11 ตุลาคม 2546 22:37 น.
ม้าก้านกล้วย
เกาะงามยามน้ำทะเลแรง
เกาะแกล้งกั้นกลางขวางแรงคลื่น
เกรี้ยวกราดกร่อนกัดแล้วพัดคืน
กวาดกลืนก้อนกรวดอวดพลัง
กลมกล่อมก้อนกรวดเป็นลวดลาย
ขัดคายเหลี่ยมเล็งให้เปล่งปลั่ง
หินแข็งแกร่งกลายก็พ่ายพัง
จนกระทั่งกลมก้อนสะท้อนน้ำ
เพียงหยดน้ำน้อยในกระแส
ก็แค่แรงคลื่นกลืนกระหน่ำ
ร้อยวันพันปีมีประจำ
สาดซ้ำแทรกซอนแล้วซ้อนซัด
เกาะก้อนศิลาก็ว่าแกร่ง
อวดแท่งสง่าเงื้อมเลื่อมระบัด
ต้านทานคลื่นลมโหมสะพัด
หวังวัดความทนบนธารา
ร้อยวันพันปีมิสั่นคลอน
สั่งสอนสัจธรรมอันล้ำค่า
เก่งแกร่งแข็งเพียง พสุธา
อวดว่าสูงเด่นเป็นหลักชัย
อาจต้านทานลมโถมปะทะ
อาจจะคงทนพ้นสมัย
เกิดแก่เจ็บจนจะพ้นวัย
ต้องปรักหักไปในไม่ช้า
วารีเปรียบกาลอันเลยล่วง
ถามทวงสังขารประมาณค่า
กัดเกาะเลาะกรวดปวดอุรา
มิช้าจะจมเป็นตมทราย
(ม้าก้านกล้วย)
11 ตุลาคม 2546 00:54 น.
ม้าก้านกล้วย
แค่คำนึงถึงเพลงบรรเลงร้าว
เมื่อครั้งคราวจากลาในหน้าฝน
แค่สัญญาพลั้งปากจากบางคน
เมื่อตัวตนห่างกันมันเลื่อนลอย
แค่จากมาด้วยใจไม่มั่นคง
เพราะเคลิ้มหลงเพลงขลุ่ยครวญชวนละห้อย
หวานแค่ลมเพลงพร่ำแกล้งสำออย
แต่ถดถอยจริงใจไม่เหลือเลย
ไม่อยากจำย้ำใจไปไยเล่า
เพราะสองเราร้างลาอย่างผ่าเผย
อดีตดับลับเลือนเหมือนไม่เคย
จึงไม่เชยชมเสียงเพียงรื้อฟื้น
ขอให้เพลงขลุ่ยผิวปลิวผ่านมา
เพียงแค่พาเหงาใจในยามตื่น
แล้วปล่อยผ่านเลยล่วงมิท้วงคืน
ขอสะอื้นครั้งเดียวพอไม่ขอจำ
แค่คำนึงถึงครั้งเมื่อยังหวาน
ใจก็กร้านแกร่งกร้าวร้าวระส่ำ
เมื่อปลายทางรักที่มีเป็นสีดำ
เพียงแค่ทำใจปลงมิหลงเพ้อ
แต่อีกในสำนักรู้สึกเหงา
กัดกร่อนเราเฝ้าคำนึงถึงเสมอ
เมื่อขลุ่ยผิวแว่วไกลใจละเมอ
นึกถึงเธอนิดหน่อยปล่อยให้เป็น
(ม้าก้านกล้วย)
9 ตุลาคม 2546 22:32 น.
ม้าก้านกล้วย
ลมบ่าย สงัดลง ตรงเหนือน้ำ
กากตะกอน ข้นคล้ำ กระหน่ำหนุน
เชี่ยวจากต้น สามสบ สมทบทุน
ในน้ำขุ่น มีตำนาน เคยขานไข
โขงโค้ง เคี่ยวเข็ญ เช่นวังเวิน
หมักเบือ เหลือประเมิน เกินกักได้
ผุดพ่น ไอพิษ ที่ติดไฟ
โพล่งพลัน ทันใด ในเพ็ญพราง
ลมเย็น กลับคะนอง ร้องครืนครืน
ยิ่งตื่น ตระหนกใจ ไฟสว่าง
เดโช พญานาค จากกึ่งกลาง
เส้นทาง สีทันดร หลอนฤดี
ไร้เสียง กัมปนาท แต่ขลาดเขลา
ไร้เงา จุดกำเนิด เกิดจากผี
ไร้ร่าง ผองเผ่า เหล่านาคี
ไร้ที่ จะดำริ อธิบาย
ลำแสง แจ่มเจือ เหนือลำน้ำ
ผุดซ้ำ แสงสว่าง แล้วจางหาย
พุ่งพรวด ขึ้นฟ้า จ้ากระจาย
ทั้งซ้าย และขวา มาประชัน
คงเป็นเรื่อง เลิศล้ำ ธรรมชาติ
คงอาจ เป็นนาคา บูชาสวรรค์
คงเพราะใคร สักคน บนฝั่งนั้น
คงปิดกั้น มิเปิดเผย เลยลึกลับ(ม้าก้านกล้วย)
4 ตุลาคม 2546 17:11 น.
ม้าก้านกล้วย
ลมเหนือเริ่มล่องลงจากดงสูง
มาไล่รุ้งเหลือบฝนจนจางหาย
มารัดรวงหน่วงโน้มประโลมลาย
รวงจะกลายแก่เกรียมเตรียมเกี่ยวกำ
มรสุมสั่งฟ้าว่าลาล่วง
เพื่อผ่านห้วงวสันต์อันดื่มด่ำ
เคยครอบคลุมม่านเมฆเสกมนต์ดำ
จะล่วงล้ำลาไปให้ห่วงหา
คงจะเหลือแดดแรงไว่แต่งแต้ม
ดอกหญ้าแย้มรับหนาว ณ ราวป่า
ใบไม้เขียวมีแซมสวยด้วยผกา
เริ่มจะลาใบจะหม่นจนจะโรย
ลมละอองล่องลอยฝอยดอกรัก
ทอถักย่านใยจนใจโหย
ละลิ่วร่วงลงโลกดั่งโบกโบย
ลำเลียงโดยความแข็งแรงแห่งลมหนาว
ชาวนารอเกี่ยวผลสำเร็จ
งานเสร็จลงเรือเพื่อเกี้ยวสาว
โอ้ละช้าโอ้ละเห่เร่เพลงยาว
จะหาคู่เกี่ยวข้าวหน้าหนาวนี้
สอดคล้องตามวันเวลาเปลี่ยน
หมุนเวียนวัฏวาระดิถี
เป็นเช่นผันผ่านมานานปี
สานชีวีสืบชีวามานานนัก
(ม้าก้านกล้วย)
23 กันยายน 2546 00:02 น.
ม้าก้านกล้วย
ฝนสั่งฟ้านั้นอาจขาดสายไป
แต่ก็ยังเยือนใหม่ได้เสมอ
เรารอรักสมหวังยังรอเก้อ
ไม่เห็นเธอกลับมาลาแล้วลับ
ทุกวันคืนคงคอยอย่างน้อยจิต
ทั้งชีวิตรอเก้อรอเธอกลับ
นานเท่านานเพียงใดใจยังนับ
เหงานั้นจับกุมภวังค์ยังกังวล
นาแล้งรอน้ำก็ฉ่ำชุ่ม
ไพรชอุ่มคืนขจีมีหยาดฝน
หญ้าทั้งทุ่งรุ่งอร่ามท่ามสกล
แต่หนึ่งคนที่จากไปไยไม่มา
หรือกรุงไกลมีอะไรรั้งใจเจ้า
จนลืมเราทั้งคนจนเจียนบ้า
ลืมเคยไล่เล่นฝนบนท้องนา
และลืมวา-จาหวานหว่านโปรยไว้
ไร้แล้วซึ่งแรงงานจะหว่านดำ
ฝนพรำฝนโปรยจะโรยไล่
ก็ช่างฝนช่างสวรรค์มันปะไร
กำลังใจหายแห้งแล้งเหลือเกิน
นั่งรออยู่กลางนาให้ฟ้าปลอบ
รอคำตอบจากบางคนจนเก้อเขิน
แม้ไร้หวังก็ยังรอ ท้อเหลือเกิน
ใจยับเยินแทบสลายจะตายแล้ว
(ม้าก้านกล้วย)