1 ธันวาคม 2551 23:23 น.
รอยทาง
เกิดมาลืมตาดูโลกก็ต้องใช้เงินตั้งแต่ค่าคลอดจนกระทั่งถึงงานศพ ค่าการศึกษาเล่าเรียนก็ต้องใช้เงิน ไม่เห็นว่าจะมีการขยับขยายหรือพัฒนาให้ดีขึ้นไปกว่าเดิม ที่จะช่วยให้คนไทยประเทศไทยพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น อยากเข้าโรงเรียนดีๆ ก็ถูกจัดแบ่งเขตการศึกษาตัดโอกาสเด็กนอกพื้นที่ บ้างก็ต้องวิ่งแข่งขันเสียเงินค่าแป๊ะเจี๊ยะหลักหมื่นหลักแสน
อ้างเป็นค่าบำรุงการศึกษาพัฒนาโรงเรียนบ้างหละ แต่ลืมไปอย่างขาดการบำรุงพัฒนาสมองเด็ก แต่เอามาลงปากท้องผู้บริหารเอง การเรียนต่างประเทศหากไม่ด้วยทุนส่วนตัวมันช่างยากลำบากเหลือเกินสำหรับเด็กไทยบางส่วนที่มีมันสมองแต่ไม่มีโอกาส นี่หรืออนาคตของชาติ บางคนต้องขายแรง ขายมันสมอง สร้างธุรกิจในต่างแดน เพราะหาหลักประกันมั่นคงอะไรไม่ได้ในบ้านเมืองตน
ระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ ของไทยหรือ อยากได้ตำแหน่งหน้าที่การงาน ก็ต้องหัดประจบสอพอ มีเงินเท่าไรก็จ่ายซื้อเอากับตำแหน่งหัวโขน เข้าทำงานด้วยระบบเส้นสาย ลูกท่านหลานเธอ การบริการหยิ่งผยองขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ไม่พัฒนาทักษะ ไม่กล้ายอมรับการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ ใช้อำนาจไปในทางผิดๆ คนที่เก่งจริงบ้างก็ต้องถูกตัดโอกาสด้วยอำนาจบารมี +เงิน สรุปง่ายๆ ก็เพราะตัวอักษร 3 ตัวนี้แท้ๆ ด = เด็กของใคร + ว = วิ่งหาใคร + ง = เงินมีมากเท่าไร ผลลัพออกมา = ดวง ใครมีดวงก็ได้อิ่มพลี ใครไม่มีก็กินแห้ว.... แล้วอย่างนี้จะเอาสมองอะไรมาพัฒนาประเทศชาติ
***********
กลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจ นักลงทุนหรือ อยากงานเข้าเดินเรียงหน้าหานักการเมือง เงินทุนหมุนเวียนสนับสนุนเป็นผู้กุมบังเหียนการบริหารงาน จะใต้โต๊ะใต้อะไรก็ตามแต่ บ้างเสแสร้งแกล้งคุยเป็นเกลี๊ยดเกลียด เกลียดการคอรัปชั่นเหลือเกิน อย่างนั้นอย่างนี้ แต่กลายเป็นประเภทปากว่าตาขยิบ มือถือสากปากถือศีล หรือว่าแต่เขาอีเหนาเป็นเอง มีความอิจฉาริษยาเป็นที่ตั้ง ใครดีกว่าอิจฉาใครแย่มาข้าซ้ำ เฮ้อ... สิ่งเหล่านี้เมื่อไรจะหมดไปจากสังคมนี้เสียที
สวัสดิการการรักษาพยาบาลหรือรวมถึงการศึกษานั่นด้วย สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นโอกาสของประชาชนที่จะได้รับอย่างเต็มที่จากภาษีที่จ่าย ผ่านมากี่ปีกี่สมัยก็ไม่เคยเห็นมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น แค่ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่ก็ทำให้คุณหมอเมืองไทยทั้งหลายเป็นเดือดเป็นร้อนบอกว่าขาดทุน ทั้งที่บางคนเรียนด้วยทุนจากภาษีประชาชน
จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบริษัทประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ของต่างชาติในแถบยุโรปและอเมริกาจึงหลั่งไหลเข้าไปลงทุนแข่งขันเอาผลประโยชน์จากประ ชาชนคนไทยมากมาย ทั้งที่บางบริษัทไม่มีชื่อเสียงและไม่สามารถขยายตลาดเติบโตได้ในประเทศของตนเอง ก็เพราะว่าสวัสดิการที่มีคุณภาพ ค่ารักษาพยาบาลของเขาแทบไม่ต้องจ่ายสักบาทเดียว
จึงเป็นโอกาสของบรรดานักการเมืองทั้งหลาย ที่กำลังคอยอ้าปาก งาบเหยื่อที่นักลงทุนเหล่านั้นทั้งในและนอกประเทศคอยหย่อนให้ นี่เเค่บางตัวอย่าง ฯลฯ
เสมือนปลาที่อยู่ในตู้ ช้างป่าที่ถูกล่ามโซ่ สัตว์มีเจ้าของที่เคยได้ถูกป้อนเหยื่อจนติดนิสัยและเคยตัว สักวันหากถูกปิดขังขาดการป้อนอีกก็คงอดเพราะหากินเองไม่ได้ เเล้วก็หันหน้าตะกะตะกายใช้กำลังต่อสู้ห้ำหั่นกัดกินพวกกันเองจนตายไปข้าง สุดท้ายก็คงไม่เหลืออะไรก็คงต้องอดตายเช่นกัน
ต่างอะไรกับการปิดสนามบินขังบ้านตัวเอง กลายเป็นโรคง่อยเปี้ยอัมพาต หันซ้ายแลขวาจะหยิบจับตัดสินใจอะไรก็ไปไม่ถูกทิศถูกทาง เสมือนมีดที่ขาดการลับคมจนสนิมจับทื่อจะตัดฟันอะไรก็ไม่เข้า ขาดการเตรียมพร้อมแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะมัวแต่บ้าอำนาจหลงเงินตรา ปล่อยปะละเลยจนเกิดเนื้อร้ายขยายเรื้อรังในที่สุดก็ยับยั้งไม่อยู่ ส่งผลกัดกร่อนกินทำลายชื่อเสียงประเทศชาติ ประชาชนของตนเอง ซึ่งตกเป็นเหยื่ออย่างไม่รู้ตัว เฮ้อ "กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเสียแล้ว"
11 พฤศจิกายน 2551 21:41 น.
รอยทาง
บ่ายวันหนึ่งในฤดูหนาว ผู้คนต่างเดินพุกพล่านออกนอกบ้าน อาคารสำนักงาน สวมเสื้อผ้าหนาตัวใหญ่ บ้างกำมือขึ้นมาปิดไว้ที่ปาก บ้างมือล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ตเดินห่อตัวด้วยความหนาวเหน็บ หนุ่มสาวบางคู่เดินจูงมือ บางคู่เดินกอดกันแนบชิด อากาศที่หนาวเหน็บจนถึงข้างในเหมือนกับเลือดในกายจะเป็นน้ำแข็ง ทุกคนเร่งฝีเท้าก้าวไปตามวิถีบาทกำลังแข่งกับรถราที่วิ่งอยู่บนถนน ต่างคนต่างมีหน้าที่ต่างคนต่างมีจุดหมายที่จะต้องก้าวไป สำหรับฉันท้องที่กำลังร้องจ๊อกๆ เพราะยังไม่มีอะไรลงถึงท้องมาตั้งแต่เช้า สายตาสอดส่ายมองหาร้านอาหารสักแห่งเพื่อท้องที่กำลังร้องเรียกหาอยู่และคลายความหนาวจากอากาศภายนอก
ห้องอาหารกระจกเล็กๆ ฝั่งตรงขามถนน ทำให้ฉันตัดสินใจเดินข้ามเข้าไป ภายในมีโต๊ะนั่งราวสี่ห้าตัวจัดตกแต่งดูดี ฉันเลือกนั่งมุมหลังสุดและสั่งอาหาร มีลูกค้าในร้านไม่กี่คน บ้างนั่งดื่มชาร้อนๆ เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ใจที่กำลังจดจ่อกับอาหาร พร้อมกับแขนสองข้างที่หนีบแนบแน่นกับลำตัวเพราะความหนาว หูฉันได้ยินเสียงแว่วเจื้อยแจ้วมาจากมุมอีกด้านหนึ่ง สายตาเหลือบดูเล็กน้อย เด็กตัวเล็กๆ สองสามคนอายุราวสามสี่ขวบ สวมเสื้อผ้าตัวหนาเก่าๆ บางคนอุ้มกอดตุ๊กตาเก่าๆ กำลังยืนคุยอะไรกันไม่ทราบกับผู้ชายอีกโต๊ะที่นั่งใกล้ประตูร้าน ฉันพยายามเดาเหตุการณ์ อ่านเจตนาและฟังภาษาไม่เข้าใจแต่คิดว่าเด็กต้องการอะไรสักอย่าง หลังจากนั้นพนักงานในร้านเดินมาไล่เด็กๆ ออกจากร้านไป
ฉันเองรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยกับภาพเหตุการณ์ หรือว่าเด็กๆ เหล่านั้นคงจะหิว ถ้าฉันพูดฟังภาษาของพวกเขาได้เข้าใจมากกว่านี้ ฉันอยากจะเดินเข้าไปถามว่าหนูต้องการอะไร แล้วทำไมเขาถึงไม่เดินมาที่โต๊ะฉันหรือเขามองไม่เห็นแล้วฉันจะคุยกับเขารู้เรื่องมั๊ย และอีกอย่างก็กลัวว่าเจ้าของร้านจะเอ็ดเอาเพราะเราเป็นคนต่างชาติสำหรับที่นี่ อาจไม่รู้เข้าใจในวัฒนธรรมของเขา ได้แต่นิ่งและคิด ฉันเดินลุกไปจ่ายตังค์ที่เค้าเตอร์แต่สายตาก็ยังมองหาเด็กเหล่านั้นอยู่ พวกเขาคงเดินหายไปที่ไหนแล้ว ถ้าหากเขาหิวละเขาคงทรมานน่าดู ขณะจ่ายตังค์ใจฉันก็ยังคิดอยู่อยากจะซื้ออาหารแจกให้พวกเขาเสียเดียวนี้เลย ฉันเดินออกจากร้านอาหารไปในใจและสายตาก็ยังกวาดมองหาพวกเขาแต่แล้วก็ไม่พบเจอ
&&&&&&&&&
วันใหม่ฉันตัดสินใจมานั่งทานอาหารที่ร้านนั้นเวลาเดิม คราวนี้ฉันเลือกนั่งมุมใกล้ประตูติดหน้าต่างกระจก จุดประสงค์เพื่อต้องการเห็นเด็กๆ นั่นอีกครั้ง ทานอาหารไปทั้งใจและสายตาได้แต่พยายามเฝ้ามองว่าเมื่อไรเด็กเหล่านั้นจะมาเสียที ฉันนั่งทานไปอ่านหนังสือไปเพื่อฆ่าเวลานานพอควรแต่แล้วก็ไม่มีวี่แววแม้แต่น้อย ฉันจึงเดินไปจ่ายตังค์และตัดสินใจถามเจ้าของร้านเป็นภาษาอังกฤษ ตามสำเนียงฉบับ Thailish คือ ภาษาไทย + อังกฤษ "จำพวกเด็กๆ ที่เข้ามายืนหน้าร้านเมื่อวานได้มั๊ย เจ้าของร้านพูดภาษาอังกฤษได้พอสื่อสารกันเข้าใจ เขาบอกจำได้ ฉันจึงบอกเขาว่า "ฉันอยากจะซื้ออาหารของคุณให้กับเด็กเหล่านั้น หากพวกเขามาอีกครั้งช่วยจัดการให้ด้วย" ฉันยื่นเงินให้เขาคิดว่าน่าจะเพียงพอกับค่าอาหารนั่นซึ่งไม่ได้แพงมากมายพอที่จะจ่ายได้ เจ้าของร้านมองหน้าฉันแบบงงๆ และรับไว้ เพราะฉันไม่รู้ว่าจะได้หวนกลับมาที่นี่อีกหรือไม่ แต่ฉันเชื่อว่าเด็กเหล่านั้นจะกลับมา
"ฉันไม่อยากนึกถึงภาพของคนที่กำลังหิว ท้องที่กำลังร้องขณะที่ฉันกำลังย่างเท้าเข้ามาในร้านอาหารเมื่อวานนี้ ไม่อยากให้ภาพที่เห็นมันค้างคาใจ แม้จะช้าเกินไปกับการที่พวกเขาจะได้รับหรือไม่ได้รับในการตัดสินใจของฉันครั้งนี้ แต่ฉันก็มีความสุขที่ได้ทำ"
2 ตุลาคม 2551 02:58 น.
รอยทาง
ฉันมีโอกาสเอาตุ๊กตางานฝีมือ ที่นั่งทำยามว่างๆ ฆ่าเวลาไม่ให้ทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ไปโชว์ในงานของสมาคมแห่งหนึ่ง แยกบูทแล้วแต่ใครสนใจ แต่เมื่อตุ๊กตาของฉันมันโดนใจเด็ก
เด็กผู้หญิงผมสีทองวัยสองขวบกว่า เธอวิ่งมาที่บูทตั้งโต๊ะตุ๊กตา ใช้มือแย่งจับเอาตุ๊กตาแต่ละตัวเพื่อเอามาเป็นของตัวเอง โดยมีคุณแม่คอยวิ่งแย่งเอาจากในมือลูกสาวกลับมาคืนให้ แต่ดูท่าทางหนูน้อยไม่ยอม เธอวิ่งไปวิ่งมาจะเอาตุ๊กตาให้ได้ คุณแม่จึงถามซื้อ แต่ในวันนั้นเรามีกฎกติกาว่าห้ามขายสินค้า เพื่อให้เอามาโชว์เพื่อโปรโมทในการออกขายในครั้งต่อไป
คุณแม่จึงจูงมือลูกสาวไปยังบูทอื่นๆ แต่แล้วเธอก็วิ่งหลบมาแย่งเอาตุ๊กตาอีกกลับไปกลับมาหลายรอบ ทุกคนยืนดูไม่พูดอะไร คุณแม่ของเด็กก็วิ่งไล่จับแย่งเอาตุ๊กตามาคืนดูจะวุ่นวายไปกันใหญ่ จนต้องจูงมือลูกสาวออกจากงานไป
ทำไมนะ ทำไม ทำไมฉันถึงไม่ให้ตุ๊กตาแก่เด็กผู้หญิงผมสีทองคนนั้นไปฟรีๆ ทั้งที่ฉันเองก็ทำแจกเด็กๆ คนอื่นไปก็มากมายโดยไม่คิดสตังค์สักบาทเดียว ฉันคิดตั้งคำถามกับตัวเอง กลับบ้านมานอนคิดอยู่หลายวัน คิดถึงหน้าเด็กผู้หญิงที่วิ่งแย่งอยากได้ตุ๊กตา ว่าทำไมฉันถึงไม่บอกแม่ของเธอว่าฉันอยากให้เพราะอะไรเป็นคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจ บางครั้งทำไมเราเคยหยิบยื่นให้กับเด็กคนอื่นได้ง่ายดาย แต่กับเด็กผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงไม่ทำเช่นนั้นเหมือนมีอะไรมาขวางกั้น
คุณแม่และหนูน้อย มีบุคลิกท่าทางการแต่งตัวดูดีมาก น่าจะเป็นผู้มีฐานะร่ำรวย ตุ๊กตาที่แม่หนูถืออยู่ในมืออีกข้างเอามาแนบไว้ที่อกของเธอราคาน่าจะแพงมีเบรนด์เนมการันตีอีกด้วย เช่นกันเธอคงจะมีโอกาสได้เล่นตุ๊กตาตัวอื่นๆ อีกมากมาย จึงคิดว่าหากตุ๊กตาที่ทำนี้ได้หยิบยื่นให้กับเด็กที่ด้อยโอกาสกว่าเธอ พวกเขาคงมีความสุขไม่น้อย เพราะบางคนอาจไม่มีโอกาสที่จะได้เล่นมันเลย
อยากถามว่า ฉันคิดถูกหรือผิด และใจดำเกินไปกับเด็กผู้หญิงคนนี้หรือไม่
7 กันยายน 2551 15:00 น.
รอยทาง
ฉันเชื่อว่าหลายๆ คนที่เคยขับรถ มักจะมีห้วงหนึ่งของความรู้สึกแห่งความสุขของการขับ ซึ่งแต่ละคนย่อมมีเหตุผลของความสุขแตกต่าง ฉันคนหนึ่งที่มีเหตุผลของความสุขในการขับรถด้วยเช่นกัน
ช่วงบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง ฉันขับรถทางไกลผ่านถนนมิตรภาพมุ่งตรงสู่จังหวัดในภาคอิสาน ระยะทางกว่า 300 กิโลเมตรจากจังหวัดบ้านเกิด ฉันมีความสุขมากๆ กับการขับรถ ฟังเพลงสบายๆ ไปตลอดสู่จุดหมายปลายทางนั้นๆ
แอบมองท้องทุ่งข้างทางไปเรื่อยๆ เมฆหมอกเริ่มบทบังแสงแดด สายลมพัดโชยผ่านกิ่งไม้ใบไหวเอน สายฝนเริ่มโปรยปรายเป็นระยะๆ ฉันมักจะมีความรู้สึกที่เป็นสุขมากมายทุกครั้งที่ได้ขับรถแล้วมีฝนตกลงมา มืออีกข้างเริ่มขยับสัมผัสปุ่มปัดน้ำฝนไปมาหน้ากระจกรถ ทำให้ฉันรู้สึกถึงความสดชื่นชุ่มฉ่ำในหัวใจ มองไปทางไหนมีแต่ความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า ปล่อยอารมณ์สบายๆ ไปกับสายฝน ทำให้นึกถึงบทเพลงหลายๆ เพลงที่เหล่าศิลปินทั้งหลาย นำมาแต่งเป็นบทประพันธ์ขับขานผ่านเสียงดนตรี ให้อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่า รัก สุข เศร้า เคล้าน้ำตา จากฝนที่กำลังตกลงมานั้น
ฉันเอื้อมมือจับม้วนเทปที่แสนโปรดปรานของนักร้องในดวงใจอย่าง พี่แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ ซึ่งมีอยู่ม้วนเดียวโดยไม่ต้องมองหา เสียบเข้าไปในช่องเล่นเทปแต่ละเพลงขับขานร้องผ่านไปแล้วก็ผ่านไป แล้วเพลง น้ำตาฝน ของพี่แจ้ก็ผ่านมาถึงช่วงจังวะนั้นพอดี ด้วยคำร้องที่ว่า
ฟ้าหรือฝนลมจะเทมาเพียงใด ไม่เจ็บเท่าไรใช่มั๊ยฟ้า
ไม่ทันข้ามวันหมดแรงฟ้าเมื่อไรพลัน ลมฝนคงผ่านเลยไป
คนซิคนลวงล่อคนซิเจ็บกว่า ไม่แบ่งเวลาดังเหมือนฟ้า
ไม่พูดไม่จาเบื่อหนาลืมได้ทันที เจอะคนใจร้ายใจดำ
ก้อมีแต่ช้ำระกำ ตากฟ้าตากฝนยังชื่นฉ่ำ
กว่าเจอหน้าเธอคนลืมคำ จะจำเอาไว้กับใจ ว่าใจเธอร้ายกว่าใคร
ฟ้าหรือฝนลมจะเทมาเพียงใด ไม่เจ็บเท่าไรใช่มั๊ยฟ้า
ไม่ทันข้ามวันหมดแรงฟ้าเมื่อไรพลัน ลมฝนคงผ่านเลยไป
คนซิคนลวงล่อคนซิเจ็บกว่า ไม่แบ่งเวลาดังเหมือนฟ้า
ไม่พูดไม่จาเบื่อน้าลืมได้ทันที เจอะคนใจร้ายใจดำ
ก้อมีแต่ช้ำระกำ ตากฟ้าตากฝนยังชื่นฉ่ำ
กว่าเจอหน้าเธอคนลืมคำ ได้โปรดเถิดฟ้าปราณี
ข้าเจ็บครานี้ไม่มีดี ถูกคนใจร้ายย่ำยี่
เจ็บปวดเหลือที่ช่วยข้าที ข้าวอนให้ลมกับฟ้า
จงพาให้ฝนตกมา ให้หยาดฝนลบข้ามน้ำตา
ฉันเพลิดเพลินกับการขับรถ สายฝนพรำๆ ฮัมเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข เนื้อเพลงที่บ่งบอกถึงความหมายซึมลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจอย่างได้อารมณ์ ทำให้นึกถึงใครๆ อีกหลายคนไม่เพียงเเต่ฉันที่อาจกำลังเป็นเช่นบทเพลงนี้ บรรยากาศพาไปยังกับตัวเองกำลังเล่นมิวสิควีดีโอตามนั้น
"อุ๊ย โอ๊ย" เสียงฉันอุทานพร้อมกับเสียงดัง "โครม" รีบหักพวงมาลัยรถหลบแฉลบออกถนนเลนด์ขวาด้วยความตกใจอย่างสุดขีด เท้าเหยีบเบรคดังเอี๊ยดดดดด ลากเสียงดังยาวหัวขมำเล็กน้อย ถูกเข็มขัดนิรภัยยึดตัวไว้ได้อย่างกระทันหัน เหลือขอบถนนอีกนิดล้อก็จะตกลงไปในท้องทุ่งลำคลองข้างทาง
เสียงกระแทกจากรถมอเตอร์ไซน์วิ่งเลี้ยวตัดหน้าไม่รู้มาจากไหน พุ่งเข้าชนด้านข้างเสียงดังสนั่นหวั่นไหวใกล้ทางแยก "โอสงสัยต้องมีคนนอนตายกลางถนนแน่เลย" คิดว่าตัวเองไปชนเขาเข้าอย่างจัง มือไม้ ใจสั่น สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หันหลังกลับไปมองไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยใครเป็นอะไรเลยสักคน "เอ๊ะ ผีหลอกหรือเปล่า" เพราะเป็นช่วงเวลาตะวันโพล้เพล้เข้าไปเต็มที เพื่อความแน่ใจเปิดประตูรถลงออกมาดูอีกครั้งเห็นมอเตอร์ไซน์คันนั้นรีบขับหนีเข้าไปในซอยอย่างรวดเร็ว ฉันนึกโมโหอย่างแรง "ไอ้บ้าเอ๊ย" ฉันตะโกนออกมาพร้อมกับมือขวาชกลมอย่างเสียความรู้สึก ใจจริงอยากจะไปตะบันหน้าคนขับมอเตอร์ไซน์ให้หายเจ็บใจ โชคดีที่ไม่มีรถสวนมาด้านหน้า มีหวังเป็นศพข้างทางคนเดียวแหง๋๐๐
พระเจ้ายังเข้าข้างชีวิตแต่กระจกและประตูรถด้านซ้ายพังยับเยินไปทั้งแถบ ฉันเอามือสัมผัสที่อกแล้วหายใจเฮือกใหญ่ ตั้งสติค่อยๆ ขับรถอย่างช้าๆ ต่อไป ด้วยใจสั่นหวิวๆๆ ทำให้ฉันหมดความสุขเเละอารมณ์สุนทรีย์ในการขับรถไปอีกยาวนานเเสนนานนับจากวันนั้น
"ความไม่ประมาทเป็นลาภอันประเสริฐ"
9 กรกฎาคม 2551 00:58 น.
รอยทาง
นับจากที่ล้อเครื่องบินสัมผัสกับสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นภาคภูมิใจไปด้วย ที่บ้านเมืองเรามีสนามบินดูจะยิ่งใหญ่และทันสมัยอลังการเสียจริง รู้สึกถึงความอบอุ่นอีกครั้งเมื่อได้กลับมาบ้านเกิด จะได้พบญาติพี่น้องที่กำลังรอคอยต้อนรับอยู่
แต่แล้วหลังจากตรวจหนังสือเดินทางรับกระเป๋า สิ่งต่อไปก็คือภาระกิจการเข้าห้องน้ำ ช่องทางเดินค่อนข้างแคบ ห้องน้ำหญิงกับชายจะเดินไปทางเดียวกันห้องน้ำหญิงจะถึงก่อนแล้วจึงวกเข้าห้องน้ำอีกที ฉันรู้สึกถึงถึงความไม่ปลอดภัยเลย เพราะช่วงเวลาที่เครื่องลงนั้นยังเช้าตรู่มากมีผู้โดยสารขาเข้าไม่มากนัก หากจู่ๆ เดินออกมามีสิทธิ์ถูกล๊อคคอลากเข้าห้องน้ำเป็นสิ่งที่อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เข็นกระเป๋าออกมายังอาคารรับผู้โดยสาร จะเจอกับเจ้าหน้าที่สนามบินแต่งตัวในแบบฟอร์มอย่างดีเดินมาถาม "จะใช้บริการรถมั๊ยครับ" ฉันบอกไม่ใช้ ต่อมามีผู้ชายอีกคนแต่งตัวปกติธรรมดาเดินเข้ามาหาอีก "จะใช้บริการถแท๊กซี่มั๊ย" จึงถามต่อเป็นเจ้าหน้าที่สนามบินหรือ ดูเขาอ้ำๆ อึ้งๆ ไป พยายามที่จะตามตื๊อ จึงรู้สึกเอะใจว่านี่สนามบินหรือสถานีขนส่งรถโดยสารกันแน่
จึงเดินขึ้นไปชั้นสามใช้บริการรถแท๊กซี่ด้านนอกอาคารแทน จึงมีโอกาสเล่าและถามคนขับแท๊กซี่ เขาบอกว่าก็มักจะเป็นเช่นนั้นหากเจอผู้โดยสารคนไหนที่หลงมาหรือชาวต่างชาติ ตกลงราคากันได้เขาก็จะวิ่งมาติดต่อแท็กซี่ข้างนอกอาคารที่มาส่งผู้โดยสารขาเข้า แล้วแต่จะตกลงราคาจ่ายกันกับแท๊กซี่อีกทีไม่มีการกดมิเตอร์ ในส่วนของเขาเองก็เคยเจอก็ต้องรับดีกว่าเสียเที่ยวมา หากไปเข้าคิวรอก็ต้องไปจ่ายค่าภาษีสนามบินเพิ่ม
ฉันเชื่อว่ามีผู้โดยสารไม่น้อยเลยที่เดียวที่อาจจะถูกพวกมิจฉาชีพเหล่านี้หลอกได้ทุกวัน รู้สึกจะเลือกเข้ามาถามเสียด้วยอย่างเช่นเห็นมาคนเดียว การกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเราเองแท้ๆ กลับมีความรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเอาเสียจริง
สามอาทิตย์ให้หลังฉันก็ต้องเดินทางกลับต่างประเทศ แต่กลับมีความรู้สึกว่าสนามบินดูยิ่งใหญ่อลังการแต่ทำไมระบบความปลอดภัยอะไรแย่จัง เริ่มตั้งแต่การเปิดประตูเข้าไปก็มีเพียงแค่ยามเฝ้าประตูเท่านั้น ไม่มีการตรวจผู้คนผ่านเครื่องเอ็กซเรและกระเป๋าเดินทาง เมื่อถึงเวลาก็สามารถเดินลากกระเป๋าเข้าไปเช็คอินได้เลย ใครจะวิ่งเข้าออกก็ได้สบายมากดูวุ่นวายไปหมด ขาดระบบระเบียบ ทำให้ฉันรู้สึกหวาดเสียวอยู่ในใจลึกๆ ถึงความไม่ปลอดภัยในอนาคตข้างหน้า
เมื่อตรวจหนังสือเดินทางเรียบร้อย ต้องเดินไปช่องประตูขึ้นเครื่องขาออกต่างประเทศ รู้สึกเดินไกลจังเลยแม้จะมีสะพานเลื่อนให้เดินก็ตามแต่ ในส่วนที่เรียกว่า duty free ตลอดทางร้านค้ามากมาย จนทำให้มีความรู้สึกว่าเหมือนมาห้างสรรพสินค้ามากกว่าอยู่ในสนามบิน บ้างก็รู้สึกเยอะเสียจนมองหาช่องป้ายบอกทางงงสับสนไปหมด บางจุดก็เหมือนตลาดขายผลไม้สด ราคาสินค้าก็ค่อนข้างสูงมาก รู้สึกว่าทำไมพวกเราขูดเลือดขูดเนื้อกับเพื่อนมนุษย์โลกเหลือเกิน ยิ่งคนไทยด้วยกันแล้วดูเหมือนไม่อยากให้บริการด้วยซ้ำ ฝรั่งเองก็ใช่ว่าจะร่ำรวยกันทุกคน
ประชาชนไทย 60 กว่าล้านคน มีไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ต้องเดินทางออกต่างประเทศ เพื่อธุรกิจ การท่องเที่ยว หรือส่วนตัว น้อยนักที่จะมีโอกาสเข้ามาดูมาเห็นในส่วนที่เรียกว่า duty free หรือ king power จึงขอเป็นประตูหน้าต่างเล่าสู่พี่น้องเราชาวไทยฟัง
วกมาเรื่องไม่ตรวจกระเป๋าเดินทางเอ็กซเรก่อนเช็คอินกันบ้าน แต่กลับไปตรวจเอาตอนจะขึ้นเครื่องกับเป๋าสะพายส่วนตัว ซึ่งมีข้าวของไม่กี่ชิ้น วันนั้นฉันเองถึงกับถูกยึดกรรไกรตัดด้ายเล็กๆ บางๆ ปลายทู่ๆ ยาวไม่ถึงสามเซ็นติเมตรในกระเป๋าเครื่องสำอาง เอาติดตัวไปไม่รู้แต่กี่สนามบินแต่กี่ประเทศ เพิ่งจะมาเจอความเข้มงวดอย่างไร้ระบบที่สุวรรณภูมิ ไม่อยากจะเชื่อด้วยสายตาตัวเองจริงๆ เลยว่า ทำไมถึงมีข่าวเรื่องสิ่งของในกระเป๋าผู้โดยสารถูกขโมยบ่อยๆ ที่สุวรรณภูมิ บางคนก็ถูกรื้อเสียจนกระเป๋าพังยับเยิน แย่มากๆ
หลังจากกลับมาจากเมืองไทยไม่กี่สัปดาห์ ข่าวก็พลาดหัวขึ้นมาทันทีเมื่อมีโจรบุกเข้าไปปล้นธนาคารกรุงเทพฯ ถึงในสนามบินสุวรรณภูมิ ช่างเก่งอาจอาจหาญเสียจริงเพราะความหละหลวม นั่นเป็นช่องทางและโอกาสของมิจฉาชีพ โจรผู้ร้าย ไม่อยากจะคิดถึงอนาคตข้างหน้าต่อไป ฉนั้นคนที่ตกเป็นเหยื่อก็คือประชาชนที่ใช้บริการ กี่ยุคกี่สมัยแล้วไม่ว่าจะระบบอะไรก็ตามแต่ขอทีเถอะประเทศไทย พวกที่มีอำนาจอยู่ในมือทั้งหลายอย่าทำอะไรแบบผักชีโรยหน้าแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ เมื่อ วัวหายแล้วจึงล้อมคอก โปรดเห็นใจถึงความปลอดภัยของประชาชนและชื่อเสียงประเทศชาติของท่านด้วย
แม้แต่ประเทศที่อาศัยอยู่ หรือเดินทางไปยังที่อื่นที่เขาพัฒนาแล้ว เขาคุมเข้มการเข้าออกตรวจตราเข้มงวดมาก แม้แต่ก่อนออกจากภายในอาคารผู้โดยสารก็ยังต้องตรวจเอกซเรสัมภาระอีกครั้ง ห้องน้ำชายหญิงจะจัดไว้คนละมุมซ้ายขวามีป้ายสะท้อนแสงบอกเห็นชัดเจน หากเป็นแทกซี่ก็จะเข้าคิวรอรับหรือไม่ก็มีรถบัสจอดรอรับมีป้ายบอกไปยังที่ต่างๆ แล้วแต่ความสะดวกจัดระเบียบง่ายต่อการให้บริการ ไม่มีเจ้าหน้าที่มาคอยถามผู้โดยสารวุ่นวายให้เปลืองเนื้อที่เดิน ฉันคิดว่าดูเป็นการรบกวนมากกว่าที่จะให้บริการเสียอีก อยากเห็นความมีระเบียบสมกับความยิ่งใหญ่แห่งสุวรรณภูมินะ
อีกอย่างไม่แต่มาเฟียแท็กซี่เท่านั้น เด็กๆ สาวๆ รุ่นๆ ผัดหน้าทาแป้ง ตามเสา ใต้ถนน หน้าอาคารผู้โดยสารขาออกต่างประ เทศ ใครเคยผ่านไปก็ลองสังเกตุดูแล้วกัน ปล่อยให้เป็นเช่นนี้มาได้อย่างไร อนาจใจไทยแลนด์
ท่านใดที่มีประสบการณ์ในการเดินทางในการใช้สนามบินที่ต่างๆ ช่วยเล่าและแบ่งปันประสบการณ์หรือออกความเห็นด้วย เพื่อเป็นความรู้ต่อผู้อื่นกันบ้างนะคะ