28 มิถุนายน 2550 22:27 น.
ยาแก้ปวด
ตอน วิ่งป่าราบ
เรื่องนี้เกิดที่สุสานแห่งนึงในรัฐคาลิฟอร์เนีย โดยปรกติถ้าเรานึกถึงป่าช้าก็จะรู้สึกขนลุกขนพอง เป็นสถานที่สุดท้ายที่เราอยากจะไปเหยียบเล่น ซึ่งผิดกับสุสานในอเมริกา ถ้าเรามองจากข้างนอกเราจะนึกว่าเป็นสนามกอล์ฟเพราะมันมีลักษณะเขียวขจีและปกคลุมไปด้วยต้นไม้ เงียบสงบ สะอาดเหมือนกับสนามพักผ่อนใจ บนพื้นหญ้าจะมีแผ่นป้ายเป็นเหล็กบ้าง ปูนบ้าง เขียนชื่อสลักไว้ตามหลุมศพต่างๆ แต่ถ้าเรารู้ประเพณีการฝังศพเขาเราจะนึกสยองพอดู เพราะทุกๆหลุมศพที่เราเดินผ่านมันมีศพนอนอยู่ในนั้นจริงๆ เพราะกรรมวิธีการฝังศพของเขาจะเริ่มต้นที่ นำศพผู้ตายไปแช่จนแข็ง และเมื่อญาติๆต้องการประกอบพิธีทางศาสนาเขาก็นำเอาศพที่แช่แข็งนั้นออกมาวางอยู่ในโบสถ์ ให้ญาติๆผู้ตายมาไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะให้บาทหลวงนำศพนั้นไปหย่อนในหลุมที่ขุดจัดเตรียมไว้และวางช่อดอกไม้ลงในโรงศพก่อนที่จะถูกฝังลงดิน
และนี่เองก็เป็นเหตุให้ผมและเพื่อนๆที่อยู่ในวัยคะนองนึกอยากลองท้าทายกับสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ผมกับเพื่อนห้าคนขับรถมาที่สุสานแห่งนี้ในตอนดึก ในระหว่างเดินทางที่ขับมาเราก็พูดท้าทายกันเองในรถ
" เดี๋ยวก็รู้ อเมกาจะมีผีรึไม่"
" มีกูก็จะเอาไม้กางเขนนี่ชี้ใส่ให้ดู" ระหว่างที่พวกผมท้าทายกันเองอยู่ในรถที่ขับเคลื่อนนั้น ที่ปัดน้ำฝนข้างหน้าก็สะบัดขึ้นมาทีนึง
"เฮ้ย พวกมึงไม่ต้องเลย กูรู้มึงแกล้ง" เพื่อนคนนึงสวนขึ้น
"กูเปล่านะเว้ย มันขึ้นมาเอง" เพื่อนที่ขับรถรีบแย้งทันที ผมมองดูหน้าของเขาผมคิดในใจว่ามันต้องโกหกแน่ๆ เพราะมันคงอยากที่จะสร้างบรรยากาศให้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น ก็พอดีกับที่เรามาถึงที่สุสานทางด้านนอก พวกเราจอดรถไว้ข้างทางแล้วก็แอบปีนรั้วกันเข้าไปข้างใน ซึ่งขณะนั้นมีเพียงไฟริบหรี่อยู่ไกลๆแต่ก็พอที่จะเห็นทางเดินได้ลางๆ
"มึงตามกูมาเลย เดี๋ยวกูจะอัดผีฝรั่งให้มึงดู" แกนนำของผมทำเก่งกล้ากว่าใครเดินนำเพื่อนดุ่ยๆเข้าไปในสุสาน ตัวผมเองเดินตามไปเริ่มมองไปรอบๆตัวซึ่งจะเห็นอะไรๆเป็นตะคุ่มๆไปหมด อากาศก็แสนจะเย็นเฉียบ ลมที่พัดเย็นๆเล่นเอาผมเสียวสันหลังพอควร ขณะนั้นเองที่แกนนำของผมหยุดชะงักและเพ่งตามองไปที่ใต้ต้นไม้ต้นนึง
"เฮ้ยพวกมึงเห็นอะไรนั่นมั้ยวะ"มันหยีตาพยายามมองไปที่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น สิ่งที่ผมเห็นคือกองดำๆลางๆอะไรสักอย่างนึง ขนาดเป็นกลองพุ่มๆซึ่งใหญ่พอควร
"อะไรวะนั่น" เพื่อนอีกคนช่วยกันพินิจมอง
"กูเห็นมันขยับด้วยนะ" เพื่อนคนนึงเสริม
" ไอ้บ้า ลมหรือเปล่าวะ กูดูมันขาวๆนะเว้ย" แกนนำของผมออกความเห็น
ในระหว่างที่พวกเราทั้งหกเพ่งมองไปที่สิ่งนั้น ทันใดนั้นสิ่งที่กองพุ่มๆก็ผงาดขึ้นเป็นรูปร่างคนขึ้นมาในเงามืดนั้น ไม่ทันทีใครจะตกใจเพราะแกนนำของผมมันร้อง "เฮ้ย!"อย่างตกใจแล้วมันก็หันหลังกลับวิ่งอย่างสุดเร็วออกตัวไปก่อนที่ผมเพื่อนๆรีบโกยเท้าตามแทบไม่ทัน ระหว่างที่ผมวิ่งซอยตามมันมาผมก็ถามมัน
"มึงวิ่งหนีอะไรวะ"
"ก็มึงไม่เห็นเหรอว่ามันลุกขึ้นมาแล้ว "
"อะไรของมึงวะ"
"ก็ไอ้ศพขาวๆนั่นสิวะ"มันหอบอยู่ในลำคอก่อนจะหยุดพักหายใจที่ริมรั้วที่ปีนตามๆกันออกมา
" ไอ้เวร ไหนบอกจะอัดผีฝรั่งให้กูดู วิ่งโกยซะกูตามไม่ทัน"
" ลองซะเจอดีเลยมั้ยมึง" เพื่อนอีกคนว่าแล้วพวกเราก็รีบขับรถออกจากสุสานอย่างเร็วโดยไม่พยายามเหลียวหลังมองกระจกด้านหลังอีกเลย
เวลาผ่านไปผมโตขึ้นและก็บังเอิญขับรถผ่านสุสานแห่งนั้นเข้า ผมมองเข้าไปข้างในซึ่งตอนนั้นเป็นเวลากลางวัน เห็นคนประปรายเป็นหย่อมๆที่มาเคารพหลุมศพต่างๆ พอดีกับที่ผมเหลือบไปเห็นพวกขอทานที่ไม่มีที่นอนแต่มาแอบนอนตามต้นไม้ต่างๆแล้วก็นึกถึงภาพในวันเก่าและอดที่จะขำในใจว่า
"อ๋อ ไอ้ที่พวกเราวิ่งหนีกันวันนั้น มันคนเป็นคนพวกนี้ละมั้งที่มาอาศัยสถานที่แห่งนี้เป็นที่พักพิง เรารึอุตส่าห์วิ่งกันซะป่าราบแทบตาย"
จบ
24 มิถุนายน 2550 20:05 น.
ยาแก้ปวด
ตอนที่ 1
ผมจำได้ว่าปีนั้นผมและเพื่อนๆยี่สิบกว่าคนไปรับน้องกันที่จังหวัดเลย โดยเราจะไปพักคืนแรกที่ภุเรือ และคืนต่อมาเราจะไปตั้งแคมป์ที่ภูหินล่องกล้า เรื่องนี้มีตัวเอกคือรุ่นน้องผมที่ชื่อ เต้ย เป็นหนุ่มสุภาพ เรียบร้อย และ รุ่นน้องอีกคนชื่อ กบ ซึ่งเป็นคนที่ค่อนข้างจะเกเรสักหน่อย
วันนั้นเราเดินทางไปถึงที่ภูเรือโดยมีพี่พงษ์เจ้าหน้าที่ป่าไม้เป็นฝ่ายจัดการสถานที่ที่จะตั้งเต้นท์เล่นกิจกรรมต่างๆให้ ปากทางเข้าภุเรือมีหินสลักเรื่องราวของเจ้าหญิงภูเรือและประวัติความเป็นมาไว้ พี่พงษ์บอกกับพวกเราว่า
" อ่านๆกันซะ แต่อย่าไปพูดถึงในสถานที่จริงหละ" พวกผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรได้แต่ลิงโลดที่จะได้ก่อไฟร้องเพลงเฮฮาตามภาษาหนุ่มๆ
คืนนั้นเรานั่งล้อมกองไฟ เล่นกีต้าร์ ดื่มเหล้ากันตามภาษานักศึกษานอกโรงเรียน พอพี่พงษ์ออกจากงานพวกเราก็ชวนมาร่วมวงเหล้ากับเราด้วย พอเหล้าเข้าปากหนักๆเข้า พวกเราก็รบเร้าให้พี่พงษ์เล่าความเป็นมาของเจ้าหญิงภูเรือให้ฟัง แล้วกบรุ่นน้องผมคนนี้ก็เริ่มออกฤทธิ์
" กูบ่เซื่อ กูบ่เซื่อดอก " มันเถียงเป็นภาษาอิสานทั้งๆที่มันไม่ใช่คนอิสาน
ในขณะนั้นเองที่ไม่มีใครทันสังเกตุ เต้ยซึ่งนั่งกินเหล้าอญุ่ฝั่งตรงกันข้ามกับกบ ก็เดินข้ามกองไฟมายืนตรงหน้ากบ มองกบตาขวางแล้วก็เตะแก้วเหล้าของกบล้มลง และก็เดินข้ามกองไฟกลับไปนั่งตาแข็งอยู่ที่เดิม ส่วนกบก็ลุกโวยวาย
" เฮ้ย มึงทำยังงี้หมายความว่าไงวะ อยากลองของกับกูเรอะ" พวกผมและเพื่อนอีกสี่ห้าคนรีบไปปรามทั้งสองฝ่ายเพราะเกรงว่าจะมีเรื่องกัน ผมจำได้ว่าผมและเพื่อนพยายามฉุดเต้ยเท่าไหร่ก็ไม่อยู่ เต้ยสะบัดพวกผมหลุดและเดินรี่ไปหากบตัวเกร็งเสียงแข็งและชี้หน้าใส่กบว่า
" มึงไม่ใช่คนดี เอาดาบให้มันมาฟันกับกู " แต่พอเต้ยไปถึงกบ กบก็ผลักอกเต้ยล้มนอนลงอย่างง่ายดายจนพวกผมงง แต่ก็ไม่รอให้เต้ยลุกขึ้น ผมรีบไปคร่อมที่อกเต้ย เพื่อนคนนึงกดแขนซ้าย อีกคนกดแขนขวา แต่ไม่รู้เต้ยเอาเเรงมาจากไหน ยกแขนพร้อมเพื่อนผมสองข้างลอย ลำคอเกร็งจนเห็นเส้นเลือด ตาถลึงกว้างแดงก่ำ ผมตบหน้าเต้ยพยายามเรียกสติเขาเพราะดูตาเขาเกลือกไปเกลือกมาจนน่ากลัว
" เต้ย เต้ยเป็นอะไร นี่พี่นะ "
" ใครเต้ย ใครเต้ย "เสียงเต้ยครางออกมาจากลำคอ เพราะเหตุนี้แหละที่พี่พงษ์เริ่มเห็นท่าว่าจะไม่ใช่การวิวาทธรรมดาเสียแล้ว พี่พงษ์รีบวิ่งขึ้นเรือนไปคว้าดอกไม้ธูปเทียนมา และแจกจ่ายให้พวกที่อยู่ดูห่างๆรีบจุดกันเป็นการใหญ่
" เร็ว รีบขอขมาท่านซะ ท่านเป็นท่านหงอก องครักษ์ของเจ้าหญิงภูเรือ ไม่ใครก็ใครต้องไปลบหลู่ท่าน เร็วรีบขอขมาซะ"
ภาพที่ผมเห็นคือทุกคนรีบคุกเข่ายกมือไหว้มาทางเต้ยกันทุกคน ส่วนผมที่ยังคงคร่อมเต้ยอยู่กับเพื่อนอีกสองคน พยายามแกะมือที่กำแน่นของเต้ยออกเพื่อที่จะวางดอกไม้ในมือ แต่แกะเท่าไหร่ก็แกะไม่ออก
" ท่านหงอกครับ พวกผมขออภัยหากได้ล่วงเกินท่าน กรุณาให้อภัยพวกเราด้วยเถอะครับ " ผมวิงวอนแต่พอพูดเสร็จมือที่เกร็งของเต้ยก็ค่อยๆคลายออกพอที่จะวางดอกไม้บนมือได้ สักพักเต้ยก็หมดอาการเกร็ง และก็หลับตาสงบลง คราวนี้ไม่มีใครมีอารมณ์ที่จะสนุกสนานต่อ กลิ่นธูปกระจายคลุ้งป่า พวกสาวๆก็พากันจับกลุ่มกลัวกัน ผมเห็นท่าไม่ดีจึงลากเต้ยเข้าเต้นท์ไปพร้อมรุ่นพี่อีกคน ยังไม่ทันจะหลับตาลงร่างเต้ยที่นอนราบอยู่ก็ลุกพรวดขึ้นยืน ตาแดงก่ำ แต่รอบนี้รุ่นพี่ผมรู้ทางแล้วรีบถอดสร้อยพระจากคอสวมใส่คอเต้ยทันทีเต้ยถึงได้ทรุดฮวบลงนอนแบบเดิม
"กูว่างวดนี้ ผีป่าหว่ะ" รุ่นพี่เปรย ก่อนที่จะนอนหลับตาลง เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราปรึกษากันถึงเหตุการณ์เมื่อคืนว่าทำไมกบถึงไม่เป็นอะไรเลย ก็ปรากฏว่ากบเขาห้อยพระดีอยู่ในคอ ส่วนเต้ยโผล่ออกมาจากเต้นท์หน้าตาบวมและถลอกปอกเปิก แล้วถามผมว่า
" ผมเป็นอะไรนะพี่ ทำไมเละอย่างนี้ "
" แกนะเมาแล้วก็ล้มเมื่อคืน " ผมโกหกเพราะไม่อยากให้เขากลัวว่าเขานะถูกผีเข้า รับน้องปีนั้นพวกเรานิสิตนักศึกษาต่างก็ไปจบกันที่วัด พวกเราคุกเข่าเรียงรายให้พระรดน้ำมนต์กันถ้วนหน้า และไม่คิดที่จะเดินทางต่อไปที่ภูหินล่องกล้าเลย เพราะภูเรือยังขนาดนี้ และภูหินล่องกล้าซึ่งเดิมเป็นสนามรบนี่หละจะขนาดไหน
จบ