17 มีนาคม 2546 23:52 น.
ม้าก้านกล้วย
จะวิ่งไปทางนั้นก็ควันไขว่
จะวิ่งไปทางไหนก็ไฟล้อม
จะวิ่งหนีลุกลนวนเวียนอ้อม
จะยินยอมอย่างไรไฟจะลน
เด็กทั้งหลายต่างตระหนกตกประหม่า
จะหันหน้าหนีไฟให้ผ่านพ้น
ก็เกรงว่า จะลามลวกพวกของตน
จึงตั้งต้น หนีภัยก่อนไร้แรง
โชคยังไม่โหดร้ายเกินไปนัก
ยังมีปลักโคลนขัง ยังมีแอ่ง
จึงพร้อมเพรียง ถลาหลง ลงตีแปลง
เอาดินแป้ง ทาเถือ ทั้งเนื้อตัว
พอกมือ พอกตีน ดินเกรอะกรัง
แขนขา หน้าหลัง กระทั่งหัว
ก็ละลน ปนละลาน พาลนึกกลัว
หากยังมัว ลังเลใจ ไฟจะมา
หลบอยู่ในเลนโคลน จนทุเลา
เพลิงผลาญเผา วอดวาย คลายโหมกล้า
กุศลหนุน บุญปลอด รอดชีวา
แต่เกือบพา กันมา ฆ่าตัวตาย
ผลุบโผล่ โงหัว ขึ้นยั่วเย้า
หยอกกระเซ้า หัวร่อ กันงอหาย
จากเล่นลม มาจมโคลน ตะโกนตะกาย
ได้แหวกว่ายปลักเปรอะ เลอะทั้งตัว
ม้าก้านกล้วย)
17 มีนาคม 2546 21:19 น.
ม้าก้านกล้วย
ลมบ้าหมูหมุนวนจนฟุ้งฝ้า
ในผืนนาหน้าแล้งแหล่งเวิ้งว่าง
มันหมุนหอบกอบกลุ่มสุมฟ่อนฟาง
มันหมุนอย่างโลดลิ่วปลิวละออง
เมื่อผ่านน้ำหอบน้ำมาโปรยปราย
เมื่อผ่านทรายหอบทรายให้ลอยล่อง
เมื่อผ่านฝุ่นพัดฝุ่นข้นจนหม่นหมอง
เมื่อผ่านกองไฟระอุยังคุโชน
เด็กน้อยบ้านนาประสาซน
เห็นลมวนลนลานทะยานโผน
เล่นวิ่งไล่ให้ลมล้อมจอมทะโมน
แจ้นกระโจนกระจายกลุ่มรุมลมแล้ง
บ้างถอดเสื้อโยนใส่ให้ลมหอบ
บ้างก็กอบฝุ่นผงในดงแห้ง
มาโยนย้อมอยากจะเห็นเป็นสีแดง
ศิลาแลง ลูกรัง กระทั่งทราย
วิ่งตามโต้ลมเต้นเป็นลูกคู่
วิ่งตามดูอยู่ไหวไหวมิให้หาย
จนลมแล่นหลงไปในกองไฟร้าย
มันหอบสายเพลิงโหมจู่โจมแล้ว
ประทุถ่านมอดเชื้อเพื่อแผดเผา
ประจุเถ้าร้อนเร่าเข้าต่อแถว
ประดุจสายชนวนลามไปตามแนว
ประหวั่นแล้ว คุคลั่ง ช่างพรั่งพร้อม
(ม้าก้านกล้วย)