10 เมษายน 2546 17:35 น.
ม้าก้านกล้วย
อดรนทนเลี่ยงลี้ หลบมุม
กางคลี่มณีคลุม ผืนผา
ประดับดอยเด่นดุ่ม ดั่งดาว
กล้วยไม้ขาวสูงค่า ซ่อนไว้ ให้ ค้น
นะรักนะช่วงยื้อ เพียงครอง
รักและหวังปองให้ ใกล้เจ้า
กระชากกล้วยกองไม้ หมายเก็บ
กระหน่ำเอามีดเหน็บ ถากไว้ ในกระถาง
โศกนาฎกรรม กล้วยไม้
เจ้าผู้ให้เยี่ยงหมาย บทสร้าง
สวยนั้นไซร้ใยวาง กลางป่า กลางดง
จึงโดนไล่โดนล้าง ย้ายแยก แตกกอ
กล้วยไม้ป่า กลางคา คบสูงลิ่ว
กลีบเจ้าปลิว หอมเจ้ายวน ทวนลมหอม
ภุมริน มากมาย มาไต่ตอม
แล้วห้อมล้อมลือชาว่าเจ้างาม
แล้วลุกลามปากต่อปากจากแนวไพร
แล้วยั่วใจใครต่อใครก็ไต่ถาม
แล้วค้นหาตาต่อตามาติดตาม
แล้วความงามดอกต่อดอกก็ชอกช้ำ
เขาเข้ามาหมายตาว่าน่าชม
มีดคมคมข่มคมแล้วล้มคว่ำ
กระชากแยกแตกกระจัดกระจายกำ
ก็เก็บงำเก็บไปเก็บไว้ดอม
กล้วยไม้ป่า บานกลางกระถางอิฐ
ดอกทั้งบิดเบี้ยวทั้งใบไร้กลิ่นหอม
ไม่มีแม้ภุมรามาไต่ตอม
เขาฉาบย้อมด้วยหยูกยานานาชนิด
น้ำกระด้างทางเส้นท่อต่อมาให้
ปุ๋ยเม็ดใหญ่หว่านประเคนเกณฑ์ผิดผิด
แสงสว่างก็พรางไว้ให้มิดชิด
จะผลิตดอกมากมากอยากแพร่พันธ์
ก็เมื่อกล้วยไม้หมายขยายเผ่า
บนแปลงแห่งโศกเศร้า เหล่านั้น
จะมีลูกหลานไปทำไมกัน
แค่อยู่ไปวันวัน แค่นั้นเอง
(ม้าก้านกล้วย)
9 เมษายน 2546 22:37 น.
ม้าก้านกล้วย
เป็นความจริงที่ว่า
คนเรามักจะมองข้ามสิ่งเล็กเล็กหลายหลายอย่างในชีวิต...
ด้วยไม่เห็นถึงความสลักสำคัญ
จึงละเลยไป......
ตราบกระทั่งเมื่อสูญเสีย
จึงได้ตระหนักถึงคุณค่า
เฉกเดียวกับต้นหญ้าดอกหญ้าข้างทาง
ที่มักถูกเหยียบย่ำ....
ก้าวเท้าข้ามไปครั้งแล้วครั้งเล่า
หากเมื่อมีเวลาได้หยุดคิด
และนั่งลงเพ่งพินิจ
จึงได้หวนรำลึกว่า
แท้ที่จริงนั้น....
ไม่ว่าต้นไม้ดอกไม้ใด
สรรพสิ่งใดใดในโลก
ต่างก็ถือกำเนิดมาจากดินทั้งสิ้น
สเลเต
2
ท่านยางใหญ่ใบหนามหาพฤกษ์
เหตุใดนึก ครวญคิดอย่างผิดหลัก
หญ้าเช่นเรามีระลึกรู้สึกรัก
แต่รู้จักปกป้องพ้องพวกตน
ท่านสูงใหญ่ก็ใช่ว่า จะกล้าแกร่ง
พายุอาจผาดแผลง เรี่ยวแรงล้น
แม้นวันที่ยางใหญ่หลวงต้องร่วงหล่น
คิดฉงนหญ้าหรือไม้ . . . ใครจีรัง
ลมพายุโหมกระชากมากเพียงไร
หญ้ากอใหญ่ไม่หวั่นลมอันคลั่ง
หญ้าก็โอนอ่อนตามหลามพลัง
หญ้าก็ยัง ยืนหยัด กวัดยอดไกว
ท่านแข็งโง่โข่เขื่องเรื่องของท่าน
แต่อย่าหยันอย่างกักขฬะ จะได้ไหม
เราใจหนึ่ง เช่นท่านซึ่ง ก็หนึ่งใจ
จะอย่างไรก็หนึ่งในไพรพนา
ท่านว่าท่านยืนใหญ่ให้ร่มเงา
แต่ว่าเราแผ่ใบให้ทึบหนา
รากท่าน อม อุ้มน้ำ ตามราคา
แต่รากหญ้าก็เหนี่ยวรั้งพลังน้ำ
ธรรมชาติสร้างสรรพสิ่งสรรค์
ให้ร่วมกันกูลเกื้อเพื่อช่วยค้ำ
ประสานจุน เจือด้วย ช่วยกระทำ
และน้อมนำ ธรรมชาติ มิขาดแคลน
ไม่ว่าท่าน ไม้ยางใหญ่ ไม่ว่าเรา
ถ้าหากเข้า ใจกฏ บทแบบแผน
เข้าใจสอด เสริมสร้าง พลางทดแทน
อย่าแบ่งแดน สูงศักดิ์ใด ใช่ยั่งยืน
(ม้าก้านกล้วย)
9 เมษายน 2546 22:33 น.
ม้าก้านกล้วย
เป็นความจริงที่ว่า
คนเรามักจะมองข้ามสิ่งเล็กเล็กหลายหลายอย่างในชีวิต...
ด้วยไม่เห็นถึงความสลักสำคัญ
จึงละเลยไป......
ตราบกระทั่งเมื่อสูญเสีย
จึงได้ตระหนักถึงคุณค่า
เฉกเดียวกับต้นหญ้าดอกหญ้าข้างทาง
ที่มักถูกเหยียบย่ำ....
ก้าวเท้าข้ามไปครั้งแล้วครั้งเล่า
หากเมื่อมีเวลาได้หยุดคิด
และนั่งลงเพ่งพินิจ
จึงได้หวนรำลึกว่า
แท้ที่จริงนั้น....
ไม่ว่าต้นไม้ดอกไม้ใด
สรรพสิ่งใดใดในโลก
ต่างก็ถือกำเนิดมาจากดินทั้งสิ้น
สเลเต
1
เฮ้ย เจ้าทรามโทรมกระจอกเจ้าดอกหญ้า
อย่าได้มาเสนอหน้าบนฟ้าสูง
ริอาจลอยลมรวนชวนชักจูง
ยอดยางยูงเสียดนภาข้าสูงล้ำ
ไม่อยากร่วมเสวนา หญ้าเจ้าด้อย
กอน้อยน้อยแทรกดินถิ่นชั้นต่ำ
ไม้กระยาอย่างข้าค่าทองคำ
เหนือดินดำมากมายสายราชันย์
จะไปไหนก็ไปอย่าได้เฉียด
หลู่รังเกียจเยาะเย้าเฝ้าหยามหยัน
แค่เศษของละอองหญ้าแค่สามัญ
กลับกีดกันแบ่งเลือกเทือกเหล่ากอ
เหล่าข้าเป็นไม้ใหญ่ผู้ให้คุณ
รากข้าย้ำค้ำจุนหนุนการก่อ
รับน้ำหลากกักไว้ยามไม่พอ
ลำเลียงต่อชีวิตไพรให้ร่มเย็น
ข้าบดบังแสงสุรีย์ที่ร้อนแรง
ข้าผ่อนแผลงลดทอนความร้อนเข็ญ
สร้างกระแสบรรยากาศที่อาจเป็น
กระแสลมร่มเย็นเป็นไอดี
แกก็แค่หญ้ารกปรกดินด้อย
ผยองปล่อยละอองไกวไปทุกที่
แพร่ลามปามเปรอะประดาวนาลี
อย่างไม่มีคุณใดใดไร้ค่านัก
(ม้าก้านกล้วย)
8 เมษายน 2546 22:08 น.
ม้าก้านกล้วย
...ทุกครั้งที่มีโอกาสได้เยี่ยมเยียนหาดทรายและฟองคลื่น
...อดไม่ได้ที่จะต้องจารึกชื่อ ใครคนหนึ่ง ไว้บนผืนทราย
...ที่สมิหลานี้ก็เช่นกัน บรรจงเขียนแล้วยืนดูสายน้ำ
...ค่อยๆซัด ค่อยๆสาด ค่อยๆลบ
...ให้ชื่อนั้นค่อยๆเลือนหายไปต่อหน้า...หายไปจากผืนทราย
...แต่ก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ไม่เคยเลือน
...แล้วจู่ๆก็ฉุกคิดถึงอีกชื่อหนึ่งขึ้นมา...
...ทว่า...เพียงเริ่มต้นจรดนิ้วลงบนผืนทรายอันราบเรียบ
...แล้วขีดเขียนเป็นลายเส้น หักคด ลดเลี้ยวเป็นตัวอักษรได้เพียงไม่กี่ตัว
...ประหนึ่งเกลียวคลื่นไม่เป็นใจ...ก็มีอันต้องซัดสาดมากลบเกลื่อน
...ให้จางหายไปต่อหน้าในทันที
...พยายามขีด...พยายามเขียน...กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง....
...ผืนทรายก็ยังคงเป็นผืนทรายอันราบเรียบ...เช่นเดิม
...ฤาเพราะคืนนี้..เป็นคืนที่...สมิหลาไร้จันทร์
...ทุกอย่างจึงเงียบงัน สงบนิ่ง และอึมครึม!
...สมิหลา ยามไร้จันทร์...มันช่างอ้างว้าง มืดมิด และเงียบสงัด
อัลมิตรา
วันนี้ ที่ชายน้ำจรดชายฟ้า
ริมหาดสมิหราสงขลาสวย
ทิวสนยาวสุดตาระอาระทวย
ตังกวนช่วยบดบังลมระทมระทด
เขาเล่าว่าแหลมสนบนชายหาด
มีคนวาดชื่อชายลายสลด
แต่น้ำเค็มไม่เต็มใจไม่ชื่นชด
แม้น้ำลดยังลามลบจนกลบเลือน
หน้าเขาแดงโกรธาจนหน้าแดง
คงหน่ายแหนงใจนางช่างกลบเกลื่อน
รักมีหนึ่งพึงใจใช่แชเชือน
แต่ยังเพื่อนใจอีกหนึ่งซึ่งซ่อนไว้
เกาะยอที่ขอบฟ้าน่าจะรู้
รักก็อยู่รักก็หวานปานแสงไข
รักก็มอบรักก็หวังทั้งหัวใจ
แล้วทำไมซ่อนรักไว้ ทำไมหนอ
วันนี้ ที่ชายน้ำ หน้าเกาะหนู
มายืนอยู่ฟังบรรยายทรายตัดพ้อ
ทั้งเกาะแมว ทั้งเงือกสาว เฝ้าแต่รอ
เรื่องย่อย่อ ฟ้องพลาง บ้างปลอบใจ
เก้าเส้งเข้าข้างอย่างออกหน้า
วชิรา นิ่งฟังยังสงสัย
แหลมทรายแหลมสน ก็จนใจ
เพราะอย่างไร ยังมั่นใจ ในรักเธอ
เถอะถึงแม้ใจเธอนั้นปันไปบ้าง
อดีตกลางฝันเก่าเหงาเสมอ
ไม่เรียกร้องลบเลือนลางล้างละเมอ
วันนี้เธอ ยังยืนยัน มีฉันคนเดียว
(ม้าก้านกล้วย)
7 เมษายน 2546 15:01 น.
ม้าก้านกล้วย
รอบรอบรั้วเรียงรายขจายกลิ่น
ดอกบางบิ่นบอบเบาเจ้าขาวสวย
ชันช่อชูชวนชมสมสำรวย
ลางสลวยแฝงเสน่ห์ให้เหหัน
สเลเต ชาติเกิดก้ำเจ้าต่ำต้อย
แต่มิด้อยค่าควรสวนสวรรค์
โดดเด่นกว่า มาลา นานา พรรณ
ขาวเจ้านั้นขาวสะอาดปราศมลทิน
หอมมิใช่แปรงเปล่งเก่งเกินกว่า
ผองผกาทั้งมวลชวนถวิล
หอมแค่หอมปรายโปรยโรยระริน
เพียงได้กลิ่นสุนทรีดังวิมาน
สัมผัสนั้นพลันวาบกำซาบซึ้ง
เมื่อครั้งหนึ่งในห้วงไหวหัวใจหวาน
สเลเตข้างรั้วยั่วเบิกบาน
พร้อมตำนานรักจริงใจเธอให้ฉัน
สเลเตโรยกลิ่นเตือนเหมือนสักขี
ดอกเจ้าสีขาวย้ำให้จำมั่น
วันที่มอบหัวใจให้ต่อกัน
วันที่ฉันเข้าใจเราเข้าใจรัก
แล้วคราใดที่หัวใจสงสัยเธอ
อาจจะเผลอยามห่างไปให้ห่วงหนัก
สเลเตเจ้าจะบาน พยานรัก
ให้ตระหนักว่าสองเราจะเข้าใจ
(ม้าก้านกล้วย)