21 ตุลาคม 2545 07:56 น.

บอกรักแบบ หมอ หมอ...

ม้าก้านกล้วย

จะบอกรักหนักใจมันไม่กล้า
ร่ำเรียนมาตั้งนานพาลสับสน
วิชาการวิชารักหนักพิกล
เลยต้องค้นหาสำนวนชวนกินใจ
หอบตำราประดามีที่เคยรู้
เอาศัพท์หรูมาเทียบทำเป็นคำไข
ก็ไม่รู้จะบอกเธอ เก้อเกินไป
เลยต้องใช้วิชาการมาอ่านเอา
วัดบีพี มีหูฟัง ตั้งตรงหน้า
แล้วรู้ว่าอาการหนักแอบรักเขา
อมปรอท ออดปะเหลาะ เคาะหัวเข่า
รักรุมเร้า เลื่อนลอย คอยแต่เธอ
อีเคจี กราฟกระโดด เหมือนโน๊ตเพลง
มีมะเร็ง ในอาวรณ์ ก้อนเบ้อเร่อ
ฟิล์มเอ็กซเรย์เลือนเหมือนละเมอ
ได้แต่เพ้อ กินไม่ได้ ผ่ายผอมลง
เม็ดเลือดขาว หมื่นกว่า น่าตกใจ
ลำไส้ใหญ่ หดตัว มัวแต่หลง
เส้นเอ็นรอบ ขอบปาก อยากเจาะจง
ให้บอกบ่ง แต่คำรัก หนักเหลือเกิน
รุนแรงร้าย อักโข ขั้นโคม่า
ม่านตา ก็ขยาย คล้ายคนเขิน
เกิดโฟเบีย กลัวเก้อ เธอจะเมิน
ละเมอเดิน เปิ่นเปล่า ไม่เข้าใจ
รักและหวง ห่วงหน้า พะวงหลัง
ต้องมานั่ง ตั้งสติ วินิจฉัย
ไดแอ็กแล้ว หนักหนา กว่าวิจัย
ต้องส่งไป ศรีธัญญา เพราะบ้ารัก
 
(ม้าก้านกล้วย)				
18 ตุลาคม 2545 12:55 น.

เพลงพิณ พ่ายรัก

ม้าก้านกล้วย

พิณกังวาลผ่านกันดารผสานเสียง
กรีดสำเนียงคล้องคล้ายร่ายเพลงโหย
แข่งเรไรหรีดร้องพ้องพายโชย
เมื่อหนาวโรยหมอกหนามาปกคลุม
ส่งเสนาะเพราะพริ้งยิ่งกว่าเพลง
ประดิษฐ์เปล่งท่วงทำนองของชายหนุ่ม
หวนหานางไพรพรางกลางไฟสุม
ร้อนไฟรุมรุ่มร้อนเมื่อรอนแรม
พร่ำพรมกรีดดีดสายพ่ายรักแล้ว
เพลงพิณแผ่วคำนึงนวลยวนแฉล้ม
คิดถึงทรวดทรงสาวเจ้าแรกแย้ม
คิดถึงแก้ม คิดถึงกอด ยอดยาใจ
เพลงบรรเลงเว้าวอนมางอนง้อ
เพลงมาล้อลมหนาวเจ้าอยู่ไหน
เพลงมาพรอดออดอ้อนคำวอนไว้
เพลงมาเพ้อร่ำไร เจ้าไม่รัก
ใครเขาล้วนชวนชู้มาดูดาว
พี่อ้ายบ่าวเดียวดายกระหายหนัก
หวังเพียงน้องเมตตากำพร้ารัก
หวังใจนักจักฝากรักสักครั้งครา
เอาพิณดีดกรีดสายเป็นลายเพลง
มาบรรเลงเพลงเตือนเหมือนเป็นบ้า
หากเจ้าซึ้งพึงเจตโปรดเมตตา
หนุ่มกำพร้าคนรู้ใจใคร่รักจริง
 (ม้าก้านกล้วย)				
11 ตุลาคม 2545 08:23 น.

กวี (รวมกลอนกล กบเต้น)

ม้าก้านกล้วย

กบเต้น (สัมผัสสระ ที่ 1  7 สัมผัสเสียงอักษรที่ 2  8)

กวีอาจ เป็นเช่น ตระเวณอ้อน
ร่ายคำวอน ผ่อนผาย คล้ายคนบ้า
บางเรื่องโศก โชคช่าง สร้างเรื่องมา
บุพเพพา ปับปุบ บุพเพพัง

กบเต้น ต่อยหอย (สัมผัสเสียงอักษร 1  4 , 2  5  , 3 7 ส่วนบทหลังให้คลี่คลายได้ส่วนสัมผัสอักษร ให้ส่งเสียงท้ายตับมาต่อหน้าตับ ทุกตับ)

อาจกำหนด อดกำหนัด จัดว่าแปลก
เมื่อเริ่มรา  มาลองแลก แจกแจงหวัง
ครุ่นจริต คิดจะรู้ อยู่ลำพัง
ด้วยใจหวัง ดั่งใจวอน กลอนกวี

กบเต้น กลางสระ (ซ้ำคำ 1  4 ใช้คำเดียวกัน ทั้งบท)

เพราะรักเล่น เพราะเน้นเรื่อง  เปลืองโวหาร
เพราะรู้ทาง เพราะว่างเทียว เปลี่ยววิถี
เพราะชำนาญ เพราะฉะนั้น ผันชีวี
เพราะใจมี เพราะพลีมอง แค่สองมือ

กบเต้น สลักเพชร (สลับเสียงเรียงตามตับ ทั้งสามตับใช้ เสียงอักษรเสียงเดียวกัน และสัมผัสระระหว่าง 3  4,6 7 )

เปลี่ยนประแด แปรประเด็น เป็นประดัง
ไฉนรั้ง ฉนังรี่ ฉนี้หรือ
ฝ่าฝืนแปลง แฝงใฝ่เปล่า เฝ้าฝึกปรือ
ใช่จะคือ ชื่อจะควร ชวนใจคน

กบเต้น พิณประสานสาย (ซ้ำคำ 1 4  7 และ สัมผัสสระในตับเดียวกัน ต้องสระเดียวกัน )

นั่นหรือคือ นั่นรอบคอบ นั่นรู้คู่
ใช่กูรู้ ใช่กาจราช ใช่ก่นหล่น
ทั้งมีที่ ทั้งมวลถ้วน ทั้งมณฑล
กมลจน กระหมดจรด กระมัลจันทร์

กบเต้น นารายณ์ประเลงศร (ซ้ำคำ 1 4  7 และ สัมผัสสระในตับเดียวกัน2 ตับหน้า ตับสุดท้ายให้คลี่คลาย บังคับคำสัมผัสซ้ำเป็นคำตาย)

กวีมี กระวาดมาตร กระหวัดแม้
เสน่ห์แล สนองร้อง สนั่นลั่น
กระโชกโบก กระชากบาก กระชั้นบั่น
อนันต์บรรพ์ เอนกเบก อนางค์บาง

กบเต้น กุญชรประลองศิลป์ (ซ้ำคำ 1 4  7 และ สัมผัสสระในตับเดียวกันทั้งสามตับ บังคับคำสัมผัสซ้ำเป็นคำเป็น)
 
คำล้ำพร่ำ คำลอยพร้อย ค่อยรอนผ่อน
เช่นวอนกลอน เช่นเว้ากล่าว ใช่วางกร่าง
ล้วนใช้ใจ ล้วนชิดจิต ฤทธิ์ช่างจาง
จึงสร้างอย่าง จึงแสร้งแย้ง แจ้งสารญาณ

กบเต้น วชิระประดิษฐ์ (ใช้เสียงควบนำหน้าตับทุกตับในบท ให้เป็นควบเดียวกัน เช่น สะ ปะ บะ เป็นต้น)
บางเล่มใช้ ว่ากบเต้น มุจลินทร์ประดับคำ

สรุปแล้ว สรุปลง สรุปรับ
สนองนับ สนองเนื้อ สนองสนาน
เสนอกลอน เสนอกล เสนอกานท์
สถิตย์สถาน สถิตย์สวรรค์ สถิตย์สกล 

กบเต้น เตลิดคลอง (ใช้คำเดียวนำหน้าตับทุกตับทั้งบท และ สัมผัสเสียงอักษร ในสร้อยตับ ทั้งหมด

ประดิษฐ์คอย ประดอยขับ ประดับคำ
ประสานรับ ประสรรพเลิศ ประเสริฐล้น
ประจงขัด ประจัดขัน ประจันข้น
ประชันกล ประชนกล้า ประชากลอน

(ม้าก้านกล้วย)


สุดท้าย ระยะต่อมา มักรวม นารายณ์ประเลงศร กับกุญชรประลองศิลป์เข้าด้วยกัน เพราะ กลอนไม่ควรบังคับ ครุ ลหุ เลยได้ชื่อกบเต้น นารายณ์ประลองศิลป์ ขึ้นมา ด้วยกติกาดั่งเดิม				
9 ตุลาคม 2545 10:25 น.

ใบไม้ต้นฤดู เดือนตุลา (อวสาน)

ม้าก้านกล้วย


ใบไม้เอยใบไม้ใบอ่อนอ่อน
เชิงตะกอนรับรองร่างอย่างทับถม
หลับสบายเถิดใบไม้อย่าได้ตรม
เมื่อโค่นล้มโค่นพิฆาตอำนาจรัฐ

นายประณต แซ่ลิ้ม 
นายคงไฮ้ แซ่จึง 
นายทอง จันทลาด 
นายอรรณพ ดิษฐสุวรรณ 
นายสุรพงษ์ บุญรอดค้ำ 
นายบัญทม ภู่ทอง 
นายจีระ บุญมาก 
นายศิลบุญ โรจนแสงสุวรรณ 
นายประเสริฐ วิโรจน์ธนะชัย 
นายประสาน วิโรจน์ธนะชัย 
นายสมพงษ์ พลอยเรืองรัศมี 
นายสมควร แซ่โง้ว 
นายสุภาพ แซ่หว่อง 
นายพันธ์ศิริ เกิดสุข 
นายไชยศ จันทรโชติ 
นายสมเกียรติ เพชรเพ็ง 
นายธาดา ศิริขันธ์ 
นายสมเด็จ วิรุฬผล 
นายประวัติ ภัสรากุล 
นายเรียม กองกันยา 
นายชัยศิลป์ ลาดศิลา 
นายประเสริฐ เดชมี 
นายเจี่ยเซ้ง แซ่ฉั่ว 
นายคธากร ชีพธำรง 
ด.ช.สมพงษ์ แซ่เตียว 
นายเลิศ คงลักษณ์ 
นางสาวหนูพิน พรหมจรรย์ 
นายดนัย กรณ์แก้ว 
นายแสวง พันธ์บัว 
นายวิเชียร พร้อมพานิชย์ 
นายเสวี วิเศษสุวรรณ 
นายนิติกร กีรติภากร 
นายบรรพต ฉิมวารี 
นายสาโรจน์ วารเสถียร 
นายชีวัน ชัยโตษะ 
นายสุรินทร์ ศรีวีระวานิช 
นายรัตน์ งอนจันทึก 
นายวิจิน บุญส่งศรี 
นายชูศักดิ์ ไชยยุทธนันท์ 
นายอภิสิทธิ์ พรศิริเลิศกิจ 
นายประยงค์ ดวงพลอย 
นายสุพจน์ เหรียญสกุลอยู่ดี 
นายตือตี๋ แซ่ตั้ง 
นายสุกิจ ทองประสูตร 
นายประยุทธ แจ่มสุนทร 
นายสุดที ปิยะวงศ์ 
นายเอี่ยมซวง แซ่โกย 
นายประสพชัย สมส่วน 
นายมานพ โคกกระเทียม 
นายสุรศักดิ์ พวงทอง 
นายนิยม อุปพันธ์ 
นายคง เงียบตะคุ 
นายวิชัย สุภากรรม 
นางชูศรี พักตร์ผ่อง 
นายมงคล ปิ่นแสงจันทร์ 
สามเณรมนตรี โล่ห์สุวรรณ 
นายนพ พรหมเจริญ 
นางสาวสนิท โพนกระโทก 
นายมณเทียร ผ่องฉวี 
นายพูลสุข พงษ์งาม 
นายถนอม ปานเอี่ยม 
นายสมชาย เกิดมณี 
นายเอนก ปฏิการสุนทร 
นายฉ่อง จ่ายพัฒน์ 
นายสาย ฤทธิ์วานิช 
นายสุพจนา จิตตลดากร 
นายจำรัส ประเสริฐฤทธิ์ 
นายจันทรคุปต์ หงษ์ทอง 

หมายเหตุ : อ้างอิงจากหนังสือ พระราชทานเพลิงศพวีรชน 14 ตุลาคม 2517				
9 ตุลาคม 2545 10:24 น.

ใบไม้ต้นฤดู เดือนตุลา ๖

ม้าก้านกล้วย

สิบสี่ตุลาคมระงมร้อง
แข่งเสียงก้องของกระสุนที่รุนไล่
แข่งกับแสงโชนร้อนของฟอนไฟ
ที่ลุกไหม้ขึ้นมาจลาลจ
วุ่นวายเมืองสถุลมันวุ่นว่อน
กัดกร่อนใบไม้ล้าโกลาหล
เลือดกูเลือดเพื่อนมันเปื้อนปน
ด่าก่นทรราชอย่างอาจหาญ
ใบไม้หนึ่งล้มลงยังคงมี
ใบไม้สี่ห้าใบไปต่อต้าน
ใบไม้สิบใบทุกข์โดนรุกราน
ใบไม้หาญร้อยใบไปทดแทน
น้ำตาโศกหลอมโรยโปรยประดัง
น้ำตาคลั่งหลั่งหล่นอย่างข้นแค้น
น้ำตาบ้ากล้ารุกปลุกคั่งแค่น
น้ำตาแสนล้านหยดรดแผ่นดิน
จนอาฆาตมาตรร้ายไปทั้งบาง
มากวาดล้างมารร้ายออกไปสิ้น
รุกไล่ผู้ทุรชนพ้นแผ่นดิน
ด้วยบ้าบิ่นด้วยโกรธาด้วยอาวุธ
มิคสัญญีไร้ใครปกป้อง
กูจะต้องเข่นฆ่ามึงถึงที่สุด
เลือดล้างเลือดตาต่อตาท้าประยุทธ
ไม่สิ้นสุดแรงประหัตขัดอารมณ์
๑๔ ตค.
เหตุการณ์ล่วงเลยมาจนถึงวันใหม่แล้ว พลังมวลชนทั้งหมดทั้งหิว ทั้งเหนื่อยอ่อนแทบขาดใจ ทั้งหมดหวังพึ่งองค์พระประมุข พากันนั่งอยู่ที่หน้าประตูวังอย่างสงบ ตีหนึ่ง..ตีสอง..ตีสาม..ตีสี่แล้ว หลายคนนอนหลับสลบไสล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ตัวแทนนักศึกษาเข้าพบ และทรงรับสั่งกับตัวแทนด้วยพระเมตตา และทุกคนเมื่อได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องก็เตรียมตัวแยกย้ายกันกลับบ้าน.
.อาศัยความมืดมิดปกคลุม อาศัยความอ่อนล้าของพลังหนุ่มสาวที่ตรากตรำมาตลอดหลายวัน อาศัยมวลชนที่กระเซ็นออกมาจากกลุ่มใหญ่แล้ว กำลังเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งได้ระดมตีผู้ชุมนุมประท้วงด้วยไม้กระบอง หลายคนบาดเจ็บ และมีหลายคนเสียชีวิตที่นี่ เลือดของวีรชนหลั่งไหลอยู่ที่หน้าวังสวนจิตรนี่เอง
ข่าวการปะทะมาถึงมวลชนกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่สลายตัวในตอนเช้า พวกที่กระเซ็นกระสายมาเล่าเหตุการณ์ที่ทหาร ตำรวจไล่เข่นฆ่าประชาชนให้ผู้ประท้วงกลุ่มใหญ่ทราบ มีการนัดรวมพลกันอีกครั้งที่บริเวณลานพระรูปทรงม้า แล้วกระจายกันออกทำลายสิ่งที่เห็นว่าเป็นของอำนาจรัฐอย่างบ้าคลั่ง
พลังอีกส่วนหนึ่งที่รวมกันอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถูกโอบล้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ที่มีอาวุธครบมือ การปะทะอีกส่วนหนึ่งเกิดขึ้นที่นี่ พวกที่อยู่ภายนอกก็กรูกันไปที่สน.ชนะสงคราม บางคนตะโกนให้เผาซะ เพราะตำรวจที่นี่เป็นผู้เปิดฉากตีผู้ประท้วง แต่ประชาชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้ขอร้องไว้ เพราะเกรงว่าเปลวเพลิงจะลามไปก่อความเสียหายให้บ้านที่อยู่ข้างเคียง 
เวลาเช้าตรู่ของวันนั้น พลังมวลชนที่ถูกควบคุมอย่างมีแบบแผนได้สลายไปแล้ว กลายเป็นกลุ่มย่อยที่รวมตัวกันไม่ติด ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ ไม่มีผู้นำเด็ดขาด เห็นตำรวจ ทหารที่ไหนก็ถือเป็นศัตรูไปหมด ส่วนหนึ่งบุกไปที่กรมประชาสัมพันธ์ เพราะเป็นแหล่งข่าวของทางการ หน่วยกล้าตายส่วนหนึ่งบุกเข้าไปเผาอาคารของกรมประชาสัมพันธ์ และเผากรมสรรพากรที่อยู่ใกล้เคียง ข้าราชการข้างในหลายคนติดอยู่ในกองเพลิงออกมาไม่ได้ มีบางคนปีนออกมาทางหน้าต่างแล้วกระโดดจากชั้นบนลงมา เขาพวกนั้นตายด้วยและได้รับการขนานนามว่า วีรชน เช่นกัน
เผากองสลากเลย มันเป็นตัวมอมเมาประชาชน มีเสียงชายคนหนึ่งตะโกนขึ้น แล้วอีกหลายคนก็เฮโลไปที่กองสลากกินแบ่งที่ถนนราชดำเนิน 
รถเมล์หลายคันถูกเผาทำลาย อีกหลายคันถูกยึดเป็นพาหนะของผู้ประท้วง อาวุธของผู้ประท้วงเป็นมีด และไม้ และเหล็ก มีปืนสั้นบ้างแต่ไม่มากนัก ส่วนหนึ่งยึดมาจากตำรวจที่บาดเจ็บและยอมจำนน
สถานการณ์ลุกลามไปเป็นจราจลทั่วกรุงเทพฯ ตำรวจที่อยู่ตามโรงพักต่างถอดเครื่องแบบออกและปลอมเป็นประชาชน สถานที่ราชการและแม้แต่เสาไฟจราจรตามสี่แยกถูกผู้ประท้วงทำลายอย่างบ้าคลั่ง ..ไม่ใช่ต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยแล้ว จากนี้ไปเป็นการกระทำเพื่อล้างแค้นให้ตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น..
คืนวันนั้น จอมพลทั้งสองคนประกาศลาออก รวมทั้งคณะรัฐบาลด้วย เพราะพลอ.กฤษ สีวรา และพลออ.ทวี จุลละทรัพย์ ผู้บัญชาการทหารบกและทหารอากาศ คุยกับจอมพลทั้งสองที่สวนรื่น ชักแม่น้ำทั้ง ๕ รวมทั้งเรื่องสุมาอี้และพระเจ้าตากตอนเสียกรุงให้ฟัง (นี่เป็นเรื่องจริง) แต่พต.ณรงค์ ไม่ยอมจำนน ยังโลดแล่นออกฆ่าผู้ประท้วงแบบตาต่อตาด้วยกำลังจำนวนหนึ่ง
วันที่ ๑๕ ตค.
แม้ว่าจอมพลทั้งสองจะลาออกจากตำแหน่งในคณะรัฐบาลแล้ว แต่ตำแหน่งทางการที่เป็นผบ.สูงสุด และอธิบดีกรมตำรวจ ยังอยู่ ยังคิดจะกลับมาครองอำนาจอีก ยังมีการปะทะกันอยู่ทั่วไป ทั้งที่กองกำลังตำตรวจนครบาล และกรมโยธาธิการ พวกที่อยู่ในธรรมศาสตร์และถูกปิดล้อมถูกกระสุนปืนที่ยิงจากเฮลิคอปเตอร์ บาดเจ็บและล้มตายจำนวนมาก เมื่อเห็นว่ากองบัญชาการตำรวจนครบาลรักษาไว้ไม่ได้และถูกเผา ทรราชทั้งสามจึงหนีออกจากประเทศไทยเมื่อเวลา ๑๖.๑๓ น.
หลังจากทีวีและวิทยุแพร่กระจายข่าวนี้ออกไป การจราจลก็สงบลงทันที เสียงไชโยโห่ร้องดังให้ได้ยินทั่วไปในตามกรุงเทพฯ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีรับสั่งถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า..เป็นวันมหาวิปโยคของชาวไทย และได้พระราชทานคณะรัฐมนตรี และให้มีการร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อขอทูนเกล้าฯ ในโอกาสต่อไป				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟม้าก้านกล้วย
Lovings  ม้าก้านกล้วย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟม้าก้านกล้วย
Lovings  ม้าก้านกล้วย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟม้าก้านกล้วย
Lovings  ม้าก้านกล้วย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงม้าก้านกล้วย