28 มิถุนายน 2546 22:04 น.
ม้าก้านกล้วย
ฝนเดือนหกตกหนักขึ้นทุกวัน
ฝันเฝ้าฝันถึงบ้านนาเวลาฝน
พ่อที่แก่แม่ที่เฒ่าคงเฝ้าทน
แกคงกล่นเกลี่ยเลนเป็นแปลงนา
จะมีพันธุ์ข้าวไหมไหนจะปุ๋ย
คอกไอ้ทุยใครที่ไหนจะใส่หญ้า
เพราะลูกชายหนีลำบากจากบ้านมา
เพราะหวังว่าเอาบ่าแบกแลกเงินทอง
กรรมกรกลางกรุงที่ยุ่งเหยิง
ไม่ได้เหลิงแสงสีที่มัวหมอง
เพราะจากนาอย่างหน้าน้ำตานอง
ก็ขอลองวัดชะตามาช่วงชิง
ต้องจากลาพ่อแม่มาแต่ตัว
ทั้งที่กลัวใครนินทาว่าทอดทิ้ง
ใครจะหาปลาไว้ให้แกปิ้ง
ไหนจะสิ่งเครื่องอำนวยช่วยผ่อนแรง
ฝนเดือนแปดแผดคำรามหยามน้ำหน้า
ไอ้ลูกชายชาวนามาหน่ายแหนง
ทิ้งวิถีชีวิตผิดสำแดง
มาผาดแผลงดิ้นรนบนทรากกรุง
เมืองที่วัดความเจริญด้วยเงินตรา
วัดคุณค่าที่ร่ำรวยด้วยเงินถุง
กับแค่คนเห็นสาปคราบท้องทุ่ง
ไม่อยากยุ่งเกี่ยวข้องต้องเจียมตัว
คนทางบ้านจะ อภัยให้ไหมหนอ
หนึ่งคำขอ แค่เห็นใจ ไอ้ลูกชั่ว
จะกลับนาไปไถพรวน ทั้งสวนครัว
แต่ก็กลัว เขาจะเย้ย เลยจนใจ
(ม้าก้านกล้วย)
21 มิถุนายน 2546 21:45 น.
ม้าก้านกล้วย
โอ้เจ้านกเสียงดีสาลิกา
ร้องเริงร่าเรียกคู่อยู่เจั้อยแจ้ว
ไม่อาทรร้อนใจใดใดแล้ว
ร่ำอยู่แนวป่าไพรไกลกังวาน
วันทั้งวัน เจ้านั้น กระชั้นเสียง
ส่งสำเนียงแค่เรียกร้องพ้องเพลงหวาน
ประกาศด้วยกมลทรามความต้องการ
แค่สืบสานสายพันธุ์ เท่านั้นหรือ
ฉุกสะท้านใจอ่อนสะท้อนจิต
จึงได้คิดว่าบทกลอนที่ซ่อนสื่อ
โหยแต่หารักมาปรนจนล่ำลือ
กวีคือผู้พรรณาภาษารัก
จะต่างใดกันเล่ากับเจ้านก
แค่วิหคสาลิกามาอึกอัก
แค่ร้องเล่นเป็นทำนองคะนองนัก
แค่ล้อรักคลอครวญกวนอารมณ์
สร้างสิ่งที่ดีกว่าภาษาสวย
สร้างไว้ด้วยพ้องพร่ำคำผสม
สร้างเพื่อสร้างพลังให้สังคม
สร้างอาคมสะกดใจให้ได้คิด
ประเด็นโลกโศกสุขซุกซ่อนอยู่
เตือนให้รู้แนวบันเทิงเชิงสะกิด
ติงให้ชาญฉลาดคู่รู้ชีวิต
โดยประดิษฐ์สนองสรวลสำนวนกลอน
มีรักบ้างขมบ้างอย่างเหมาะสม
มีชื่นชมชิงชังดั่งคำสอน
มีเล่นลิ้นโลเลเป็นเล่ห์หลอน
มีกลกลอนกวีกานต์มาขานคำ
(ม้าก้านกล้วย)
20 มิถุนายน 2546 22:28 น.
ม้าก้านกล้วย
ทะยานสู่โค้งฟ้าถลาร่อน
ทะยอยย้อนทวนท่องล่องเวหา
ทะเลเรืองเบื้องล่างกระจ่างตา
ทะนงกว่าปักษีที่แห่งไหน
จ้าวถิ่นจ้าวเที่ยวท่องเหนือท้องน้ำ
บ้างบินต่ำเรี่ยผืนคลื่นลมไล่
หากเจ้าอยากเหิรหาฟ้าไสว
เจ้าก็โผขึ้นไปดั่งใจฝัน
ประกาศอิสระภาพ ระนาบฟ้า
ผงาดกล้า กางปีก ฉีกกรงกั้น
ทลายขอบเขตขวางอย่างเหนือชั้น
จนหนึ่งวันผันพ้นจนมืดลง
มิยึดหลักแหล่งใดให้มีห่วง
เจ้าพ้นห้วงพันธนากว่าแรงหลง
อย่างปลอดปล่อยและเปล่าเปลี่ยวเที่ยวปลดปลง
แต่ยังคงมิขอใครให้เมตตา
เจ้าคือนางนวลนายแห่งสายชล
ผู้ดั้นด้นผู้ หลุดพ้น ผู้ค้นหา
ผู้วาดแววแจ่มใสให้โค้งฟ้า
ประกาศกล้ากลางคลื่นลมที่โถมพัด
(ม้าก้านกล้วย)
19 มิถุนายน 2546 21:20 น.
ม้าก้านกล้วย
ฝนพรำพรำ น้ำตาฟ้า หล่นมาหลอน
ใจรอนรอน น้ำตาเหงา เคล้าผสม
หวีดหวิวหวิว ยินอยู่เพียง แค่เสียงลม
ฟ้าครืนครืน ขื่นแล้วขม ชมแล้วครวญ
เมฆม่านหม่น มัวมัว กลัวใจนัก
ถอนหายใจ หนักหนัก สักกี่หวน
กระพริบตา ถี่ถี่ ฤดีรวน
ฝนนั้นชวน ซึมซึม ไม่ลืมเธอ
สะบัดหน้า สำนึก ระลึกถึง
ใยจึงตรึง ตราแค้น แน่นเสมอ
ทั้งที่ช้ำ ร่ำลา มาพ่ายเพ้อ
ยังละเมอ ว่าฝัน มันไม่จริง
หยิกแขนซ้าย ย้ายแขนขวา เหมือนบ้าคลั่ง
ตื่นหรือยัง หวังหรือไร ใยคงนิ่ง
สะท้อนอก สะทกใจ ใครนะทิ้ง
ให้จมดิ่ง อยู่ในโลก ที่โศกศัลย์
ฝนรินริน กินน้ำตา เหมือนอาหาร
หวังหวานหวาน ว่ารักยัง เช่นดั่งฝัน
เพ้อลมลม จะชมชื่น ทุกคืนวัน
คิดสั้นสั้น คำลานั้น มันเรื่องลวง
จากกันแล้ว ใช่หรือไม่ ใครจะตอบ
ก็เคยชอบ ก็เคยง้อ ก็เคยหวง
กลับมาหา ได้หรือไม่ ใจทักท้วง
มาเก็บดวง ใจที่รอ ขอรักคืน
(ม้าก้านกล้วย)
17 มิถุนายน 2546 16:51 น.
ม้าก้านกล้วย
ลำนำแห่งวังเวง . . บรรเลงอย่างเงียบงัน
เดียวดายใต้เงาจันทร์ . . รำพันแค่รักลา
เหม่อมองต้องข่มใจ . .คนไกลใยไม่มา
โอดครวญป่วนอุรา . .เหลียวหา ทว่าหาย
จะมีดนตรีใด . .กล่อมใจให้เหงาคลาย
โศกาน้ำตาสาย . .หล่นรายในคืนนี้
เคยเหงาเข้าใจว่า . . เขามาปลอบฤดี
ไฉนจึงไม่มี . . กอดที่อ่อนละมุน
แผ่นไหล่ไหนจะรอง . . เมื่อต้องการเอนหนุน
อยู่ไหนล่ะไออุ่น . . ว้าวุ่นและวังเวง
ลำนำแห่งโหดร้าย . . กรีดกรายร่ายบรรเลง
แปร่งปร่ากว่าบทเพลง . . คิดเองหรือเป็นจริง
เขาไปไม่แม้ลา . . ห่วงหาประสาหญิง
ย้ำหนักว่ารักยิ่ง . . ใยทิ้ง ไม่จริงใจ
บทเพลงก็ลาลับ . . สดับ วิเวกไหว
ฟูมฟายร้ายร่ำไห้ . . หาใคร เข้าใจเรา
ค่อนคืนฝืนคอยครวญ . . เจียนจวน จะขลาดเขลา
เดียวดายไร้แม้เงา . . ใครเล่า จะเข้าใจ
(ม้าก้านกล้วย)