29 มิถุนายน 2545 07:06 น.
ม้าก้านกล้วย
พุ่มมะลิดอกระยับประดับพุ่ม
พวงมะลิกอดกลุ่มชุมหนักหนา
พันกิ่งก้านประชันช่อละออตา
พวงระย้าระเรี่ยดินกล่นระรวย
เพราะกลีบสวยและกลิ่นหอมดอมระดม
พร่ำผสมยามลมพร่างพรมช่วย
แพร่กระจายหลายหลั่งช่างสลวย
เพราะเป็นด้วยเหตุฉะนี้ยินดีนัก
พึงจับกลับมาร้อยเป็นมาลัย
พันเป็นสายอุบะบายลายสลัก
เพ่งประดิษฐ์ประดอยทอก็เพราะรัก
เพียงเพราะหวังพำนักกลิ่นนานนาน
เพราะฉะนี้มาลีจึงมีค่า
เพราะเพียงว่านานามาถึงบ้าน
เพราะพึงใจพวงมาลีที่ตระการ
เพราะชื่นชมความชำนาญการเรียงร้อย
พวงมาลัยจึงซื้อขายได้ราคา
พวงมาลาจึงแปรค่ากว่าดอกด้อย
พวงมะลิจากต้นที่มีดอกน้อย
พวงละร้อยละพันแย่งกันยื้อ
พวงมาลัยจึงไร้ไอระริน
ฟอร์มาลินอาบกลิ่นมะลิหรือ
พรมมาลาจนแห้งจนแข็งทื่อ
เพียงให้ถือขายได้หลายหลายวัน
(ม้าก้านกล้วย)
อันกลอนกลปรนอักษร นี้ มักจะให้อักษรใดอักษรหนึ่ง นำหน้าเป็นหลัก ในที่นี้ ใช้ พ. พาน แต่ ท่อนนึง ขออนุญาตแหกกฏ เพราะ เป็นศัพท์เฉพาะ คือ ฟอร์มาลีน
แต่ กลอนกลอักษรปรน นี่ ยากกว่านี้ เพราะ จะให้คำหลังสุด สัมผัสอักษร ซึ่งยากกว่า นี้ สิบเท่า เลยไม่กล้าพอที่จะแต่งโชว์
26 มิถุนายน 2545 14:37 น.
ม้าก้านกล้วย
เธอคือความฝัน
คือ..คืนวันอันสดใส
คือ..คนดีที่อยู่กลางดวงใจ
คือ..สายใยแห่งความผูกพันธ์
เธอคือดอกไม้
คือ..เมฆขาวสวยใสน่าใฝ่ฝัน
คือ..ดวงจันทร์ทอแสงนวลนานแสนนาน
คือ..วันวานที่ฉันไม่อาจลืม
เธอคือละอองฝน
ที่ร่วงหล่นจากเมฆครึ้ม
คือ..ความเย็นฉ่ำอันดูดดื่ม
ที่ฉันสุดจะปลื้มเมื่อได้เจอ
เธอคือแดดอุ่น
ที่ทอแสงละมุนอยู่เสมอ
ช่างอบอุ่นอย่างเลิศเลอ
ยามใดที่ฉันสัมผัสเธอ ล้วนมีแต่ความสุขใจ
เธอคือธรรมชาติ
ที่ไม่อาจเปรียบเทียบราคาได้
เพราะเธอทรงคุณค่าภายในจิตใจ
ล้ำค่ากว่าสิ่งใดๆที่จะพรรณา
เธอคือที่รัก
ฉันประจักษ์รู้เห็นเป็นหนักหนา
และจะขอเก็บเธอไว้ในดวงใจและดวงตา
เพราะเธอนั้นทรงคุณค่ากว่าสิ่งใดใด
sodasasa
คนดี
ใยมองข้ามคนที่อยู่ใกล้ใกล้
เรียกร้องธรรมชาติสร้างที่กว้างไกล
ทำไมไม่เหลียวมามองกัน
ฉันอยากเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง
อยู่รอบสรรพางค์ของเธอนั้น
อยากเป็นบุปผานานาพรรณ
เพื่อประชันสรรค์โฉมเพื่อโลมใจ
อยากเป็นท้องฟ้าและปุยเมฆ
หากฉันมี ฤทธา เสกได้
จะแปลงร่างเป็นแมกไม้
เพื่อให้ เธอได้ ใช้ร่มเงา
จะเป็นลม พริ้วพราย รอบกายเธอ
แอบจุมพิต ยามเผลอ ยามเธอเหงา
จะส่งกลิ่น หอมระริน ประทินเคล้า
เพียงบางเบา เพื่อปัดเป่า เจ้ารัญจวน
แม้นยาม เธอร้อน ต้องผ่อนพัด
อยากเป็นฝน โปรยปัด สะบัดหวน
หอบไอเย็น ยะเยือกย่ำ พร่ำอบอวล
ให้คลายครวญ ร้อนรุ่ม อุรานาง
แม้เธอหนาว เกินไป ใจก็หวัง
จะเป็นแสง แรงสะพรั่ง ดังแดดพร่าง
บั่นทอนหนาว บรรเทาเหน็บ เจ็บจะจาง
พร้อมชี้ทาง สว่างใจ ให้เธอเดิน
แต่ฉัน เป็นได้ แค่ชายคนหนึ่ง
รักและซึ้ง ไม่กล้าเอ่ย เลยขัดเขิน
อัดและอั้น จึงเหงา เศร้าเหลือเกิน
แอบมองเธอ เพลิดเพลิน เพียงลำพัง
จะฝากลม ฝากฟ้า ไม่กล้าทัก
ปากมันหนัก ใจมันหน่วง ห่วงและหวัง
อาศัย ธรรมชาติช่วย อวยพลัง
บอกเธอบ้าง ว่าเรา เฝ้าแอบปอง
ม้าก้านกล้วย
25 มิถุนายน 2545 13:26 น.
ม้าก้านกล้วย
ภู่จรรโลงกลอนไว้ในภิภพ
ภู่เจนจบวรรณกรรมคำสลวย
ภู่ร่ายนิราศร้างอย่างสำรวย
ภู่ช่วยให้กวีมีชีวิต
พระศรีสุนทรโวหาร
ดังอาจารย์ด้านกวีวจีลิขิต
บันดาลโลกด้วยโวหารปานนฤมิต
ซึ่งเหล่าศิษย์ทั้งมวลล้วนบูชา
ผู้เสกสรรค์ตำนานอภัยมณี
นิราศที่ประธม บรมกภา
เพลงยาวถวายโอวาท ปราชญ์บัญชา
แลบท นางสีดา ผูกคอตาย
สิงหไตรภพ ครบคำร้อง
ทั้งนิราศภูเขาทอง ยกย่องไว้
โคบุตร สวัสดิรักษา มามากมาย
ลักษณวงศ์ และพระไชย สุริยา
บทกำเนิดพลายงาม สูงส่ง
ราชพง สาวดาร ท่านก็ว่า
เห่จับระบำ คำนานา
แม้เรื่องกากีล้วนถ้วนถ้อยคำ
สุภาษิตสองหญิงยิ่งต้องอ่าน
ซึ่งโวหารพระภู่ อยู่ยืนค้ำ
ซึ่งข้ามกาลผ่านสมัยใคร่ควรจำ
ศิษย์ขอนำสดุดี กวีไกร
(ม้าก้านกล้วย)
25 มิถุนายน 2545 07:42 น.
ม้าก้านกล้วย
ฉันเด็กชาย จนยาก ภาคอีสาน
ต้องตรากตรำ ทำงาน อยู่บ้านไร่
ทะเลสวย ใสเย็น เป็นยังไง
ไม่เคยเห็น ไม่เคยไป ไม่เคยดู
คงจะสวย ด้วยคลื่น ระรื่นริ้ว
ระลอกลิ่ว แรงไหม ไม่เคยรู้
ได้แต่หวัง ฟังเขาว่า มีปลาปู
ตัวใหญ่กว่า ปลาทู ที่บ้านเรา
เขาบอกมา ว่าเห็น เป็นเวิ้งว้าง
มีอ่าวกว้าง แลลับตา กว่าคำเล่า
คลื่นซัดสาด ร่ำร่ำ ค่ำยันเช้า
มีโขดเขา เป็นเกาะกว้าง กลางทะเล
ฉันไม่สนใจหรอก
ที่เขาบอก ให้ฟัง ยังไขว้เขว
ถ้าอย่างนั้น บ้านฉัน ก็มีทะเล
มีลมเพ ลมพัด สะบัดใบ
ทุ่งข้าว สีเขียว ก็ดูสวย
เมื่อลมช่วยโบกโบย โรยลมไล่
เหมือนริ้วคลื่น ยืนดู อยู่ไกลไกล
จะหวิวไหว แกว่งไกว ไปตามลม
ยอดคลื่นมี เสียงครืน ครึกครื้นซ่า
ท้องนา ก็สำเนียง เสียงขับขรม
ทั้งกบเขียด อึ่งอ่าง ครางระงม
ฟังแล้วกลม กล่อมใจ คล้ายคล้ายกัน
ปูปลา ก็มี อย่างที่เล่า
นกเขา กางเขน และไก่ขัน
มาทดแทน นางนวล ชวนประชัน
ก็เป็นนก เหมือนกัน ฉันมั่นใจ
ถ้าเช่นนั้น ฉันไม่ สนใจอีกแล้ว
ในทางแถว คันนา มาเดินได้
ดีกว่าล่อง ทะเลเล่น เป็นไหนไหน
ทะเลลึก เกินไป ไม่กล้าลง
(ม้าก้านกล้วย)
23 มิถุนายน 2545 18:16 น.
ม้าก้านกล้วย
ในกระท่อม ปลายนา ประสายาก
จะลำบาก เพียงใดไม่เคยบ่น
หนักและล้า ตรากตรำ ระกำระคน
จะสู้ทน ทำกิน บนถิ่นทอง
ไม่เคยยืม หนี้สิน มากินหรู
ไม่เคยกู้ เกินกำลัง ประทังท้อง
แค่หากิน อยู่ได้ มิก่ายกอง
แค่มิต้อง ดิ้นรน จนเกินไป
เพียงสองเรา รู้จักพอ ก็รื่นรมย์
เสพและสม บนบัลลังค์ ตั่งไม้ไผ่
เสียงกาเหว่า ข้ามผืนนา มาแต่ไกล
วังเวงไหว แข่งเสียงไก่ ในท้ายนา
อึ่งอ่างร้อง ระงมบ่น ยามฝนไล่
แลจั่งจั่น ระงมไกล อยู่ในป่า
มีอาหารอย่างดี มีฝูงปลา
จับเอามา เผาพล่า ก็น่ากิน
ยามนา เหนื่อยหนัก ก็พักกาย
ยามไร่ ลำบากกาย หากได้สิน
ยามพัก ยังร้องเพลง บรรเลงพิณ
ยามยิน ช่างสุขแสน ปานแดนพรหม
คือชีวิต อย่างที่ มีชีวา
คือชาวนา ชาวดง พงไพรร่ม
คือสันหลัง เรียบง่าย ได้ปลดปลง
ได้สืบพงศ์ วงศ์วาน ทำงานนา
(ม้าก้านกล้วย)