11 เมษายน 2545 01:40 น.
ม้าก้านกล้วย
ในแดนนาบ้านไกลในดงดอน
มีคำกลอนสอนใจให้คลายเศร้า
เรื่องแม่นกจาบคากับกาเหว่า
แค่เรื่องเล่าเขลาเกรงว่าลมลวง
จนได้ไปเห็นเป็นเรื่องจริง
ได้รับรู้รักคือสิ่งยิ่งใหญ่หลวง
มากกว่าค่าที่คณามาทั้งปวง
ยิ่งกว่าดวงใจใครได้ลิ้มรัก
เหตุเพราะเป็ดแม่ใหม่กกไข่ยาก
คนจึงฝากแม่ไก่ให้ฟูมฟัก
หวังเพียงลูกเป็ดเป็นประเด็นหลัก
จึงหลอกลักเปลี่ยนไข่แม่ไก่แทน
แม่ไก่ก็กระไรไม่ได้รู้
ยังกกอยู่ประจำทำหวงแหน
จวบจนได้ทายาทมิมาตรแม้น
เป็นลูกไก่ปากแบน ก็เต็มใจ
พาคุ้ยเขี่ยดินหาไส้เดือน
เป็นเสมือนแม่เจ้าเอาใจใส่
หากเหยี่ยวนาบินถลามาไกลไกล
ก็เรียกไล่ลูกยามาซ่อนตัว
ถึงเจ้าจะรูปร่างร้ายกายพิการ
ตีนจะแบหางจะบานพาลถึงหัว
แม้จะไม่เหมือนแม่แม้รูปชั่ว
ไม่ต้องกลัว แม่ยังรัก ปักดวงใจ
(ม้าก้านกล้วย)
6 เมษายน 2545 22:33 น.
ม้าก้านกล้วย
ไอ้หำเอ๊ย สงกรานต์ เมือบ้านเด้อ
อย่าเดินเซ่อ หลงใหล ในเมืองหลวง
ไปทำงาน หอบเงินมา อย่าเลาะป่วง
ญาติพี่น้อง ทั้งยวง เขารอแก
สัญญาจะ ซื้อของ ทองมาฝาก
รับปาก จะซื้อผ้า มาให้แม่
พ่อเอ็งเค้า เฝ้ารอ คอชะแง้
นั่งดูแต่ รถกลับบ้าน ผ่านเลยไป
หำเอ๋ย จะทำ อย่างไรดี
แต่ต้นปี นอนผลาญ งานก็ไร้
กลับบ้านนอก หมดเงิน เดินก็ไกล
ทำอย่างไร ดีหนอ ท้อเหลือเกิน
ตัดสินใจ ไปตายที่บ้านนา
สารภาพ กับแม่ว่า ท่าจะเขิน
กรุงเทพ กรุงประหลาด อาจเจริญ
แต่หาเงิน ยากยิ่ง กว่าสิ่งใด
ตัดสินใจ อย่างไร จะกลับบ้าน
ไม่มีค่า โดยสาร พาลจะไร้
แอบปีน หลบมา หลังคารถไฟ
ขออาศัย กลับบ้านนา เวลาจน
สงกรานต์แล้ว ไอ้หำหาย ไม่กลับบ้าน
เพื่อนร่วมงาน ส่งข่าวมา น้ำตาล้น
โดนสะพาน เหล็กขวางฟาด คอขาดหล่น
ตายอยู่บน รถไฟ บ่ได้เมือ
(ม้าก้านกล้วย)
6 เมษายน 2545 16:19 น.
ม้าก้านกล้วย
เพราะแววตาฉายฉาบอาบแววหมอง
คราบน้ำตาเอ่อนองสองปรางเปื้อน
เหม่อและหม่นเลื่อนลอยไปราวไม่หมือน
เคยสุขสันต์ฉันท์เพื่อนแต่เดิมมา
รับรู้ได้ว่าเธอคงผิดหวัง
คงพลาดพลั้งรักสลายกลายเป็นว่า
วิมานทองทลายรั้งพังครืนมา
จึงนองหน้าน้ำตานวลครวญประโคม
เพราะเศร้าโศกเกินไปเกินใครกล่อม
เกินกว่าน้อมนวลนางมาแนบโน้ม
แรงพิลาปเกินกู่เอ็นดูโลม
ปิ่มจะโถมโจมกระโจนโค่นชีพวาย
เพื่อนรัก
โปรดหยุดพักตระหนักผ่อนก่อนจะสาย
ร้างรักแล้วใช่จะร้างร่างมลาย
ทำร้ายเมื่อร้างรักขอทักท้วง
ร้องออกมาเถอะนะน้ำตาเศร้า
หยาดมาล้างความเขลาเบาความหวง
หลอมละลายไมตรีที่หลอกลวง
แล้วก้าวข้ามผ่านห้วงห่วงระทม
สูดหายใจเขาไปอย่างช้าช้า
เงยหน้าเผชิญหวานผ่านพ้นขม
บาดแผลช้ำ ทำร้ายได้เพียงระบม
เมื่อตรอมตรม จงตรองตรึก นึกให้นาน
ตัวเราเองคือผู้ที่ทำร้าย
ช้ำแทบตายเขาหรือจะสงสาร
เลิกกันแล้วเลิกร้างอย่างสำราญ
เราซมซานเขาสะใจ ใช้ได้เหรอ
(ม้าก้านกล้วย)
5 เมษายน 2545 23:16 น.
ม้าก้านกล้วย
แด่เธอ ผู้ซึ่งเป็น ทุกทุกสิ่ง
คือผู้หญิง คืออ่อนหวาน คือหาญหัก
คือดอกไม้ คือคมมีด กรีดแรงนัก
คือแท่งหลัก เหล็กกล้า คราจะแข็ง
คือเหตุผล ในยาม จะถามหา
หรือบางครา คืองอนเง้า กระเซ้าแสร้ง
ลมอาจพัด พายุโถม ถั่งโหมแรง
หรือเปลี่ยนแปลง เป็นลมอ่อน ชะรอนถอย
เป็นหมดจรด สดชื่น ของยามเช้า
เป็นร่มเงา บังแดดร้าย ยามบ่ายคล้อย
เป็นเดือนจ้า โฉมฉันท์ ดั่งจันทร์ลอย
ละอองน้อย ใสหยด ดูงดงาม
ยามเธอ ระเริงรื่น สดชื่นจิต
ราวกับดวง อาทิตย์ พิศแววหวาม
แต่พลันอาจ เข้าคราส ปราศแสงทราม
ส่งให้สาม โลกมืดมิด ดังนิทรา
จะอย่างไร เธอยังเป็นผู้หญิง
ที่ทุกสิ่ง สรรค์สร้าง อย่างเลอค่า
เป็นอีกหนึ่ง ที่ชีวิต ลิขิตมา
คือมารดา คือผู้ก่อ กำเนิดการ
แด่เธอ ผู้เป็น ผู้หญิงคนหนึ่ง
คงรู้ซึ้ง ถึงคุณค่า ของคำขาน
ยกและย่อง กัลยา มาเนิ่นนาน
ขออย่าปราณ แปรงปลาย เป็นร้ายเลย
1 เมษายน 2545 18:14 น.
ม้าก้านกล้วย
สาวยโสธร อรชร ช่างโสภา
ใช้ชีวา บนแว่นแคว้น แดนอีสาน
เรียบและง่าย ไม่แผลงฤทธิ์ พิศดาร
งามชวนชม สมสถาน บ้านพงไพร
ใช่จะสวย กรีดกราย กว่าพรายน้ำ
ใช่จะล้ำ เลิศราว ชาวเมืองใหญ่
แต่น้องนาง สวยสง่า เกินกว่าใคร
จนดวงใจ พี่ลุ่มหลง พะวงวอน
แรกพบ เพียงพักตร์ ก็รักแล้ว
นางแก้ว มาเซิ้ง บั้งไฟฟ้อน
เอวองค์ อนงค์นาง ช่างโอนอ่อน
แววตาอ้อน เชิญชวน ให้หวนหา
เจ้าพาพี่ ชมสวน พญาแถน
โลดแล่น ไร้จริต พิศเพ้อว่า
นางอัปสร จากสวรรค์ นั้นลอยมา
เริงร่า กลางหิม - พานต์วัน
ขออยู่ ขอตาย ที่เมืองยศ
แม้จะอด แม้จะยาก จะบากบั่น
จะถากถาง นาสวน กับนวลขวัญ
แม้ข้าวนั้น ก่องจะน้อย ไม่ถอยเลย
เพียงน้อง นางโปรด เมตตาพี่
รับไมตรี นี้ไป อย่าได้เฉย
เพียงยิ้ม ให้พี่นิด ขอชิดเชย
แม้ชีพวาย ตายไปเลย ก็ยินยอม
(ม้าก้านกล้วย)