25 กรกฎาคม 2546 19:56 น.
ม้าก้านกล้วย
ฉันมีหนึ่งบันไดไว้ไต่ฝัน
จะกี่วันกี่คืนฝืนฝึกฝน
ทุกข์จะเร่งรุมเร้าก็เฝ้าทน
ตั้งใจตนเอาไว้จะไขว่คว้า
ฉันมีอีกหนึ่งใจไว้ตั้งมั่น
เพื่อผลักดันต่อไปในวันหน้า
ไม่ท้อเลยไม่เคยเฉื่อยไม่เหนื่อยล้า
ฝันไว้ว่าอย่างไรใจจะปอง
เหมือนคำคมบอกกันฝันให้ไกล
และต้องไปให้ถึงจึงสนอง
เพราะความฝันฉันซึ้งฉันจึงลอง
และจะต้องสำเร็จได้ดั่งใจคิด
เธอมาร่วมสร้างฝันกับฉันไหม
เดินร่วมข้างทางอันไกลในลิขิต
เสริมส่งซึ่งกันและกันวันละนิด
ใช้ชีวิตชักจูงใจไปค้นหา
ร่วมกันฝันร่วมกันสู้ไปสู่ฝัน
มาช่วยกันยามพลาดพื้นลื่นถลา
แม้อีกหนึ่งล้มลงจงแกร่งกล้า
และช่วยคว้ามือกันไว้ไม่ให้พลั้ง
ไม่อยากฝันอยู่คนเดียวมันเปลี่ยวกาย
แค่อยากได้คนร่วมฝันกันสักครั้ง
แม้จะหลงฝันลวงทรวงพ่ายพัง
ฉันจะยังเชื่อใจเธอเสมอไป
การสู้ฝันคนเดียวนั้นมันวังเวง
เพราะฉันเกรงอนาคตไม่สดใส
จึงขอวอนคำฝากออกจากใจ
เพราะหนึ่งในความฝันนั้นคือเธอ
(ม้าก้านกล้วย)
25 กรกฎาคม 2546 01:07 น.
ม้าก้านกล้วย
แถลงการณ์จากหิ่งห้อยผู้ด้อยค่า
ที่เปล่งรัสมีมาเพราะว่าเหงา
ไร้หมู่สนิทสนมจึงตรมเศร้า
ได้แต่เอาแสงหลอกล้อพอได้คลาย
ความคิดถึงอัดแน่นในแผ่นอก
ความวิตกพอกเพิ่มเติมขยาย
ความว้าเหว่กักขังทั้งใจกาย
ความเหงากลายเป็นแสงไฟไหม้อารมณ์
ต้องปลดปล่อยออกมาเวลาค่ำ
เมื่อมนต์ดำของราตรีที่ทับถม
กรรแสงเศร้าโศกซึมขรึมและตรม
คลายระทมลงบ้างกลางความเหงา
เขียวครามเคลือบเหลือบขาบอาบด้วยขรึม
เชื้อเพลิงซึบซับโซเหมือนโง่าเขลา
ไร้แม้หนึ่งใดเข้าใจเรา
ได้แต่เอาประภาผ่องส่องเส้นทาง
แต่วังเวงเหลือเกินเมื่อเมินหนี
ตั้งแต่ราตรีต้นจนรุ่งสาง
ล้อดวงดาวลอยเด่นเห็นลางลาง
อยู่ท่ามกลางป่าเปลี่ยวเดียวดายนัก
แถลงการครั้งสุดท้ายก่อนพ่ายแพ้
มันก็แค่แสงจากทรวงที่หน่วงหนัก
พิการผู้พึงสงสารพิการรัก
ไร้รู้จักไร้ทักทายเหมือนตายแล้ว
(ม้าก้านกล้วย)
24 กรกฎาคม 2546 22:57 น.
ม้าก้านกล้วย
เมฆก้อนน้อยน้อยเจ้าลอยล่อง
ฟูขาวฟ่องฟ้อนฟ้ามาให้เห็น
เจ้ารวบรวมละอองไอที่ใสเย็น
มากลั่นเป็นหมอกขาวสกาวสวย
ก้อนน้อยน้อยกระจายเกลื่อนเจ้าเลื่อนไหล
ตามสายลมแรงไล่ไสลสลวย
อาศัยแรงลมบนมาปรนช่วย
บันดาลด้วยปานปั้นเมฆนั้นงาม
หนึ่งก้อนน้อยลอยไปถึงไหนหนอ
คงรั้งรอพวกพ้องสองและสาม
มาบดบังแสงตะวันอันอร่าม
ในโมงยามแห่งแสงอันแรงร้อน
สิบกลุ่มก่อเกลียวเกาะเกี่ยวกัน
ร้อยกลุ่มพันลมวนจนกลุ่มก้อน
ล้านอะอองอัดอั้นเริ่มสั่นคลอน
สาดสะท้อนทึบทึมเจ้าครึ้มฝน
ทะมึนมืดพืดพาดและกราดเกรี้ยว
พลังเหนี่ยวนำประจุทะลุร่น
อสุนีฟาดฝากจากเบื้องบน
แล้วหลั่งล้นฝนหล่นลงบนดิน
เจ้าโกรธขึ้งเคืองใครไม่กล้าถาม
เมฆในยามฝนฟ้าดังบ้าบิ่น
หมองเหมือนทาบฉาบทาด้วยราคิน
สวยที่สิ้นสูญไปเพราะใจร้าย
แต่หวังว่าเวลาพายุสงบ
จะได้พบเมฆน้อยลอยเป็นสาย
เป็นละอองไอสวยดั่งขวยอาย
ระเริงร่ายละล่องลมให้ชมเพลิน
(ม้าก้านกล้วย)
19 กรกฎาคม 2546 11:25 น.
ม้าก้านกล้วย
วันนี้เธอเอ่ยลาไปหาเขา
เมื่อสองเราคือสามในความหมาย
รักเธอซ้อนซ่อนสร้างอยู่ข้างกาย
ฉันทำได้แค่เพียงปล่อยรักลอยลาง
บีบมือเธอเบาเบาอย่างเข้าใจ
เยื่อและใยขอให้เหลือไว้บ้าง
มิได้รัก . . มิตรภาพกำซาบทราง
ขออย่าให้จืดจางยามห่างกัน
ปล่อยมือเธอเมื่อมือฉันนั้นเย็นเฉียบ
จะไม่เปรียบเทียบเท่าเขากับฉัน
เพราะเรื่องความแตกต่างระหว่างนั้น
เธอเลือกแล้วว่ามันสำคัญพอ
จะเก็บห้วงหอมหวานที่ผ่านมา
ไม่ห่วงว่าจะหม่นหมองไม่ร้องขอ
แม้ในใจลึกลึกรู้สึกท้อ
ไม่ตัดพ้อไม่น้อยใจเธอไปดี
เขาที่เธอเลือกสรรนั้นก็เพื่อน
จะเชือดเฉีอนชิงชัยก็ใช่ที่
รักคือเสียสละให้ด้วยไมตรี
อย่างหวังดีอย่างหมดหวังทั้งทั้งรัก
จะเก็บภาพเธอก้าวย่างห่างออกไป
เพื่อตรึงใจเพื่อสอนใจให้ตระหนัก
ผู้ยิ่งใหญ่คือความหมายว่าพ่ายรัก
คนอกหักคือคนดี ที่ยับเยิน
(ม้าก้านกล้วย)
18 กรกฎาคม 2546 11:52 น.
ม้าก้านกล้วย
ตะวันบ้านฉันนั้นยังแรง
แดดแดงบ้านเดิมยังเติมฝัน
แค่ได้ย่ำรอยใจก่อนไกลกัน
วันนี้ฉันหอบเอาเหงาเข้ามาทิ้ง
ใส่ชอกช้ำทำปุ๋ยเป็นผุยผง
เพื่อจะปลงอาภัพกับทุกสิ่ง
ไปเมืองกรุงมุ่งวิถีชีวิตจริง
กลับจมดิ่งอาจมเมืองเรื่องเลวเลว
ใครจะคิดว่าชายไทยไอ้บ้านนอก
จะโดนหลอกปอกแปลกจนแหลกเหลว
ผู้ดีฉาบงามขำทองคำเปลว
แต่ซ่อนเลวเล่ห์ร้ายอยู่ภายใน
ก็หนึ่งหนุ่มบ้านนาประสาซื่อ
ก็สองมือแลกแลกฐานะจะยิ่งใหญ่
ก็ได้กอบได้กำตามตั้งใจ
ก็เก็บเงินเอาไว้จะไถ่นา
ตะวันเมืองนครนั้นร้อนเล่ห์
ทั้งเรื่องรักโลเลสิเน่หา
ลวงใจไอ้โง่งมจมน้ำตา
วาสนาสลายเลือนเปื้อนราคี
ดวงตะวัน้านฉันนี้มีแสงสวย
โปรดมาช่วยจุดจบผู้หลบหนี
สาดไอร้อนผ่อนไอร้ายให้ฉันที
กลับมานี่เพราะพ่ายกรุงยุ่งเหยิงนัก
(ม้าก้านกล้วย)