21 ธันวาคม 2547 23:28 น.
รัถยา
ขอโผลงเชยลิ้มชิมความหวาน
ดอกดวงมานเด่นสล้างกลางแสงสูรย์
อันสดใสแสนงามท่ามอาดูร
ได้ค้ำคูณพอประคอง ครองกายา
เหมือนภมรร่อนร่าง กลางลมหนาว
ล่องเหินหาวห้อมโลกย์โศกผวา
ซับสายลมกรีดริ้ว เป็นทิวทา
แรงเปลวแดดแผดกล้าระอุกาย
ได้รื่นหยาดหยดหทัย ที่ไล้ทาบ
อันกำซาบซึ้งสู่มิรู้หาย
ได้ซอกซอนแทรกเคล้า พอเหงาคลาย
หรือเคยหน่ายคลายน้อม เฝ้าค้อมครอง
จารึกนั้น สลัดร่างหรือจางลบ
ได้ผ่านพบ พลิ้วพรมผสมผอง
ผสานซับนับแน่นราวแผ่นทอง
แววเรืองรองประกายรับกับแสงจันทร์
จำต้องเร้นหลีกลากับภาระ
พจนะ เคยแนบเนาเคล้าความฝัน
แม้ลับหาย แต่ไม่ห่างร้างใจปัน
จวบครบวันจักวนมาปรนปราณ
10 ธันวาคม 2547 17:05 น.
รัถยา
สักกี่เลือดกี่ร่าง พอสร้างชาติ
สักกี่ญาติกี่เหยื่อ พอเหลือเหยียบ
สักกี่ถิ่นกี่ฐาน พอผลาญเรียบ
สักกี่เสียบกี่สับ พอรับทราม
ช่างยืนยาวย่ำยก สิบหกฉบับ
ชรานับรวมเสร็จ ย่างเจ็ดสิบสาม
อันเป็นของครองคู่ทุกหมู่คาม
เพียงในนาม...หรืออยู่ของหมู่ใคร
หลายตัวอย่างกระจ่างเห็นเป็นช่องชั้น
รอลงทัณฑ์ รื้อลบ หรือกลบไถ
ก็เห็นเห็นหรือหาย...โยงสายใย
ผสมใส่ ลม(เป่า)สากรวมซากกอง
จะคืนให้เมื่อไรหรือเพื่อรื้อล้าง
เป็นรูปร่าง ธรรมรัฐ ขจัดหมอง
ลบสีเทาเงาทาบ...เป็นฉาบทอง
ให้เจ้าของเขาดูแล อย่างแท้จริง
เพื่อเป็นรัฐธรรมนูญ ที่พูนพร้อม
ในทุกหย่อม สิ้นญาติปีศาจสิง
เป็นเลือดไทยแดงสะอาดปราศฝูงปลิง
ถ้วนทุกสิ่ง เป็นรูป-ธรรม ตามธรรมนูญ
3 ธันวาคม 2547 23:34 น.
รัถยา
คราแข็งกร้าวเคล้าเรียงเคียงอ่อนหวาน
สรรค์ผสานในระหว่างทางไสว
แก่นกร่างแปร แลละมุนอุ่นละไม
จากหวานใสเจือแกร่งกล้า ท้าเผชิญ
ธรรมชาติ ชงผสมได้กลมกล่อม
ราวรวมหลอมรุ้งรอง แม้นท่องเถิน
วิญญาณดุจดวงเดียว พร้อมเกี่ยวเดิน
ในดำเนินโน้มกลาง ระหว่างกาล
เสมือนใจเสมอจองประคองคิด
เสมอมิตรมอบเมียงเคียงสมาน
เมื่อคะนองตรองน้าว.ไม่ร้าวราน
ทิวาวารมิอาจขวางทางนิรันดร์
ด้วยหนึ่งนี้และหนึ่งนั้น อันหนึ่งนับ
ช้อนกระชับใจสานสมานฉันท์
กอปรเกื้อกูลพูลพล ผลอนันต์
เป็นหนึ่งอันอวลไอละไมมน