1 กันยายน 2553 00:06 น.
ม้าก้านกล้วย
เพียงเพราะลมพริ้วผ่าน ก็ ราญร้าว
เพียงเพราะก้าวเพลินพลั้งหวังเพียงว่า
ลมปากหวานเพราะพร่ำจำนรรจา
จึงชักพาใจลอยเพราะถ้อยคำ
สัญญาลวงลมลอยค่อยค่อยเจ็บ
อยากจะเย็บแผลตรึงซึ่งระส่ำ
หลงลมเหิน เยินยอ พนอนำ
หวานน้ำคำ น้ำหน้าชาย กลายเป็นขม
เพราะเพียงลมแผ่วแผ่วแล้วก็ผ่าน
เจ็บจึงนาน เนิ่นนัก รักติดหล่ม
ร้อยคำพูด พันคำอ้าง อย่างลมลม
ยังชื่นชม จมวจี ที่แสนลวง
เขาเอาล้านเหตุผลมาปรนเปรอ
ใจจึงเผลอเชื่อใจไม่เคยห่วง
ใจจึงมั่นมุ่งหวัง ในทั้งปวง
จึงทั้งทรวงแทบมลาย กลายเป็นลม
สัญญาร้างแรมเลือน เหมือนละเมอ
ก็เมื่อเจอความจริง ยิ่งกว่าขม
ร้อยสัญญา ใครต่อใครหลายคำคม
จึงต้องจม น้ำตาเหงา เราผู้เดียว
ลมปากหวาน หว่านไว้ ไม่เคยนับ
เสียงสดับ เคยตระหนัก สักประเดี๋ยว
สัญญา ล้านเล่มเกวียน เพียรนักเชียว
คงจะเที่ยว แจกจ่าย หลายร้อยพัน
เพียงเพราะลม พริ้วผ่าน สะท้านหนาว
หวังสกาว เริ่มเลือน เหมือนรอยฝัน
ลมรักเร่ ล่องลอย อีกร้อยพัน
เหลือเพียงวัน วังเวงใจ ในลมลวง
(ม้าก้านกล้วย)
2 สิงหาคม 2553 22:27 น.
ม้าก้านกล้วย
ใช่แค่มือสิบนิ้ว จะพริ้วพรม
เป็นคำคม อาวรณ์ กลอนหรูหรู
ต้องใช้ชั้น เชิงวาง อย่างชั้นครู
จึงจะดู รื่นใน ไวยลักษณ์
ใช่ท่องบ่น ตำรา มาล้านเล่ม
กลอนจะเข้ม ข้นคั่น วรรณวิจักษ์
ต้องใช้กาล กลั่นกรอง ลองประทักษ์
จึงประจักษ์ ว่าเป็นงาน ผ่านสมัย
ฉะนั้นจึง พึงสดับ จับกำหนด
แต่ละบท กวีวัจน์ ดัดนิสัย
ต้องปรุงรส อิ่มเอม เปรมฤทัย
ด้วยละมัย ที่สั่งสม บ่มจนหอม
ใช่จะเรียง ร้อยถ้อย รอยสิขิต
มาปะติด ปะต่อคำ ลำนำกล่อม
แล้วทุกบท จะล้วนดี ประนีประนอม
ต้องอาบย้อม ด้วยรักร้อย ค่อยเรียบเรียง
ใส่รสทิพย์ นำทาง อย่างรู้ธรรม
ใส่ลำนำ ลงลำดับ สดับเสียง
ใส่บัญญัติ ลงบรรยาย ร่ายลำเลียง
ใส่สำเนียง ลงเสนาะ ไพเราะนัก
ใช้ว่าร้อย ล้านผู้ อยู่เปล่าเปล่า
จะขัดเกลา กวีได้ ในล้านหลัก
นับแค่หนึ่ง เพียงพัน นั้นยากนัก
หนึ่งที่รัก บทกวี มีหนึ่งเดียว
แม้เปรียบตน ดังธุลี ที่ล่องลอย
เหมือนค่าด้อย ต่ำใต้ ไร้แลเหลียว
แต่หนึ่งฝุ่น ก็วาววับ ระยับเชียว
แค่หนึ่งเดียว เรืองมลัง ดังฝุ่นเพชร
26 กันยายน 2551 18:38 น.
ม้าก้านกล้วย
ยังยืนหยัดอยู่ไย ไม่ตายจาก
ตามแต่ตรากตรำตื่น เพราะฝืนฝัน
ระริกรับรู้รอย ถ้อยจำนรรจ์
ที่ทบทวนทุกข์ทัน นับพันคราว
ยิ้มแย้มยามหยอกเย้า เช้าจรดเย็น
ลี่ลี้ลับหลบเล่น เป็นคนเหงา
เงื้อมงุนงงเงื่อนงำ ค่ำยังเช้า
จนจิตใจจับเจ่า เศร้าทั้งคืน
เฝ้าฝักเฝ้าฝันใฝ่ ถึงใครหนอ
ร้างรักเรารั้งรอ ท้อทั้งฝืน
เรี่ยรายรินรินร่ำ น้ำตาชื้น
ครุ่นคิดเครียดค่อนคืน ตื่นตานอน
เกลียดโกรธกันก็กล่าว บอกเล่าบ้าง
อย่าเย็นยะเยือกอย่าง เมื่อครั้งก่อน
เคยเคียงครองคู่คั่น บรรจถรณ์
กาลกลับกลายเกลียดกร่อน ร้อนระทม
ยังยืนหยัดอยู่ไย คนพ่ายรัก
โหยหาห่วงหายหัก เพราะรักขม
ทวงท้วงท่าทีที่ ฤดีตรม
เปลือยปล่อยปลดปลงปม ขมซ้ำซ้ำ
เงื้อมงุนงงเงื่อนงำ ค่ำยังเช้า
น้อมนึกหนึ่งแนบเนา เศร้าระส่ำ
อบอวลไออิ่มเอิบ กำเริบย้ำ
รักร้างเราระร่ำ ระลึกรอ
(ม้าก้านกล้วย)
(กลอลกลสัมผัสอักษร 5 ตัว)
7 พฤษภาคม 2551 20:56 น.
ม้าก้านกล้วย
ใต้รอย น้ำตาริ้น
เกาะกิน กมลขม
เจ็บนัก รักระทม
ตรอมตรม อารมณ์หลาม
โหยฝืน สะอื้นไห้
เหลือใคร ล่ะใจหวาม
นาที กี่โมงยาม
ปลอบปราม ด้วยน้ำตา
รักนั้น มันสูงไกล
เกินไป หรือไรหนา
ถ้อยคำ เอ่ยอำลา
โหยหา ทว่าหาย
ใจหนึ่ง จึงเหนื่อยหนัก
ทรวงหัก เพราะรักพ่าย
เลอะเลือน เหมือนอยากตาย
ข้างกาย ไม่เหลือใคร
ร่องรอย น้ำตาร่วง
รักลวง หรือไฉน
ทักท้วง เพราะห่วงไย
อยากให้ ได้รักคิน
ยิ่งตาม ยิ่งถามไถ่
กลับไกล ไม่เคยชื่น
ร้องร่ำ ทุกค่ำคืน
หลับ - ตื่น ก็ ฝืนช้ำ
(ม้าก้านกล้วย)
22 มีนาคม 2550 22:00 น.
ม้าก้านกล้วย
คนมากมายแต่ไร้ใครรู้จัก
ไกลนักที่ต้องฝ่าหาจุดหมาย
ยังไม่เห็นหนทางที่ข้างปลาย
จึงได้แต่ก้าวย่างอย่างระวัง
อยากหยุดยืนอยู่รู้ว่าขลาด
แต่มิอาจเคลื่อนคล้อยเพื่อถอยหลัง
แม้ทดท้อเพียงไรไร้พลัง
แต่ก็ยังถัดเท้าเพื่อก้าวไป
ขาดคนเคียงคู่มาอยู่ข้าง
มองสายตาแตกต่างอย่างหวั่นไหว
สะอื้นบ้างพลางระทก ตกหทัย
เหลียวแลหากำลังใจ ไม่เห็นมี
จะเดินต่อท้อนักอยากพักบ้าง
สองข้างทางรกเรื้อมิเหลือที่
ไร้ร่มเงา ไร้ศาลา ล้าเต็มที
ไม่แม้มี น้ำใสใส ให้ลูบล้าง
คนร่วมเดินทางไปไม่รู้จัก
คนรักที่รู้ใจ ก็ไกลห่าง
คนที่กล่อมขวัญใจให้เจือจาง
ก็เดินคน ละเส้นทาง แตกต่างไป
จึงมิเหลือสักผู้ที่อยู่เคียง
แม้เสียง คุยลั่น สนั่นไหว
แต่ไม่มีสักเรื่องราวที่เข้าใจ
ไม่เหลือใคร ไม่คุ้นเคย เลยเงียบเหงา