14 สิงหาคม 2545 13:03 น.
ม้าก้านกล้วย
2 - 2 - 4
เมื่อเล็ก เคยขอ ต่อดวงจันทร์สวย
ให้ช่วย อวยพร ก่อนฟ้าจะสาง
ขอแหวน เตียงตั่ง มาตั้งมาวาง
ขอม้า ขอช้าง อย่างเพลงกล่อมนอน
3 2 3
พอเติบใหญ่ ขึ้นมา ไม่กล้าเอ่ย
เพลงเชยเชย ขอจันทร์ โบราณสอน
แค่เพลงหลอก ร้องเล่น เป็นบทกลอน
แค่คำวอน อ้อนขอ ต่อเบื้องบน
3 3 2
แต่วันนี้ วันที่รัก จากไป
จะขอใคร มารู้ใจ ไหม้หม่น
ไม่มีแม้ คนที่รัก สักคน
เหงาเสียจน กมลกร้าน ด้านชา
4 2 2
จึงเหม่อมองจันทร์ อันพร่าง พราวสวย
ขอจันทร์นั้นช่วย อวยพร วอนว่า
แม้รัชนี มีเจตน์ เมตตา
ขอให้รักข้า คืนมา หากัน
2 3 3
รักร้าว ขอให้เป็น เช่นรักรื่น
วันขื่น แปรเปลี่ยนเป็น เหมือนเช่นฝัน
ปรองดอง สองดวงใจ ได้ไหมจันทร์
รับขวัญ ทดแทนวัน อันอาดูร
2 4 2
จะขอ ต่อหน้าดวงแข แม้ว่า
จะเคย ละเลยจันทรา ลาสูญ
จะทวง ดวงจันทร์ช่วยเหลือ เกื้อกูล
เพิ่มพูน มนตรามาช่วย ด้วยเทอญ
4 4
แค่เพียงจันทรา เมตตาข้าบ้าง
ใจที่อ้างว้าง ช่างขัดและเขิน
ยามรักจากไป เหนื่อยใจเหลือเกิน
ละเมอเพ้อเปิ่น อยากเพลินรักเดียว
2 2 2- 2
จะให้ บนบาน ขานบท กลอนใด
จันทร์อัน วิไล จะได้ แลเหลียว
เมื่อรัก จากไป หัวใจ แห้งเหี่ยว
จึงเหนี่ยว ใจอ้อน วอนขอ ต่อจันทร์
(ม้าก้านกล้วย)
กลอนกลอัฐรส ลีลา (ม้าแต่งเอง) เป็นกลอนที่จับทางการแบ่งวรรคของกลอน 8 มา เล่นลีลา ซึ่งจะได้ทั้งหมด 8 ทาง ใน8 บทกลอน
ซึ่งฉีกแยกจากบัญญัติเดิม ๆ ที่ ว่า กลอนแปด จะต้องเขียนแบบ วรรค สาม สอง สาม เสมอไป ทางกลอนอื่น ๆ บางบท พบได้ใน กลอนด้น วิชชุมาลี แปลง
แล้ว บทข้างล่างนี้ เป็น ร่ายเดิม เรื่อง จันทร์เจ้าขา ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า คนรุ่นใหม่ สมัยนี้ บางคน ไม่รู้จัก
จันทร์เจ้าขา ขอข้าวขอแกง
ขอแหวนพลอยแดง ผูกมือน้องข้า
ขอช้างขอม้า ให้น้องข้าขี่
ขอเก้าอี้ ให้น้องข้านั่ง
ขอเตียงตั่ง ให้น้องข้านอน
ขอละคร ให้น้องข้าดู
ขอยายชู เลี้ยงน้องข้าเถิด
ขอยายเกิด เลี้ยงน้องข้าเอย
6 สิงหาคม 2545 08:15 น.
ม้าก้านกล้วย
ยอสองกร วันทา กว่าศีรษะ
หัตถาจะ ขีดเขียน เพียรปรากฏ
เอาหัวใจ ตั้งมั่น ดั่งบรรพต
บรรเทาทด แทนคุณพระ นฤมิต
จะอ้างเอา ดินฟ้า นภากาศ
จะเอื้อมอาจ เชิญเทวัญ อันศักดิ์สิทธิ์
มาอวยชัย ต่อพระผู้ ชูชีวิต
ด้วยลิขิต บรรเลง เพลงเคารพ
ตระหนักซึ้ง ตรึงใจ ไม่คลายขัด
สลักชัด เต็มใจ ไม่รู้จบ
พระคุณที่ สร้างลูก ปลูกพิภพ
แม้ดินกลบ หน้าเกลื่อน มิเลือนรัก
สองเท้าลูก ก้าวหน้า กว่าเมื่อเกิด
สองมือเลิศ เพียรอุ้มชู มิรู้หนัก
สองมือแม่ เฝ้าพยุง เฝ้าจูงชัก
สองมือหลัก สูงค่า กว่าที่คิด
เสียงกล่อมลูก โอละเห่ โอละหึก
เช้าจนดึก ยวนใจจับ หลับสนิท
เพลงซ้ำซ้ำ กล่อมกู่ อยู่เป็นนิตย์
แม้ถูกผิด พยายาม ตามแต่นึก
หัตถาที่ ขีดเขียน เพียรปรากฏ
เพราะได้บท เรียนแปลก แรกรู้สึก
แม่กุมมือ วาดกอไก่ ใจจารึก
จนผนึก แนบทรวง ทุกท่วงทัด
แม่สอนทำ ทุกสิ่ง ยิ่งเก่งกาจ
แม่สอนวาด สอนท่องจำ ตามถนัด
สอนทำครัว สอนทำใจ สอนไปวัด
และเคร่งครัด ให้ฝักใฝ่ ในธรรมะ
จวบวันนี้ วันที่ มีโอกาส
ซึ่งโอวาท แม่เน้น เป็นสัจจะ
ลูกรับรู้ เป็นข้อ สรณะ
ซึ่งลูกจะ ยึดไว้ ในชีวิต
จะอ้างเอา ดินฟ้า นภากาศ
จะเอื้อมอาจ เชิญเทวัญ อันศักดิ์สิทธิ์
มาอวยชัย ต่อพระผู้ ชูชีวิต
ขอเทเวศ บันดาลฤทธิ์ พิชิตทุกข์
ให้แม่จง พ้นพาล อันราญราบ
ภัยจงสาบ สูญสลาย กลายเป็นสุข
เคราะห์ที่แม่ ร้าวรน ที่ทนทุกข์
ขอให้ลูก รับแทนไว้ ได้เชยชด
(ม้าก้านกล้วย)
กลอนนี้ เป็นกลอนกล ที่เรียกว่า กลบท นายโรงลืมกรับ คือ ทุกบรรทัด จะต้องลงส่งสัมผัสนอก ด้วย คำ ลหุ(คำตาย เสียงสั้น) เท่านั้น
เรื่องจริงมีอยู่ว่า ครั้งเมื่อวางโกลนเรือ เอนกชาติภุชงค์ แล้วเสร็จ จำต้องมีการลองน้ำ พระราชวังบวร จึงขอล่องเรือจากท่าวาสุกรีไปขึ้นที่วังหน้า ด้วยความฉุกละหุก นายโรงจึงจัดเตรียม อุปกรณ์ไม่ทัน ผลสุดท้าย เลยลืม กรับ ลงเรือให้อาลักษณ์ขับเห่เรือ ลงไปด้วย
พอเรือออก อาลักษณ์ก็เริ่มเห่ แต่หา กรับ ไม่เจอ ด้วยปรีชา จึงต้องว่ากลอนท้ายหัก จะได้ไม่ต้องลง กรับ กรมพระราชวังบวร เห็นเป็นการแปลก เลยถามอาลักษณ์ว่า เฮ้ย นี่มึง ด้นกลอนกลอะไร อาลักษณ์ จึงตอบไป ว่า นี่เป็นกลบท นายโรงลืมกรับ พระเจ้าข้า
2 สิงหาคม 2545 13:48 น.
ม้าก้านกล้วย
สายฝนหล่นปรายเป็นสายยาว
ดุจเส้นไหมสีขาวจากราวฟ้า
ทอดละอองผ่องละออล้ออุรา
จากเมฆาหม่นดำในค่ำคืน
ลมหอบหยาดเย็นเป็นฝอยโปรย
ทยอยโรยสายใสชุ่มใจชื่น
คำรามเสียงแผดผนึกดูครึกครื้น
จนต้องตื่นตาชมโสมนัส
ใจคะนึงตามไปในครรลอง
ฟ้าคะนองคะเนไกลใจกระหวัด
ถึงคนที่จางจากต้องพรากพลัด
ครุ่นคิดถึงพึงขจัดขจายเบา
เมฆฝน ก้อนใหญ่ใหญ่ ใช่ไหมหนอ
ที่เธอพ้อพร่ำฝากจากใจเหงา
ให้หอบความคิดถึงซึ่งรุมเร้า
ให้ปัดเป่ามาบอกฉันในวันนี้
คงระเหยน้ำฝนปนน้ำตา
คงจะกลั่นเมฆามาที่นี่
แล้วหลั่งฝนปนฝันกลั้นฤดี
ทุกนาทีเธอคงไม่หลงเลือน
ละอองฝนกระเด็นผ่านม่านบางบาง
จวนฟ้าสาง สาดแสงแกล้งกลบเกลื่อน
เหลือบรางรุ้ง อร่ามอุ่น อรุณเยือน
ยืนยันย้ำ คำว่าเพื่อน เหมือนเช่นเคย
รับรู้แล้วรับรู้อยู่เต็มอก
ไม่ต้องยก หยิบอ้าง สร้างเฉลย
ใจเธอนั้น ดั่งใจฉัน เหมือนกันเลย
คิดถึงเธอ เกินเอ่ย เผยหัวใจ
ฉะนั้น ขอจง คิดถึงกัน
ทุกทุกวัน จะวันนี้ หรือวันไหน
เพื่อนคนนี้ คนที่มีจิตใจ
ดวงใสใส เช่นน้ำฝน คนที่รัก
จะถักทอเส้นไหมของสายฝน
ด้วยกมลที่อ้างว้างอย่างหน่วงหนัก
เป็นผืนแพร น้ำใส น้ำใจรัก
แล้วเก็บกัก ในห้องใจ ไว้ให้เธอ
จะฝากเมฆก้อนใหญ่ใหญ่กลับไปบอก
ใจช้ำชอกเพียงไหนใจยังเพ้อ
ไม่มีใครเมื่อเคียงใกล้ไม่มีเธอ
รอวันเจอฟ้ากระจ่างอย่างมั่นคง
ฉันมีความสุขใจที่ได้รอ
จะแอบพ้อฝากฝนจนลุ่มหลง
จะอ้อนฟ้า ง้อเมฆา ว่าขอจง
หอบความรัก ไปส่ง ตรงถึงเธอ
13 กรกฎาคม 2545 12:00 น.
ม้าก้านกล้วย
รักน้อยน้อย แต่นานนาน มิราญรัก
หนึ่งใจภักดิ์ ของพี่ มีเพียงหนึ่ง
ซึ้งใจเจ้า ประคอง ครรลองซึ้ง
ใจที่ซึ่ง รับรู้ อยู่ในใจ
แม้นบังอาจ คลายคลาด มิมาตรแม้น
ไร้ทดแทน ตรมตรอม ก็ยอมไร้
ไม่มีเธอ ทั้งฟ้า หาเปรียบไม่
เชยหญิงใด คงจืด คงชืดเชย
ช้ำเพรารัก หักตรม ระทมช้ำ
เฉยระกำ หากพร่ำ กลับทำเฉย
เลยไม่รู้ ใจพธู มิรู้เลย
ลาละเลย เลิกเรื่อง เปลืองเวลา
ห่วงนักหนอ จึงพนอ ก็เพราะห่วง
หาคนหวง เยี่ยงพี่ มิต้องหา
มาเถิดแก้ว ใจนี้ ที่รอมา
นาน ยิ่งกว่า กาลเวลา ที่ว่านาน
รักพี่นิด เถิดน้อง ร้องขอรัก
หวานยิ่งนัก นวลน้อง ยิ่งมองยิ่งหวาน
ปานเทวี มาเทียบ มิเปรียบปาน
อ้อยว่าหวาน คลายคร้าน เพียงชานอ้อย
ขอรักเรา นานเนา เท่าร้องขอ
ร้อยผกา ร้อยช่อ รอเรียงร้อย
คอยคำรัก ซ้ำหนอ ขอแค่คอย
รักน้อยน้อย แต่นานนาน มิราญรัก
(ม้าก้านกล้วย)
กลกลอน นี้ ชื่อ ครอบจักรวาล ด้วย บรรทัดบนและล่าง ใช้คำเดียวกัน คำต้นและคำท้าย เป็นคำเดียวกัน ซึ่งเป็น ครอบจักรวาล หนึ่งชั้น แต่ที่แต่งนี่เป็นครอบจักรวาล ทางช้างเผือก หรือเรียกอีกกลหนึ่งว่า กลอน รอยเกวียน คือ คำต้น ที่จะซ้ำคำท้าย เอามาต่อกัน ก็ จะได้ใจความด้วย
13 กรกฎาคม 2545 11:52 น.
ม้าก้านกล้วย
แมกไม้สายมูล ร่ำร้อง
วอนน้องคืนนา มาบ้าน
นางจากจำเมิน เนิ่นนาน
ลืมน่านน้ำมูล แล้วหนอ
จะวิงวอนนาง อย่างไร
ด้วยน้องเจ้าไกล ใจท้อ
เสียงคลื่นน้ำนอง ร้องขอ
จดจ่อวันนวล หวนคืน
แมกไม้มวลหม่น หมองหมาง
แม่มูลครวญคราง ข่มขืน
แม้นรักพี่ยัง ยั่งยืน
แม้รอก็ฝืน เฝ้าฝัน
สังวันหนึ่งคง สมใจ
เฝ้ารอเรื่อยไป ใจสั่น
วันน้องเจ้าคืน มานั้น
แมกไม้จะพลัน ผลิบาน
แม่มูลจะไหล รินรื่น
ผกาก็ตื่น ชื่นหวาน
จะหยอกเจ้าเอิน เนิ่นนาน
กักกานต์ชิงฉวย ด้วยรัก
มิให้ไกลปลีก อีกเลย
จะนอนเขนย เชยพักตร์
จุมพิตที่ปราง นางหนัก
ประทับแทบตัก แทบตาย
แมกไม้สายมูล เฝ้าฝัน
พอฟื้นตื่นพลัน สลาย
คว้าไขว่ไออุ่น วุ่นวาย
มิได้เคียงแข แม้เงา
แมกไม้ยังยืน ขื่นขม
แม่มูลยังตรม ข่มเหงา
เสียงคลื่นระดม ตรมเศร้า
เหลือเราริมไม้ ชายมูล
(ม้าก้านกล้วย - แมกไม้ สายมูล)
อันกลอนกลบท แสร้งว่า โคลงนี้ เป็นการเล่นกลอนหก อีกทางหนึ่ง ที่จะแบ่งออกเป็น วรรคละ สองตับ และวางเป็นรูปโคลง ดังนี้
ซึ่ง ผู้เล่นโคลงแท้ มักติเตียว่า เล่นโคลงไม่เป็น ล่ะสิ ถึงมาเล่น กลอนแสร้งว่า แทน เลยทำให้กลอนแสร้งว่า มิมีคนเล่น สักเท่าไร แต่ ไหน ไหน จะรวบรวมกลกลอนแล้ว พลาดกลอนแสร้งว่า ไม่ได้ แน่นอน