18 ธันวาคม 2548 22:55 น.
ม้าก้านกล้วย
ภาพมวลมาลีกับผีเสื้อ
ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นเคยเห็น
หากินอาหารที่หวานเย็น
ถือเป็นประจำธรรมดา
หลายบทกวีก็มีมาก
จัดฉากไว้ดูให้หรูหรา
ผีเสื้อล้อมดอม ตอมผกา
พาพร่ำพรรณนาว่างดงาม
หากมุมมองใหม่ในโลกนี้
หลากล้วนเหล่ากวีที่มองข้าม
คร่าคำครหาว่าเสื่อมทราม
เหยียดหยามไยไพไม่คู่ควร
ในหนึ่งซึ่งผีเสื้อประสงค์
จะร่อนลงเมื่อเหมาะเฉพาะส่วน
เพียงถวิลกัดกินเนื้อดินนวล
จะเกลือกกวนตากเกล็ดกับเม็ดทราย
ผีเสื้อที่มวลกวีกล่าว
เปรียบราวพลายสีมณีฉาย
บนบัลลังค์มุจลินท์กลิ่นกำจาย
ยังเร้นกายมาเกลือกดินสิ้นราคา
หากมองในแง่ผู้อยู่วิมาน
เหยียดสถานธุลีดำว่าต่ำค่า
แต่มุมมองดิถี ของกีฏา
มาลาและดินทรายล้วนคล้ายกัน
(ม้าก้านกล้วย)
16 ธันวาคม 2548 18:58 น.
ม้าก้านกล้วย
เพียงอาศัยสีสันของจันทรา
เจ้าก็กล้าอวดอายแห่งพรายแสง
ระยิบจับระยับตาระดาแดง
กระพริบแรงร่ายรุ้งจรุงใจ
ล้านเกล็ดเม็ดทราย ณ ชายหาด
คลื่นก็กวาด ทรายก็กร่อน จนอ่อนไหว
ดั่งล้านดาว คล้อยเคลื่อน บนเกลื่อนไกล
ล้อมละไม จากฟ้า มาเกลื่อนดิน
ดังฟ้ากลับ จับตลบ มาพบพื้น
ดังดาวอื่น กลับไกล ออกไปสิ้น
ดังพลอยเพชร เกล็ดสี มณีนิล
ลงรวยริน ราดทา ตรงหน้านี้
หยิบรับ จับรอบ เพื่อครอบครอง
เหลือละออง เปื้อนไป ในทุกที
อยู่ไหนหนอ เลอค่า ประดามี
มวลมณี ลี้หาย เหลือทรายทราม
ครั้นปลดปล่อย เลื่อนลอย ลองถอยห่าง
กระพริบพร่าง เกลื่อนกล่น อยู่ล้นหลาม
แววว่าวับ วาบไหว ไว้วาววาม
กลับงดงาม กว่ายามฉวย ด้วยสองมือ
ทำลายล้วนซึ่งธรรมชาติสรรค์
ให้สลายลงพลันกระนั้นหรือ
ขอให้ปล่อย ให้สมคำ ที่ร่ำลือ
แม้นหยิบถือ ในอุ้งมือ คือทำลาย
(ม้าก้านกล้วย)
16 ธันวาคม 2548 18:55 น.
ม้าก้านกล้วย
เทียน ที่ลมไล่ลู่ดูเหมือนดับ
เปลวก็ลับเลือนลงคงขาดหาย
แม้นปล่อยเลยเทียนคงดับ คงกลับกลาย
ไม่เหลือสายแสงสีที่งดงาม
หากแม้เรายื่นมือถือไว้มั่น
แล้วช่วยกันบังลมที่โถมข้าม
อย่าปล่อยมือถดถอยจงคล้อยตาม
แล้วลมหลามล้นร่านจะผ่านไป
เหมือนยามที่สองใจคล้ายจะคลอน
เหมือนแสงอ่อนรอนลมจะจมหาย
เหมือนลมร้าวรานแยกจะแตกปลาย
เหมือนรักคลายหมางเมินเกินแก้ไข
เหมือนแสงเทียนอันอ่อนรอนแสงลง
ความมั่นคงเคลือบแคลงแกล้งสงสัย
ต่างคนคิดต่างชีวิตต่างจิตใจ
จะต่างไปต่างแตกต่างแยกทาง
หากแม้เรายื่นมือถือไว้มั่น
ช่วยกันประคับประคองทั้งสองข้าง
อย่าถดถอยปล่อยรักชืดจะจืดจาง
ช่วยกันสร้างรักไว้ให้นิรันดร์
แล้วแสงเทียนรักนั้นจะพลันจ้า
เพื่อส่องทางข้างหน้าพาสุขสันค์
มือกุมมือ ใจเชื่อมใจ ให้นิรันดร์
พายุผัน อีกนับพัน ก็มั่นใจ
(ม้าก้านกล้วย)
23 พฤศจิกายน 2548 09:39 น.
ม้าก้านกล้วย
เขากวาดต้อนมาพาขึ้นรถ
นิมนต์หมดวัดป่าให้มาสวด
ทั้งเจ้าเถรเณรน้อยห้าร้อยรวด
เอามาอวดศักดาหน้ามวลชน
แล้วประกาศก้องกรุงยุ่งการเมือง
เอาผ้าเหลืองเสื้อเหลืองเรื่องสับสน
แล้วประกาศว่าชาติทรุดสุดทานทน
เลยต้องขนกันมาตั้งกำลังใจ
ตาลปัตรวัดป่ามาเรียกร้อง
ดารดาษกราดก้องต้องแก้ไข
ดาลเดือดเลือดเหลืองเปลืองหัวใจ
ตรลบอบไอไปทั้งบาง
ไม่เคยเปิดดูข่าวเขาพามา
มุ่งวิปัสสนาในป่ากว้าง
แต่คราวนี้เกณฑ์เอาเขาชี้ทาง
เอามาอ้างพลังพระจะล้มรัฐ
เลยต้องมานั่งล้อมยอมลดศักดิ์
ยอมเป็นยักษามารประหารประหัต
ยอมคลุกตมโสมมโทมนัส
ปรมัติ ปรมัย ไม่สนแล้ว
22 ตุลาคม 2548 15:20 น.
ม้าก้านกล้วย
ผืนทรายว่างกว้างไกลไม่เห็นขอบ
ลมพัดหอบเม็ดผงลงกัดกร่อน
มิมีร่มเงานักให้พักร้อน
มิพอผ่อนผายแรงแห่งสุรีย์
เป็นอาณาน่ากลัวทั่วทุกย่าน
แสบสะท้าน แดดสะท้อน กร่อนวิถี
จะหางามงดใดที่ไหนมี
ร้อนฤดี ใจกาย แทบวายวาง
ผืนน้ำว่าง กว้างไกล ไม่เห็นฝั่ง
คลื่นหลั่ง ไหลกรู สู่เบื้องล่าง
โหมลม โถมถั่ง ดั่งครวญคราง
ณ กึ่งกลาง ห้วงนที มิสวยงาม
ระลอกแล้วระลอกใหม่ ก็ไล่หนุน
ฟองขุ่นคลั่งขู่ ดูล้นหลาม
ระลอกแล้วระลอกเล่าเฝ้าติดตาม
จนกว่าน้ำ จะสิ้นสุด ตรงจุดนั้น
เวิ้งทรายกลับกลายเป็นชายหาด
คลื่นสาดกลับกลายเป็นพรายผัน
น้ำร้ายทรายแล้งรู้แบ่งปัน
กลับคืนชื่นชีวันในทันที
จุดบรรจบครบครรลองทั้งสองสิ่ง
ความนิ่งและเคลื่อนไหวในดิถี
หยุดแล้งคลายร้ายได้พอดี
สัจธรรมที่มีล้วนชี้ทาง
สรรพสิ่งในโลกล้วน ควรพึ่งพา
พิจารณาถ้วน ควรกระจ่าง
ละลด โกรธขึ้ง ณ กึ่งกลาง
เพื่อสร้าง ความพอดี เท่าที่ควร
(ม้าก้านกล้วย)