหัวใจ ที่ต้องการคำปรึกษาจากคนที่ยังไม่มีแฟนย่างฉัน
เป็นวันที่ท้องฟ้าดูแจ่มใสมากที่ลาดพร้าว แต่เป็นความแจ่มใส่ช่วงน่าร้อนมันเลยออกแนวทรมานนิดหน่อย นี่ถ้าไม่กลัวคนด่าว่าเป็นหมาฉันก็นั่งแลบลิ้นอยู่บ้านไปแล้ว เหอะๆ
แต่ก็ยังนับเป็นโชคดีนะคะที่บ้านของฉันเป็นบ้านไม้สองชั้นรอบๆรายล้อมด้วยธรรมชาติ ฉันหมายถึงทุ่งหญ้ารกร้างที่อยู่หลังรั้วหลังบ้าน ทางซ้ายมือก็เป็นสวนของเสด็จแม่ ท่านมักจะชอบปลูกพืชป่าดงดิบเป็นประจำ (ก็ผักต้อนไม้ธรรมดาๆนี่แหละ แต่บรรยากาศสวนของแม่เหมือนป่าดงดิบไม่มีผิด) ทางขวามือเป็นช่องทางเดินลัดไปหลังบ้านซึ่งอยู่ติดกับรั้วบ้านของตาอ้อม ปกติไม่ค่อยจะได้สนทนากันสักเท่าไรนัก หน้าบ้านของฉันเป็นลานกว้างซึ่งเทปูนเอาไว้ซีกนึงเพื่อเป็นทางเดินเข้าออก ส่วนที่เหลือนั้นเป็นที่ของเสด็จพ่อ...ท่านชอบปลูกต้นใฝ่เดี่ยวและพืชตระกูลเฟริน
บ้านเลยยังมีความร่มเย็นอยู่บ้าง แถววันดีคืนดีก็มีสิ่งมีชีวิตเข้ามาอาศัยอยู่ในชายคาบ้าน...ก่อนหน้านี้มีกระรอกเข้ามาทำรังอยู่บนต้นไม้หลังบ้าน คางค้าวเขามาเกาะอาศัยนอนบนต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวยามกลางวัน วันนี้มีนกพิราบมาทำรังอยู่ที่ชายคาบ้าน สักวันฉันว่ามันต้องทะลุเป้ามีเสือเข้ามาอยู่ด้วยแน่ๆ
นายเอกเข็นรถมอเตอร์ไซด์ของเขาเข้ามาจอดภายในบ้าน ก่อนจะเดินเข้ามาไหว้พ่อแม่ของฉันและนั่งเล่นอยู่ที่ชั้นล่าง
พ่อแม่รู้จักอีตาคนนี้ดีเพราะมาบ่อย แถมเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมอปลายด้วยกันด้วย แรกๆพวกท่านคิดว่าเป็นแฟนกัน แต่หลังๆนี่...ก็ยังคิดว่าเป็นแฟนกันอยู่นั้นแหละ บอกเท่าไรก็ไม่เชื่อ...เวรกรรมของฉันจริงๆ
ฉันเดินลงมาจากชั้นสองด้วยชุดอยู่บ้านสบายๆ กางเกงขาสั้นเสื้อยืดสีขาวและด้วยผมที่ค่อนข้างยาวมันทำให้ร้อนดังนั้นจึงรวบมัดเอาไว้ข้างหลัง ลงมาก็เห็นนายเอกนั่งหน้าสลอนดูทีวีกับพ่อและแม่อยู่ข้างล่างนั้น
“ดีหวาน” แกกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มที่น่าเบื่อของเขา
“แกเป็นใครวะ...เข้ามาทำอะไร”
“เดี๋ยวจะโดนไอ้หวาน...เอกมีเรื่องคุยด้วยหน่อยวะ” นั้นเอกหมายถึงอยากจะออกไปนั่งคุยกันที่หน้าบ้าน ซึ่งปกติทุกครั้งที่หมอนี่มาก็จะไปนั่งคุยกันที่หน้าบ้านอยู่แล้ว
ฉันหยิบเสื่อที่เหน็บอยู่ใต้บันไดออกมาด้วยก่อนจะไปปูลงบนพื้นฝั่งที่เป็นดินหน้าบ้านเพราะว่ามันมีร่มเงาของต้นชมพู่บังแดดได้ดีกว่า ส่วนเอกเขาเดินไปเปิดตูเย็นหยิบเอาขวดน้ำเย็นและแก้วตามฉันออกมาติดๆ
“มีอะไร อย่าบอกเรื่องสาวอีกนะเอก”
“ก็ไม่เชิงวะ เมื่อกี้เราไปเข้าเซเว่นที่หน้าปอกซอยบ้านหวานมาวะ...โดนเลย!” เอกหมายถึงว่าเจอสาวที่โนใจนะคะ นี่เป็นศัพท์ประจำของหมอนี่
เขายังเล่าต่อไปอีก “เอกเห็นเขามองมาด้วยนะ มองเอกไม่หยุดเลยสงสัยตงจะมีใจให้เหมือนกัน เดี๋ยวหวานไปช่วยดูให้เราหน่อยสิ”
“นี่...จะไปจีบสาวแต่เอาผู้หญิงไปเป็นเพื่อนนี่นะ มีหวังเขาคงคิดว่าเราเป็นแฟนนะสิไม่ว่า...ถ้ามั่นใจนักทำไมไม่ไปขอเบอร์ซะเลยล่ะ” ฉันพูดขึ้นพร้อมลงบนเสื่อและหยิบแก้วน้ำขึ้นมาก่อนจะเทน้ำเย็นจากขวด
“เออวะจริงของหวาน...แล้วจะทำไงดีว้า รอจังหวะก่อนก็แล้วกัน”
“เอางี้ เดี๋ยวเอกขับรถออกไปหน้าปากซอยก่อนและเดี๋ยวหวานขับรถอีกคันตามออกไป และเดี๋ยวจะดูให้ OK ป่ะ” ฉันเสนอแผนขึ้นมาให้ซึ่งนายเอกก็พยักหน้าเห็นด้วยและก็ไม่รีรอ เขาลุกขึ้นตรงไปที่รถเตรียมจะขับออกไปทันที
ฉันต้องฝืนสังขารวัยยี่สิบหกขับรถตามหมอนั้นออกไปที่หน้าปากซอยด้วยความขี้เกียจอย่างสุดซึ้ง
...ครั้นเมื่อถึงหน้าปากซอย เอกจอดรถและเดินเข้าไปหาเป้าหมายก่อน ส่วนฉันค่อยเดินตามเข้าไปทำเป็นว่าไม่รู้จักกัน
ที่เคาน์เตอร์ชำระเงินมีสาวพนักงานอยู่สองคน คนแรกหน้าเรียวขาวสวยหมวยเอ็กผมยาวด้วย ส่วนอีกคนรูปร่างอวบผมยาวถึงบ่าตากลมโตบนใบหน้ารูปไข่ความสูงของหล่อนก็ไม่จัดว่าเตี้ย...แต่ปัญหาก็คือไอ้เพื่อนฉันมันชอบคนไหนล่ะเนี่ยะ
เอกแกล้งเดินดูของอยู่ที่มุมนิยตสาร เขาพยายามมองสะท้อนกระจกร้านเพื่อสังเกตดูสาวคนที่หมายปอง ส่วนฉันค่อยเดินเข้าไปที่มุมเดียวกันก่อนจะเดินผ่านข้างหลังของเขาพร้อมเอ่ยถามเบาๆ
“คนไหน”
“อวบๆ” เอกตอบสั้นๆแต่ได้ใจความ หมอนี่รสนิยมไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ
จากนั้นฉันเฝ้าสังเกตดูอยู่ห่างๆ ผู้หญิงอวบคนนั้นจ้องมองเพื่อนฉันจริงๆเสียด้วย ฉันเดินเข้าไปหาเพื่อนอีกครั้งพร้อมบอกให้เขาซื้ออะไรก็ได้สักอย่างไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ นายเอกทำตามที่บอก
เมื่อตอนที่เอกไปชำระเงินนั้นฉันสังเกตเห็นหล่อนมองหน้าเขาด้วยอาการเขินอายและยิ้มไม่หุบเลย แต่ก็ยังรักในหน้าที่ หล่อนไม่ลืมที่จะพูดว่า
“รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมั้ยคะ”
เราสองคนเดินออกมาไม่พร้อมกัน เอกออกมาก่อนและฉันเดินตามออกมาที่หลัง ช่วงที่เอกเดินไปที่รถมอเตอร์ไซด์ฉันมองเข้าไปในร้าน เห็นใบหน้าของสาวน้อยคนนั้นกำลังมองดูชายหนุ่มไม่คาดสายตา ก่อนที่ฉันจะเดินไปที่รถและขับกลับมาที่บ้าน
การนั่งดูอาการบ้าผู้ของเพื่อนเริ่มทำลายEQในสมองของฉันทีละน้อย เอกเอาแต่พูดเพ้อหาสาวร่างอวบคนนั้นไม่หยุดปาก
“เขาต้องชอบเอกแน่ๆเลย ทำไงดีวะหวาน เสป็กด้วยนะนั้น”
“นี่ถ้าหวานเป็นผู้ชายนะ ขอเบอร์ตั้งแต่เมื่อกี้ไปแล้ว เขาแสดงออกตั้งขนาดนั้น”
“คนมันเยอะ เอาไว้ก่อนก็ได้...รอโอกาสดีๆก่อน” ข้อแก้ตัวของเอกเขา
“เออระวังเถอะ...ใช่ว่านายจะมาบ้านเราบ่อยๆ”
เอกยังคงวางใจที่จะยังไม่บุกเข้าโจมตีขอเบอร์สาวคนนั้น ผลที่ตามมาก็คือเขามาบ้านฉันทุกอาทิตย์เลยและทุกครั้งที่มาจะต้องแวะเข้าเซเว่นที่หน้าปากซอยเป็นประจำ วันไหนที่น้องคนนั้นไม่เข้ากะในวันนั้นเอกจะออกไปหน้าปากซอยบ่อยมากเพื่อดูว่าน้องคนนั้นมารึยัง
ผ่านไปสามอาทิตย์ พวกเขาทั้งสองคนยังคงได้คุยกันแค่ “รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมั้ยคะ” กับคำตอบของเพื่อนฉัน “ไม่ครับ” ส่วนเรื่องเบอร์ของสาวคนนั้นยังไม่คืบหน้าไปไหนเลย
“ตกลงหวานกับเอกนี่คบกันยังไง พ่อเห็นมาบ่อยจังเลย” และนี่ก็เป็นผลกระทบของฉันกับพ่อและแม่...เซ็งเป็ดเลยคะพี่น้อง T^T
อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา เอกมาที่บ้านของฉันอีกเช่นเคยตอนนั้นฉันกำลังอ่านหนังสือนิยายรักอยู่ข่างล่าง (ฮาทคอร์ = ไม่ชอบนิยายที่มันหวานๆเกินไปหรือที่พวกพระเอกโง่ๆ) เขาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมสีหน้าคิ้วขมวดเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“มีอะไรหรอเอก...สาวไม่ให้เบอร์หรอ” ฉันเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นแอกเดินเข้ามาไหว้พ่อแม่
“เปล่า...นี่ยังไม่ได้แวะเข้าไปเลย วันนี่แหละจะรวบรวมความกล้าขอเบอร์น้องเขาแล้ว” ดูน้ำเสียงของหมอนี่จะเอาจริงเสียด้วย
“เออก็ดี เอาใจช่วย...งั้นก็รีบไปเลยสิจะรออะไรอยู่ล่ะ”
หลังจากนั้นเอกก็หายไปประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนจะคอตกเดินกลับเข้ามาในบ้าน ทีแรกฉันคิดว่าสาวคนนั้นอาจจะบอกว่ามีแฟนอยู่แล้ว แต่เมื่อถาม เอกตอบมาด้วยน้ำเสียงเซ็งๆว่า
“ข้าเข้าไปแล้วไม่เห็นน้องเขาวะ เลยลองถามพนักงานคนอื่นดูว่าน้องเขาไปไหน...แม่งย้ายสาขาไปแล้วว่ะ โคตรเศร้าเลย”
พนักงานที่ไม่ประจำจะต้องย้ายสาขาไปเรื่อยๆเมื่อถึงกำหนดหรือที่เรียกว่าเวียนสาขานั้นเอง และน้องคนนั้นก็ไม่ใช่พนักงานประจำเสียด้วย ซวยไปเพื่อนฉัน
“หวาน...อย่างน้อยเอกก็รู้ว่าน้องเขาชื่อ นุช นะเว้ย...”
“ภูมิใจตายห่าเลยละสิ ของดีๆมาวางอยู่ตรงหน้าแล้ว มัวแต่รออยู่ได้ สม...”
...นี่แหละคะ เรื่องของเรื่องก็คือความอายนั้นเอง มันเป็นป้อมปราการด่านแรกๆของความรักความชอบ เพราะส่วนมากคนที่ตกอยู่ภายใต้ของคำว่าชอบแล้วจะไม่ค่อยคิดอะไรออกเลยเวลาจะเข้าไปขอเบอร์สาวที่หมายปอง
...จะเข้าไปบอกชอบเลย...ก็คงโดนขอหาเป็นคนเจ้าชู้แน่ๆ ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงถ้าจู่ๆมีคนมาบอกว่าชอบโดยที่เรายังไม่รู้จักคนๆนั้นเลย ก็ต้องคิดก่อนเลยว่า “เขาก็ทำแบบนี้กับสาวทุกคนนั้นแหละ”
การเริ่มต้อนที่ดีที่สุดคงจะหนี “รอยยิ้ม” ไปเสียไม่ได้ การที่เรายิ้มให้คนที่ยังไม่รู้จัก (สาวๆ หรือจะหนุ่มๆก็ได้) มันการผูกมิติรที่ดีที่สุด จะให้ดีก็เริ่มจากการแซวอะไรเล็กๆน้อยๆแต่พองามให้ส่อไปในทางบอกว่าชอบเป็นนัยๆ
อย่างเช่น “วันนี้ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย ไม่สบายรึเปล่า” มันหมายความว่าเราสังเกตดูเขามาเป็นเวลานานแล้วจนรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อย แต่แนะนำว่าไม่ต้องรอให้เขาป่วยจริงๆแล้วค่อยไปทักนะคะ ทักมั่วๆไปเลยเดี๋ยวหล่อนหรือเขาก็เออออไปตามเราเอง ข้อควรระวัง...อย่างลมยิ้มนำร่องเข้าไปก่อนเด้อคะ
ถ้าตัวอย่างแรกคนที่หมายปองได้แค่ยิ้มตอบไม่พูดอะไรกลับ นั้นก็อย่าให้ละความพยายามเสียนะคะ ทักทายหล่อนทุกครั้งที่เจอะเจอให้พอคุ้นหน้าคุ้นตาจากนั้นก็ถามชื่อและขอเบอร์ตามระเบียบ (ถึงจะแอบรู้ชื่ออยู่แล้วก็แกล้งโง่ถามๆไปเถอะคะ)
การใช้น้ำเสียงช่วงที่ขอเบอร์มิควรใช้น้ำเสียงแบบขุนโจร...ควรใช่แบบขุนแผน คือนิ่มๆดูสุขุมและมาพร้อมรอยยิ้ม แสดงสีหน้าที่เป็นมิตรเหมือนอยากจะรู้จักเป็นเพื่อน (การเริ่มต้น) มิควรแสดงอาการ...หื่น...ตั้งแต่เริ่มเรื่องเพราะไม่มีสาวคนไหนอยากจะดูต่อ คำตอบที่ได้ก็คือ “ไม่มีเบอร์คะ” พร้อมรอยยิ้มแหยงๆ
“เอาไปทำอะไรคะ” เป็นคำถามที่80%แล้วสาวๆมักจะถามกลับมา ถ้าสาวคนนั้นมีพื้นฐานชอบเราอยู่แล้วก็ถามตามประเพณี แต่มือน่ะจดเบอร์ให้แล้ว แต่ถ้าพื้นฐานไม่ได้คิดอะไรกับเรามากนี่สิ จงตอบคำถามนี้ดีๆ
“เอ่อ...เอาไว้คุยเล่นครับ” ตอบแบบนี้ตายพระยาคะ หล่อนมิใช่ของเล่น
“ขอเอาไว้เฉยๆครับ” อันนี้ก็ตายตามไอ้ข้อแรกไปติดๆ จะขอทำซากอะไรเอาไปเฉยๆ
“...” นี่คือยิ้มอย่างเดียวไม่ตอบอะไรเลย ก็ตายอีกเช่นกัน มันดูเหมือนคนขอเป็นโรคจิต
ตอบไปเลยอย่างมั่นใจแต่นุ่มนวล “อยากรู้จักครับ เป็นเพื่อนกันก็ได้” ดูดีมากเลย...เพราะคำว่าเพื่อนมักเป็นข้ออ้างในการทำความรู้จักแรกเริ่มที่ดีที่สุด จากนั้นก็ต้องดูกันต่อไปว่าสามารถเอาชนะใจสาวๆได้รึเปล่า นั้นเป็นด่านต่อไป
ข้อควรระวัง...
1. ดูก่อนว่านิ้วนางข้างซ้ายของหล่อนมีแหวนอะไรสวมอยู่รึเปล่า
2. ถ้าข้อ 1. ตอบว่ามี อย่าจีบเลยเถอะ อาจซวยได้