31 สิงหาคม 2545 11:13 น.

เธอ

รษฎา ปนาลี

อาทิตย์ลับฟ้าไปนานแล้ว  แสงไฟที่ลาน สวป.  ทำงานไม่ต่างกับอาทิตย์  ให้กับผู้คนในยามค่ำคืน  ฉันยังคงนั่งที่ริมสระหน้ามหาวิทยาลัย  ปล่อยตังเองให้ย้อนสู่ความทรงจำครั้งเก่า   ทั้งสนานเริงรื่น  เศร้า  หรือแม้กระทั้งปวดเจ็บจนเกินจะเจ็บได้ในบางครั้ง  ฉันนั่งยิ้มให้กับวันวานเก่าๆอย่างไม่แคร์สายตาคู่ข้างๆว่าจะมองฉันอย่างไร
	
ฝั่งตรงข้าม   บางคนกำลังทยอยกลับและหลายคู่พึ่งมานั่งใหม่    รถบัสขนาดจุคนได้  70  ที่นั่งแล่นเข้าสู่ลานพ่อขุนไม่ขาดระยะพร้อมๆกับเสียงบูมพ่อขุน
	พ่อกูขุนศรี  แม่กูนางเสือง  ลูกหลานเต็มเมือง  รามคำแหง   เฮ้..                  ดังกระหึ่มปลุกจิตวิญญาณของลูกพ่อขุนอีกครั้ง
	
เสียงกลองและเสียงเพลงที่รุ่นพี่เตรียมซ้อมไว้สำหรับน้องๆโดยเฉพาะ  ยังคงดังกระหึ่มไม่ขาดระยะ  ฉันเดินลัดใต้ตึกที่นานทีจะใช้สำหรับงานสำคัญของนักศึกษาที่สำเร็จปริญญา  พบวงคุยงานขนาดเล็กของนักศึกษากลุ่มหนึ่ง  ชายผมยาววางย่ามคู่ชีพข้างกายแล้วลุกขึ้นโยกส่าย  ตามจังหวะและลีลาของกลองอย่างสนุกสนาน  ฉุดให้ฉันหยุดรับภาพนั้นสู่ความทรงจำก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอดเห็นภาพของตัวเองเมื่อครั้งกระนั้น
 
 มาทำอะไร   เสียงผู้หญิงคนหนึ่งถามฉันเบาๆ จากข้างหลัง 
ก็คิดถึงนะซี    ฉัน อยากจะตอบเธอไปอย่างนั้น  
เธอเป็นผู้หญิงร่างเล็ก  แต่งตัวแปลกตาในชุดกางเกงขาก๊วยสีน้ำตาลเข้ม  เสื้อแบบคนเหนือ  ย่ามสีหมากสุก  ผมของเธอหยักโศกดำยาวสลวย  คิ้วโก่ง  นัยน์ตากลมโตเป็นประกาย  จมูกมีเค้าว่าจะโด่ง  เรียวปากกระจับคู่งามยิ้มละไมในดวงหน้าที่ขาวเนียนตามธรรมชาติ
มาหาเพื่อน  แต่ไม่พบหรอก   กำลังจะกลับอยู่พอดี     ฉันตอบเธอก่อนจะยิ้มตอบรอยยิ้มของเธอ
ไปออกค่ายกับเรามั้ย  กำลังจะออกค่ายรับเพื่อนใหม่พอดี
ไม่ดีกว่า  พอดีช่วงนั้นเรียนทุกวันเลย

การเรียนรู้  มันไม่มีแค่เพียงในตำราสี่เหลี่ยม  บนโต๊ะสี่เหลี่ยมและภายในห้องสี่เหลี่ยมเพียงแค่นั้นสักหน่อย  การเรียนรู้ไม่มีรูปทรงที่แน่นอนหรอก  มันอยู่ที่หัวใจของเธอเองต่างหาก  เราจะเป็นเพื่อนกันได้ไหม  
 เธอถามฉันด้วยตาที่ยิ้มและจริงใจ ฉันตอบตกลงกับเธอและแลกเบอร์โทรก่อนจะจากมา

ตึกกิจกรรมนักศึกษา  ฉันเดินขึ้นไปด้วยความหวาดระแวง  ราวกับว่ากำลังผจญภัยไปในดินแดนอีกโลกหนึ่งที่มีแต่ความตื่นเต้น  มีคนแต่งกายแปลกๆ  ร้องเพลงแปลกหู  แต่ละห้องดูรกและโทรม  ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่งชะโงกหน้าเข้าไป   พบเธอกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยดวงหน้าอันเครียดตึง  ก่อนที่จะตัดข่าวนั้นแปะลงบนหน้ากระดาษและเก็บไว้ในแฟ้ม   ฉันเดินเข้าไปหาเธอและฉันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในความ แปลก  ของสังคมปัจจุบัน 
พวกเรามีวงสำหรับการสนทนาที่ใช้เปิดใจกันสำหรับเพื่อน  ซึ่งฉันไม่ค่อยจะชอบนัก  เธอดื่มเข้าไปมากและพร่ำพูดถึงความทุกข์ยากของผู้คน   และเอาเปรียบของชนชั้นนายทุน  มีน้ำใสๆหยดลงที่ฝ่ามือเรียวเล็กของเธอ    ซึ่งไม่แน่ใจนักว่าเป็นน้ำที่หกจากแก้วหรือน้ำจากดวงนัยน์ตาที่เรื่อแดงของเธอ
	
ค่ายแรกในชีวิตของฉันเริ่มต้นในค่ายชนบท  เราไปออกค่ายกันที่ภาคเหนือเมื่อต้นฤดูหนาว  คืนนั้นอากาศเย็นสะท้านถึงข้างใน    พวกเราจับมือกันเโดยมีผ้าผูกตาไว้  เดินลัดเลาะริมน้ำเงา  โดยมีรุ่นพี่นำทางพวกเราไป  เธออยู่ที่ไหนหรือ?     เขาจะพาเราไปที่ใด  ฉันเฝ้ากังวลอยู่ในใจก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ที่โล่ง  มีเพียงเสียงไฟปะทุทำลายความสงัด  เมื่อเอาผ้าออกจึงเห็นเธอนั่งอยู่อีกฟากหนึ่งโดยมีกองไฟลุกโชนอยู่ตรงกลางวง    เทียนถูกจุดขึ้นพร้อมๆกับความรู้สึกที่พร่างพรูออกมาทีละดวง  ทีละความรู้สึก  จนถึงเธอ
	
 ชีวิตเล็กๆที่เกิดขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวไม่นานก็ตายจากไปอย่างโดดเดี่ยวเช่นกัน  ฉันมาที่นี่เพื่อหวังว่าจะทำประโยชน์ให้ใครได้บ้าง  เพื่อสร้างความสัมพันธ์ให้คนบนโลกนี้ได้อบอุ่น ก่อนที่จะจากไปและเพื่อฝากความทรงจำให้ใครได้อบอุ่นเมื่อระลึกถึงฉัน   เสียงของเธอกังวานใสและอ่อนโยน  เสียงเพลงค่อยดังขึ้นๆพลิ้วแผ่ว  จากรอบวง  ความหนาวเย็นเมื่อครู่กลับอบอุ่นขึ้นมาโดยไม่รู้ว่ากองไฟหรือพลังมิตรภาพที่ทำให้อบอุ่น

ฝากดอกไม้นานาพรรณ  ฝากความฝันอันสูงค่า  ฝากรอยยิ้มและน้ำตาที่หลั่งมาจากหัวใจคืนนี้ถ้าเธอหนาว  ร่วมผิงดาวบนฟ้า  จากรักจากศรัทธาของเรา

เธอเป็นคนอ่อนไหวที่แสนอ่อนโยนในคราวเดียวกัน  เธอมักเหม่อมองเด็กๆตัวเล็กแกรน  ซ่อนความสดใส  ในคราบมอมแมมและรอยกร้านของกาลเวลาได้กัดกร่อนความไร้เดียงดาให้หม่นลงทุกที   และมักให้เศษสตางค์  กับเด็กที่มาเร่ขายดอกบัวน้อยจากสิบนิ้วที่ประนมเป็นพุ่มเล็กๆ   ขายสินค้าที่เรียกว่าความเมตตาธรรม  ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งที่ทำไปเป็นการส่งเสริมให้มีการขายมากขึ้นก็ตาม  หลายครั้งเหลือเกินที่ฉันเห็นเธอแอบเช็ดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอย่างไม่มีคำอธิบาย     ในบางครั้งเธอกลับหม่นเศร้าไม่ยอมพูดจา   ฉันก็รู้ว่าเธอกำลังเจ็บปวดเหลือเกิน   เธอมักเงียบและให้กาลเวลารักษาตัวเธอเอง    บางครั้งเธอหายไปเป็นอาทิตย์  เพื่อไปสอนหนังสือเด็กในชุมนุมและเด็กที่มาชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิข้างทำเนียบ  

ในที่สุดวันเวลาก็พรากพวกเราให้เดินบนเส้นทางฝันที่ต่างกันนานๆ  ครั้งที่พวกเราจะนัดพบกันสักครา  ต่างคนต่างมีเรื่องราวจากทิศทางและก้าวย่างที่ต่างกันมาเล่าสู่กันฟังที่ร้านกาแฟเล็กๆในซอยราคำแหง  53  จนดึกจึงได้แยกย้าย  วันเวลาเก่าๆถูกรื้อฟื้นราวกับว่าเพิ่มเกิดเมื่อวานบางคราวที่พวกเรานั่งร้องไห้ด้วยกันและหลายครั้งที่พวกเราหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ  จะสุขใจสักแค่ไหนกันเชียวเมื่อพวกเราพร้อมที่ร้องไห้เพื่อเพื่อนคนใดสักคน   เธอเลือกเส้นทางของนักพัฒนาปลีกวิถีเมืองสู่วิถีชุมชนที่ใสซื่อด้วยน้ำใจ อุทิศชีวิตเพื่อช่วยชาวบ้านต่อต้านการทำโรงโม่หินอยู่ที่ต่างจังหวัด นานๆจะมีโน้ตที่ฝากถ้อยความสั้นๆไว้ให้ห่วงหาและแทนความห่วงใยที่มีให้กัน

ขึ้นมาหาแต่ไม่เจอ  ไม่มีอะไรหรอก  ไม่เจอกันนาน  คิดถึงเท่านั้นเอง   ฉันเองก็รู้สึกไม่ได้ต่างไปจากเธอ  ฉันอยากกับเธออย่างนั้น

วันหนึ่ง  ฉันได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวของเธอ
 เพื่อนโทรมาแน่ะ   พี่ที่สำนักงานบอกอย่างนั้น  ฉันรับโทรศัพท์โดยไม่มีคำพูดใดๆนอกจากความรู้สึกมากมายที่สับสน

งานศพของเธอ  ถูกจัดขึ้นอย่างง่ายๆที่บ้านของเธอเอง   มีคนไปงานทั้งญาติและทั้งคนรู้จัก คมกระสุนปลิดวิญญาณของเธอเป็นการจ้างวานของเจ้าของโรงโม่ที่เธอกับชาวบ้านร่วมกันต่อต้าน    นี่หรือผลตอบแทนที่เธอควรได้รับ
	
ฉันค่อยผ่อนลมหายใจออก ก่อนจะเดินจากวงนักศึกษากลุ่มนั้นมา    เสียงเพลงรับน้องค่อยๆแผ่วลงทุกที ๆ  เธอยังคงอยู่อย่างน้อยก็ในความทรงจำของฉัน				
26 สิงหาคม 2545 17:39 น.

ผู้หญิงอร่อย

รษฎา ปนาลี

ผู้หญิงอร่อย
ถึงปานฝันที่คิดถึง
	สบายดีหรือเปล่าจ้ะ  เราสบายดีจ๊ะ(ขึ้นต้นเป็นรูปแบบมาตรฐานเด๊ะเลย)  ในบางครั้งคนเราก็เกิดมาเพื่อให้คนอื่นๆที่แวดล้อมได้วาดหวังเช่นกัน  แต่คนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำตามความคาดหวังของใครๆไปเสียหมด  จนทิ้งความเป็นตัวตนของตัวเองไปสิ้น  ปานฝันคิดอย่างนั้นมั้ย
	เรามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง  เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักทีเดียว  รูปร่างคล้ายๆมะหมี่ แต่ดูไปก็จะเพี้ยนไปเป็น บะหมี่ มากกว่า  ใครว่าเธอเป็นอย่างนั้น  แต่นานวันเข้าเธอก็บอกว่าเธอคล้ายบะหมี่อย่างที่ใครเขาว่า  เธอเป็นคนอ่อนโยนกับทุกคน  ในที่อยู่ใกล้ๆกับเธอจะรู้สึกอบอุ่นตรงหัวใจและมีความหมายในการดำรงอยู่  แต่เธอก็ทำให้ทุกคนรู้สึกแบบนี้ไปเสียทุกคน  จนทุกคนเกิดความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของ คนของความอบอุ่น  อยากมีส่วนช่วยเธอเสริมและสรรค์สร้างความเป็นเธอ  ให้ทุกคนที่ได้เข้าใกล้ได้อบอุ่นยิ่งขึ้น
	กางเกงยีนส์  เสื้อยืด  สะพายกระเป๋าใบใหญ่ที่ใส่สารพัด  ตั้งแต่เอกสารทางวิชาการ  จนกระทั่งแป้งเด็กขนาดกลาง  ไว้สำหรบทำให้หน้าผ่องทุกสถานที่ไม่เว้นแม้กระทั่งหน้าเวทีคอนเสิร์ต  เธอก้าวไปไหนรอยยิ้มและความอบอุ่นจะเกิดขึ้นที่นั่น
ลองแต่งตัวสไตล์อื่นดูบ้างไหม  ถ้าเป็นหลานของพี่นะ  จะจับแต่งให้หวานๆ  ใส่กระโปรงยีนส์   เสื้อสีฟ้าลายดอกไม้เล็กๆ  ปล่อยผม  ทาปากสีชมพูอ่อน  แค่คิดก็หวานแล้ว  อยากเห็นจัง  คนรอบข้างพูดกับเธออย่างนี้
อยากเห็นเอ๋เปรี้ยวจังคงจะน่ารักไม่เบาเลย   อีกคนที่แวดล้อมเธอพูดอย่างนี้อีกเช่นกัน
	ทุกวันเธอก็ยังเป็นที่น่ารักของทุกคน  ตามแบบของเธอจนวันหนึ่งความเหงาและดวงตาหม่นเหม่อได้มาเยือน
เราก็เป็นของเราแบบนี้  จะให้เราเป็นแบบนี้แบบนี้แล้วจะให้เป็นแบบไหน?  ดูเหมือนเธอพยายามอย่างมากที่จะดูแลความคาดหวังของใครต่อใครใหญ่แล้วหล่ะปานฝันที่รัก
	รอยยิ้มที่พรมใบหน้าทุกวัน ๆ ค่อยๆหายไปๆ  จนอาหารเที่ยงมื้อนั้นมาเยือนเราจึงถือโอกาสพาเธอไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน  จำได้ว่าเป็นส้มตำ  ต้มยำ  ไก่ย่าง  ข้างเหนียว  อยากลิ้มลองบ้างหรือเปล่าจ๊ะ   ต้มตำจะให้รสเปรี้ยว  เค็ม  เผ็ด  หวานนิด  รวมกันเป็นรสอร่อยทำให้อาหารลุล่วงสู่กระเพาะอย่างปกติสุข (และทำให้คนกินเข้าไปอยู่ปกติสุขด้วย)  ไม่เปรี้ยวโด่ง   เค็มจนไม่อยากซดน้ำ   หรือเผ็ดจนต้องซดน้ำในแก้วแทนน้ำในถ้วย  ส้มตำปูก็เปรี้ยวหวาน  พอดีกัน  
	ด้วยรสชาติอาหารที่อร่อย (ทำให้การสนทนาดำเนินไปด้วยดี)  เราจึงถามเธอว่า อร่อยไหม  เธอพยักหน้าหงึกๆก่อนจะพูดว่า
 ชีวิตคนก็ต้องอร่อยใช่ไหม
	ตั้งแต่อาหารมื้อนั้น  ความอบอุ่น  อ่อนโยนที่เป็นรัศมีประจำตัวของเธอก็เปล่งประกายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  และดูเธอมีความสุขกับการได้เป็นอย่างที่เธอเป็น   แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ  เธอเป็นคนที่อบอุ่นมากขึ้นและมากขึ้นทุกวัน  ยิ่งอากาศร้อนๆได้ใกล้กับเธอแล้วดูเหมือนว่าความอบอุ่นจะกลายเป็นร้อน   เสื้อผ้าก็เปลี่ยนใหม่เป็นการเปลี่ยนบุคลิกอีกแบบหนึ่งเพราะ  เอวเธอหายไป
	ทำให้เราสงสัยว่า  การทำให้ชีวิตมีความอร่อยของเธอมันคืออะไร  จะตรงกับเราบ้างไหมนะ  ที่ความเป็นชีวิตก็ต้องมีทั้งหวาน  มัน   เปรี้ยว   แต่ก็เอาเถอะแค่เธอมีความสุขกับสิ่งที่เธอเป็นก็มีความสุขแล้ว
ดูแลตัวเองนะจ๊ะ
ปลายฟ้า
				
23 สิงหาคม 2545 11:19 น.

ความเหมือนในความคิดถึง

รษฎา ปนาลี

1.
เส้นทางของกวี  มันไม่ง่ายอย่างที่คิด  หวังไว้หรอกนะ  การเติบโตด้านความคิด  การมองทุกสิ่งอย่างที่ลุ่มลึก  คิดให้มาก  แสวงหามุมมองที่แตกต่าง  นั่นแหละคือเส้นทางของกวี
	
ใครคนหนึ่งบอกฉันอย่างนั้น  ฉันเห็นด้วยแต่ไม่ทั้งหมดหรอกนะ  คำว่ากวี  นักเขียน  นักประพันธ์  มีมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ฉันให้คำนิยามของคำเหล่านั้นว่า  นักฝัน
	ใครคนนั้นบอกฉันว่า  ฉันไม่ใช่กวี  ฉันไม่ปฏิเสธเพราะฉันเขียนสิ่งที่ฉันอยากเขียนเท่านั้น  ไม่สนองความต้องการของใครนอกจากตัวเอง  มีการคิดทีผ่านกรอบของตัวเอง  มองจากมุมมองของฉันเอง   มองมุมที่แตกต่างในแบบของฉัน  นั่นแหละฉันได้เลือกของฉันเองที่แตกต่างจากเขา  
ฉันเดินฝ่าความมืดและความเงียบเหงาของรัตติกาลตามเขาไปสู่มุมของเขาที่เขาบอกว่าแตกต่างจากใครอื่น  ตามสะพานเรียบคลองเล็กๆ  ท้องน้ำสีดำสะท้อนแสงสีไฟของตึกอาคารเบื้องหน้าที่ตกแต่งด้วยหลอดไฟหลากสีเต้นระยับบนผิวน้ำ  ความสงบเลื่อนไหลเฉื่อยช้า  แตกต่างกับพายุคลื่นจากการแล่นของเรือขนส่งผู้โดยสารเมื่อกลางวัน  สายลมพัดลูบไล้ผิวน้ำ  อาจกล่าวได้ว่า  เป็นความบริสุทธิ์ของท้องน้ำที่มีรอยมลทินก็ว่าได้เขาถามฉันว่าเห็นความสวยงามไหม  ฉันตอบเขาว่าฉันเห็นความแตกต่าง  เขามองฉันด้วยแววตาอันผิดหวัง  มุมนี้ของใครคนนั้นงดงาม  สงบเป็นมุมที่เขาโปรดที่สุด  เรานั่งกันที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวริมฝั่งคลอง  ซึ่งเป็นที่ของใครต่อใครที่ผ่านไปมาได้แวะนั่ง  แต่เวลานี้เป็นของเรา  เขาสูดลมหายในเข้าลึก  และค่อยๆผ่อนออกมองออกไปข้างหน้า  คล้ายๆกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
ลองบรรยายภาพที่เห็นให้ผมฟังหน่อยซิ  เขายังคงทอดสายตามองออกไป
ความแตกต่างที่คงเดิมและความสงบ  ฉันบอกเขาเพียงแค่นั้นพร้อมกับมองออกไปข้างหน้าเหมือนกับเขา
กวีต้องมองอะไรให้ลึกกว่านี้  ไม่รู้ว่าใครๆเขามองคุณเป็นกวีได้อย่างไร  เขาถอนหายใจเฮือใหญ่ก่อนหันกลับไปมองเบื้องหน้าตามเดิม     ฉันตอบเขาไปเพียงว่าฉันไม่ใช่กวีหรอก  นั่นเป็นเพียงภาพที่ใครอื่นมอง ฉันรักที่จะเขียน  ถึงแม้ไม่มีคนอ่าน  ไม่มีใครชื่นชม  ฉันรักที่จะเขียนเท่านั้นเอง
	แต่ผมอยากให้คุณเป็นกวี
คำพูดของเขาช่างหนักแน่น  สายตาที่มองฉันอยู่ขณะนี้ดูจริงจัง  จ้องเขม็ง  ฉันยิ้มเจื่อนๆให้กับเขาก่อนหันหน้าหนีสายตาของเขาไปเบื้องหน้าอีกของฝั่งหนึ่งที่เงียบเชียบ  บ้านไม้ปิดไฟสู่ภวังค์
	เวลาผมนั่งอยู่มุมนี้ผมเขียนอะไรได้มากมาย  คุณมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยนั่นซิ  มันพาเรื่องราวมากมายมาสู่เรา  ก่อนที่มันจะผ่านไปเล่าเรื่องราวให้ใครอื่นฟัง  เขามองออกไปเบื้องหน้าอีกครั้ง  นัยตาเศร้าสร้อย

2.
สายน้ำไหลเอื่อยอ้อยอิ่ง  เรือถุงพลาสติกสีขาวลอยผ่านหน้าไปช้าๆ  เสียงยุงบินทำลายความเงียบพร้อมทั้งเสพย์เลือดอย่างสำราญจากเนื้อหนังของเราสองคน  ผู้คนบนสะพานดูบางตาลงทุกที

	รู้มั้ยผมชอบมองมุมที่ใครไม่มอง  ขณะที่ใครหัวเราะผมอยู่ว่าบ้า  ว่าเปิ่น    หารู้ไม่ว่าผมก็หัวเราะเขาอยู่เหมือนกัน  พวกเขานั่นแหละบ้ากว่าผมเสียอีก  เขาหันมายิ้มจางๆ ก่อนหันกลับไปมองเบื้องหน้าตามเดิมพร้อมกับพูดต่อ
	คุณต้องมองอะไรให้แตกต่างและหามุมมองที่แปลกออกไป  ผมอยากให้คุณเป็นกวี  ฉันหันมายิ้มให้กับเขาเพื่อให้บรรยากาศที่เป็นอยู่ดีขึ้น
	ผม  ฉันอ้าปากหาวก่อนที่เขาจะทันพูดจบประโยค
	ง่วงนอนซะแล้ว  ผมอยากให้ใช้เวลากลางคืนให้คุ้มค่ากว่านี้
	ฉันมักตื่นเช้าและใช้เวลานั้นเขียนอะไรต่างๆ  หรือนั่งคิดอะไรเงียบๆ  หลายชีวิตเริ่มต้นวันใหม่อย่างสุขใจ  บางชีวิตต้องรีบเร่งแข่งกับเวลาและการจราจร  บางวันฉันนั่งรถไปรับบรรยากาศเช้าที่สวนสาธารณะใกล้ๆมองต้นไม้เมืองกรุงค่อยๆตื่นขึ้นทำหน้าที่ปอดเมืองกรุงอย่างแข็งขัน  ยินเสียงวงสนทนาของผู้ผ่านโลกมานาน  เรื่องราวตั้งแต่วัยหนุ่ม สาว  จนปัจจุบันก่อนตะวันสายจะมาพรากความฝันจากไป  ฉันชอบมองดูหลายสิ่งที่กำลังเริ่มต้น  มันหมายถึงชีวิตใหม่
	เดี๋ยวค่อยกลับนะ  อยู่กับผมต่ออีกสักนิด  เขาหันมาจ้องตาด้วยสายตาอ้อนวอน  ก่อนจะพูดต่อ
	คืนนี้นั่งคุยกันทั้งคืนได้ไหม  พรุ่งนี้เราคงไม่พบกันอีกนาน
ฉันเงียบและมองหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมแววตาที่อ้อนวอนของเขา  ในใจกลับคิดถึงงานกองโตที่อยู่เต็มโต๊ะ  และต้องส่งต้นฉบับในเร็ววัน  ฉันนั่งฟังเขาต่อไปโดยให้เสียงของเขาทำลายความเงียบ
	
กลับเถอะค่ะ  ดึกมากแล้ว  ฉันได้ยินเสียงตัวเองหลังจากไม่ได้ยินนาน
	ก็ได้  เดี๋ยวผมเดินไปส่ง
	
3.
	เช้าวันนี้  สายลมหนาวทักทายฉัน  สายหมอกเย้าหยอกยอดไม้  ขุนเขาโอบประคองสายน้ำอย่างอบอุ่น  แสงแดดละมุนปลุกทุกชีวิตให้ฟื้นตื่น  ฉันนั่งจิบน้ำชาอยู่บนชานเรือนไม้ไผ่หลังคามุงตองตึง  หลายหลังควันไฟกำลังคุกรุ่นเพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต  เสียงภาษาแปลกหูเมื่อหลายเดือนก่อน  แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน    
	คูคับ  เช้านี้ไปกินข้าวบ้านผมมั้ย  ถ้าไปผมจะให้ไก่กินคูคับ  วันนี้บ้านผมแกงไก่
	ฉันนึกถึงใครคนนั้นอีกครั้ง  ป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ  สบายดีหรือเปล่าหรือคงพบใครสักคน  ซึ่งเป็นกวีของเขาแล้ว  เช้าวันนี้แกงไก่คงจะไม่กินฉันหรอกนะ
				
21 สิงหาคม 2545 10:48 น.

เล่าสู่กันฟัง

รษฎา ปนาลี

สวัสดีเพื่อนรัก 


คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า  ไม่ต้องถามหรอกนะว่าฉันคิดถึงเธอบ้างไหม  ที่สุด ของที่สุดของความคิดถึงที่จะคิดถึงได้เลยนะเวอร์เกินไป    เธอต้องบอกอย่างนั้นแน่ๆ เลย...  อย่าคิดมากเลยเพื่อนรัก   ฉันคิดถึงเธอที่ 1 เสมอเมื่อฉันกำลังหมองเศร้าเสมอ  เพียงแต่บางครั้งอยากจะเล่าเรื่องราวของความกล้าหาญที่จะฝ่าข้ามมันมา    มากกว่า จะถามเธอว่าฉันจะฝ่าข้ามมันไปได้อย่างไร  แต่ถึงอย่างนั้น  ฉันก็ยังอยากฟังเรื่องราว   ต่างๆ  ของเธอในยามอ่อนล้าเช่นกัน
	
            วันก่อนเจ้านายพาฉันไปเที่ยวทะเล  พร้อมกับหนังสืออีก  3  เล่ม  เดินทาง  ร่วมขบวนไปด้วย  ระหว่างทางเจ้านายนั่งเหม่อมองออำไปนอกรถ บางครั้งเธอพริ้มตา   สูดลมหายใจเข้าลึกๆและค่อยผ่อนออกมาช้าๆแต่บางครั้งเธอเช็ดน้ำตาที่เอ่อไหลออกมา   ฉันเห็นแล้วก็อยากจะปลอบโยนเธอเหลือเกินแต่เธอคงต้องการหล่อเลี้ยงความอ่อนไหว   ที่ก่อตัวชึ้นโอบประคองเธอมากกว่าที่จะปล่อยให้มันจากไป
	             เสียงคลื่นสาดซัดเข้าฝั่งลูกแล้วลูกเล่าราวกับว่าจะไม่มีวันพรากจากหาด ทรายไปไหนเลยสักคราว     เธอพันขากางเกงจนถึงเข่าบรรจงหิ้วรองเท้าผ้าใบคู่เก่าๆ ที่เป็นเพื่อนเธอมานานก่อนฉันเสียอีก    เดินเลาะหาดล้อคลื่นทะเลที่ซัดสาดอย่างไม่รู้ เหนื่อย   ปลอบโยนและช่วยเธอเลี้ยงความเหงาไปพร้อมๆกัน  

              ลมทะเลไล้ไลผมดำขลับของเธออย่างอ่อนโยน  ก่อนจะพลิ้วผ่านเพื่อเล่าเรื่อง        ราว   การได้พบเธอให้ใครอื่นได้ฟัง     เธอปรายตาที่หัวแม่เท้าทั้งสองข้างที่ผลัดกันนำหน้า    ก้าวหยอกล้อเกรียวคลื่นที่ทยอยกันมามิได้ขาด   ทีละก้าวทีละก้าว  จนกระทั่งโขดหินก้อนโต  เปลี่ยนใจเธอไปนั่งปลดปล่อยเรื่องราวมากมายที่ผันผ่านสู่ชีวิต
	
             อาทิตย์ยามเย็นช่างมีแต่เรื่องราวมากมายที่ช่วยหล่อเลี้ยงความเหงาของเธอให้เติบโต อย่างช้าๆ  เรือลำน้อยกำลังลอยคว้างอยู่กลางเกลียวคลื่นในทะเลเวิ้งว้างพยุงตัวลอยอยู่เพื่อพา มวลชีวิตออกหาปลามาจุนเจือชีวิตที่รอคอยอยู่เบื้องหลัง
	
             เพื่อนที่รักฉันสงสารเธอเหลือเกิน  อยากเพียงสร้างความรู้สึกให้เธออบอุ่นถึงแม้จะ อยู่ลำพังหรือคว้างไหวตามกระแสความเหงาที่รุมล้อมเธอทุกขณะเวลาราวกับเมฆกัอนโตที่คลุม ความอ้าวอบก่อนฝนจะโปรยปราย   เธอรวบผมและผูกไว้ด้วยผ้าเช็ดหน้าเพียงหลวมๆ  ก่อนจะ สูดลมหายใจเข้าลึกและผ่อนออกช้าๆ  เปิดกระเป๋าสะพายคู่ชีพหยิบสมุด และปากกาคู่ใจ อย่างฉัน ออกมา  จรดเรื่องราวมากมายอย่างมีความสุข
	
           เพื่อนที่รักของฉันในบางครั้ง    ใครบางคนก็มีความสุขกับการได้เลี้ยงความเหงาไว้เพื่อ ทบทวนเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเองบันทึกไว้ในความทรงจำ  และกำจัดขยะอารมณ์มากมาย ที่กร่อนความเข้มแข็งภายในให้สึกไป    ทีละน้อย...ทีละน้อย    แต่ก็ดูเธอก็มีความสุขกับการได้    หล่อเลี้ยงความเหงาดีนะ    ฉันเองก็หลงเป็นห่วงเธอเสียแทบแย่ฉบับหน้าฉันจะเล่าเรื่องราว ที่ผัน ผ่านให้เธอได้ฟังอีกนะ    เพื่อนที่รัก  
                                         
                                                        ดีใจที่เราได้พบกันและเล่าเรื่องราวสู่กันฟัง
                                                                           ห่วงใย 
                                                                           20/1/45				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรษฎา ปนาลี
Lovings  รษฎา ปนาลี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรษฎา ปนาลี
Lovings  รษฎา ปนาลี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรษฎา ปนาลี
Lovings  รษฎา ปนาลี เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงรษฎา ปนาลี