4 สิงหาคม 2551 13:05 น.

มะลิดอกนี้..ชื่อ"มาลี"

มิสเตอร์M

ดอกเอ๋ยดอกมะลิ
สดสะอาดปราศสีราคีระคน
กลิ่นมะลิหอมกระไรไม่รู้สร่าง
อันรักแท้แลหัวใจได้บรรยาย
ถึงยามผลิกลิ่นพราวสกาวต้น
เหมือนกมลใสสดหมดระคาย
เปรียบได้อย่างรักแท้ไม่แปรหาย
ขอเชิญทาย ณ ที่ไหนจากใครเอย
(จากคำประพันธ์บทดอกสร้อยชื่อแม่จ๋า ของท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา)

.......
สีขาว 

เปรียบเสมือน 

ความรัก 

อันบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่ของแม่ 



ดอกมะลิ 

ประโยชน์ของดอกมะลินอกจากจะร้อยเป็นมาลับบูชาพระแล้ว.. 

ดอก : มีสรรพคุณแก้อาการท้องร่วง 

ราก : เป็นยาแก้ปวดกระดูก ปวดกล้ามเอ็น ปวดฟัน 

ใบสด : นำมาตำให้ละเอียดช่วยรักษาแผลพุพอง 

ต้น : ใช้รักษาโรคคุดทะราด ขับเสมหะ แก้ร้อนใน 

ดอกมะลิจึงมีคุณค่าเอนกอนันต์ 

........
ตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ 
ทุกๆวันที่ผมกลับมาถึงบ้านจะพบ.. 
กระดาษโน๊ตชิ้นหนึ่ง 
แปะไว้บนตู้เย็น 
กับข้าวแม่เก็บไว้ให้ในตู้นะลูก 
 
'แม่'ให้ความรักกับลูกตั้งแต่วินาทีแรกที่ลูกเกิดมาจนถึงวันสุดท้ายที่แม่จากไป บุญคุณของแม่ทั้งชีวิตลูกก็ตอบแทนไม่หมด 
ลองใช้เวลาสัก5นาทีเพื่อมองดูแม่ของเรา แล้วเราคงจะเห็นสิ่งที่พวกเรากำลังหลงลืมอยู่..
ใกล้วันแม่แล้วลูกๆทุกๆคนคิดที่จะทำอะไรให้แม่ของเราบ้าง ..
..อยากให้ลูกๆทุกคนได้อ่านเรื่องนี้และทำสิ่งดีๆเพื่อแม่ของเราบ้าง

..............
     ถ้าย้อนเวลากลับมาได้ผมอยากให้แม่กลับมาหาผมอีกสักครั้ง ผมอยากพูดอยากกอดและบอกกับท่านว่าผมรักแม่มากแค่ไหน แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เพราะแม่ได้จากผมไปแล้ว ทำไมตอนนี้ผมถึงอยากบอกรักแม่ทุกๆวัน และตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ผมไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมผมถึงไม่ยอมบอกรักท่าน ทำไมผมถึงไม่ดูแลเอาใจใส่ท่าน..ให้ความรักและความสุขแก่ท่านให้มากๆ 
     ผู้เขียนขอเป็นกระจกเงาที่จะสะท้อนให้เห็นถึงช่วงเวลาหนึ่งที่ลูกคนนี้เคยหลงลืมและทอดทิ้งแม่ที่มีพระคุณอย่างใหญ่หลวงไป ผู้เขียนหวังว่า เรื่องราวชีวิตในอดีตที่ผ่านมาจะเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ท่านผู้อ่านได้บ้าง วันเวลาในอดีตไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด รักและดูแลเอาใจแม่ของเราให้มาก อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะวันหนึ่งเมื่อแม่ได้จากเราไป เราจะมาเรียกร้องขอโอกาสอีกคงไม่ได้ ช่วยกันสร้างความสุข รอยยิ้ม ความทรงจำที่ดีงามให้กับคนที่เรารักมากที่สุดในชีวิต
    บอกรักแม่ของเราทุกๆวันนะครับ				
4 สิงหาคม 2551 12:45 น.

มะลิดอกนี้..ชื่อมาลี

มิสเตอร์M

มะลิ..ดอกนี้ชื่อมาลี 



                                 คำทักทายจากผู้เขียน 

สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก ในวันแม่12สิงหา ที่โรงเรียนจะเปิดเพลงค่าน้ำนมหน้าเสาธง จนผมต้องร้องไห้โฮออกมาทุกทีเพราะมันแทงใจดำของผม พอเข้าไปในห้องเรียน คุณครูประจำชั้นก็ให้พวกเราทำรายงานส่งโดยให้เขียนเรียงความวันแม่ ซึ่งตอนนั้นผมก็เขียนบรรยายไปตามเรื่องตามราว ว่าแม่เลี้ยงดูเรามาอย่างไร แม่รักเราแค่ไหน ทุกวันแม่ทำอะไร ให้เราบ้าง พร้อมทั้งคัดลอกเพลงใครหนอรักเราเท่าชีวีมาประกอบเรียงความให้ดูซาบซึ้งกินใจขึ้น ผลงานของผมได้รับรางวัลเรียงความความดีเด่นจากโรงเรียน แต่ความรู้สึกในใจของผมในตอนนั้น มันไม่ได้เศษเสี้ยวความรักที่ผมมีให้แม่ในตอนนี้เลย 

หลายต่อหลายครั้งที่ลูกไม่เอาไหนคนนี้ พบกับปัญหามากแค่ไหน จะล้มลุกคลุกคลานยังไง แต่แม่ก็เป็นกำลังใจและอยู่เคียงข้างลูกเสมอ แม่ให้ความรักกับลูกตั้งแต่วินาทีแรกที่ลูกเกิดมาจนถึงวันสุดท้ายที่แม่จากเราไป บุญคุณของแม่ทั้งชีวิตลูกก็ตอบแทนไม่หมด ถ้าย้อนเวลากลับมาได้ผมอยากให้แม่กลับมาหาผมอีกสักครั้ง ผมอยากพูดอยากกอดและบอกกับท่านว่าผมรักแม่มากแค่ไหน แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เพราะแม่ได้จากผมไปแล้ว ทำไมตอนนี้ผมถึงอยากบอกรักแม่ทุกๆวัน และตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ผมไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมผมถึงไม่ยอมบอกรักท่าน ทำไมผมถึงไม่ดูแลเอาใจใส่ท่าน..ให้ความรักและความสุขแก่ท่านให้มากๆ 

ขอเป็นกระจกเงาที่จะสะท้อนให้เห็นถึงช่วงเวลาหนึ่งที่ลูกคนนี้เคยหลงลืมและทอดทิ้งแม่ที่มีพระคุณอย่างใหญ่หลวงไป ผู้เขียนหวังว่า เรื่องราวชีวิตในอดีตที่ผ่านมาจะเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ท่านผู้อ่านได้บ้าง วันเวลาในอดีตไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด รักและดูแลเอาใจแม่ของเราให้มาก อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะวันหนึ่งเมื่อแม่ได้จากเราไป เราจะมาเรียกร้องขอโอกาสอีกคงไม่ได้ ช่วยกันสร้างความสุข รอยยิ้ม ความทรงจำที่ดีงามให้กับคนที่เรารักมากที่สุดในชีวิต.ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกปกป้องคุ้มครองให้คุณแม่ทุกๆท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและมีความสุขสดชื่นสมหวัง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานไปนานๆ 

                                                                                                                       รักแม่ 

                                                                                                                     มิสเตอร์M				
4 สิงหาคม 2551 12:37 น.

มะลิ..ดอกนี้ชื่อมาลี

มิสเตอร์M

ก้นบึ้ง 




"นั่งสมาธิลืมตาให้นิ้วชี้ไปที่กลางอกคือบริเวณฐานของจิต ให้จิตสงบและอยู่ในภวังค์ " 
เสียงพระอาจารย์บอกให้ผู้ปฎิบัติธรรมเจริญภาวนาเพื่อให้จิตให้สงบ 

เหงื่อเม็ดเป้งๆก็ผุดออกมาจนเปียกชุ่มหน้าผมไปหมด หูผมในตอนนี้ไม่ได้ยินเสียงพระอาจารย์อีกต่อไปในสมองกลับมีภาพซ้อนๆกันนับหมื่นนับแสนประดังประเดกันเข้ามาจนหัวผมแทบจะระเบิด ภาพความทรงจำเก่าๆที่ผ่านมาในวัยเด็กไม่รู้ว่ามันมาจากไหนและมันมาได้ยังไง มันคงถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของก้นบึ้งมานานแสนนาน 

ภาพ เด็กน้อยก็นั่งดูทีวีร่วมกับเด็กคนอื่นๆอยู่ในบ้านหลังหนึ่งมี ผู้หญิงใจยักษ์คนหนึ่งกระแทกปิดทีวีเครื่องนั้นด้วยความฉุนเฉียว ภาพนั้นค่อยๆจางหายไปเปลี่ยนมาเป็นภาพผู้หญิงวัยกลางคนกำลังแบกตะกร้าจ้ำเดินในความมืด ใบหน้าผู้หญิงคนนี้ค่อยๆแจ่มชัดขึ้นมา "แม่" ภาพนั้นค่อยจางหายไปเป็นภาพผู้หญิงวิ่งเอาไม้เรียวไล่ตีเด็กน้อยคนหนึ่ง...น้ำตาผมก็ไหลออกมาทั้งๆที่นั่งหลับตาอยู่ 


10วันก่อนหน้านี้... 


ติ๊ด..ติ๊ด..เสียงเครื่องวัดการเต้นของหัวใจวิ่งเป็นกราฟขึ้นลง 

ผู้หญิงแก่อายุ70ใบหน้าตอบผิวหนังที่เหลือเพียงห่อหุ้มกระดูกนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงนอนในห้องไอซียู มีสายยางแทงเข้าไปทางรูจมูกทั้ง ที่คอมีรูเจาะสำหรับให้อาหารทางสายยาง ที่แขนมีรอยเข็มที่เจาะจนพรุนไปหมด หัวเตียงมีขวดน้ำเกลือและขวดเลือดที่แขวนอยู่กับเสาเหล็กปล่อยให้น้ำเกลือและเลือดในขวดนั้นไหลไปยังแขนทั้งสองข้าง 

"แม่"เสียงมันสั่นในคอ น้ำตามันไหลออกมาโดยไม่ต้องสั่ง ผมนั่งลงข้างเตียง 

"เจี๊ยบมาแล้ว แม่ไม่ต้องกลัวนะเจี๊ยบอยู่กับแม่แล้ว"ผมเอามือของแม่ขึ้นมากุมไว้ 

เหตุการณ์ที่ช็อคอารมณ์ยังไม่จางไปจากหัวของผมเลย มันเกิดขึ้นเมื่อวานตอนเช้าระหว่างที่ผมนั่งทำงานอยู่ในห้อง 

"พ่อน้องแชมป์ๆ"เสียงร้องตะโกนของคนข้างบ้าน 

"ยายแกเป็นอะไรไม่รู้ล้มอยู่หน้าบ้าน"สิ้นเสียงตะโกนบอก 

ผมก็รีบลุกออกไปดูแม่ที่หน้าบ้าน ภาพที่ผมเห็นแม่นอนคว่ำหน้าลงอยู่ตรงริมฟุตบาททางเดิน ผมรีบเข้าไปประคองอุ้มแม่ ให้นอนหงายบนตัก แม่ไม่รูสึกตัวมือกำแน่นผมเขย่าตัวแม่หลายครั้งแต่แม่ไม่ขานตอบ 

"ช่วยเรียกรถแท็กซี่ให้หน่อย" ผมบอกคนข้างบ้านที่สนิทกัน ผมอุ้มแม่ขึ้นไปบนรถแท็กซี่ 

" ไปโรงพยาบาลครับ" แม่นอนอยู่ในอ้อมกอดผมเสียงหายใจแม่ดังพอๆกับเสียงก่น แม่กัดปากตัวเองแน่นจนผมกลัวว่าแม่จะกัดลิ้นตัวเองผมจึงถอดฟันปลอมของแม่ออกมาเก็บไว้ 

" แม่ๆ" ผมเรียกแต่แม่ก็ไม่ตอบรับกลับมา ผมน้ำตาไหล กลัวแม่จะเป็นอะไรไป 

"ใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว แม่อดทนอีกนิดนะเดี๋ยวคุณหมอท่านก็จะช่วยให้แม่หาย" พอถึงโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่ก็ออกมาช่วยกันอุ้มแม่ขึ้นไปวางบนรถเข็น เสียงหมอบอกให้เอาเข้าห้องไอซียูทันที หลังจากเข้าไปในห้องไอซียูประมาณ15นาทีพยาบาลก็เดินมาหาผม ถามว่าเป็นญาติของผู้ป่วยใช่ไหมมีบัตรทองหรือบัตรประกันสังคมหรือเปล่า ผมบอกไม่มี พยาบาลบอกว่าให้ผมไปทำประวัติผู้ป่วยตรงเวชระเบียง ผ่านขั้นตอนการทำประวัติผู้ป่วยและเซ็นชื่อรับรองต่างๆจนเสร็จสิ้นแล้วผมก็มานั่งรอ พยาบาลคนเดิมเดินมาคุยกับผม เพื่อแจ้งว่าอาการของแม่หนักมากต้องผ่าตัดด่วน ผมตกใจมากตั้งสติได้ผมก็รีบตอบตกลงทันที 

ผมเดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องไอซียู เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนได้ยินเสียงพยาบาลพูดว่าคนป่วยปลอดภัยพ้นขีดอันตรายแล้ว ผมดีใจมากจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ 

"แต่คุณควรกลับบ้านก่อนเพราะคุณหมอยังไม่อนุญาตให้เยี่ยม" 

"พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมใหม่นะค่ะ" 

คืนนี้ผมนอนไม่หลับ ผมเสียใจ กลัวจะเสียแม่ไป ภาพที่เห็นแม่ล้มคว่ำหน้าลงไปนอนสลบอยู่ที่พื้นยังตามมาวนเวียนอยู่ในหัวของผม ก่อนแม่จะล้มลงตรงหน้าบ้านเราสองคนทะเลาะกัน แล้วแม่ก็เดินร้องไห้ออกจากบ้านไป 

สาเหตุที่ผมกับแม่ทะเลาะกัน เพราะผมเห็นแม่เดินไปเก็บของที่คนอื่นทิ้งแล้วในถังขยะเอามาไว้ในบ้านอีกแล้ว ผมบอกแม่หลายครั้งแล้วว่าไม่ให้เก็บของพวกนี้มา แม่ชอบเสื้อผ้าเก่าๆที่เขาใช้แล้วเอามาซักซะใหม่เอี่ยม แล้วแม่ก็เก็บของเล่นเก่าๆ มาล้างเพื่อเก็บไว้ให้ลูกชายผมเล่น 

"เอาไปทิ้งเถอะแม่เสื้อผ้าของใครก็ไม่รู้ เชื้อโรคเยอะแยะ"ผมอธิบาย 

" ตู้ๆตี้ๆไปบ้านไปบ้าน"แม่เถียงยืนยันว่าจะเอาไว้ ไม่ยอมจะให้เอาไปทิ้ง 

5ปีมาแล้วที่แม่ ป่วยเส้นโลหิตในสมองแตก การเจ็บป่วยครั้งนั้นส่งผลให้ที่แม่เป็นอัมพฤกต์ครึ่งซีกซ้าย แขนซ้ายและขาซ้ายแม่ใช้งานไม่ได้ต้องใช้ไม่เท้าช่วยค้ำเดิน และประสาทที่สั่งการในการออกเสียงของแม่ตายใช้งานไม่ได้ดั่งเดิม แม่พูดออกเสียงได้แต่ฟังไม่รู้เรื่อง แม่จะพูดได้แค่คำว่า " ตู้ๆตี้ๆไปบ้านไปบ้าน" ผมจะฟังแม่พูดประกอบเรื่องราวนั้นๆแล้วเดาเอาว่าแม่ต้องการจะบอกอะไรผม 

" เอาไปทิ้งนะแม่ เก็บมาทำไมอีก ชาวบ้านเขานินทาทุกวัน เบื่อจังเลยพูดเท่าไหร่แม่ก็ไม่เชื่อ"ผมพูดด้วยน้ำเสียงใส่อารมณ์ เพราะเอือมระอากับความดื้อรั้นของแม่ 

" ตู้ๆตี้ๆไปบ้านไปบ้าน"แม่ร้องไห้ แล้วก็ดินถือไม้เท้าค่อยๆลากเดินออกไปนอกบ้าน 
... 

ผมนอนปราดน้ำตา มาถึงตอนนี้ผมรู้สึกผิด ผมอยากจะขอโทษแม่ที่ทำให้แม่เสียใจร้องไห้ ผมรู้ว่าแม่อยากจะช่วยทำอะไรบ้าง เพราะแม่ไม่เคยอยู่เฉยมาตลอดชีวิตของผมตั้งแต่เล็กจนโตผมก็เห็นแม่ทำแต่งานเพื่อผมมาตลอด 

รุ่งเช้าผมมาที่โรงพยาบาลแต่เช้านั่งรอจนถึงบ่าย พอรู้ว่าคุณหมออนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้ผมก็รีบเปลี่ยนชุดที่โรงพยาบาลจัดให้เฉพาะญาติที่จะเข้าเยี่ยมคนป่วยในห้องไอซียู ผมเดินหาเตียงที่เขียนชื่อของแม่ ระหว่างที่ผมกำลังจะนั่งลงข้างๆเตียงของแม่ พยาบาลก็เดินเข้ามาหาผม 

" คุณเป็นญาติของผู้ป่วยใช่ไหมค่ะ " 

" ครับ " ผมตอบ 

" มาเยี่ยมคราวหน้าเตรียมกระดาษทิชชูและก็แพมเพิร์สมาด้วยนะค่ะ" 

"ได้ครับ..คุณพยาบาลครับ" 

"แม่ผมเป็นอย่างไรบ้างครับ..ท่านเป็นโรคอะไร" ผมถามด้วยความเป็นห่วงแม่ 

"น้ำท่วมปอดค่ะ และตอนนี้ปอดติดเชื้อ ต้องรอดูอาการอีกสักพัก คุณหมอถึงจะจัดยาฆ่าเชื้อได้ " 

" แล้วแม่ผมจะหายไหมครับ "ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ 

"อาการท่านดีขึ้นมากแล้วค่ะ เดี๋ยวขอเจาะเลือดไปตรวจอีกทีนะค่ะ " ระหว่างที่เจาะเลือดพยาบาลก็บอกว่าเจาะไปแล้วไม่เจอเส้นเลือดเลย ต้องหาหลายเส้นเลือดที่จนแขนแม่เป็นรอยเข็มไปหมดน่าสงสารเหมือนกัน 

วันนี้พี่สมใจ พี่สาวต่างพ่อของผมกับเบญ เปิ้ล เต่า จิ๊บ ลูกๆของพี่ใจมาเยี่ยมแม่ 

"หวัดดีกู๋(น้า)เจี๊ยบ" หลานทั้งสี่คนยกมือไหว้ผม 

ผมพยักหน้ารับ 

" แม่เป็นยังไงบ้าง" เสียงพี่สาวผมถาม 

" หมอบอกว่าต้องดูอาการก่อน ถึงจะให้ยาถูก " ผมอธิบาย 

" แม่หลานๆมาเยี่ยม" ผมบอกเพราะ แม่คงดใจที่ลูกหลานมาเยี่ยม 
.... 

"กำหนดลมหายใจเข้า-ออก" เสียงพระอาจารย์สั่ง 

ผมมาทำอะไรอยู่ที่นี่ การนั่งวิปัสสนากรรมฐานเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะหวังพึ่งให้เกิดปาฎิหาริย์หวังที่จะได้บุญกุศลจากการมานั่งพาเพ็ญบุญบารมีในครั้งนี้ได้ส่งอานิสงฆให้แม่ของผมฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง 

" เข้า-หนอ ออก-หนอ" ผมกำหนดลมหายใจของตัวเองให้เป็นจังหวะเพื่อให้จิตมีสมาธิทำจิตใจให้สงบแต่ภาพที่เข้ามาในหัวของในตอนนี้มันสับสนวุ่นวายไปหมด 

"แม่คือพรหมวิหาร 4 ของลูก"เสียงพระอาจารย์ดังแว่วเข้ามาหูแม้ตาจะหลับกายจะนั่งขัดสมาธินิ่งแต่ใจกลับทุรนทุราย"แม่มีความ เมตตา - อยากให้ลูกเป็นสุข" เสียงพระอาจารย์พูดดังก้องเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ 
"แม่มีความกรุณา - ช่วยเหลือลูกให้เป็นสุข, แม่มีมุทิตา - ยินดีเมื่อลูกเป็นสุข ...เป็นความรู้สึกจากเนื้อแท้ ต่างจากมุทิตาของเพื่อที่มีต่อเราอาจจะแค่ยินดีแค่ปาก แต่ใจเจือด้วยความอิจฉาอยู่ภายใน แต่แม่ของเรานั้นไม่มีความอิจฉาริษยาใด ๆ ต่อลูกเลยเมื่อลูกได้รับสิ่งที่ดีๆในชีวิต แม่ก็มีแต่ความสุขความยินดีเท่านั้น3ประการนี้แม่สอบผ่านด้วยคะแนนเต็มแต่ข้อสุดท้าย อุเบกขา - ข้อนี้แม่สอบตก เพราะยากจะหาแม่คนใดวางเฉยในความทุกข์ของลูกได้ ลูกทุกข์แม่ก็ทุกข์ด้วย" น้ำค่อยๆไหลออกมาจากสองตา 

ภาพแม่ที่ฉีกยิ้มด้วยความดีใจและเป็นสุขในวันที่ผมได้รับปริญญาจางหายไปเป็นภาพแม่ที่แม่ร้องไห้ที่พี่ชายผมยอมไปรักษาตัวที่ถ้ากระบอก แม่ดีใจที่ลูกจะได้มีชีวิตใหม่ จิตผมเตลิดไปทั่วผมเห็นภาพขบวนขันหมากมี ผมกับญาติๆเป็นคนช่วยกันกั้นประตูเงินประตูทอง วันนี้เป็นอีกวันที่แม่มีความสุขที่เห็นลูกสาวของแม่แต่งงานมีครอบครัว 

"อุเบกขาของแม่ที่มีต่อลูกนั้นนับว่าประเสริฐหาที่เปรียบมิได้"เสียงพระอาจารย์ดึงสติผมกลับเข้ามา 

"แม่จะมอบความรักแก่ลูกๆเท่าเทียมกัน คอยสอดส่องดูแลทุกข์สุขของลูกมิได้ขาด เลี้ยงดูจนลูกๆเติบใหญ่จนช่วยเหลือตนเองได้ จึงวางใจปลอยให้ลูกดำเนินชีวิตตามแนวทางของตนเองได้ แต่ใจแม่ก็ยังคอยเป็นห่วงเป็นใยลูกเสมอคอยสดับตับฟังข่าวคราวของลูกด้วยใจจดจ่อและพร้อมจะยืนมือเข้าช่วยเหลือถ้าลูกต้องการ ไม่ว่าลูกจะโตแค่ไหนแต่ลูกก็ยังเป็นเสมือนเด็กที่แม่จะคอยห่วงใยเสมอมิได้ขาด และไม่ว่าลูกจะเป็นคนชั่วคนเลวแค่ไหน แม่ก็ยังรักยังให้อภัยลูกของแม่ได้เสมอ ความเป็นแม่เป็นลูกตัดกันไม่ขาด" ผมปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร 

วันนี้ผมอยู่ที่นี่อีกไม่ได้ ผมเก็บข้าวของและเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าไปกราบลาพระอาจารยกลับไปดูแลแม่ที่โรงพยาบาล ผมอยู่ไปก็ไม่สามารถทำใจให้มีสมาธิสงบเยือกเย็นได้ " ผมเป็นห่วงแม่" 



3วันก่อนหน้านี้... 


"คุณหมอเชิญให้ญาติไปพบค่ะ" พยาบาลเดินเข้ามาบอกผมทันทีที่เห็นเข้าไปเยี่ยมในห้องไอซียู 

ผมไปพบหมอที่ห้อง...คุณหมอเล่าอาการให้ฟังว่าจากอาการครั้งก่อนที่แม่เคยเป็นอัมพาตเซลล์สมองที่ตายไปหมดกว่าครึ่งทำให้อาการป่วยครั้งนี้ของแม่หนักมาก การฟื้นตัวจึงเป็นไปได้กว่าคนปกติ อาการติดเชื้อในปอดหมอได้ให้ยาจนอาการก็ค่อยๆดีขึ้น แต่ประสาทสมองนั้นไม่รู้ว่าจะกลับทำงานได้ตามปกติไหม ถ้าไม่ได้ก็คงต้องทำใจ อาจจจะไม่รู้สึกตัวไปตลอด 

" แล้วแม่ผมมีโอกาสจะหายและรู้สึกตัวอีกไหมครับ" ผมถามหมอ 

" ถ้าจะให้หมอพูดตรงๆคงมีโอกาสน้อยมาก หมออยากให้ญาติทำใจไว้ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโรคแบบนี้มันค่อนมากเพราะต้องดูแลอย่างต่อเนื่องและใช้เวลานานมาก แต่ถ้าญาตไม่ไหวจริงๆจะยอมตัดใจปล่อยให้ท่านไปจากเราไปอย่างสบายก็ได้ครับ อยู่ที่ญาตจะตัดสินใจ" 

" ผมอยากให้แม่อยู่กับผมต่อไปครับ ผมอยากให้แม่อยู่กับผมไปนานๆ"มาถึงตอนนี้สียงผมเริ่มสั่น 

" ค่อยๆคิดนะครับ ถ้ายังยืนยันว่าจะดูแลผู้ปวยต่อไป หมอคงให้อยู่ที่โรงพยาบาลได้สักระยะเวลาหนึ่ง พอเรียนรู้เรื่องการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้นได้แล้ว คงต้องรับกลับไปรักษาตัวที่บ้านต่อไป เดี๋ยววันนี้หมอจะอนุญาตให้คนป่วยออกจากห้องไอซียูได้" 

"ขอบคุณครับ"ผมยกมือไหว้และลาหมอกลับอกมา 

" หมอว่ายังไงบ้าง"...พี่สาวถามเมื่อเห็นผมดินออกมาจากห้องหมอ 
" หมอบอกว่า แม่จะต้องเป็นเจ้าหญิงนิทรา..ให้ญาตตัดสินใจว่าจะปล่อยให้ท่านจากเราไปอย่างสงบหรือว่าจะดูแลรักษากันต่อไป ถ้าดูแลรักษากันต่อไปก็ต้องพาแม่กลับไปรักษาตัวที่บ้านเพราะโรคนี้ต้องใช้เวลานานในการักษา อยู่ที่โรงพยาบาลจะเสียค่าใช้จ่ายสูง ให้พากลับไปดูแลที่บ้านจะสะดวกกว่า เพราะจะมีญาตดูแลได้อย่างใกล้ชิด" 

"แล้วเอ็งว่าไง"พี่สาวผมถามพร้อมกับเอามือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา 

"ฉันจะดูแลแม่เอง..อยากให้แม่อยู่กับเราให้นานที่สุด"เสียงผมสั่นน้ำตาผมเริ่มจะไหลตาม 

"แต่อาคิ้วกับอากิมบอกว่าปล่อยให้แม่ไปดีเถอะ คราวก่อนอาเจ๊กล้มหัวฟาดพื้นก็เป็นเจ้าชายนิทราแบบนี้หมดเงินค่ารักษาไปเป็นล้านเลย ทรมานทั้งคนเจ็บและสร้างความทุกข์ให้กับลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่" พี่สาวผมบอก 

"แต่ฉันจะฆ่าแม่ไม่ได้" ถึงตอนนี้ผมน้ำตาไหลออกมาด้วยความน้อยใจและความโกรธที่ญาตๆพากันจะทิ้งแม่กันแบบนี้ 
"ฉันจะหาเงินมารักษาแม่เอง ไม่ได้ขอใครสักหน่อย ฉันอยากจะให้แม่อยู่กับพวกเราไปนานที่สุด" 

" ก็ตามใจเอ็ง ข้าให้เอ็งตัดสินใจ" พี่สาวผมบอก..ผมรู้ว่าพี่สาวผมก็คงอยากให้แม่หายและมีชีวิตอยู่กับพวกเรานานๆเหมือนกัน 

" เดี๋ยววันนี้หมอเขาจะย้ายแม่ออกจากห้องไอซียูนะ ไปอยู่ห้องผู้ป่วยทั่วไปช่วงนี้ถ้าพี่ใจไม่มีงานก็เฝ้าแม่ผลัดกับพวกไอ้เต่าไอ้เปิ้ลไอ้เบญมันนะ เพราะพรุ่งนี้ฉันจะไปนั่งวิปัสสนาสัก3วัน จะอุทิศบุญขอให้แม่หายไวๆ" ผมบอกกับพี่สาว 

" เออเอ็งไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะเฝ้าแม่เอง" 

ผมกลับเข้ามานั่งในห้องไอซียูมองใบหน้าแม่ที่หลับอยู่พร้อมก้มลงกราบแม่ และสวมกอดแม่ในตอนที่แม่ปกติผมไม่เคยได้แสดงออกว่ารักแม่เลย 

เกือบ1อาทิตย์ที่แม่อยู่ ในห้องไอซียู ผมเห็นนางพยาบาลที่มาคอยเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แม่และให้อาหารทางสายยางแม่ทุกวัน 

"เวลาพาคุณแม่กลับไปบ้าน คุณต้องพลิกตัวให้ท่านบ่อยๆ ระวังท่านจะเป็นแผลกอทับที่หลังเพราะถ้านอนนานๆทำให้แผลเน่าได้" พยาบาลอธิบายขั้นตอนต่างๆให้ผมฟังในขณะที่ค่อยๆเอาผ้าเช็ดตัวให้แม่จนเสร็จ แล้วก็รูดฉากมากั้นรอบเตียงเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้แม่ 

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แม่เสร็จแล้วพยาบาลก็เข็นรถเอาอุปกรณ์กลับไป ผมค่อยๆเทแป้งฝุ่นลงในฝ่ามือทาไปที่บนใบหน้าแม่อย่างเบาๆ แล้วหยิบหวีมาหวีผมให้แม่สังเกตเห็นผมสีขาวโพลนแล้วผมก็ยิ่งสะท้อนใจ 
"แม่ " ผมกระซิบเรียกแม่เบา ๆ ที่ข้างหู 
"เจี๊ยบจะไปนั่งวิปัสสนา3วัน แม่ไม่ต้องเป็นห่วงเดี๋ยวพี่ใจจะให้เบญกับเปิ้ลมาเฝ้าแม่นะ" 

เจ้าหน้าที่2คนเข็นรถพร้อมเปลยาวเข้าไปในห้องไอซียู เขาอุ้มร่างที่ไร้สติของแม่ขึ้นไปบนรถเข็น แล้วพาเข็นออกมาจากห้องไปตรงหน้าลิฟส์ ผมเดินตามออกมาเงียบๆ ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้แม่เห็น กลัวแม่จะไม่สบายใจ ผมแอบยืนร้องไห้อยู่หน้าห้องไอซียู เจ้าหน้าที่พาแม่มาที่ห้องผู้ป่วยรวมบริเวณชั้น5แล้วเจ้าหน้าที่ก็อุ้มแม่นอนบนเตียงจัดการเสาเหล็กที่แขวนน้ำเกลือและขวดเลือดให้เข้าที่เข้าทางอยู่ข้างๆหัวเตียงใหม่ 

ผมมองร่างแม่ที่กำลังหลับอยู่ แม่คงเหนื่อย กับการเลี้ยงดูผมมาจนตลดชีวิต ใกล้ถึงเวลาไปสำนักวิปัสสนา ผมเดินออกมาห้องผู้ป่วยไปที่ลิฟต์ แต่ผมเปลี่ยนใจหันมาเดินลงบันไดแทน ขาผมเดินไป เรื่อยๆอย่างอ่อนแรง ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันเคว้งคว้างไปหมด 

....อยู่ๆน้ำตามันก็ค่อยๆไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว 


*************************** 


หมายเหตุ 

1. แม่เป็นพระพรหมของลูก 
แม่มีพรหมวิหารสี่ อันประกอบด้วย ความเมตตา คือ ความรัก ความปรารถนาดีต่อลูก ความกรุณา คือ มีความเห็นอกเห็นใจลูกอย่างแท้จริง เมื่อลูกประสบความสำเร็จหรือเจริญก้าวหน้าก็มีมุทิตาจิต คือยินดีอย่างจริงใจ ครั้นลูกผิดพลาด ก็มีใจอุเบกขา คือไม่ซ้ำเติม และให้กำลังใจแก่ลูก 

2. แม่เป็นครูคนแรกของลูก 
แม่สั่งสอนลูกเสมอให้ลูกเป็นคนดี มีจิตใจเมตตาโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน 

3. ครรภ์ของแม่คือบ้านหลังแรกของลูก 
ครรภ์ของแม่ เป็นที่อาศัยนอน ที่กิน ที่ขับถ่าย บ้านหลังแรกที่แม่ให้ลูกอยู่โดยไม่คิดค่าเช่า ถึงเก้าเดือนเต็ม 

4. แม่เป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่คือให้ชีวิตลูก 
วันที่ลูกเกิดแม่ต้องแลกด้วยชีวิตของท่าน แม่ลืมความเจ็บปวดเป็นปลิดปลิดทิ้งเมื่อรู้ว่าลูกปลอดภัย 

5. แม่คือผู้ปกป้อง 
อ้อมแขนที่ปรานีและให้ไทอุ่นของแม่มันช่างอบอุ่นและปลอดภัยเมื่ออยู่ในอ้อมอกแม่
 









                                             


                   มาลีดอกฟ้า 



หลังจากกราบลาพระอาจารย์เสร็จผมก็เดินออกมาจากสำนักปฎิบัติธรรม เรียกรถแท็กซี่ตั้งใจจะไปเยี่ยมแม่ในทันที 

"แม่เป็นยังไงบ้าง"ผมโทรศัพท์ถามพี่สาว 

"ก็ยังไม่รู้สึกตัวเหมือนเดิม" พี่ใจตอบ 

"ฉันกำลังจะไปเยี่ยมแม่นะ" 

"กลับบ้านไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาก็ได้ เบญกับเปิ้ลมันนอนเฝ้าแม่อยู่ พรุ่งนี้มาอย่าลืมซื้อแพมเพิร์สมาให้แม่ด้วยล่ะ แพมเพิร์สหมดแล้ว ในโรงพยาบาลเขาขายแพง" 

"ได้ พรุ่งนี้จะซื้อไปให้" 

ทันทีที่ลงจากรถก้าวเข้ามาในบ้าน ผมมองดูบ้านไม้หลังเก่าบรรยากาศเดิมๆแต่ทำไมความรู้สึกของเรากลับรู้สึกว่าบ้านที่มันขาดหายบางสิ่งบางอย่างไป 

บ้านที่ขาดแม่ไปตอนนี้มันดูเงียบเหงามากๆ เมื่อก่อนจะได้ยินเสียงแม่พูดว่า"ตู้ๆตี้ๆไปบ้านไปบ้าน"เวลาที่แม่ต้องการให้ทำอะให้ซื้ออะไรให้ เหลือแม้แต่เวลาแม่จะบ่นผมและลูกผมแม่ก็จะพูดว่า "ตู้ๆตี้ๆไปบ้านไปบ้าน"แต่น้ำเสียงแม่จะลากเสียงยาวให้ลูกชายแม่และหลานชายของแม่ ได้รู้ว่าพ่อลูกสองคนนี้ทำอะไรไม่เป็นระบบระเบียบเลย สอนไม่รู้จักจำทั้งไอ้เจ้าตัวโตพ่อและไอ้เจ้าตัวเล็กลูกชาย น้องแชมป์ลูกชายผมชอบทำเสียงล้อเลียนแม่ "ตู้ๆตี้ๆไปบ้านไปบ้าน" เวลาที่ย่าชอบบ่น จนแม่เองก็อดขำกันไม่ได้เราสามคนหัวเราะกันสนุกเสียงดังไปทั่วบ้านเลย 

ตอนนี้บ้านขาดแม่แต่เมื่อก่อนบ้านขาดลูกๆ แม่คงจะเหงามากกว่าที่ผมเหงาอยู่ในตอนนี้ ผมละเลยทอดทิ้งแม่ให้อยู่บ้านคนเดียวมานาน โดยที่ไม่เคยจะรู้เลยว่าแม่จะต้องทนเหงาแค่ไหน 

ผมเริ่มทอดทิ้งแม่ให้ทนเหงาอยู่คนเดียวก็ตั้งแต่ตอนที่ผมเรียนอยู่มหาวิทย่ลัย เกือบ4ปีที่ผมไม่ค่อยได้กลับบ้าน ผมจะอาศัยอยู่ในหอพักมหาวิทยาลัย 

อีกครั้งก็ตอนที่ผม ไปมีครอบครัวที่จังหวัดเชียงราย 

ล่าสุดก็ตอนที่ผมเปิดบริษัท ผมไปเช่าคอนโดอยู่ใกล้ออฟฟิศเพื่อสะดวกในการเดินทางไปทำงาน 

จะว่าไปช่วงนี้2-3ปีนี้ผมกับแม่ได้มีเวลาอยู่ใกล้ชิดกันมากที่สุด ถึงแม่จะเป็นอัมพฤกต์แต่แม่ก็ช่วยดูแลน้องแชมป์ตั้งแต่ยังเล็กๆ เพราะผมมีบริษัทส่วนตัวต้องทำเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว ตั้งแต่ผมเรียนมหาวิทยาลัยเป็นต้นมาจนถึงทำงานเป็นนักข่าว ผมก็เรร่อนไปเรื่อยด้วยวัยอันโลดโผนของผม แม่คือผู้หญิงที่ผมหลงลืมไป ทั้งๆที่แม่คือผู้หญิงคนแรกที่ผมเจอและเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายที่จะอยู่เคียงผมตลอดเวลา กว่าผมจะรู้ว่าผมทอดทิ้งแ ม่ไปก็เมื่ออายุย่างเข้า40ปี 

" คุณจะลองอุ้มลูกดูไหมค่ะ" 

" ครับ" 

" ค่อยๆอุ้มนะค่ะ แกหลับอยู่ " พยาบาลอุ้มเด็กตัวน้อยๆส่งให้ผม 

" ลูกพ่อ " ผมค่อยๆประคองเด็กน้อยในอ้อมกอดน้ำตาผมค่อยซึมๆที่ดวงตา 

" พ่อรักหนูนะ" ผมบอกกับลูกชายที่อยู่ในอ้อมกอดเบาๆ วันที่ผมมีลูกผมถึงซึบซับความรักที่ยิ่งใหญ่ของแม่ได้ดี น้องแชมป์ดิ้นไปมาเบาๆ แกบิดขี้เกลียดในขณะที่หลับตาพริ้ม หัวใจผมรู้สึกอิ่มเอม และรู้ถึง ความรักที่พ่อแม่ทุกคนพร้อมจะให้ลูกๆได้เป็นอย่างดี ผมเข้าใจถึงความรักของแม่ที่มีต่อลูก เมื่อผมได้รับบทบาทเป็นคุณพ่อเสียเอง 



......... 


"ย่าละพ่อ" 

"ย่าอยู่โรงพยาบาล" 

"ย่าหายยัง" 

"ย่ายังหลับอยู่ แต่อีกไม่นานพ่อจะรับย่ากลับมาอยู่บ้านแล้ว" 

"พ่อไม่อยู่บ้าน3วันน้องแชมป์ไปอยู่กับแม่นางเป็นยังไงบ้าง" 

"แม่นางพาหนูไปกินไก่KFCและก็ไปเที่ยวห้างมา" 

ผมกับอดีตภรรยาเลิกกัน แต่ความรักและความเป็นห่วงลูกยังมีอยู่หมือนเดิม เราตกลงกันว่าเราจะช่วยกันดูแลน้องแชมป์เพราะไม่อยากให้ลูกมีปมด้อย ถ้าวันไหนใครมีธุระหรืองานเร่งด่วน อีกฝ่ายก็จะช่วยกันรับลูกไปดูแล 

ผมเกิดมาโดยไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อเลย ผมตั้งใจไว้ว่าโตขึ้นมาผมจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์อบอุ่น แต่ผมก็ทำไม่สำเร็จ ผมจึงไม่อยากให้ลูกขาดพ่อหรือขาดแม่คนใดคนหนึ่งไป ถึงแม้น้องแชมป์จะอยู่กับผม แต่เมื่อใดที่แม่เขาคิดถึงก็สามารถจะมารับและพาลูกไปอยู่ด้วยได้ตลอดเวลา 

และเราสองคนก็ช่วยกันสั่งสอนให้ลูกรักพ่อแม่ ไม่อยากให้ลูกต้องคิดว่าใครเป็นฝ่ายผิดหรือใครเป็นฝ่ายถูกที่สำคัญการสอนลูกให้เกลียดพ่อหรือเกลียดแม่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ 

ในระหว่างที่ผมค้นหาเสื้อผ้าสวยๆของแม่ในตู้เพื่อจะเตรียมเอาไปไว้ให้แม่เปลี่ยนใส่กลับบ้าน ตอนวันออกจากโรงพยาบาล ผมก็เหลือบไปเห็นกล่องไม้สักเก่าๆใบหนึ่งที่แม่ชอบเก็บของสำคัญๆต่างๆไว้ 

ผมหยิบกล่องใบนั้นขึ้นมาเปิดออกดู 

มีรูปเก่าๆเล็กๆใบหนึ่ง ผมหยิบรูปนั้นขึ้นมาดู เป็นรูปของแม่ตอนสาวๆ แม่เป็นผู้หญิงที่สวยมาก รอยยิ้มของแม่ดูอ่อนหวานและอ่อนโยน 

"ทำไมแม่ถึงชื่อมาลีครับ" ผมนึกถึงครั้งที่เคยถามแม่ในวันหนึ่งเมื่อเห็นแม่นั่งเก็บรูปถ่ายของแม่และสมุดพกของผมลงในกล่องไม้สักเก่าๆใบหนึ่ง 

"เมื่อก่อนแม่ไม่ได้ชื่อนี้นะ" แม่หันมาตอบ 

"อ้าวเหรองั้นแม่ชื่ออะไรล่ะ" 

"ชื่อเง็กหง..ก๋งของลูกตั้งให้แม่" 

"รูปนี่สวยจัง แม่ถ่ายนานหรือยัง" ผมหยิบรูปแม่ยังสาวขึ้นมาดู 

"แม่ถ่ายตอนสาวๆ แถวที่คลองเตย" 

"แล้วยังมีรูปแม่สวยๆอีกไหม" 

"มีเหลือแค่รูปเดียว หายไปหมดตอนไฟไหม้บ้านตอนนั้น" 

"แม่สวยแบบนี้ตอนสาวๆมีคนมีจีบเยอะไหม" 

"มีคนมาชอบแม่เยอะ แต่แม่ไม่ชอบ " แม่พูดถึงเรื่องเก่าๆผมเห็นตาแม่แดงๆ 

"แล้วแม่พบกับพ่อพี่แก้วตอนไหน" ผมถามรักครั้งแรกของแม่ก่อนที่แม่จะมาเจอพ่อของผม 

"ก๋งจะหาผู้ชายแต่งงานให้แม่ แต่แม่ไม่ชอบ ก๋งเลยโกรธ ตัดพ่อตัดลูกกัน" 

"ทำไมล่ะแม่" 

"สมัยก่อนแม่จะไม่ได้เรียนหนังสือ การแต่งงานผู้ใหญ่จะเลือกให้" 

" แต่แม่ไม่ยอมแต่ง ก๋งเลยว่าแม่ลูกนอกคอก" 

"แบบนี้เขาเรียกคลุมถุงชนกันนี่ครับ" 

"พอแม่มาเจอพ่อของเจ้าแก้วแม่ก็เลยตัดสินใจออกจากบ้านมาแต่งงานกับเขา" 

"แล้วแม่มีพี่น้องกี่คน" 

"9คน แม่เป็นคนที่แปด คนสุดท้องเป็นอาคิ้วที่อยู่สำโรงไง" 

"อ๋อ..แล้วแม่เปลี่ยนชื่อตอนไหน" 

"เปลี่ยนตอนแต่งงาน เพราะตอนนั้นคนไทยเชื้อสายจีนเขาจะเปลี่ยนไม่ใช่แซ่กันมาเป็นนามสกุลไทยกัน" 

"แล้วชื่อมาลี ใครตั้งให้แม่" 

"พระตั้งให้ บอกว่ามาลี แปลว่า ดอกไม้" 

"แล้วบ้านก๋งอยู่ที่ไหนครับ" 

"อยู่วังน้อย ตอนเอ็งเด็กๆแม่เคยพาไปเที่ยวตั้งหลายครั้งจำไม่ได้เหรอ" 

"วังน้อยที่เป็นบ้านสวนนะเหรอ อืมคนจีนแก่ๆที่ผมเจอคงเป็นก๋ง" ผมหวนนึกถึงภาพความทรงจำในวัยเด็กอีกครั้งหนึ่ง 


....... 


เรือหางยาววิ่งฝ่าน้ำไปข้างหน้า สายน้ำที่กระทบรำเรือทั้งสองข้างแตกกระเซ็นละอองน้ำเย็นๆถูกลมพัดเข้ามาที่หน้ารู้สึกได้ถึงความเย็น ด้วยความเป็นเด็กผมจึงเมือลงไปลู่กับน้ำข้างเรือด้วยความสนุกสนาน เวลาเรือเล่นไปแล้วกระทบคลื่นน้ำของเรืออีกลำที่วิ่งผ่านมาสวนทางกันรู้สึกสั่นสะเทือนของท้องเรือที่กระแทกกับคลื่นน้ำใต้ลำเรือ 

สองข้างเต็มไปด้วยสวนส้มและฝรั่งที่ยื่นออกมาในลำคลอง นานๆทีถึงจะเห็นเรือลอดผ่านสะพานไม้สูงๆที่ทำไว้ให้คนเดินข้าม ใกล้บ้านคนผมจะเห็นมีอวนใหญ่ที่ชาวบ้านขึงไว้กับไม้ไผ่แล้วยกขึ้นเหนือน้ำ ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาเรียกว่าอะไร (พอโตขึ้นถึงรู้ว่าเรียกยกยอ) รู้แต่ว่ามันคล้ายๆแหหรืออวน ที่ถักด้วยเส้นด้ายขนาดใหญ่แล้วขึงกับไม้ยกขึ้นยกลงได้ เขาเอาไว้จับปลาเวลาจะจับปลาเขาก็ให้อวนนั้นลงมาแช่ไว้ในน้ำ แล้วก็ใส่ข้าวสุกลงไปไว้ในนั้น พอมีปลาเข้ามากินเยอะๆ เขาก็ยกอวนขึ้นมาปลาที่เข้ามาอยู่ในอวนนั้นก็ติดขึ้นมาด้วย ผมตื่นเต้นมากที่เห็นแบบนั้น 

ผมอายุประมาณ5-6ขวบเห็นจะได้ แม่พาผมเที่ยวบ้านอาก๋งกะอาม่า แม่บอกว่าที่นี่เขาเรียกว่าวังน้อย (พอผมโตขึ้นผมถึงรู้ว่าวังน้อยอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) บ้านก๋งเป็นบ้านชั้นเดียวพื้นเป็นดิน แต่กว้างมาก มีห้องนอนห้องโถงห้องครัว เหมือนในจีนเก่าๆที่ผมเคยดูในทีวี หลังบ้านอาก๋งจะเป็นสวนส้มและก็ผลไม้หลายอย่างมากมาย ฝรั่ง มะม่วง มะพร้าว ส้มโอ ด้วยความเป็นเด็กผมจึงชอบวิ่งเข้าไปในสวนตามท้องร่อง ดูฝรั่งเวลามันออกลูกจะถูกห่อด้วยกระดาษและถึงพลาสติกห่อหุ้มไว้ เพราะผมจะเคยเห็นแต่ตอนมันสุกๆลูกใหญ่แล้วแม่ค้าขายผลไม้เอามาวางขายซะน่ากินเชียว 

ผมจำความได้ว่าอาก๋งและอาม่าไม่เคยมาคุยกับผมเลย ท่านจะอยู่ในห้องของท่านเวลาแม่กับผมไปที่นั่น มีแต่ญาติๆของแม่หลายๆคนมาคุยกับแม่แล้วถามว่าผมกินข้าวมาหรือยังหิวไหม แม่แนะนำผมให้รู้จักกับญาติๆของแม่ ผมจำไม่ได้หมดและเรียกไม่ค่อยถูก มีทั้งอากิ้ม อาคิ้ว อาเจ็ก อากู๋ อาแซ่หยี ผมจำได้ว่าไปที่บ้านหลังนั้นสัก 2-3 หน จนมาถึงวันที่อาก๋งและอาม่าเสีย ผมก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลย 

วันที่อาก๋งเสีย ผมอายุสัก 8 ขวบได้มั้ง ผมจำได้ว่าแม่พาผมไปงานศพของอากง ลูกๆหลานๆของอาก๋งมีเยอะมากหลายร้อยคน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็จะใส่ชุดขาวหนาๆเหมือนชุดกระสอบและมีผ้าคาดไว้ที่หัว ด้วยความป็นเด็กผมจำไม่ได้ว่าในงานพิธีฝังศพของอาก๋งผู้ใหญ่เขาทำอะไรกันบ้าง รู้แต่ว่าหลังเสร็จพิธี ผู้ใหญ่เขาก็ให้บรรดาลูกๆหลานๆ ถ่ายรูปเรียงจากแถวล่างสุดไปเป็นระดับชั้นๆ ผมกับลูกป้าๆ(พี่ๆน้องๆของแม่) ก็ถูกจัดให้นั่งเรียงอยู่แถวหน้าสุด ผมนั่งคุกเข่าอยู่ตรงกลาง พอถ่ายเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน รูปนี้แม่ไปเอาจากบ้านญาติมาอีกทีวันไหนไม่ทราบแต่แม่เอากลับมาบ้านใส่กรอบเส็จสรรพ ความกว้างประมาณ 40 เซนติเมตร ความยาวประมาณเมตรครึ่ง 

แม่เอารูปนั้นแขวน ติดไว้ตรงฝาผนังใกล้ๆตู้เสื้อผ้าในบ้าน ผมชอบมายืนดูแล้วถามแม่ว่าคนไหนพี่ชายแม่คนไหนพี่สาวแล้วแม่เป็นลูกของก๋งคนที่เท่าไหร่ 

แม่เล่าให้ฟังว่าก๋งมาจากเมืองจีนเมื่อ80ปีก่อน เมื่อก่อนที่ดินแถววังน้อยถูกมากๆ ก๋งเลยซื้อเก็บไว้แล้วก็ปลูกแตงโมขายสมัยนั้นลูกแทบทุกคนไม่ได้เรียนหนังสือ ต้องทำมาค้าขายกันลูกผู้หญิงยิ่งไม่ได้เรียนใหญ่เลย แม่มีพี่น้องอยู่ 9 คนแม่เป็นลูกคนที่ 8 คนที่ 9 เป็นลูกชาย แม่จึงมีหน้าที่เลี้ยงลูกๆของพี่สาว ด้วยความขยันของอาก๋งที่เป็นคนทำมาหากินและเป็นคนประหยัดทำให้ค่อยๆมีฐานะดีขึ้นตามลำดับ 

สมัยก่อนคนจีนเขาจะเก็บเงินโดยฝังใส่ตุ่มดินไว้ จะไม่ชอบฝากธนาคาร คนจีนที่อพยพมาจากเมืองจีนถ้ามีรกรากครอบครัวอยู่ที่เมืองจีนก็จะส่งเงินที่ทำมาหากินและเก็บหอมรอมริบได้ส่งกลับไปบ้าน ญาติของก๋งที่เมืองจีนเสียไปหมดแล้ว แต่ก๋งมีเมียอยู่ที่เมืองไทย2คน ลูกๆของเมียทั้ง2คนจึงมีรวมแล้วเกือบ20คน พอถึงรุ่นหลานเหลนอย่างผมจึงมีคนในตระกูลหลายร้อยคน ถึงก๋งจะมีเมียและลูกหลานเยอะแต่ลูกๆทุกคนก็ไม่ลำบากเพราะก๋งซื้อที่ดินเก็บไว้มากและก็มีเงินจากการค้าขายที่เก็บฝังดินไว้หลายล้านบาทในสมัย 60 ปีก่อน 

แม่เล่าให้ฟังว่าพี่ๆของแม่ทุกคนก๋งจะรักยกเว้นแม่ เพราะแม่ทำให้ก๋งโกรธมากถึงกับตัดพ่อตัดลูก ในสมัยก่อนไม่ว่าลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชายการแต่งงานผู้ใหญ่จะเป็นคนเลือกให้ เรียกว่าคลุมถุงชน ผู้ใหญ่ทั้ง2ฝ่ายจะเป็นจัดหาและดูตัวให้ถ้าถูกใจเห็นว่าผู้ชายเป็นคนขยันทำมาหากินก็จะเจรจาตกลงเรื่องสินสอดและทำพิธีสู่ขอกัน 

อาเจ็กพี่ชายของแม่ก็ถูกก๋งจับแต่งงานกับลูกสาวเจ้าของสวนที่ไม่ไกล้ไม่ไกลกันนัก ทั้งคู่ไม่เคยเห็นหน้าตากันเลย คนจีนสมัยนั้นเชื่อว่าแต่งงานอยู่กินกันไปมีลูกก็จะรักกันไปเอง สาเหตุที่แม่ถูกก๋งตัดพ่อตัดลูกก็เพราะว่า แม่เกิดไปชอบพอกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผู้ชายที่ก๋งเลือกให้ และแม่ก็ไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายที่ก๋งหาให้ จนโดนไล่ออกจากบ้านแม่ไปอยู่กินกับคนที่แม่รัก(พ่อของพี่ใจและพี่แก้ว) 


หลังจากที่แม่ได้เลือกทางเดินของชีวิตให้ตนเองแล้วแม่ก็เอาเงินที่เก็บหอมรอมริบไว้ก้อนหนึ่งมาซื้อตึกแถวๆคลองเตยอยู่ โดยเปิดเป็นร้านขายของชำในสมัยเมื่อ 60 ปีที่แล้วถือว่า เป็นกิจการที่ดีพอสมควร แม่มีลูก3 คน คนโตเสียเพราะร่างกายไม่แข็งแรง คนที่2 ชื่อสมโภชน์ (แก้ว) คนที่ 3 เป็นผู้หญิงชื่อสมใจ (ใจ) 

แม่เล่าให้ฟังว่าช่วงที่กิจการของแม่ดีนั้นพี่สาวๆกอาหลานๆมาให้แม่ช่วยเลี้ยงให้ และแม่ก็ยังช่วยเลี้ยงน้องคนเล็กของแม่อีกคน(อาคิ้วดม) ฟังๆดูแล้วผมก็คงอาจจะไม่ได้เกิดมาถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้คลองเตยครั้งนั้น บ้านแม่ถูกไฟไหม้หมดและลุกลามไปติดบ้านหลังอื่น แม่ถูกจับติดคุกเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้านต้นเพลิง แม่ติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งก่อนที่จะถูกปล่อยตัวออกมา ไฟไหม้ครั้งนั้นทำให้ชีวิตแม่เปลี่ยนไป แม่หมดตัว ผู้ชายคนที่แม่เลือกก็ทิ้งแม่ไปมีเมียใหม่ พร้อมทั้งเอาลูกทั้ง2คนไปด้วย 

แม่กลับไปบ้านไม่ได้ก๋งยืนคำขาดว่าถึงตายก็ไม่ต้องกลับไปเผาผี แต่แม่คือยอดนักสู้ เพราะตลอดระยะเวลา23ปีเต็ม ที่แม่ส่งผมจนเรียนจบปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย แม่ไม่เคยต้องกู้เงินใครแม้แต่บาทเดียว แม่หาเลี้ยงผมด้วยหยาดเหงื่อจากน้ำพักน้ำแรงของแม่โดยแท้ 

.... 

ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยพยับเมฆ สลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะๆ ครู่ใหญ่ ต่อมาสายฝนจึงโปรยปรายชุ่มฉ่ำน้ำนองไปหมด แม่ออกไปซื้อของตั้งแต่ตอนตีหนึ่งแล้ว...ฟ้าเริ่มขมุกขมัวมีเงาเมฆทมึนเคลื่นตัวเข้ามา ลมกรรโชกแรงสงสัยพายุกำลังจะเข้าฝนคงตกหนัก 

เบื้องนอกฟ้ามืดครึ้มเมฆดำทะมึนปกคลุมทั่วแผ่นฟ้ายิ่งดึกลมยิ่งพัดแรงฟ้าคำรามเป็นระยะสายฟ้าวิ่งเป็นเส้นสายๆเสียงดังคลืนๆดูน่ากลัว ลมกระโชกพัดแรงขึ้น ไม่นานสายฝนก็ซัดกระหน่ำลงมาอย่างหนักไม่ลืมหูลืมตา แม่แบกตะกร้าเดินฝ่าฝนออกไปช้าๆ ลมกระโชกกับสายฝนที่ซัดสาดใส่ร่างเของแม่จนหนาวสะท้านแม่เอามือเช็ดน้ำฝนที่ไหลเข้าตาจนพร่ามัวไป ไม่ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้องแค่ไหนแต่แม่ก็ยังคงต้องออกไปตลาดซื้อของมาขายเพื่อหาเงิน 

ฟ้าร้องเสียงดัง จนผมตกใจตื่น ผมแหงนมองนาฬิกาที่อยู่ข้างฝาบ้าน มันเป็นเวลา ตีสาม ลมพัดข้างฝาแรง เสียงฝนตกใส่บนหลังคาลงมาอย่างหนัก น่ากลัว ซักพักฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ผมรู้สึกปวดฉี่มาก จึงเปิดประตูบ้านลงบันไดไปเข้าห้องน้ำหลังบ้าน น้ำท่วมถึงเข่า ผมเอื้อมมือเปิดสวิทช์ไฟ เห็นแมลงสาปที่หนีน้ำขึ้นมาอยู่บนฝากำแพงห้องน้ำ ผมเหลือบมองเห็นตะขาบตัวใหญ่ ผมตกใจวิ่งขึ้นมาบนบ้าน ด้วยความปวดฉี่ผมก็ยืนฉี่ราดบนระเบียงบ้านเลย 

เรื่องฉี่เนี่ยผมมีวีระกรรมอยู่บ่อยๆ เพราะว่าห้องน้ำมันอยู่ข้างล่าง คืนไหนที่ตื่นมาตอนดึกๆ ตีสองตีสาม ผมจะไม่ค่อยกล้าลงมาเข้าห้องน้ำคนเดียว ผมเลยต้องทนนอนหลับเพื่อให้ถึงเช้าเร็วๆ ในระหว่างนอนผมรู้สึกเคลิ้มๆ ไปว่าผมได้เดินไปเปิดประตูบ้าน เดินไปเข้าห้องน้ำ เช้ามาที่นอนก็เปียก ผมมักจะถูกแม่ด่าเป็นประจำไอ้เรื่องฉี่รดที่นอน 

"เจี๊ยบ เจี๊ยบ" เสียงแม่ตะโกนเรียก 

" สายแล้ว ทำไมยังไม่ไปโรงเรียนอีก" 

ผมเดินงัวเงียเปิดประตูออกมา เห็นแม่ตัวมอมแมมไปหมด แม่คงเปียกจากฝนที่ตกลงมาเมื่อคืน 

ผมเหลือบไปเห็นที่ขาแม่มีน้ำ ท่วมถึงเข่าแล้วมีถัง 3-4 ใบ ที่ลอยตามน้ำมาไม่รู้ว่าเป็นกะลังมังของบ้านใครมั่งที่เร่ร่อนมาตอนที่ฝนตก 

"ใครมาฉี่แถวนี้ ว่ะเหม็นฉุนไปหมดทั้งบ้านเลย" 

" กี่โมงแล้วแม่" 

"จะ7โมงแล้ว กลางคืนก็ไม่อยากจะนอน ตอนเช้าก้ไม่อยากจะตื่น"เสียงแม่บ่น 

ทุกเช้าแม่จะมาเรียกเป็นประจำ บางทีก็ฝากคนข้างบ้านเรียกพร้อมกับมีข้าวมันไก่มาด้วย 1 ห่อ 

ผมเหมือนลูกเล็กๆของแม่เสมอ จนชาวบ้านชอบแซวผมว่าทำอะไรไม่เป็นแน่ๆถ้าขาดแม่ไปคน 

แม่จึงเป็นมาลีดอกฟ้าที่ดีและสวยที่สุดของลูกเลย 



                                                                           *************************** 


หมายเหตุ 

วันแม่ปีนี้... 
ให้การ์ดน่ารักๆหรือของขวัญแก่ท่าน ของขวัญไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่มันเป็นมีคุณค่าทางจิตใจ 

วันแม่ปีนี้... 
ให้เงินเดือนคุณแม่ แม่ไม่ได้หวังเงินทองสิ่งของมีค่าใดๆจากลูกเลย แม่ขอแค่เห็นลูกทุกคนเจริญก้าวหน้า 

วันแม่ปีนี้... 
พาคุณแม่ไปเที่ยวพักผ่อนทานข้าวดูหนัง แม่ก็อยากอยู่ใกล้ชิดลูกทุกคน 

วันแม่ปีนี้... 
นวดให้แม่ ตัดเล็บให้ท่าน ห่มผ้าให้แม่ ซักผ้าและช่วยแม่ทำความสะอาดบ้าน ช่วยแบ่งเบาภาระให้แม่ 

วันแม่ปีนี้... 
กอดและหอมแก้มคุณแม่ ลองกอดแม่ดูสิครับเราจะเห็นรอยยิ้มที่มีความปิติสุขยิ่งของท่าน 









                                        



                                           ลูกไก่


" ทำไมแม่ตั้งชื่อวาลูกเจี๊ยบล่ะ" ผมถามแม่

" เพราะเอ็งมันอาภัพ" แม่บอกผมอย่างนั้น

ผมคงอาภัพจริงๆ สมัยก่อนมีเพลงที่ร้องว่า ลูกร้องจิ๊บๆ แม่ก็เรียกมาคุ้ยดิน ทำมาหากินตามประสาไก่เอย แม่เป็นแม่ไก่ที่เก่งที่สุดในชีวิตของลูกเลย เพราะแม่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับลูกได้อย่างน่าทึ่ง หลังจากที่ผมเกิดมาได้ไม่นาน ก็มีผู้หญิงมาตามหาพ่อและพาพ่อกลับไป พ่อมีลูกมีเมียอยู่ที่บ้านพ่ออยู่แล้ว พ่อคงมีเหตุผลที่จะเลี้ยงดูผมและแม่ไม่ได้ 

"แม่เจอกับพ่อได้ยังไง"ผมเคยถามพ่อในวัยเด็ก

"หลังจากแม่เลิกกับพ่อพี่แก้ว ก็มาเจอพ่อของลูก "

"พ่อผมมีอาชีพเป็นเจ้าหน้าในกรมศุลกากรแถวท่าเรือคลองเตย พ่อมาซื้อของแม่ทุกวัน จนชอบพอกัน"พ่อและแม่ย้ายมาเช่าบ้านอยู่ด้วยกันจนตั้งท้องผมขึ้นมา



วันที่ผมเกิดพ่อเขียนชื่อผมลงในช่องวันที่ของปฎิทินว่า "ลูกเจี๊ยบ" แม่เก็บไว้อย่างดีเวลาผ่านมา40ปีแล้วปฎิทินแผ่นนี้ก็ยังอยู่ น้ำตาผมหยดลงบนแผ่นปฎิทินก่อนที่จะพับลงไปเก็บไว้ในกล่องตามเดิม 

ใกล้ๆแผ่นปฎิทินมีรูปเด็กชายอายุ2เดือนที่ถูกถ่ายไว้นานแล้ว มีชื่อร้านเขียนว่าฉายาลักษณ์ไว้ตรงขอบรูปด้านล่าง ร้านถ่ายรูปฉายาลักษณ์สมัยก่อนมีชื่อมากเ พราะสมัยนั้นไม่มีร้านถ่ายสติกเกอร์หรือร้านถ่ายรูปดิจิตอลในสตูดิโอแบบในปัจจุบันนี้ ผมสังเกตดูรูปผมในวัยเด็กเหมือนกับรูป "น้องแชมป์"ลูกชายผมในตอนนี้เปี๊ยบเลย 



หลังจากพ่อทิ้งแม่ไป แม่ตัดสินใจพาผมย้ายที่อยู่จากคลองเตยมาอยู่ที่ตลาดสำโรงใต้ แถวๆสมุทรปราการ แม่มาเช่าบ้านอยู่หลังตลาดแล้วแม่ก็หาแผงเช่าขายขนม เพราะที่นี่เป็นแหล่งคนจีนและมีโรงงานอุตสาหกรรมเยอะเหมาะที่จะทำอาชีพค้าขาย เพื่อจะหาเงินเลี้ยงลูก

ในช่วงแรก แม่เอาผมไปจ้างคนแถวๆสำโรงเหนือเลี้ยงพราะแถวนั้นมีพี่น้องของแม่ที่เป็นคนจีนอยู่กันหลายคน ยังไงจะได้ฝากให้ช่วยดูแลผมได้ ที่นั่นมีทั้งอาคิ้วดมน้องชายของแม่ พี่ชายพี่สาวแม่หลายคนก็มาซื้อบ้านเปิดโรงงานกันอย่างใหญ่โตอยู่ในซอยนั้น ลูกๆของก๋งทุกคนจะได้รับเงินขวัญถุงและที่ดินคนละหลายผืนก๋งให้มรดกลูกหลานทุกคนไว้ทำมาหากิน แต่แม่ไม่เคยได้เงินมรดกจากก๋งแม้แต่บาทเดียว และแม่ก็ไม่เคยขอความช่วยหลือจากญาติพี่น้องของแม่เลย ด้วยเหตุนี้แม่ถึงไม่ยอมไปอยู่ใกล้ๆญาติพี่น้องแถวสำโรงเหนือแต่แม่แยกมาอยู่ของแม่ตามลำพังที่ตลาดสำโรงใต้เนี่ย ป้าชอบว่าแม่ว่าหยิ่งยโส หัวรั้น แต่แม่ก็ไม่ได้ทำให้พี่น้องเดือดร้อน แม่มุมานะทำมาค้าขายส่งผมจนเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยน้ำพักน้ำแรงของแม่



...........



แสงแดดอ่อนๆยามอาทิตย์อัสดง เด็กน้อยนั่งอยู่ในบ้านหลังหนึ่งมีลุงกะป้าที่เด็กๆที่นี่เรียกจนติดปากว่าพ่อแม่ผมยังจำภาพนั้นได้ดีว่า ทุกเย็นๆแม่เล็ก(คนเลี้ยงเด็ก)จะต้มของหวานเป็นถั่วเขียวต้มน้ำตาลให้ผมและเด็กๆกินกันทุกวัน ผมถูกเลี้ยงอยู่จนอายุ4ขวบ แม่ก็มารับผมไปอยู่ด้วย 

นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่แม่ให้ผมอยู่ห่างจากอก

"แม่ไม่มีรูปพ่อบ้างเลยเหรอ"

(....) เงียบไม่มีเสียงตอบ

"พ่อหนูหล่อไหม"

"หล่อ" ผมเคยถามเรื่องพ่อกับแม่แล้วแม่ร้องไห้ ไม่ใช่ว่าแม่อยากจะแยกจากลูกให้ห่างกันหรือไม่อยากให้ลูกได้เจอหน้าพ่อ 

ถึงแม่จะไม่เคยเล่าเรื่องพ่อให้ผมฟัง เพราะกลัวผมจะเสียใจและเป็นปมด้อม แต่ผมก็ยังจำภาพในอดีตได้ดี

ภาพในวัยเด็กที่ไม่ควรจะจำได้แล้ว แต่เพราะความฝังใจมันเลยจำได้แม่นกว่าภาพความทรงจำอื่นๆ แม่พาผมไปที่บ้านหลังหนึ่งแม่เข้าไปคุยกับผู้ใหญ่อยู่ในบ้าน ปล่อยให้ผมนั่งดูทีวีเล็กๆอยู่หน้าบ้านร่วมกับเด็กอีก2-3 คน ระหว่างที่ผมนั่งดูหนังเพลินอยู่ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาเหมือนยักษ์เดินมากระแทกปิดทีวีแล้วเดินกระทืบส้นเท้าเสียงดังเข้าไปในบ้าน

ผมมารู้ตอนโตว่าแม่พาผมไปหาพ่อเพื่ออยากจะให้ลูกได้เห็นหน้าพ่อสักครั้ง แต่เมียของพ่อคงจะโกรธและกลัวว่าแม่และผมจะแย่งพ่อไปจากเขาและลูกๆก็เลยแสดงกริยาที่ไม่พอใจอย่างนั้น นั่นคือเหตุการณ์เกี่ยวกับพ่อที่ผมจำได้แม่น ไม่เหมือนตอนที่ผมนั่งดูรายการตีสิบของคุณวิทวัส แล้วมีผู้ร่วมรายการประกาศหาพ่อที่มีอันต้องพลัดพรากจากกันไปหลายปี แล้วพอทั้งคู่ได้มาพบกัน ดูกี่ทีกี่ทีผมก็ต้องนั่งน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจตามไปด้วยทุกที



ผมวางรูปสมัยเด็กของผมเก็บลงไว้ในกล่องตรงที่เดิม ด้านในกล่องยังมีรูปภาพเก่าๆอีกหลายรูป ล้วนแต่มีคุณค่าแก่ความทรงจำของผมทั้งนั้น มีอยู่รูปหนึ่งเป็นรูปที่แม่ยืนตรงแผงขายของ บนแผงมีถาดใส่ถั่วลิสงต้มสุกอยู่เต็มถาดพร้อมกะป๋องที่ใส่ถั่วต้มอยู่เต็มถ้วยแล้วมีป้ายเขียนไว้ว่ากระป๋องละ5บาท ถัดจากถาดถั่วต้มจะเป็นถาดใส่มันต้มและกะลังมังข้าวโพดต้มอยู่เถียงไว้อย่างลงตัวริมแผงท้ายสุดจะเป็นเตาปิ้งกล้วยปิ้ง 

แม่ผมเป็นแม่ค้าผมเลยเป็นลูกแม่ค้าอย่างภาคภูมิใจ เพื่อนๆแม่ค้าในตลาดด้วยกันไม่มีใครรู้จักชื่อแม่เลยสักคน ส่วนมากเขาจะเรียกชื่อแม่ว่า"แม่เจี๊ยบ" กันทั้งนั้น



.....



รถสองแถวรับส่งแม่ค้าวิ่งมาถึงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งถนนปู่เจ้าสมิงพรายเพื่อจะข้ามไปยังฝั่งพระสมุทรเจดีย์ มีแพขนานยนต์ขนาดใหญ่จอดเรียงรายอยู่หลายสิบลำ รถสองแถวค่อยขับเคลื่อนลงไปยังในบริเวณแพขนานยนต์ พอรถจอดนิ่งได้ที่ดีแล้ว เด็กรับรถก็วิ่งเอาขอนไม้ท่อนเล็กๆมาวางขวางล้อรถไว้ทั้งล้อหน้าและล้อหลังเพื่อกันไหลลื่นของล้อรถตกลงไปในแม่น้ำ ผมเหลือบมองไปเห็นเด็กรับรถเดินปหาคนขับแล้วฉีกตั๋วค่าแพขนานยนต์พร้อมกับรับเงินจากคนขับมาใส่บริเวณกระเป๋าเล็กๆที่คาดไว้ที่เอว เมื่อรถทุกคันลงมาจอดจนเต็มแพแล้ว เสียงเครื่องยนต์ก็ดังคำรามพร้อมเสียงแตรวูดของเรือก็ดังขึ้น3ครั้ง เป็นสัญญาณบอกว่าเรือกำลังจะออกจากท่า

"วันนี้พาลูกชายมาด้วยเหรอ"

"เค้าอยากตามมาดู บอกให้นอนอยู่บ้านก็ไม่เชื่อ"

" เด็กๆคงอยากจะมาเปิดหูเปิดตา ..อยากมาช่วยแม่ใช่ไหมค่ะ ดีแล้วล่ะรู้จักช่วยแม่"

" มาช่วยหรือมาเกะกะก็ไม่รู้"

ระหว่างที่แม่กำลังคุยกับเพื่อนแม่ค้าถึงการค้าการขายว่าได้กำไรขาดทุนของทุกวันนี้ค้าขายยากลำบากมากกว่าแต่ก่อน และเรื่องอื่นๆจิปาถะ ผมก็ขอแม่ลงมายืนยืดเส้นยืดสายข้างล่างรถเพราะนั่งนานๆแล้วเมื่อย ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามที่พระจันทร์เต็มดวงและมีดวงดาวที่ส่งแสงสุกสกาวรายล้อมมันสวยงามดีแท้ๆ แม่น้ำเจ้าพระยาจรดกับท้องฟ้ามองเห็นเงาคลื่นระยิบระยับของท้องน้ำในยามนี้ช่างงดงามนัก



ปึ้ง..เสียงสะพานเหล้กของแพขนานยนต์เคลื่อนเข้าไปเทียบท่ากับราวสะพานปูนดังสนั่น เด็กรับรถวิ่งไปเอาขอนไม้ออกจากรถยนต์ที่จอดอยู่

"ขึ้นเร็วได้แล้ว" เสียงแม่ร้องบอก

ผมก็รีบกระโดดขึ้นไปนั่งในรถสองแถว

คนขับรถสตาร์ทเครื่องรถสองแถวค่อยๆขับขึ้นไปบนฝั่ง แล้ววิ่งไปตรงตลาดค้าส่งที่อยู่ใกล้ๆกับอำเภอพระประแดงติดกับโรงเรียนวัดทรงธรม รถวิ่งมาไม่ถึง5นทีก็เห็นตลาดที่พลุกพล่านเต็มไปด้วยผู้คนทั้งแม่ค้าที่มาขายและมาซื้อของ ทั้งเด็กรับจ้างเข็นผักเข็นของต่างๆให้กับบบรรดาพวกแม่ค้า

พอรถจอดแม่ก็แบกเข่งลงจากรถสองแถว3ใบ

"รออยู่ตรงนี้ก่อน" เสียงแม่บอกพร้อมทั้งเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว 

บรรยากาศที่ผมเห็นในตลาดแม่ค้าจะแข่งกับเวลาและแข่งกับแม่ค้าด้วยกันเองที่จะเลือกของที่ดีและถูกที่สุดเพื่อจะเอาไปขายต่อ ถ้าของดีก็จะขายได้ราคาและขายง่าย ถ้าแม่ค้าคนไหนมาช้าหรือมาสายก็จะเหลือแต่ของที่คุณภาพต่ำเพราะของคุณภาพดีๆก็จะถูกแม่ค้าคนอื่นๆเลือกไปก่อนหน้านี้แล้ว ของที่ไม่ค่อยดีก็ขายยากขึ้นและอาจจะขายได้ราคาไม่ค่อยดี นั่นคือการเรียนรู้เรื่องการค้าขายที่ผมได้มาจากแม่

"วันนี้เอาถั่ว2ถังนะ" 

เสียงแม่บอกกับแม่ค้าคนนั้นอย่างคุ้นเคยแล้วแม่ก็วางเข่งที่ถือไปไว้1ใบ 

พอแม่พูดเสร็จผมก็เห็นแม่เดินจ้ำๆไปที่ร้านอีกร้านหนึ่ง

"วันนี้ข้าวโพดสวยไหม"

"สวยจ๊ะ มีทั้งทั้งโพดขาวและข้าวโพดเหลือง"

" เอาเท่าเดิมนะ แล้วแม่ก็เอาเข่งวางไว้ให้"

แม่เดินหายไปไกลจนผมมองไม่เห็นว่าแม่ดินไปซื้ออะไรร้านไหน เวลาผ่านไปสัก10นาทีแม่ก็เดินอ้าวๆมาพร้อมกับเด็กเข็นรถในรถเข็นผมเห็นมีกล้วยน้ำหว้าดิบอยู่เต็มเข่งเลย เด็กคนนั้นยกเข่งลงตรงที่ผมยืน

"ไปเอามันเทศกับเผือกที่เจ๊กุ่ยมาด้วยนะ"

เด็กคนนั้นก็หันรถเข็นออกไปทางเดิมที่มา แม่เดินไปที่ร้านขายข้าวโพดและร้านขายถั่วลิสงเพื่อจ่ายเงิน ตอนนี้ผมสังเกตเห็นมีแม่ค้าเยอะขึ้นมากจนแทบจะเดินชนกัน แม่บอกว่ายิ่งสายคนก็ยิ่งเยอะ แม่ค้าผักจะมารับผักไปขายตอนตี5เพราะแม่บ้านจะออกมาจ่ายตลาดซื้อของกลับไปทำกับข้าวให้ครอบครัวกินก่อนไปส่งลูกเรียนหนังสือกัน

ตี3กว่าแล้วผมกับแม่ขึ้นไปนั่งรออยู่บนรถสองแถว วันนี้ผมมาไม่ได้ช่วยอะไรแม่เลย มาเกะกะเหมือนที่แม่บอกไว้จริงๆก่อนหน้านี้คนเข็นรถก็ช่วยกันกับแม่2คนยกเข่งข้าวโพดและถั่วลิสงขึ้นไปวางเรียงบนรถ 

หลังจากที่แม่ค้าทุกคนซื้อของเสร็จและยกขึ้นมาไว้ในรถจนครบหมดแล้ว รถสองแถวก็วิ่งกลับไปทางเดิม 

" วันนี้มาถึงสายกว่าเมื่อวาน เสียงแม่คุยกับคนขับ"

คนขับเดินมาช่วยแม่ยกเข่งลง

"วันนี้มาถึงช้า20นาที" คนขับพูดหลังยกนาฬิกาที่แขนขึ้นมาดู

แม่ควักเงินแบ็งค์100ส่งให้เขา

"พรุ่งนี้ไม่ต้องรอนะ ชั้นไม่ได้ขายของ"

"อ้าว ทำไมล่ะจะไปไหนเหรอ"

" ป่าว พรุ่งนี้วันตรุษจีน"

" อ๋อ ใช่สิเกือบลืมไป"

"วันนี้ไปช่วยแม่สนุกไหม"

" สนุกครับ"

คนขับสองแถวหัวเราะก่อนจะขับรถวิ่งออกไป

"ช่วยแม่ยกของหน่อย"

แม่ยกเตาอังโล่ขนาดใหญ่ออกมาแล้วเอาไม้เขี่ยๆให้เศษไม้และเศษขี้เถาบนเตาร่วงหล่นไปอยู่ด้านใต้ของเตาแล้วเอาเศษกะลามะพร้าวมาวางแล้วเอาท่อนฟืนเรียงกันไว้ข้างบน ใช้ไม้ขีดจุดกะลามะพร้าวจนติดไฟ แม่เดินไปหยิบถั่วลิสงเอามาเทใส่กะละมัง ตักน้ำใส่ลงไปจนเต็ม แล้วเอามือล้างดินที่ติดอยูที่ถั่ว ล้างอยู่ 2-3 น้ำ ถั่วจึงสะอาดขาวขึ้น แม่ก็หยิบกะละมังอลูมิเนียมใบใหญ่ ไปตั้งบนเตาที่ก่อฟืนไว้เมื่อกี้ แล้วเอาถั่วเทลงแล้วเติมน้ำจนเต็มกะละมัง หยิบฝาหม้อใบใหญ่มาปิดฝาไว้ 

แม่เดินมาแกะเปลือกข้าวโพด ค่อยๆฉีกเปลือกออกทีละข้าง จนเปลือกไปรวมอยู่กันตรงโคน แล้วก็หักโคนทิ้งจนเหลือแต่ฝักข้าวโพด แม่ทำอย่างนี้ทีละฝักอย่างรวดเร็ว 

'ไม่ต้อง ไม่ต้อง" แม่พูดพอเห็นผมทำท่าจะช่วยปลอกเปลือกข้าวโพด 
" เอาไอ้นี่ออกแล้วกัน" แม่หยิบข้าวโพดขึ้นมาและหยิบเส้นใยที่ติดกับข้าวโพดออกจนหมด แล้วให้ผมทำตาม

" เอาออกทำไมล่ะแม่" 

"เวลาเอาไปต้มหรือเอาไปปิ้ง มันจะได้น่ากิน" แม่อธิบาย 

ผ่านไปสัก 10 นาที ข้าวโพดที่แกละเปลือกแล้วก็เต็มเข่ง แม่ลุกขึ้นไปติดเตาอีกเตานึงแล้วเอากะละมังใบใหม่ใส่น้ำเข้าไปจนเต็มเหมือนเดิม แม่เดินมาแบกข้าวโพดในเข่ง เอาไปใส่ในกะละมัง แล้วเอาฝาปิด

ลักษณะแผงของแม่จะเป็น สี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 1 เมตร ยาว 3.5 เมตร สูงระดับเอว ตีด้วยไม้อัดเป็นสี่เหลี่ยมมีประตูเพื่อเก็บของไว้ด้านใน บนแผงจะมีเตาขนาดกลางอยู่ 1 ใบ แม่เอาตะหลิวค่อยๆเขี่ยขึ้เถ้าบนเตาลง แล้วเอาเศษกะลาวาง เอาถ่านก้อนใหญ่ๆ ประมาณ 3-4 ก้อนวางล้อมรอบกะลามะพร้าว แล้วแม่ก็จุดไฟ จนไฟติดจึงเอาเศษไม้ซีกเล็กๆวางทับไว้ด้านบน แล้วค่อยเอาถ่านป่นก้อนเล็กๆเทลงไปจนเต็มเตา 

"มาช่วยแม่ยกเตาหน่อย"

ผมเดินไปช่วยแม่ยกเตาลงมาข้างล่าง แม่หยิบพัดมาพัดจนถ่านก้อนเล็กๆติดไฟจนแดง แม่เอาทัพพีตักขี้เถ้าใต้เตามาโรยลงบนไฟแดงๆ 

"โรยทำไมแม่"

"ไม่ให้ไฟมันแรงไป เดี๋ยวกล้วยมันจะไหม้หมด"

"ช่วยแม่ยกขึ้นไปวางไว้ที่เดิม"

หลังจากยกเตาวางเสร็จแล้ว ผมเห็นแม่หยิบตะแกงเหล็กที่เป็นซีกๆ ขึ้นมาวางไว้บนเตา แม่เดินมาที่เข่งใส่กล้วยแล้วลากมันมาที่แผงใช้มีดหั่นกล้วยออกมาทีละลูก ปลอกเปลือก แล้วเอากล้วยวางไว้บนตะแกรง ทีละลูก ทีละลูก วางไว้เป็นแถว แถวละประมาณ 10-11 ลูก มีประมาณ 5-6 แถว 

แม่หยิบที่คีบกล้วย พลิกกล้วยที่สุกและเหลืองกลับขึ้นมาข้างบน เปลี่ยนเอาลูกที่ยังไม่โดนไฟลงไปไว้ข้างล่าง แม่ทำให้ผมดูอยู่ 3-4 ลูก แล้วส่งที่คีบกล้วยให้ผมทำตาม 

"พอมันสุก คอยกลับมันนะ" เสียงแม่บอก

ผมค่อยๆ นั่งกลับไปทีละลูก ตามตัวอย่างแม่ ผมเห็นแม่เดินไปยกเอากะละมังที่ต้มถั่วเมื่อตอนแรกลงมาแล้วค่อยๆเทน้ำในกะละมังออกจนหมด เหลือแต่ถั่ว แล้วแม่ก็เทลงใส่เข่งแล้วยกเข่งมาตรงแผงที่ผมนั่งอยู่ แม่ก้มลงไปหยิบถาดที่อยู่ในแผงขึ้นมาวางไว้บนแผง เอาถาดขึ้นมาวางไว้บนแผง แล้วเอาถั่วที่ต้มสุกแล้วเทใส่ถาด แม่หยิบถ้วยตวงขึ้นตวงถั่วจนเต็มถ้วยแล้ววางไว้บนถาด

"ขายกระป๋องละ 5 บาทนะ" เสียงแม่บอก

ถึงตอนนี้แม่ก็ก้มลงไปหยิบอุปกรณ์พวก ถุงพลาสติก ถุงกระดาษ กระป๋องใส่เศษตังค์ มาวางบนแผง แม่หันเดินออกไปที่เตาข้าวโพดต้มอีกทีนึง แล้วใช้ไม้คีบ คีบข้าวโพดใส่ถัง แล้วยกมาวางไว้บนแผง แม่ก้มไปใต้แผงหยิบกะละมังใบใหม่ขึ้นมาวาง แม่หิ้วถังใบนึง ไปตักน้ำร้อนในเตาเอามาเทลงในกะละมัง แล้วคีบข้าวโพดใส่จนเต็มกะละมังวางไว้บนแผง

"ขายฝักละ 5 บาทนะ" แม่บอกอีก

แม่หิ้วถุงเผือกและมัน เอาไปตรงเตาที่ต้มถั่ว แม่เทเผือกกับมันลงในกะละมัง ใส่น้ำลงไป ล้างดินที่ติดมาให้ออกจนหมด เทน้ำสะอาดลงไปอีกครั้งก่อนจะยกขึ้นไปตั้งบนเตา

" จะหกโมงแล้ว" 

พร้อมกับจัดแผงเอาถั่ว ข้าวโพด เรียงให้เรียบร้อย แม่ก็หยิบหม้อใบเล็กที่จะทำน้ำเชื่อมใส่กล้วยขึ้นมาพร้อมกับหยิบ น้ำกะทิ เทลงไปในหม้อตั้งบนไฟ พอน้ำกะทิเดือดเป็นฟองแม่ก็เอาน้ำตาลถุงเทลงไปเคี่ยวจนได้ที่ แล้วยกขึ้นมาตั้ง แม่หยิบที่ทับกล้วยขึ้นมาวาง 

" เอามานี่ แม่ทำเอง" แม่บอกให้ผมส่งไม้คีบกล้วยให้

แม่หยิบใบตองวางลงไปที่ที่ทับกล้วยแล้วใช้ไม้คีบกล้วย ที่สุกแล้ว มาวางในที่ทับกล้วยแล้วกดลงไปจนกล้วยแบน แล้วก็คีบกล้วยที่แบนแล้วใส่ลงไปในหม้อน้ำเชื่อม แล้วก็คีบขึ้นมาวางไว้บนตะแกรงตรงที่ไฟอ่อนๆเรียงไว้เป็นกองๆ กองละ 5 ลูก มีประมาณ 7-8 กอง

"กองละ 5 บาท" 

"น่ากินจัง" 

การทับกล้วยร้อนๆหากทับไม่เป็นมีหวังกล้วยและติดหนึบปูดเบี้ยวอยู่บนไม้ทับนั่นแหละ การทับกล้วยจึงต้องมีเทคนิค แค่นำเอาใบตองมาที่ทับแล้วค่อยหยิบกล้วยที่ย่างไฟจนร้อนมาวาง แล้วจึงทับกล้วยเท่านี้ก็จะทำให้ได้กล้วยที่ทับไม่ติดใบตอง และได้รูปทรง 
เคล็ดลับกล้วยปิ้ง-มันปิ้งของแม่ก็อยู่ที่น้ำจิ้มขั้นเทพนี่แหละ พูดถึงน้ำจิ้มหรือน้ำกะทิที่กินกับกล้วยทับแถวตลาดนี้แล้วแล้วไม่มีร้านไหนจะอร่อยเท่าร้านแม่.....เพราะแม่ใช้น้ำตาลโตนดเคี่ยวจนข้น....จึงได้รสชาติที่หวานนุ่มอร่อยเด็ดได้ใจลูกค้ากันทีเดียวเชียว

"กลับไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว เดี๋ยวจะไปโรงเรียนสาย" แม่บอกพร้อมกับเอามือคีบกล้วยที่อยู่บนตะแกรงกลับไปเรื่อยๆ 

ผมหยิบกล้วยปิ้งลูกหนึ่งที่สุกแล้วบนเตาใส่ปากเดินกัดกินกลับไปบ้าน

"อูยยย ร้อน"



*****************



หมายเหตุ

ในเรื่อง สามก๊ก มีชายคนหนึ่งนามว่า "ชีซี" เป็นบุคคลที่มีความคิดอ่านลึกซึ้งและสติปัญญาเฉียบ แหลม ทำให้เล่าปี่อยากได้ไปช่วยงาน เมื่อแรกชีซีไม่ยอมไปเพราะความกตัญญูและห่วงแม่ แต่แม่ของชีซีสนับสนุนให้ไปทำราชการด้วยเล่าปี่ เพราะเห็นว่าเป็นคนดีและมีเชื้อสายกษัตริย์ ครั้นโจโฉเห็นความสามารถของชีซี ก็อยากได้ตัวไปบ้าง แต่คิดว่าชวนตรงๆคงไม่สำเร็จ จึงพาแม่ชีซีไปเลี้ยงดูที่เมืองตน เพื่อแสดงความจริงใจ ชีซีเตรียมลาจากเล่าปี่เพราะความรักแม่ แม่ชีซีได้ยินข่าวก็เสียใจและเกรงว่า หากตัวมีชีวิตอยู่ ลูกคงจะเป็นห่วงพะว้าพะวัง นางจึงฆ่าตัวตายเสีย เพื่อให้ลูกหมดห่วง นางยอมสละชีวิตเพื่อความสุขความเจริญของลูก และให้ลูกได้อยู่กับคนดี



                                        

                                  โรคเรื้อน



กริ๊งๆๆๆ เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นห้อง ผมยกมือไปตบตรงปุ่มกดให้เสียงนาฬิกาหยุดดัง
"เจี๊ยบสายแล้วนะ" เสียงตะโกนเรียกของแม่มีอานุภาพมากกว่านาฬิกาปลุกร้อยเรือนเสียอีก

"ตายล่ะ 7โมงครึ่ง" ผมอุทานหลังเหลือบไปมองนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นเมื่อสักครู่ 
สายวันนี้ผมเร่งรีบทำเวลาในการอาบน้ำแปรงฟันแต่งตัวไปโรงเรียนด้วยการ เอาตัวเข้าไปผ่านน้ำไม่ถึง 5 ขัน ขืนลีลามีหวังไปโรงเรียนสายโด่งกันพอดี 

ผมจำได้ว่าแม่พาผมไปเข้าโรงเรียนครั้งแรกตอนที่ผมเข้ารียนชั้นอนุบาล วันนั้นผมร้องไห้ไม่ยอมเรียนจะร้องตามแม่กลับบ้านลูกเดียว

เรียนได้ไม่ถึงปีผมก็ต้องย้ายโรงเรียน เพราะแม่ผมส่งเรียนโรงเรียนเอกชนไม่ไหว ค่าเทอมแพงผมถึงรู้ว่ารักผมมาก แม่อยากให้ผมได้เรียนโรงเรียนดีๆแต่เมื่อมันหนักแม่ส่งผมเรียนต่อไม่ไหวแม่เลยต้องย้ายผมไปเรียนโรงเรียนที่ค่าเรียนไม่แพงมากที่แม่พอจะจ่ายไหว

เด็กที่มาเรียนโรงเรียนวัดส่วนมากจะเป็นเด็กฐานะที่ไม่ค่อยดีนัก ไม่มีเงินที่ไปเรียนโรงเรียนเอกชนดีๆ ปัจจุบันหาโรงเรียนวัดได้น้อยเต็มทีแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้โรงเรียนของรัฐบาลเขายกเป็นโรงเรียนกทม.เกือบหมด 

ในสมัยนั้นผมจำได้ว่ามีวิชาเรียนศีลธรรมในหลักศูตรด้วยแต่ตอนนี้ไม่มีเรียนแล้ว การที่ผมได้ไปเรียนในโรงเรียนวัดนั้นทำให้ผมได้มีโอกาสได้เข้าไปช่วยหลวงพี่ในวัดทำงานแลกกับขนมที่ท่านบิณทบาตรมาแจกให้พวกเรากินกันก็นับว่านอกจากความสนุกสนานแล้วยังได้รับการอบรมสั่งสอนปลูกฝังความเป็นคนดีในทางอ้อมด้วย



ในสมัยนั้นไม่มีโรงเรียนกรุงเทพมหานคร(กทม) ที่เรียนฟรีเหมือนในปัจจุบันนี้ ในสมัยนั้น โรงเรียนหลวงเราเรียกว่าโรงเรียนประชาบาลซึ่งจะติดกับวัด เขาจึงเรียกกันว่าเป็นโรงเรียนวัดไปโดยปริยาย เพื่อนๆในห้องหลายคนบ้านเขาจะอยู่ติดกับวัด บางคนก็เป็นลูกศิษย์ เวลาพักเที่ยงเราชอบหนีครูออกไปกินขนมวัดกัน

พูดถึงวีรกรรมของผมในวัยเด็กก็น่าดูชมแม้จะเรียนแค่ชั้นประถมแต่ ผมจะมีกลุ่มเพื่อนๆหัวโจกพากันไปว่ายน้ำตามแม่น้ำลำคลอง มืดค่ำถึงจะพากันกลับบ้าน มีอยู่วันหนึ่งพอผมกลับมาถึงบ้านแม่ก็นั่งรอเอาไม่ขัดหม้อเตรียมชำระความผมไว้แล้ว ผมจำได้วาผมวิ่งรอบบ้านเลย ใครจะยอมเป็นเป้านิ่งให้แม่ตีได้ถนัดอยู่ฝ่ายเดียวล่ะครับ

ช่วงวัยเด็กผมจะติดเพื่อนมากๆ ชอบไปนอนค้างบ้านเพื่อนอยู่เสมอๆ พอจบชั้นประถมเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมตอนแรกยังไม่ค่อยคบเพื่อนนั้น ผมก็ตั้งใจเรียนดีอยู่หรอกได้รางวัลนักเรียนเรียนดีและมารยาทเด่น 2ปีซ้อน แต่พอขึ้นม.3สิครับ 

" ดี เริ่มแตก"

ผมเริ่มเรียนวิชาภาษาอังกฤษไม่เข้าใจเลยเริ่มไม่อยากเข้าเรียนวิชานี้ พอถึงวิชานี้ทีไรก็จะหนีเข้าไปแอบในห้องน้ำทุกที หนักเข้าจึงคิดจะหาทางหนีออกนอกโรงเรียน 

พอดีช่วงนั้นผมมาคบกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อว่ากมล แต่ผมจะเรียกสั้นๆว่าไอ้มล พวกเราที่มีปัญหากับเพื่อนกลุ่มที่เรียนสายช่างยนต์ พวกมันชอบเอาแม่ของไอ้มลมาล้อเลียนจนพวกผมสองคนทนไม่ไหว 

วันหนึ่งเราสองคนปีนกำแพงของโรงเรียน หนีไปหลบนั่งเล่นอยู่ในตึกร้างแห่งหนึ่งใกล้ๆโรงเรียนอยู่ในนั้นทั้งวันรอจนโรงเรียนเลิก แล้วจึงค่อยกลับบ้านทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

วันหลังๆเราสองคนเริ่มติดใจเพราะหนีออกไปนอกโรงเรียนเที่ยวสนุกกว่าต้องมานั่งเรียนในห้องเรียนตั้งเยอะ เลยนัดชวนกันหนีโรงเรียนไปดูหนังอีก 

ในสมัยนั้นไม่มีห้างสรรพสินค้าดังๆดีๆหรูๆแบบนี้หรอกครับ ที่จะได้หนีโรงเรียนไปมั่วสุมเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์หรือไปแชทตามร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่เหมือนในปัจจุบันนี้ไม่มีหรอก เต็มที่ก็มีโรงหนังระดับสองดาวนี่แหละ ถึงคุณภาพจะต่ำแตกต่างกับโรงหนังสมัยนี้อย่างSFซีเนเพล็กซ์หรือเมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ราวฟ้ากับดิน โรงหนังที่นี่ มีที่นั่งแค่200-300โต๊ะ 

โต๊ะนั่งก็ถูกหนูแมลงสาบกัดจนฟองน้ำแทบปริ ถ้าลองขืนนั่งไม่ดีสปริงได้หนีบแก้มก้นให้ได้เลือดเชียว เวลานั่งก็อย่าเผลอหย่อนเท้าลงไปเดี๋ยวอาจจะโดนหนูวิ่งมากัดเท้าเอาดื้อๆ ฉะนั้นทางที่ดีนั่งขัดสมาธิไว้บนที่นั่งนะปลอดภัยดีที่สุด หน้าจอโรงหนังสมัยก่อนก็จะทำเป็นเหมือนเวทียกสูงขึ้นมาพื้นประมาณ4-5เมตร เพราะบางทีโรงหนังก็จะหารำไพ่พิเศษด้วยการปิดวิกจัดคอนเสิร์ตลูกทุ่ง ขายบัตรให้สาวๆโรงงานที่ชื่นชมนักร้องขวัญใจตัวเองได้เข้ามาดูกัน 



แต่ระบบเสียงในโรงหนังยุคนั้นฟังชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ไม่เหมือนระบบดอบี้สเตอริโอระบบเสียงเซนเซอราวด์รอบทิศทางเหมือนปัจจุบันนี้หรอก ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นหนังฉายไปก็ขาดไป เพราะใช้การฉายหนังสมัยก่อนจะใช้เครื่องฉายแบบจุดไฟในตู้ฉายแล้วใช้วิธีวงล้อเลื่อนภาพแบบกลักฟิล์มหมุนในเครื่องฉาย ถ้าหนังวิ่งฉายวนโรงอื่นมากๆ คุณภาพฟิล์มก็จะแย่และขาดบ่อย พนักงานฉายหนังบางทีก็ต้องใช้สก็อตเทปใสมาแปะติดไว้ ช่วงที่หนังฉายมาถึงตรงที่ติดสก็อตเทปไว้หนังก็จะเบลอบ้างสะดุดบ้าง แถมหนังขาดจะขาดทำให้หน้าจอดับมืดไปเลย 

จะเอาดี..เด่ อะไรมาก 

มันเป็นไปตามสภาพค่าดูในสมัยนั้นราคา30บาท เด็กนักเรียนลดครึ่งราคาเหลือ15บาท กว่าเราจะหนีเรียนไปถึงโรงหนัง หนังก็ฉายไปเกินครึ่งเรื่องแล้วเด็กหน้าโรงหนังที่เฝ้าประตูจะเก็บพวกเราแค่10บาท บางทีก็เซ่นด้วยบุหรี่ซองนึง สรุปว่าดูหนังมันบ้างไม่มันบ้าง แต่จำเป็นต้องดูฆ่าเวลาให้ผ่านไป 

วีรกรรมของผมในสมัยที่เรียนชั้นมัธยมที่หนักหนาสาหัสที่สุดก็คือในช่วงที่ทะเลาะวิวาทกับเพื่อนโรงเรียน เรื่องนี้มันเก็บกดสะสมมานานหลายปีระหว่างผมไอ้มลเพื่อนซี้กับกลุ่มเด็กช่างยนต์ 

วันแม่ทุกๆปีกมลจะถูกเพื่อนในกลุ่มช่างยนต์ล้อว่าลูกไม่มีมีแม่ เพราะแม่ของไอ้มลไม่เคยมางานวันแม่ของโรงเรียนเลย วันหนึ่งในขณะที่เราสองคนซื้อข้าวแกงในโรงอาหารแล้วกำลังจะเดินไปหาโต๊ะนั่งกินข้าวกัน ไอ้โต้งหนึ่งในกลุ่มพวกช่างยนต์ตะโกนแซวไอ้มลว่า

" กู รู้แล้วว่าทำไมแม่มัน ถึงไม่กล้ามาโรงเรียน"ไอ้โต้งเริ่มก่อกวนก่อน

"แม่มัน อายเขาไง แม่มัน  ถึงไม่กล้าโผล่มาที่โรงเรียน"

"แม่มันเป็นอะไรว่ะ" ไอ้บอยเพื่อนในกลุ่มมันถาม

"แม่มันเป็นโรคเรื้อนหว่ะ พวกมึง อย่าเข้าไปใกล้มันนะเดี๋ยวจะติดโรค" ไอ้โต้งพูดจบพวกมันก็หัวเราะฮากันทั้งกลุ่ม

" ไอ้ห่_า .. แม่_ง" สิ้นเสียงสบถไอ้มลมันก็ปรี่เข้าไปชกปากไอ้โต้งอย่างแรง

หลังจากนั้นผมไอ้มลไอ้โต้งไอ้บอลและใครอีกสองสามชกกันนัวเนีย ไปหมด 

ผมไอ้มลถูกฝ่ายปกครองเรียกไปที่ห้องถูกเฆี่ยนด้วยไม้เรียวที่เหลามาจากหวายไปคนละ6ที พร้อมกับถูกคาดโทษอย่างหนักถึงขั้นเชิญผู้ปกครองมาพบ ในข้อหาหนักว่าทำตัวเป็นอันธพาลชกต่อยกันในโรงเรียน พร้อมทั้งมีข้อหาฉกรรจ์คือหมดสิทธิ์สอบวิชาภาษาอังกฤษพ่วงมาด้วยอีกคนละ1กระทง

เย็นวันนั้นกมลชวนผมไปเที่ยวบ้านเพื่อไปช่วยเป็นพยานว่าคุณครูให้เชิญแม่มันไปพบ มันคงจะเอาผมไปเป็นกันชนเพราะมันคงกลัวจะถูกแม่มันด่า

วันนี้ทำให้ผมรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแม่กมลหลายอย่าง นอกจากแม่กมลไม่ด่ากมลถึงเรื่องที่เราทะเลาะวิวาทแล้วแม่ของกมลก็จะไปพบครูฝ่ายปกครองให้แต่โดยดี

แม่กมลเล่าให้ฟังว่า เมื่อ15ปีที่แล้วตอนที่แม่ได้ตั้งท้องกมลแม่ไปหมอจึงรู้ตัวว่าเป็นโรคเรื้อน เพราะอาการของโรคเพิ่งเริ่มแสดงขึ้นมา(ในสมัย40ปีที่โรคเรื้อนยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้)อาการนั้นจะเป็นตุ่มขึ้นตามตัว แล้วจะคันถ้ามันลุกลามมากก็จะเป็นตุ่มน่าเกลียดน่ากลัวไปทั่วตัวถ้าติดเชื้อมากๆก็จะมีน้ำเหลืองไหลออกมาด้วย คนพบเห็นจึงพากันรังเกลียด โรคเรื้อนสามารถติดต่อได้ทางระบบทางเดินหายใจ คุณหมอบอกว่าแม่ของกมลติดต่อมาจากกรรมพันธุ์ จากประวัติของครอบครัวแม่กลมจะติดต่อกันทางสายเลือดมีผู้หญิงเป็นพาหะถึงลูกผู้หญิงด้วยกันเท่านั้น 

ในตอนนั้นค่าใช้จ่ายอัลตร้าซาวน์ถือว่าสูงมาก คุณหมอเลยบอกว่ามันจะเป็นการเสี่ยงเกินไปที่จะปล่อยให้เด็กคลอดออกมาเพราะ50/50ที่จะมีโอกาสได้ลูกเป็นผู้หญิง แต่แม่กมลบอกหมอว่าไม่ว่าลูกจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงตนเองก็จะขอรักษาชีวิตลูกเอาไว้ แม่กมลเล่าต่อไปว่าในสมัยนั้นฐานะของแม่ยากจนถึงไม่มีเงินไปคลอดที่โรงพยาบาล โชคยังดีที่มีญาติเคยเป็นอดีตหมอตำแยเก่ามาช่วยทำคลอดให้ แต่การคลอดวิธีธรรมชาติจะมีความเสี่ยงมากกว่าการไปคลอดในโรงพยาบาที่มีเครื่องมือทันสมัยมมากกว่า แม่กมลบอกว่าถึงเสี่ยงแต่แม่ก็ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อรักษาชีวิตของลูกเอาไว้ 

"ที่แม่ไม่ได้ไปงานวันแม่ที่โรงเรียนก็เพราะว่าแม่ไม่อยากให้ลูกมีปมด้อย โดนเพื่อนล้อ ว่ามีแม่เป็นโรคเรื้อนแบบนี้"ผมเห็นแม่กมลมีน้ำตาไหลออก

คืนวันนั้นผมกลับมาถึงบ้านเห็นแม่นั่งดูทีวีอยู่ในบ้าน ปกติแม่ไม่ค่อยดูละครหรอกนอกจากเรื่องที่แม่ติดจริงๆแค่สองทุ่มกว่าๆแม่ก็หลับแล้วเพราะแม่จะต้องตื่นไปซื้อของตั้งแต่ตีหนึ่ง 

"ไปไหนว่าทั้งวัน บ้านช่องไม่กลับหนังสือหนังหาอ่านบ้างหรือยังใกล้จะสอบแล้ว"เสียงแม่บ่น

" ไปบ้านเพื่อนมา" ผมตอบ

" กับข้าวอยู่ในตู้รีบเอาออกกินซะ เดี๋ยวมันจะเย็นหมด เพิ่งทำเสร็จเมื่อกี้" แม่หันมาบอกให้ผมรีบกินข้าว ตกลงแม่จะให้ผมอ่านหนังสือหรือกินข้าวก่อนกันแน่ 

แม่คงเป็ห่วงผม

ผมนั่งอยู่ท่ามกลางความมืด กว่าผมจะกินข้าวอาบน้ำเสร็จแม่ผมก็หลับไปนานแล้ว ผมปิดสวิทซ์ไฟเพื่อไม่ให้แสงสว่างแทงสายตา เหลือไว้แค่แสงไฟที่ส่องออกมาจากจอทีวีเท่านั้น 

ภาพแม่นอนหลับคุดคู้อยู่บนพื้นกระดานไม้กลางห้องในบ้าน แม่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน ที่บ้านไม่มีเตียงหรูๆนอนเพราะแม่ไม่ชอบนอนเตียง ส่วนที่นอนของผมก็เป็นฟูกเล็กๆพอปูนอนได้

อยู่อีกมุมหนึ่งของห้องไม่ไกลจากแม่นัก น้ำตาของผมก็ค่อยๆไหลออกมา ผมไม่รู้จะเริ่มต้นบอกแม่ยังไงเรื่องที่ผมหนีโรงเรียนจนไม่มีสิทธิสอบ ผมไม่อยากให้แม่รู้เลยผมกลัวแม่จะเสียใจ
เช้าวันนี้ผมมาถึงที่โรงเรียนเห็นแม่ของกมลมานั่งรออยู่หน้าห้องฝ่ายปกครองและเข้าไปคุยอยู่ในนั้นสักพักก็กลับไป ระหว่างที่เรียนวิชาพละอยู่ที่กลางสนามฟุตบอล หัวหน้าห้องก็วิ่งมาตามผมบอกว่าคุณครูประจำชั้นเรียกให้ไปพบ 

" ขออนุญาติครับ" ผมเดินเข้าไปหาครู

"ทำไมถึงหนีโรงเรียน " ครูอนุชิตถามผม 

"ที่บ้านอยู่กับใคร"

"อยู่กับแม่ครับ พ่อเลิกกับแม่แล้ว"

"ยิ่งอยู่กับแม่สองคนต้องยิ่งตั้งใจเรียนต้องยิ่งทำตัวให้ดีมากกว่านี้" 

"แม่ส่งให้มาเรียนหนังสือไม่ใช่ให้มาเกเรทำตัวไม่ดีแบบนี้ แม่จะเสียใจแค่ไหนรู้หรือเปล่าว่า แม่ต้องเหนื่อยต้องลำบากแค่ไหนกว่าจะหาเงินมาได้แต่ละบาทแต่ละสตางค์เพื่อสงเสียให้เธอเรียน แต่เธอกลับไม่ตั้งใจเรียน"

"ตอนนี้เธอยังคงมีรู้สึกอะไรหรอก เมื่อเธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่เธอจะคิดได้เอง"

"ครูจะลงโทษเธอให้เข็ดหลาบและเป็นบทเรียน ว่า คราวต่อไปจะไม่ทำอีก"

"ยืนตัวตรง เอามือกอดอก"

"เพี๊ยะ..เพี๊ยะ"

หลังจากตีผมแล้วครูอนุชิตก็บ่นร่ายให้ผมฟังยาวว่าเมื่อก่อนผมเป็นเด็กดีตั้งใจเรียนดี ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นทำไมเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนี้ หนีโรงเรียนจนไม่มีสิทธิ์สอบตั้งหลายวิชา ไม่สงสารแม่หรือไง รู้ไหมว่าแม่จะเสียใจแค่ไหน

ครูอนุชิตสอนผมจนร้องไห้และรู้สึกสงสารแม่อย่างจับใจ 

เย็นนั้นผมนั่งรถเมล์กลับบ้าน ระหว่างทางนั่งคิดถึงแต่เรื่องว่าจะบอกแม่ยังว่าผมหนีโรงเรียน ผมกลัวแม่จะเสียใจ ผมจะทำยังไงดีหรือจะทำอย่างที่เพื่อนมันบอกดีว่าให้ไปจ้างแม่ค้าแถวตลาดมา ขอให้เขาปลอมตัวเป็นแม่มาหาครูฝ่ายปกครองที่โรงเรียนให้หน่อย 

ถ้าเขายอมมาให้ความลับเรื่องที่ผมหนีโรงเรียนก็คงไม่แตก

ผมเดินผ่านตลาดไม่เห็นแม่อยู่ที่แผงขายของแม่คงเดินไปเข้าห้องน้ำข้างหลังตลาด ผมจึงกลับเข้าไปในบ้าน ภาพที่ผมเห็นก็คือ

"พี่แก้ว" ผมยกมือไหว้ 

"มาตั้งแต่เมื่อไหร่" ผมถามพี่ชาย

"มาถึงเมื่อเช้า" เขาตอบพร้อมกับจัดของบริเวณที่นอนของเขา

"แม่ขายของเป็นยังบ้าง" พี่แก้วหันมาถามผม

"ช่วงนี้ขายของไม่ค่อยดี โรงงานเขาลดคนงานลง"

" ของขายยากขึ้น พี่แก้วจะมาอยู่บ้านกี่วัน"

"อยู่แค่3-4วัน จะไปธุรที่บ้านเตี่ยเสร็จแล้วก็จะกลับแปดริ้วเลย"

"งั้นพรุ่งนี้พี่ไปคุยกับครูฝ่ายปกครองที่โรงเรียนให้หน่อยสิ"

"ได้พรุ่งนี้จะไปให้"

นั่นคือวิกฤตการณ์ในช่วงวัยรุ่นของผมที่ผ่านมาได้โดยที่มีพี่ชายมาช่วยชีวิตผมไว้ได้ทันท่วงที ทำให้แม่ไม่ต้องรับรู้ว่าผมทำตัวไม่ดี เหตุการณ์ที่พี่แก้วเข้าไปคุยกับครูฝ่ายปกครองนั้นพี่แก้วไม่ยอมเล่าให้ฟังว่าเข้าไปคุยอะไรบ้าง พอผมถามพี่แก้วก็บอกว่า

"เคลียร์ให้หมดแล้ว ต่อไปขอให้ตั้งใจเรียนก็แล้วกัน"

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมก็ทำตัวดีขึ้นช่วงปิดเทอมผมไปช่วยเฮียเม้งเก็บของเก่าขาย เฮียเม้งให้ค่าแรงผมวันละ200 บาท สถานที่ที่เฮียเม้งจะไปรับซื้อของเก่าก็คือบ้านพักของผู้ป่วยโรคเรื้อน 

ปกติที่ไม่ใช่วันปิดเทอมเฮียเม้งแกจะขับรถไปซื้อของเก่าเองคนเดียว เพราะเด็กๆในตลาดไม่มีใครกล้าไปกับแก เด็กๆกลัวติดโรคเรื้อนกัน เฮียเม้งถามผมว่าทำไมถึงกล้าไปกับแกไม่กลัวติดโรคเรื้อนเหมือนคนอื่นๆเหรอ ผมบอกว่าอยากได้เงินมาใช้เวลาปิดเทอมไม่อยากขอแม่เพราะช่วงนี้ของขายไม่ค่อยดี

"แล้วเฮียล่ะไม่กลัวเหรอ" ผมถามกลับ

"ไม่กลัวหรอกเวลาเราไปเก็บของ เราก็ใส่ถุงมือแล้วกลับมาเราก็อาบน้ำล้างตัวให้สะอาด"

"สงสารคนที่นั่นนะครับมีแต่คนพากันรังเกลียด"

"ใช่ น่าสงสาร ไม่มีใครอยากเป็นโรคนี้หรอก ทุกคนอยากเป็นคนปกติกันทั้งนั้น"

"แล้วมีคนหายบ้างไหมครับ"

"มีหายกันเยอะ เพราะเดี๋ยวนี้หมอเขาเก่งนะ รักษาหายก็กลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วๆไป"

"เหรอครับดีจัง"

"แต่คนที่ยังไม่หายก็จ้องอยู่เหมือนคนที่ตายทั้งเป็นถูกคนดูถูก เหมือนเป็นตัวประหลาด" 

เฮียเม้งสอนผมหลายเรื่องโดยเฉพาะเรื่องที่เราต้องช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่อะไรช่วยได้เราก็ควรช่วยไม่ใช่แบมือขอเงินพ่อแม่ ใช้เงินฟุ่มเฟือยเที่ยวเตร่ไปวันๆ 
ยามว่างจากไปรับซื้อของเก่ามาขายเฮียเม้งแกจะชอบมาเล่านิทานให้เด็กๆฟัง
"วันนี้อยากฟังนิทานเรื่องอะไร"
"เจ้าชายกบครับ"
"ไม่เอา จะฟังเรื่องกระต่ายกับเต่า"
"แหวะ เรื่องไร้สาระ"

เสียงเด็กๆโต้เถียงกันเป็นบรรยากาศที่สนุกครื้นเครงของเด็กๆที่นี่ เมื่อมีเวลาว่างจะมานั่งรวมตัวจับกลุ่มนั่งฟังนิทานของเฮียเม้งกัน
"วันนี้เฮียจะเล่านิทานเรื่องบะหมี่ชามหนึ่งให้ฟัง
"เป็นยังไงเหรอครับ
"เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมืองจีนมีร้านขายบะหมี่ร้านหนึ่งชื่ออว่าร้านฮกเกี๊ยน คืนวันสิ้นของทุกปีจะมีแม่คนหนึ่งพาลูกสองคนมากินบะหมี่ ด้วยความขยันและประหยัดจากบะหมี่ที่กินกันสามคนแม่ลูก ก็ทำให้หญิงม่ายทำงานจนใช้หนี้สินจนหมดและส่งลูกชายคนโตจนจบหมอ"
เฮียเม้งเล่านิทานเรื่องบะหมี่ชามหนึ่งให้พวกเราฟัง นิทานเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกสงสารแม่และตั้งใจว่าสักวันหนึ่งผมจะหางานดีๆทำเพื่อจะหาเงินได้เยอะๆมาเลี้ยงแม่บ้าง แม่จะได้ไม่ต้องลำบากมากเหมือนเช่นทุกวันนี้ 

......

วันแม่ทางโรงเรียนได้ทำหนังสือแจ้งไปยังไปยังผู้ปกครองให้มาร่วมงานเพื่อชมการแสดงของเด็กๆเพื่อเป็นกำลังใจให้กับลูกๆหลานๆและร่วมกิจกรรมวันแม่
วันจัดงานค่อนข้างโกลาหล เพราะผมต้องเตรียมตัวในการแสดงบนเวทีและก็ต้องซักซ้อมคิวแถวที่จะขึ้นไปกราบแม่ ด้านหน้าเวทีที่คุณครูได้จัดเตรียมไว้ให้นักเรียนได้เข้าแถวไปไหว้แม่ทีละ10คน
พอการแสดงเริ่มขึ้น ผมและเพื่อนๆนักเรียน5-6คนก็เริงร่าออกลีลารีวิวประกอบเพลงไปตามที่ครูได้ฝึกซ้อมพวกเรามา 
"ระบำๆชาวเกาะ ไพเราะเสนาะจับใจ เสียงน้ำหลั่งไหล"
"เสียงน้ำหลั่งไหล กระทบหาดทรายดังคลืนๆ"ชุดชาวเกาะเกะกะที่มีเชื่อกฟางคาดเอวคาดหัวและมือที่ต้องเกามงกภฎดอกไม้ใบหญ้าบนหัวเป็นระยะสร้างเสียงหัวเราะให้ผู้ปกครองที่มาชมงานในห้องประชุมได้มากโขทีเดียว
และแล้วช่วงที่สำคัญที่สุดของงานก็มาถึง เด็กน้อยๆชายหญิงตัวแทนขั้นป.6ก็ออกมาคุกเข่าพนมมือบนเวทีแล้วท่องกลอนเชิดชูบูชาพระคุณแม่ให้เพื่อนๆนักเรียนทั้งหมดพากันพูดตาม เสียงบรรยายร่ายพรรณาประกอบเสียงเพลงใครหนอสร้างอารมณ์จนขนลุกแม่หลายคนค่อยๆน้ำตารินไหลออกมา
"ให้นักเรียนแถวหน้าค่อยๆทะยอยออกมาทีละ10คน"เสียงครูที่เป็นพิธีกรบอก
"ขอเชิญคุณแม่ที่มีรายชื่อดังต่อไปนี้ครับ"คุณครูประกาศชื่อแม่ๆให้ตรงกับลูกของตนที่นั่งรออยู่
แม่คงจะสังเกตเห็นตัวผมที่สั่นๆ ผมโน้มตัวไปข้างหน้าเข้าไปหาแม่บรรจงเอาพวงมาลัยดอกมะลิที่ซื้อมาวางลงฝ่ามือของแม่
"แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเหไปจนไกล"เสียงเพลงค่าน้ำนมที่ดังกังวาลอยู่ในห้องประชุมในตอนนี้เหมือนมีมนต์ขลังที่สะกดให้ทั้งแม่และลูกๆแทบทุกคนมีน้ำตาไหลออกมาด้วยความตื้นตันใจ
ผมวางมาลัยเสร็จก็ก้มตัวลงไปกราบที่เท้าแม่
"กราบเสร็จแล้วให้นักเรียนเข้าสวมกอดคุณแม่"เสียงคุณครูบอก
"เจี๊ยบรักแม่นะ"ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมน้ำตาที่ไหล
แม่ไม่พูดว่าอะไรแต่แม่ร้องไห้

******************


หมายเหตุ

เราร่วม...

รณรงงค์สภาวะโลกร้อน

รณรงค์ประหยัดพลังงาน

รณรงค์ให้รักประชาธิปไตย

แต่อย่าลืม...

รณรงค์ "กอดแม่"ของเราทุกๆวัน






                                 ขนมของแม่


สมัยเด็กๆท่านได้รับแรงบันดาลใจจากการดูหนังกลางแปลง หลังจากเลิกเรียนกลับมาถึงบ้านทำการบ้านเสร็จก็จะเตรียมออกมาเล่น

หนังกลางแปลงขึงจอหนังเสร็จแล้วก็เปิดเพลงเรียกคน เด็กๆก็จะมาวิ่งไล่กันแถวหน้าจอหนัง

พอตะวันเริ่มโพล้เพล้จะเริ่มมีผู้ชมเริ่มทยอยกันมาจองที่นั่งปูเสื่อปูกระดาษหนังสือพิมพ์ เมื่อถึงเวลาฉายประมาณ๑๙.๐๐ นาฬิกา ผู้ชมก็จะมากันนับร้อยคนมารอดูหนังกัน

ความสนุกของหนังกลางแปลงอยู่ที่จะมีการพากย์เสียงผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก คนชรากันสดๆ บางวันก็จะมีหนังผีสยองขวัญแถมพิเศษสำหรับลูกค้าอีกด้วยภาพที่ฉายเช่น มีภาพ มีคนผูกคอตายใต้ต้นไม้ใหญ่ ข้างๆก็จะมีหมาหอน เวลา พากย์ก็จะมีเสียงสั่น เสียงหมาหอนด้วย สร้างบรรยากาศน่าสะพึงกลัวเป็นอย่างมาก ตอนดูนะสนุกแต่พอจบตอนขากลับนี่สิผมเดินถามติดจนแม่ต้องหันมาบอกว่า

มาเดินเบียดอยู่ได้

ก็หนูกลัวผีอ่ะ

ในวัยเด็กผมจะชอบช่วงนี้มากที่สุดเลย หลังจากเลิกเรียนผมก็จะรีบเปลียนชุดนักเรียนแล้วรีบออกมาวิ่งเล่นแถวหน้าศาลเจ้า เพราะเวลามีงานประจำปีที่ศาลเจ้าก็จะมีคนจีนในตลาดมาไหว้เจ้ามาถวายของเซ่นไหว้ต่างๆกัน พอตกค่ำก็จะเริ่มฉายหนัง

แต่คนดูต้องใจเย็นๆสักนิดนึงเขายังไม่ได้ฉายหนังให้เราดูง่ายๆหรอกครับเพราะ เขาจะฉายหนังไหว้เจ้าก่อนเป็นเหมือนงิ้วอ่ะเรื่องราวจัเป็นเกี่ยวกับเป็นเทพเจ้า8องค์บนสวรรค์ออกมาร่ายรำและอวยพรให้แก่เทวดาฟ้าดิน เขาเรียกว่าหนังโป๊ยเซียน

เด็กๆจะเบื่อช่วงนี้มากเพราะมันไม่สนุกแต่ก็ต้องทนเพราะเขาถือว่าการทำบุญประจำปีของศาลเจ้าจะให้ชาวบ้านและผู้คนที่อาศัยอยู่รอบๆศาลเจ้าและบริเวณตลาดอยู่เย็นเป็นสุข
หนังไหว้เจ้าจะเปิดหัวเรื่องด้วยกล่าวถึงบนท้องฟ้าบนสรวงสวรรค์มีวิมานและเมฆปกคลุม มีเทพผู้ปกปักษ์รักษาคุ้มครองทิศทั้งสี่ออกมาอัญเชิญเทพเจ้าทั้ง8องค์ก่อน 
เริ่มจากองค์ที่หนึ่งเป็นเทพทิศตะวันออกทิศบูรพา องค์นี้จะถือพิณ สีหน้าดุดัน ช่วยคุ้มครองอาณาประเทศอำนวยความสะดวกให้ทุกชีวิต ทำให้รอดพ้นจากเคราะห์วิบัติภัยต่างๆเดินออกมาแล้วจะโค้งคำนับแล้วก็เดินผ่านไป เทพองค์ที่สองปกครองทิศตะวันตกหรือทิศประจิม มือข้างหนึ่งจะถือไข่มุก อีกข้างหนึ่งถืองู เป็นเทพที่คอยดูแลความปลอดภัยและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ทำให้ใครเห็นเกิดความเอ็นดูรักใคร่ เทพองค์ที่สามคือ เทพทิศเหนือหรือทิศอุดร ในมือถือร่มบางครั้งก็ถือสถูปอยู่ในมือ ท่านเป็นเทพแห่งความมั่งคั่ง ทำให้ทรัพย์เพิ่มพูน เทพองค์ที่สี่เทพทิศใต้ทิศทักษิณ มือถือดาบและห่วงทอง ช่วยปกป้องจากสิ่งอัปมงคลต่างๆ ทำให้เกิดความสิริมงคลเข้ามาสู่ท่าน
แม่บอกว่า 8เซียนเป็นตำนานอมตะของชาวจีนมากว่า 3,000 ปีแล้ว โป๊ยเซียน คือเซียนแปดองค์ ตามความเชื่อในลัทธิเต๋าของจีน เป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนนับถือมาช้านาน นับเป็นหนึ่งในบรรดาเซียนนับร้อยๆ องค์ของจีน แต่เทพทั้งแปดนี้ นับว่าเป็นที่รู้จักดีและได้นับการนับถืออย่างกว้างขวางมาก 
ในศาลเจ้าตามของหมู่บ้านชาวจีน มักจะมีแท่นบูชาที่ปูด้วยผ้ามีภาพวาดเซียนทั้งแปดรวมเป็นกลุ่ม บ้างก็เป็นภาพเซียนนั่งเรือไปยังงานเลี้ยงของพระนางซีอ๋อง (งานเลี้ยงของทวยเทพและเซียนต่างๆ) บางครั้งก็วาดรวมกับภาพ 18 อรหันต์ แม่จึงบอกว่าการฉายหนังไหว้เจ้าจึงเป็นประเพณีนิยมทำกันต่อๆกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว 
เมื่อใกล้เวลาาฉายหนังผู้คนที่อยู่รอบๆตลาดมีทั้งสาวโรงงานและแม่ค้าพ่อค้าคนทำงานต่างๆทะยอยกันเอาเสื่อเอาสาร์ทมาปูเพื่อจับจองที่นั่งกัน เพราะไม่เสียตังค์นะครับดูฟรี อย่างพวกผมในตลาดก็จะคึกคักกันใหญ่วิ่งไล่ตีไล่เตะต่อสู้หรือเล่นโป้งแปะกันไปตามเรื่อง
แอ๊น แอน ลูกทุ่มหน้ากากเสือผมไล่หน้ากากเสือไล่เตะเพื่อนๆ 
สกายคิกวีหนึ่งส่วนไอ้ชัยมันจะบ้าไอ้มดแดง
 มานี่เลยหน้ากากเสือเสียงแม่ของผมตะโกนเรียก
ว้า งานเข้าอีกแล้ว
ผมต้องถูกไฟล์บังคับจากแม่ให้ช่วยเอาถั่วต้มไปเดินขายแถวๆหน้าจอหนัง ตอนเด็กๆผมจะขี้อายแต่ก็ก้มหน้าก้มตาเดินขายไป พอดึกๆหน่อยคนมาหนังจนเต็มลานหน้าศาลเจ้าไปหมดจนแทบไม่เหลือทางให้เดินเลย ถั่วต้มผมขายแปบเดียวก็หมดเพราะเขาจะซื้อไว้กินตอนดูหนังและคนก็ขี้เกลียดลุกเบียดคนที่เนืองแน่นออกมาหาซื้อขนมเข้าไปกิน 
พอถั่วต้มขายหมดผมก็เอาข้าวโพดต้มและข้าวโพดปิ้งเข้าไปเดินขายต่ออีกเรื่อยๆ พอขายหมดหนังไหว้เจ้าก็จบพอดี ผมก็ขอแม่ไปนั่งดูหนังแถวๆหน้าจอเลย

ผมชอบดูหนังจีนกำลังภายในมากๆในสมัยนั้นหนังของเฉินหลงดังมาก เรื่องไอ้หมัดขี้เมา หรือจะเป็นหนังของเดวิดเจียงเรื่องเดชไอ้ด้วน ฉอลิ้วเฮียงตอนถล่มวังค้างคาว โหอีกมากมายอ่ะ

มันเป็นความทรงจำในวัยเด็กที่ผมมีความสุขไม่เคยลืมเลย

..



วัน ตรุษจีน 

วันนี้แม่ตื่นไปตลาดตั้งแต่ตี3เพื่อซื้อหมูเห็ดเป็ดไก่มาเตรียมไว้ไหว้เจ้า หลังจากสายเมื่อไหว้เจ้าเสร็จแม่ก็จะพาผมไปเที่ยวบ้านอากิ้มอาคิ้วที่สำโรงเหมือนที่ทำมาทุกปี 

นอกจากแม่จะเตรียมหมูเห็ดเป็ดไก่ผลไม้นานาชนิดแล้วเมื่อวานตอนเย็นผมเห็นแม่เตรียมแป้งเตรียมมะพร้าวน้ำตาลและก็ใบตองมากมายไว้ทำขนมเทียน-ขนมเข่ง อีกด้วย

แม่เล่าให้ฟังว่าคนจีนจะมีเทศกาลสำคัญอยู่ 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกจะเป็นเทศกาลตรุษจีน
หรือวันปีใหม่ของจีน ซึ่งจะอยู่ในราวปลายเดือนมกราคมต่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยคนจีนจะมีความเชื่อว่าจะป็นช่วงการเริ่มต้นชีวิตใหม่หรือดำเนินกิจการใหม่ 

ส่วนอีกครั้ง จะเป็นเทศกาลสารทจีน เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 15 เดือน 7 ถือเป็นเทศกาลสำคัญรองลงมาจากเทศกาลตรุษจีน เหมือนเพราะเป็นการสำรวจการทำมาหากินเมื่อผ่านมา 6 เดือนว่ามีผลกำไรหรือขาดทุนแค่ไหน 

ในวันตรุษจีนนี้คนจีนจะหยุดทำการค้าขายหรือดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ แล้วเตรียมอาหารคาวหวานต่าง ๆสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ขนมเข่ง สำหรับทำการเซ่นไหว้บรรพบุรุษและจะไม่ลืมแต้มจุดสีแดงไว้ตรงกลาง เนื่องจากชาวจีนมีความเชื่อว่า สีแดงเป็นสีแห่งความเป็นสิริมงคล พูดถึงความเชื่อแม่บอกว่าในวันตรุษจีนทุกคนจะไม่โกรธ ไมริษยา ไม่ด่าหรือไม่พอใจกัน เพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิต

ความจริงแม่ทำขนมเข่ง-ขนมเทียนมา30กว่าปีแล้ว ตอนแรกๆแม่ก็ทำไหว้ที่บ้านและไว้แจกลูกๆหลานๆไว้กินกันเฉพาะในบ้าน แต่ด้วยความเป็นแม่ค้ายังไงก็คิดถึงการค้าขายเป็นหลัก พอมีคนในตลาดที่ไม่มีเวลาทำเองหรือทำไม่ค่อยอร่อยก็จะมาจ้างให้แม่ทำขายให้ จนเป็นที่รู้กันว่าเมื่อถึงตรุษจีนทีไรใครไม่มีขนมเข่ง-ขนมเทียนก็จะมาสั่งให้แม่ทำขายให้
ผมจึงเห็นแม่นั่งหลังขดหลังแข็งนั่งทำขนมเข่งทุกปีจนจำขั้นตอนการทำได้ขึ้นใจ ขั้นแรกผมจะเห็นแม่เอาแป้งสดที่โม่เสร็จแล้วมาผสมกับน้ำตาล แล้วค่อยเทน้ำใส่ลงไป นำเอาแป้งที่ผสมแล้วเข้าเครื่องนวด นวดไปเรื่อย ๆ จนตัวแป้งนุ่มเหนียวดีแล้ว ก็ตั้งทิ้งไว้สักพัก
นำมะพร้าวอ่อนที่เตรียมไว้มาขูดเป็นเส้น เอาเนื้อมะพร้าวที่ได้ใส่ผสมลงในแป้ง ทำการคนให้มะพร้าวกับแป้งเข้ากันดี ตักแป้งที่ละลายแล้วค่อย ๆ หยอดใส่กระทงเกือบเต็ม นำเรียงใส่ซึ้งนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 30 นาที ยกลงตั้งไว้ให้เย็น ใช้สีแดงผสมน้ำเล็กน้อย ใช้ก้านธูปจิ้มสีแดงเป็นจุดไว้ตรงกลางแล้วเอาขนมเข่งมาประกบคู่กัน ขายคู่ละ10บาท 
ส่วนขนมเทียน มีทั้งไส้เค็ม-ไส้หวานมาดูวิธีการทำของ ขนมเทียนไส้เค็มก่อน ส่วนผสมใช้... ถั่วทองนึ่งบด, หมูสับ, กระเทียม, รากผักชี, พริกไทยตำ, เกลือและน้ำตาล 
การทำเริ่มจากนำถั่วทองมาแช่น้ำประมาณ 3-4 ชม. จากนั้นนำไปนึ่งสุกแล้วบดให้ละเอียด พักไว้ โขลกกระเทียม, รากผักชี, พริกไทย รวมกันให้ละเอียด นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย พอร้อนใส่กระเทียม, รากผักชี, พริกไทยโขลก ลงผัดให้หอม แล้วจึงใส่หมูสับผัดไปมา 3-4 ครั้ง ใส่ถั่วทองบดลงผัดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือ โดยให้มีรสชาติ เค็ม เผ็ด หอม นำไปผัดไปเรื่อย ๆ จนจับเป็นก้อน ยกลงตั้งพักไว้ให้เย็นแล้วปั้นเป็นลูกกลม ๆ ขนาด 1นิ้ว
ใส่เรียงไว้ในถาด เสร็จแล้วให้วางพักไว้ก่อน แล้วเปลี่ยนหันมาทำขนมเทียน ไส้หวาน ใช้...มะพร้าว ทึนทึกขูดเป็นเส้น, น้ำตาลมะพร้าว และถั่วเขียวซีกคั่ว เมื่อเตรียมเสร็จก็ตั้งกระทะให้ร้อน นำมะพร้าว ผัดกับน้ำตาลจนเหนียว ขั้นตอนสุดท้ายนำถั่วเขียวซีกคั่วใส่ลงไปเพื่อความสวยงาม และทำให้ไส้หวานมีรสชาติกลมกล่อมยิ่งขึ้น พักไว้พอเย็นปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ใส่ภาชนะไว้ 
สำหรับ ตัวแป้งขนมเทียน มีอัตรา ส่วนผสม...แป้ง 1 กิโลกรัม ต่อน้ำตาลมะพร้าว 3/4 ส่วนของแป้ง หลังจากนั้นให้เอาน้ำตาลไปเคี่ยวให้ละลายแล้วพักไว้ให้เย็น ค่อย ๆ เทแป้งที่เตรียมไว้ลงผสม โดยใช้เครื่องช่วยนวดจนแป้งนุ่มเหนียว ลักษณะเหลวข้น แล้วตั้งพักไว้
ตัดใบตองเป็นรูปวงรี ทาน้ำมันให้ทั่ว จับใบตองให้เป็นรูปกรวย นำแป้งมาแผ่ ใส่ไส้ที่ต้องการ แล้วห่อไส้ให้มิด จากนั้นห่อพับใบตองให้เป็นทรงพีระมิด เสร็จแล้วเรียง ลงซึ้งนึ่งด้วยน้ำเดือดประมาณ 40 นาที ยกลงมาเรียงใส่ถาด เป็นอันเรียบร้อย
ขนมเทียนแม่ขาย ลูกละ 5 บาท 
แม่บอกว่าเคล็ดลับการทำให้ขนมเทียนหรือขนมเข่งนอกจากสูตรส่วนผสมของวัสดุต่างๆแล้ว อยู่ที่ขั้นตอนการนึ่งที่ใช้ระยะเวลาที่เหมาะเหม็ง เพราะอย่างนี้ลูกค้าจึงติดใจขนมของแม่

ว่ากันไปตามจริงแล้วเมื่อก่อนผมไม่ชอบกินขนมเข่งผมจะชอบกินขนมเทียนมากกว่า แต่แม่ก็มีวิธีทำให้ผมหันมาติดใจอยากกินขนมเข่ง แม่เอาขนมเข่งที่เหลือไปตากจนแห้ง แล้วเอามาแกะใบตองแห้งออกจากนั้นก็หั่นขนมเข่งออกเป็นชิ้นเล็กๆพอดีคำแล้วเอามาชุบไข่ทอด ขนมเข่งที่แข็งๆพอชุปไข่ทอดแล้วจะออกรสนุ่มหวานมันอร่อยอย่าบอกใครเชียวครับ
ในเทศกาลวันตรุษจีนไฮไลน์ของวันนี้จะอยู่ที่'แต๊ะเอีย หลายๆ คนต่างเฝ้ารอไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ คนที่ทำงานเป็นลูกจ้างของพ่อค้าชาวจีน จะชอบเทศกาลนี้มากเพราะว่าตรุษจีนจะมีวันหยุด ติดต่อกันหลายวัน สำหรับเด็กหรือผู้ใหญ่ (ที่ยังไม่ได้แต่งงาน) และลูกจ้างชาวจีนจะได้รับ 'อั่งเปา' หรือที่เรียกว่า 'แต๊ะเอีย' 

ผมคนหนึ่งแหละที่เฝ้ารอตามประสาเด็ก ช่วงที่ผมอยากให้มาถึงมากที่สุดก็คือตอนเย็นที่แม่จะพาไปหาพี่น้องของแม่ พวกป้าๆน้าๆอาๆจะพากันให้'แต๊ะเอีย'แก่ผมคนละซองสองซอง จนเต็มกระเป๋ากางเกงเลย

แม่บอกว่าคนจีนจะต้องปัดกวาดเช็ดถูบ้านเรือนของตนให้สะอาด ก่อนที่จะถึงวันนี้ เพราะเมื่อถึงวันตรุษจีนแล้วจะไม่มีการทำความสะอาดบ้านอีก เพราะมีความเชื่อว่าจะกวาดเงินความทองหรือกวาดสิ่งเป็นสิริมงคลออกจากบ้าน แต่จะมีการจัดเตรียม เครื่องเซ่นไหว้เจ้าและบรรพบุรุษ อาทิ หัวหมู เป็ดพะโล้ ไก่นึ่ง สาหร่ายทะเล เต้าหู้ ดอกไม้จีน วุ้นเส้น เห็ดหอม และผลไม้ต่างๆแทน โดยเฉพาะส้ม เพราะชาวจีนจะ นำส้มไปให้ญาติๆเพราะผลส้ม หมายถึงความมีโชคมีลาภเป็นการอวยพรให้ชีวิตจะประสบแต่สิ่งดีๆเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว ซึ่งจะคล้ายกับประเพณีไทยในวันสงกรานต์ คือชาวไทย จะมีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เป็นการอวยพรให้แก่ลูกๆหลานๆ




แม่บอกวันนี้เขาเรียกว่า 'วันไหว้' เมื่อวานที่แม่ไปซื้อของต่างๆมาเตรียมไว้เขาเรียกว่า 'วันจ่าย' เพราะเป็นวันสุดท้ายที่จะจับจ่ายซื้อของไหว้ต่างๆกัน เพราะ'วันชิวอิด' ร้านค้าต่างๆที่เป็นคนจีนเขาจะหยุดกัน 

วัน'วันชิวอิด' หมายถึงอะไรหรือแม่

 ก็แปลว่าวันตรุษจีนนั่นแหละ

คนจีนเขานิยม เรียกกันว่า 'วันชิวอิด' แปลว่า วันที่ 1วันปีใหม่ของจีน
แม่นั่งต้มนั่งผัดของอยู่ในครัวจนสายจึงเห็นแม่เอาของคาว หมู เป็ด ไก่ ตับ ปลา และของหวานจำพวกขนมไหว้ ฮวกก้วยหรือขนมถ้วยฟู คักท้อก้วยหรือขนมกุยช่าย ขนมจันอับ ซาลาเปา ขนมไหว้นี้ต้องมีสีชมพู หรือมีแต้มจุดแดงขนมไหว้อย่าง ขนมเข่ง ขนมเทียน มี ส้ม กล้วย องุ่น แอ๊ปเปิ้ล ชมพู่ ลูกพลับ เครื่องดื่ม น้ำชา 5 ที่เหล้าก็จัด 5 ที่เช่นกัน กระดาษเงิน กระดาษทอง ชุดไหว้เจ้ที่ ธูปไหว้ คนละ 5 ดอก 

หลังจากไหว้บรรพบุรุษเสร็จแล้ว แม่ก็จะนำอาหารที่เซ่นไหว้เหล่านี้มาแจกให้ลูกๆหลานๆกินกัน เสร็จแล้วแม่ถึงจะพาผมไปหาญาติๆที่อยู่แถวสำโรง เป็นธรรมเนียมแบบนี้ทุกปีที่ผมจะเห็นแม่ไปพบปะกับพี่น้องของแม่



*****************************



หมายเหตุ 

๑
เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ เป็นอีกเทศกาลหนึ่งที่แม่ทำทุกปี ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 

เป็นเทศกาลที่มีความสำคัญเทศกาลหนึ่ง ของชาวจีน เป็นวันซึ่งอยู่ในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงพอดี แม่บอกคนจีนเรียกได้ว่า เทศกาล ' จงชิว ' ตามอักษรจีน จง แปลว่า กลาง ชิว แปลว่า ฤดูใบไม้ร่วง จงชิว จึงแปลว่า กลางฤดูใบไม้ร่วง
แม่เล่าให้ฟังว่ามีตำนานเล่าขานมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว ในสมัยก่อนนั้นฮ่องเต้ทรงจัด ให้มีการบรรเลงดนตรี พิธีเซ่นไหว้ดวงจันทร์ในคืนขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 เพื่ออธิษฐานให้บ้าน เมืองอุดมสมบูรณ์ ประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข ต่อมาพิธีดังกล่าวได้แพร่ไป สู่ประชาชนในท้องถิ่น และแพร่หลายไปทั่วประเทศ จนกลายเป็นประเพณีของชาวจีนสืบต่อมา จวบจนปัจจุบันนี้ นอกจากจะมีพิธีเซ่นไหว้พระจันทร์แล้ว ยังมีการรับประทานขนมไหว้พระจันทร์และ การชมความ งามของดวงจันทร์ 

เพราะดวงจันทร์ในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงมีความงดงามมาก จึงทำให้เกิดการทำขนมใส่ไส้กลมๆ และส่งให้กัน เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา จนกลายเป็นประเพณีขึ้นมา เหตุที่ทำขนมใส่ไส้มี ลักษณะกลมๆ นั้น เชื่อกันว่าความกลมของขนมหมายถึง การได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาของคนภายในครอบครัว อีกทั้งยังเชื่อว่า ดวงจันทร์ซึ่งมีลักษณะกลมนั้นเป็นสิ่งที่ดีเป็น สัญลักษณ์ของความสวยงาม และความกลมเกลียมของสมาชิกใน ครอบครัว

๒


นอกจากไว้พระจันทร์แล้วก็มีเทศกาลกินเจ ซึ่งตรงกับวันที่ 1-9 เดือน 9 ของจีน คำว่า 'เจ' (ภาษาแต้จิ๋ว) แปลว่า ไม่มีคาว หรือหมายถึง อุโบสถ ก็คือการถือศีล คำว่า 'กินเจ' ในภาษาจีน หมายความว่า 'การถือศีลและ ยกเว้นการกินเนื้อสัตว์ทั้งปวง' แม่จะกินเจทุกปี เพราะแม่บอกว่าเนื้อแท้ของการกินเจคือ กินเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ด้วยหลักธรรม 2 ประการคือ 1.กินอย่างไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือ ไม่เอาเลือดเอาเนื้อ ของสัตว์ใดๆ มารับประทาน 2.กินอย่างไม่เบียดเบียนตนเอง คือ การเลือกกินอาหารที่ไม่เป็นโทษ ต่อร่างกายของเรา 

แม่บอกว่ามีผัก 5 อย่างที่เชื่อว่าเป็นโทษต่อร่างกาย เพราะผัก เหล่านี้มีรสหนักกลิ่นรุนแรง คนจีนโบราณเชื่อว่าจะเป็นพิษต่ออวัยวะสำคัญ เรียกว่า ธาตุทั้ง คือ กระเทียม จะทำลายธาตุไฟ ทำให้หัวใจทำงานไม่ปกติ 2.หัวหอม ทำลายธาตุน้ำ ทำให้ไตจะทำงานไม่ปกติ 3.กุยช่าย ทำลายธาตุไม้ทำให้ตับทำงานไม่ปกติ 4.หลักเกียว (คล้ายกระเทียมแต่ต้นเล็กกว่า) ทำลายธาตุดินส่งผลให้ ม้ามจะทำงานไม่ปกติ 5.ใบยาสูบ ทำลายธาตุโลหะ ทำให้ปอดทำงานไม่ปกติ ดังนั้น การกินเจนอกจากจะไม่กินเนื้อสัตว์ใดๆ แล้ว ก็จะไม่กินผักที่กลิ่นฉุน 5 อย่างนี้ด้วยเช่นกัน

การกินเจ จึงแตกต่างกับการกินมังสวิรัติตรงนี้ และที่แตกต่างกันอีกอย่างก็คือการกินเจนั้นจะต้องถือศีลด้วย ถึงจะเป็นการกินเจที่ถูกต้องและสมบูรณ์

นอกจากแม่จะชอบถือศีลกินเจแล้ว ตอนผมเด็กๆแม่จะชอบพาผมไปนังวิปัสสนาด้วย บทสวดอิติปิโสที่ผมท่องจนขึ้นใจได้อย่างคล่องแคล่วนั้น ก็เพราะแม่พาผมไปนั่งวิปัสนามา7วัน7คืนนี่แหละ ในช่วงนั้นผมไม่ชอบไปสวดมนต์เลยมันทรมานเวลานั่ง และเวลานอนที่ต้องอดหลับอดนอนตอนเข้าห้องน้ำก็ไม่สะดวกสบายเลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากที่สุดตอนไปนั่งวิปัสนากับแม่ ก็คือตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมา แม่จะพาผมไปกินต้มเลือดหมูตือฮวนร้อนๆแสนอร่อยมากทุกเช้า.. มันเป็นรสชาติที่ผมติดใจมาจนถึงทุกวันนี้







                           บะหมี่น้ำชามหนึ่ง

การดำเนินชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการพัฒนาตนเอง จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้มีความรู้ ความเข้าใจในชีวิตเริ่มต้นจากชีวิตในวัยอันแสวงหาโลกแห่งความรู้ใหม่ๆ
ปี 2529 เข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา(ปริญญาตรี) ที่มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ วิทยาเขตบางแสนในสมัยนั้น ต่อมาเปลี่ยนชื่อป็นมหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี ในคณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกภาษาไทย ในช่วงที่อยู่ปี1ผมต้องอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยตามระเบียบของมหาวิทยาลัย

สมัยก่อนการรับน้องเป็นประเพณีที่รุ่นพี่จะจัดงานกันอย่างหนักต่อเนื่องหลายอาทิตย์มีรับน้องทั้งกลุ่มใหญ่กล่มย่อยมากมาย รับน้องคณะ รับน้องโรงเรียน รับน้องเอก รับน้องรหัส รับน้องโควต้า รับน้องเอ็นซ์ รับน้องชมรม

๑

ปีหนึ่งผมได้รับเลือกให้เป็นประธานกลุ่มนักเรียนโควต้ามันทำให้ผมมีหน้าที่ต่อเนื่องที่จะเตรียมงานจัดการรับน้องในชั้นปีต่อไป

๒

ปี2 ผมได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียนกลุ่มโควต้า ทำให้ช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ผมไม่ได้กลับบ้านผมต้องประชุมหารือถึงรูปแบบการรับน้องและออกไปเซอร์เวย์ดูสถานที่ต่างๆที่จะใช้พาน้องไปเข้าค่ายทำกิจกรรม ประชุมคณะกรรมการแบ่งหน้าที่ว่าใครเป็นวากเกอร์ ใครเป็นคนคุมฐานกิจกรรม ใครเป็นฝ่ายโภชนาการด้านอาหาร ใครเป็นฝ่ายสวัสดิการ ฝ่ายพยาบาลและด้านสันทนาการต่างๆ 

ชีวิตใน2ปีนี้ถือว่าสุกสนานกับการเรียนและการทำกิจกรรมใหม่ๆ 

๓

ปี3 ผมลงสมัครแข่งชิงตำแหน่งประธานนิสิตของคณะผมได้รับเลือกด้วยคะแนนอันท่วมท้นเป็นครั้งแรกในหาวิทยาลัยที่ตัวแทนนิสิตสายศิลป์ที่มาจากกสายโควต้าจะได้รับการลงคะแนนเสียงจากนิสิตทั้งสายวิทย์และสายศิลป์

กิจกรรมทั้งหมดของคณะและการเรียนที่เริ่มหนักขึ้น มันคือจุดเริ่มต้นที่ผมได้ค่อยๆทิ้งแม่ของผมให้อยู่อย่างโดเดี่ยวขึ้น

๔

ปี4หลักสูตรวิชาชีพครูนิสิตทุกคนต้องออกไปฝึกสอนเป็นเวลา3เดือนครึ่ง ผมเลือกไปสอนในโรงเรียนประจำจังหวัดระยอง เพราะผมชอบความเป็นอยู่ของเด็กๆในต่างจังหวัดที่ยังบริสุทธิ์เหมือนผ้าขาวถ่ายทอดความรู้ต่างๆให้เขาได้อย่างเต็มที่

ผมถูกอาจารย์หัวหน้าหมวดจัดให้สอนอยู่ในระดับชั้นม.4และม.5ในช่วงระยะเวลานี้เองผมรู้สึกว่าได้ซึบซับไฟในวิชาชีพครูไว้สูงมาก

ผมต้องวางแผนการสอนและประเมินผลด้วยตัวเองทั้งหมดในห้องที่เราได้มอบหมายให้สอน มันเป็นรับผิดชอบต่อเด็กนักเรียนรับผิดชอบต่อวิชาชีพของเรา ผมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กผมต้องประพฎติปฎิบัติทำให้เด็กนับถือ

นอกจากเราจะสอนให้พวกเขาได้ความรู้แล้วเราต้องสอนให้พวกเขาเป็นคนดี เด็กนักเรียนหลายคนไม่ชอบเรียนหรือมีปัญหาด้านการเรียน ผมจะออกไปเยี่ยมบ้านเด็กๆทำให้เด็กคุ้นเคยและรู้สึกอยากที่จะเปิดใจและเข้ามาตั้งใจเรียนในวิชาที่ผมสอน

ระบบการสอนที่ให้เด็กเตรียมข้อมูลกันเองแบ่งกลุ่มกันหาข้อมูลแล้วออกมาถ่ายทอดกันแทนที่จะคอยรับจากครูอยู่ฝ่ายเดียวผสมผสานกับการพานักเรียนออกไปเรียนรู้นอกสถานที่ใช้กิจกรรมเพลงและสันทนาการที่ผมถนัดมาประยุกต์เข้ากับการสอนทำให้เด็กๆสนุกสนานและไม่เบื่อหน่ายต่อกาเรียน 

ผมไม่เคยทำโทษเด็กด้วยวิธีการตีแม้แต่ครั้งเดียวแต่จะใช้การสอนและให้ข้อคิดถึงสิ่งถูกสิ่งผิดและผลการกระทำต่างๆที่จะเกิดตามมาแทน และใช้วิธีการสอนถึงความรู้สึกของพ่อแม่และคนที่เรารัก

4ปีเต็มๆที่ผมลืมคิดไปว่าผมได้ทอดทิ้งหลงลืมแม่ไปนานแค่ไหน

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมทำให้แม่ได้ภูมิใจในตัวผม การได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีในวันนั้นทำให้แม่ยิ้มได้ ภาพถ่ายวันรับปริญญาเห็นริ้วรอยแห่งกาลเวลาที่แม่ได้แก่ลงไปอย่างมากแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของแม่มันช่วยทำให้โลกดูสดใสขึ้นเยอะเดียวเลย



.........



หลังจากจบมาผมพกจิตวิญญาณของความเป็นครูอย่างเต็มเปี่ยมจึงได้สมัครเข้าทำงานเป็นครูเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี
ขวับ! ขวับ!เสียงฟาดไม้เรียวผ่านไมค์โครโฟนดังไปทั่วโรงเรียน 
ภาพในวัยเยาว์เมื่อครั้งเรียนในชั้นเรียนสมัยมัธยมถูกลงโทษแบบการตียกล้อ คือการลงโทษขั้นสูงสุดของการทำโทษ เป็นการทำโทษประจานต่อหน้านักเรียนคนอื่นๆต่อหน้าเสาธง ครูฝ่ายปกครองจะหวดไม้เรียวไปที่ก้นของผมจนสุดแรงเกิดเพื่อให้นักเรียนคนอื่นๆได้รู้ว่าการฝ่าฝืนกฎของโรงเรียนด้วยการหนีโรงเรียนเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้นักเรียนคนอื่นทำเป็นเยี่ยงอย่าง ครูจึงฟาดใส่ลงมาอย่างสุดแรงเกิด เพี๊ยะ..เพี๊ยะ ทีสุดท้ายทีที่หกไม้เรียวก็หักสะบั้นเป็นสองท่อน 
มันเป็นการถูกตีที่เจ็บมากที่สุดในชีวิตวันนั้นทั้งวันผมนั่งเก้าอี้เต็มก้นไม่ได้เลยเพราะเสียดแทงก้นไปหมด ต้องนั่งได้แค่ครึ่งก้น ตอนนั้นแทนทีผมจะสำนึกในการกระทำความผิดที่หนีโรงเรียนแต่ผมกลับรู้สึกว่าเท่ห์เมื่อเพื่อนๆต่างมาชมว่าเจ๋งหว่ะแมนหว่ะ 
ผมฝันว่าอยากเป็นครูตั้งแตเด็กๆเพราะครูสอนให้เราเป็นคนดี ผมอยากจะเป็นครูที่ใจดีเพราะภาพที่ความทรงจำของครูที่สั่งสอนให้ผมเป็นคนดีและอย่าทำให้แม่ต้องเสียใจนั้นยังดังก้องอยู่ในหูของผมเลย
ทุกวันผมจะมาถึงโรงเรียนแต่
ครูครับ..สวัสดีครับ
ครูคะ..สวัสดีค่ะ
นักเรียนที่เดินผ่านยกมือไหว้อย่างนอบน้อมระหว่างเดินสวนกัน
ครูครับ..มาแต่เช้าเลยนะครับ
เธอก็มาเช้าเหมือนกันนะ
ผมเอาการบ้านมาทำครับครู
มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามครูได้นะ ครูจะได้อธิบายเพิ่มเติมให้
ไม่เป็นไรครับครู ผมพอทำได้ครับ
ทุกๆเช้าผมจะไปนั่งดูเด็กๆนักเรียนเตะฟุตบอลกันตรงหน้าสนามฟุตบอลพร้อมทั้งเอาข้อมูลที่จะต้องสอนในห้องเรียนมาทำการทบทวน
ผมเพิ่งจบและมาเป็นครูใหม่ๆจึงมีความตั้งใจทุ่มเทการสอนให้แก่เด็กๆอย่างเต็มที่ เพื่อจะได้เข้าใจเนื้อหาวิชาที่เรียนไม่เก็บเอาไปค้างคาจนเป็นดินพอกหางหมูจนเนิ่นนานไป จนเรียนตามเพื่อนๆไม่ทันและจะพาลเบื่อหน่ายไม่ชอบเรียนวิชานั้นไปในที่สุด
ผมจะมีแนวการสอนที่เอาตัวอย่างใกล้ตัวในชีวิตประจำของเด็กมาชี้ให้เห็นเพื่อทำความเข้าใจในเนื้อหาวิชา ผมเน้นการสอนให้เด็กได้คิดเป็นทำเป็นมากกว่าที่เน้นสอนให้เด็กท่องจำ ผมอธิบายให้เด็กๆฟังว่าการท่องจำนั้นมีโอกาสที่จะลืมได้แต่การเข้าใจนั้นจะซึบซับจดจำไปได้นานกว่า 
สังคมในห้องพักครูทุกวันที่ผมเห็นก็คือภาพคุณครูสาวๆบางท่านจับกลุ่มคุยกัน ถึงเรื่องครอบครัว สามีที่บ้าน เรื่องละครที่วีที่ดูผ่านมาเมื่อคืน เรื่องงานเสริม การหารายได้จากการขายเครื่องสำอางค์ การขายอาหารเสริม ขายของทุกรูปแบบเพื่อจะหารายได้เพิ่มเติม เพราะเงินเดือนครูไม่ได้มากมายสักเท่าไหร่ ความจริงเมื่อเปรียบเทียบอาชีพครูกับอาชีพอื่นๆครูถือว่าเงินเดือนน้อยกว่ามาก แต่ครูมีอุดมการณ์และความตั้งใจที่จะเป็นเรือจ้างนำพานักเรียนให้ถึงฝั่ง
ภาพที่ผมเห็นเพื่อนครูผู้ชายเล่นหมากรุก ในห้องพักครู อ่านหนังสือฟุตบอลเพื่อแทงบอล แล้วนัดแนะไปดื่มเหล้ากันหลังเลิกเรียนจนถึงเช้า มาถึงโรงเรียนยังมีกลิ่นเหล้าคุ้งไปหมด คุณครูสาวๆที่นั่งทาเล็บแต่งหน้าทานผลไม้นินทาคนอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมคิดย้อนกลับว่าถ้าผมเป็นครูที่ไม่ดี เป็นครูที่ใช้เงินฟุ่มเฟื่อย ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงผมจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กนักเรียนได้อย่างไร การที่ผมตั้งใจจะเป็นครูที่ดีแล้วเป็นได้ไม่ดี มันจะส่งผลร้ายต่อต่อเยาวชนของชาติมากกว่า ผมค่อยๆซึบซับต่อเหตุการณ์ที่พบเห็นแล้วนำมาคิดทบทวนถึงอุดมการณ์ในตัวของผมเอง
นั่งเตรียมการสอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเดินเอาเอกสารเข้าไปเก็บในห้องพักครูเสียงออดดังเตือนให้นักเรียนไปเข้าแถวหน้าเสาธงเคารพธงชาติ นักเรียนต่างเริ่มทยอยกันออกไปเข้าแถวที่สนาม หลังเก็บหนังสือเสร็จผมก็เดินอกไปที่สนามหน้าสาธงมันเป็นกิจวัตรที่ครูทุกคนต้องรับผิดชอบ
เช่นเดียวกับการสอนหนังสือ การดูแลเด็กๆหน้าเสาธงเป็นการเอาใจใส่และหมั่นสังเกตุพฤติกรรมของเด็กในความดูแลของครูว่าเช้าวันนี้เขามาถึงโรงเรียนมีอะไรผิดปกติอย่างไรหรือไม่ ถ้ามีอะไรผิดสังเกตุเราก็จะช่วยเหลือและพูดคุยกับเขาได้ทันท่วงที หลังจากเคารพธงชาติ สวดมนต์ดูแลพูดคุยกับเด็กๆในแถวแล้วผมก็เดินกลับมาที่ห้อง เห็นคุณครูหลายท่านไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆหน้าเสาธง เพราะแดดร้อนไม่อยากตากแดด คิดว่ากิจกรรมนี้ไม่จำเป็นที่ครูจะต้องทำ
ความสิ้นสุดของอาชีพครูก็มาถึง เมื่อผมเอางบประมาณและรูปแบบการจัดงานวันแม่ของโรงเรียนไปเสนอผู้อำนวยการของโรงเรียน แต่ได้รับคำปฎิเสธเพราะผู้อำนวยการให้เหตุผลว่าโรงเรียนไม่ได้วางแผนงบประมาณไว้ให้งานนี้ตั้งแต่ต้นปีและคิดว่าวันเทิดทูนพระคุณแม่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นมากมายอะไรนัก เพราะยังไงลูกๆทุกคนก็รักแม่ของตัวเองอยู่แล้ว จัดงานใหญ่โตไปก็เหมือน เอาเงินไปละลายแม่น้ำมากกว่า
นักเรียนทำความเคารพเสียงหัวหน้าชั้นบอก
สวัสดีครับครับคุณครู
สวัสดีค่ะคุณครู
นั่งลงครับนักเรียน
ง่วงกันหรือยังครับ คาบนี้เป็นคาบสุดท้ายของวัน หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน เอ้า ทุกคนลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจให้หายง่วงนอนกันหน่อย
นั่งลงได้
 วันที่12สิงหาใครรู้บ้างว่าเป็นวันอะไร
วันแม่ค่ะครู
เก่งมาก วันนี้ครูมีนิทานเรื่องหนึ่งมาเล่าให้นักเรียนฟัง
 เรื่องอะไรครับครู
 เรื่องบะหมี่น้ำชามหนึ่ง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..มีร้านขายบะหมี่แห่งหนึ่งในเมืองจีนชื่อร้าน"ฮกเกี๊ยน"

เรื่องมันเกิดทุกวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่ร้านบะหมี่ "ฮกเกี๊ยน"บนถนนแห่งหนึ่ง การกินบะหมี่น้ำในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของคนจีน ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี ร้าน"ฮกเกี๊ยน" นี้ขายดี คนแน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง โดยปกติแล้วบนถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่ แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ เถ้าแก่ของร้าน"ฮกเกี๊ยน" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี 

ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไป ในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆมีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน คนหนึ่งอายุประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งอายุประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ
"เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา
"ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมค๊ะ" หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่าเด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
"ได้ค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพงแล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า 

"บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่องว่าเถ้าแก่ใจดีเพิ่มเส้นบะหมี่ให้ สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินพลางพูดพลาง
"ทานเถอะครับ"ลูกคนพี่พูด
"แม่ทานหน่อยสิครับ" ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน
ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบหยวนแล้วทั้งสามคนก็ชมว่า 

"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)"
พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป
"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณตอบ



วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง
ร้านบะหมี่"ฮกเกี๊ยน" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง
22.00น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่าและเชย เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง
" ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยค่ะ"
" ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะค๊ะ" เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สองตะโกนไปพลางว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
เถ้าแก่รับคำพลาง จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า "นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"
"ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย" สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า 

"เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปคุยไป 

"หอมจังเลยยอดไปเลยอร่อยจริง ๆ"
กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบหยวน แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้าน"ฮกเกี๊ยน" ไป
"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป
ในวันสิ้นปีของสามปีก็มาถึง กิจการของร้าน"ฮกเกี๊ยน" ขายดีมาก สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้ว สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00น. พนักงานในร้านต่างก็แยกย้ายกันกลับไป
พอคนกลับไปหมดแล้ว ...เจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า
"บะหมี่ชามละสองร้อยหยวน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบหยวน"
22.30น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อน ดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม
"เชิญค่ะ เชิญค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจมองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า
"รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ"
"ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สองแล้วรีบเอาป้าย "จองแล้ว" ออก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า "บะหมี่น้ำสองชาม"
"ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ" เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุข ที่พวกเขาได้รับกันในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย
"ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก"
"ขอบคุณ ?" "ทำไมครับ"
"เรื่องที่คุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป ได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นทุกเดือน"
"เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ" ผู้เป็นพี่ตอบ
ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร
"แต่เดิมนั้นเเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"
"จริง ๆ หรือครับ แม่"
"จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"
"ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ "
"ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ"
"แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของโรงเรียน เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ วันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง"
"จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ"
"หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ "ความปรารถนาของข้าพเจ้า" น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความแล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"
"เรียงความเขียนว่าหลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย"
"ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำอร่อยมากสามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่า ให้กำลังใจให้เข้มแข็ง ที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด"
สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ จู่ ๆ ก็หายตัวไป พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุด

"พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่าวันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ "
"จริงหรือลูก แล้วลูกกล่าวว่าอย่างไรหล่ะ"
"ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผมจึงพูดว่าขอบคุณคุณครูและเพื่อนๆของน้องทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี หลายปีมานี้ ด้วยความขยันและประหยัดของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามหนึ่ง พื่อกินกันสามคนนั้น ผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องสัญญาว่าจะขยันและดูแลแม่เป็นอย่างดี ครับ"

พอกล่าวจบก็มีเสียงปรบมือกันลั่นห้องประชุม
สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี แล้วจ่ายเงินไปสามร้อยหยวน กล่าวขอบคุณค้อมตัวและเดินออกจากร้านไป เจ้าของร้าน มองตามหลัง พร้อมกับกล่าวว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
เวลาผ่านไปหลายปี
สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮกเกี๊ยนอีกเลย
ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปี กิจการของ"ฮกเกี๊ยน" ดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่ จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข" ลูกค้าต่างก็พูดต่อ ๆกันไปมีนักเรียนและลูกค้าหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึง ขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากินบะหมี่และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้
วันนี้31 ธันวาคม ครบรอบวันสิ้นปีก็มาถึงอีกปี เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้าน"ฮกเกี๊ยน" พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้วก็มักจะมารวมตัวฉลอง โดยการกินบะหมี่ที่ร้าน"ฮกเกี๊ยน" กินไปพลาง ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง เพื่อรอว่าสักวันหนึ่งจะได้พบสามแม่ลูกเจ้าของตำนานได้กลับมากินบะหมี่อีกครั้งหนึ่ง

วันนี้พอเลย 21.30น.ไปแล้ว เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อย ๆเป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน ต่างก็คึกคักกันมาก
ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า วันนี้"โต๊ะจอง"ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้า ๆ ออกๆ พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุก ๆ เรื่อง จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
เวลาผ่านไปจนถึง 22.30น. ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากลพาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก
ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า "ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ" เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า
"เอ้อรบกวนรบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมค๊ะ"
ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก "พวกคุณ .. พวกคุณ" เขาพูดได้เพียงแค่นั้น คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับเถ้าแก่เนี้ยว่า
"พวกเราสามคนแม่ลูก ที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มาสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้"
" ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์ที่โรงพยาบาลในจังหวัด แล้ว"
"วันนี้พวกเราก็เลยแวะ ฉลองปีใหม่กัน "
สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า
เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า
"อ้าวเถ้าแก่ เป็นอะไรไปหล่ะ อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้ 
"โต๊ะจอง" ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"
ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า
"ยินดีต้อนรับค่ะเชิญนั่งข้างในค่ะนี่ตาเฒ่าบะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง"
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า "ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"
นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อนคำพูดที่จริงใจก็สามารถเป็นกำลังใจให้คนที่ท้อแท้ได้อีกมากมาย และความรักความสามัคคีในครอบครัวก็สามารถนำพาให้ผ่านสิ่งที่เลวร้ายและความยากลำบากไปได้

ครูขอให้นักเรียนที่รักของครูทุกคน รักและเคารพพ่อแม่ของเราให้มาก เป็นเด็กดีของคุณพ่อคุณแม่ ตั้งใจเรียนให้ท่านภูมิใจ วันแม่ปีนี้ใครที่ไม่เคยกอดและบอกรักแม่ก็ขอให้บอกรักและกอดแม่ของนักเรียนด้วยนะครับ

ออดดดดดดดดดดด
เสียงสัญญาณบอกถึงเวลาเลิกเรียนเด็กๆคุยกันดังลั่นเหมือนนกกระจอกแตกรัง 
เลิกเรียนได้ผมบอก
นักเรียนทำความเคารพนักเรียนหัวหน้าชั้นลุกขึ้นยืนพร้อมพูดนำ
ขอบคุณครับคุณครู
ขอบคุณค่ะคุณครู

..

สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะ
นักเรียนเดินน้อมตัวก้มหลังผ่านไปพร้อมกับกล่าวทักทายแสดงความเคารพครูในระหว่างที่ผมเดินสวนกับเด็กๆนักเรียนจะเลี้ยวเข้าห้องพักครู
ผมค่อยๆเก็บข้าวของตำรับตำราที่ผมซื้อแล้วมาเองเพื่อเป็นครูมือการสอนเพิ่มเติมให้กับเด็ก ผมหยิบอุปกรณ์เครื่องเขียนและสื่อการสอนบนโต๊ะทำงานใส่กล่องทีละชิ้นๆ โต๊ะทำงานที่เคยรกไปด้วยสมุดการบ้านของเด็กๆ เอกสารแบบทดสอบดินสอปากกากล่องช็อค ดินสอสีต่างๆ แต่บัดนี้ถูกเก็บจัดจนว่างเปล่า ผมจ้องมองโต๊ะทำงานตัวนี้ด้วยความอาลัย ถึงแม้ผมจะนั่งทำงานไม่ถึงปีแต่ทุกวันที่ผมนั่งโต๊ะตัวนี้ผมรู้สึกมีความสุขผมรู้สึกมีเกียรติผมรู้สึกภูมิใจในวิชาชีพของผมมาก หลังจากนี้ไปผมคงจะไม่ได้โต๊ะตัวนี้อีกต่อไปแล้ว.
เพราะไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมาผมได้ยื่นใบลาออกให้กับผู้อำนวยการโรงเรียนไปเรียบร้อยแล้ว.
ผมปิดฉากอาชีพครูของเด็กๆ..
ผมกำลังจะกลับไปทำหน้าที่ลูกที่ดีของแม่

***********************



หมายเหตุ

กระดาษโน๊ตชิ้นหนึ่ง

แปะไว้บนบอร์ดเล็กๆในบ้าน

กับข้าวแม่เก็บไว้ให้ในตู้เย็นนะลูก

การตอบแทนบุญคุณของแม่

คำตอบ..มักพบบ่อยๆที่บ้านพักคนชราบางแค














                                  ชายผ้าเหลือง

แม่ต้องเข้าโรงพยาบาลทุกเดือนเพื่อไปให้หมอตรวจตามนัด ผมกับแม่ต้องทนต่อการนั่งรอคิวเพื่อรับการตรวจแต่ละครั้ง นานถึงสามสี่ชั่วโมงจึงจะได้พบหมอ คุยกับหมอไม่ถึงห้านาที หมอก็เขียนใบสั่งยาเสร็จแล้ว อาการของแม่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น
ผมอยากให้คุณหมอตรวจอาการเจ็บป่วยของแม่ให้มากกว่านี้ เพื่อคุณหมอจะได้รักษาแม่ให้หายสักทีนึง แต่ผมก็เห็นใจคุณหมอเพราะ มีคนไข้รอตรวจอีกหลายคน คุณหมอเคยบอกผมว่า บางครั้งเขามีคนไข้ที่ต้องตรวจให้เสร็จในแต่ละวันหลายร้อยคน ถ้าใช้เวลาตรวจคนละห้านาที ก็ต้องใช้เวลาเป็นสิบชั่วโมงแล้ว หมอจะเอาเวลาที่ไหนมาคุยกับคนไข้นานนัก แต่คุณหมอก็เมตตาบอกว่าถ้าเอายาครั้งนี้กลับไปกินแล้วยังไม่ดีขึ้นคราวหน้าหมอจะเอ็กซ์เรย์แม่ให้
มาอีกแล้วหรือคะคุณยาย พยาบาลหน้าห้องหมอจำแม่ได้
หมอให้มาเอ็กซ์เรย์ฉันต้องทำอะไรบ้างล่ะ
คุณยายกินข้าวเช้ามาหรือป่าว
ยังไม่ได้กินข้าว
ดีแล้วจ๊ะยาย เพราะห้ามกินข้าวมาก่อนเอ็กซ์เรย์..ขอบัตรคนไข้และใบนัดด้วยค่ะ
นี่ครับผมหยิบใบนัดในกระเป๋าแม่ส่งให้
นั่งรอก่อนนะคะคุณยายรอคุณหมอเรียกเธอเดินถือแฟ้มเข้าไปในห้องคุณหมอ
หลังจากเอ็กซ์เรย์เสร็จคุณหมอก็เรียกแม่ให้เข้าไปในห้อง
อาการของคุณยายปกตินะครับ ดูจากฟิล์มแล้วก็ไม่เห็นมีอาการอะไรเลยหมอพูดพร้อมกับหยิบฟิล์มขึ้นมาส่องไฟดู
แต่ฉันกินข้าวไม่ลงเลย ไม่เหมือนเมื่อก่อน น้ำหนักลดลงทุกวัน
หรือว่าคุณยายอาจจะเครียด เลยกินข้าวไม่ค่อยได้ หมอจะจัดยาบำรุงและยาเจริญอาหารให้นะครับ
หมอจัดยาให้เยอะหน่อยได้ไหม ฉันจะได้ไม่ต้องมาบ่อยๆ บ้านไกลต้องค้าขายคะ
ได้ครับ..เดี๋ยวคุณยายออกไปรอรับยานะครับ..เรียบร้อยแล้วครับ
ผ่านมาหลายเดือนแม่ก็เจ็บๆออดๆแอดๆร่างกายยังคงผ่ายผอมลง กินข้าวได้น้อย บางทีก็อาเจียน เป็นอยู่อย่างนี้จนหน้าเป็นห่วง ร่างกายของแม่ไม่แข็งแรงเหมือนเก่าแต่แม่ก็ยังคงทำงานหนักเหมือนเดิม ผมขอร้องแม่ว่าให้หยุดขายของบ้าง ร่างกายแม่ยิ่งไม่สมบูรณ์อยู่ แต่แม่ก็ไม่ยอมฟัง แม่บอกว่าถ้าไม่ขายของแล้วจะเอาอะไรกิน
ผมตัดสินใจจะบวชให้แม่ ผมตั้งใจมานานแล้วแต่ก็ผลัดวันมาตลอด ผมอายุปาเข้าไป30ปีแล้วเลยเกณท์บวชให้แม่มาตั้งนานโข หลังจากจบมหาวิทยาลัยผมก็ทำแต่งานเหมือนหนูถีบจักร จะหาเวลาที่ลงตัวไม่ได้สักที อีกอย่างผมอยากบวชเพราะใจมันพร้อมไม่ใช่บวชเพราะถึงเวลาอายุครบเกณท์ ครั้งนี้ผมตั้งใจและพร้อมจะบวชให้แม่ด้วยใจ เพื่อแผ่ส่วนบุญที่ได้รับให้แม่ให้แรงบุญนั้นดลบันดาลให้แม่มีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาวอยู่กับผมไปนานแสนนาน
.......................



เส้นผมกระจุกหนึ่งถึงถูกวางลงไปบนใบบัว แม่หันไปส่งกรรไกรตัดผมให้ป้าเจ็งพี่สาวแม่คนโตแล้วก็มีอาอคิ้วอากิ้มพี่ใจและญาติคนอื่นๆทะยอยกันตัดผมจนแหว่งไปทั้งหัว สักพักพระพี่เลี้ยงก็เอาน้ำราดไปที่หัวผมให้ผมเปียกชุ่มเทยาสระผมลงฝ่ามือเล็กน้อยขยี้ให้เกิดฟองจากนั้นก็หยิบใบมีดโกนค่อยๆโกนหัวผมจากหน้าไปหลังจากซ้ายไปขวาเส้นผมค่อยๆหลุดออกไปทีละกระจุกตกลงมาที่บนพื้นจนหัวผมไร้ซึ่งเส้นผม โกนคิ้วโกนผมจนหมดพระพี่เลี้ยงก็บอกให้ไปอาบน้ำล้างตัวและเปลี่ยนชุดนาค

วันนี้ผมต้องอยู่ในอาการสำรวมเดินเพ่นพล่านในวัดไม่ได้ต้องอยู่ตรงศาลาที่จองไว้

ระหว่างรอเวลาฤกษ์บวช9โมง แม่และญาติต่างๆก็ทำอาหารไว้คอยถวายพระใหม่และเลี้ยงแขก อีกไม่นานแล้วสินะก็จะถึงเวลาที่ผมจะได้บวชให้แม่แล้ว ผมเตรียมตัวมาเกือบเดือนที่ท่องคำบาลีคำ 

ขานนาคและฝึกท่องคำขอบรรพชา

ผมยังจำได้ว่าวันที่ผมบอกแม่ว่าจะบวช แม่มีแววตาที่ดีใจแต่แม่แค่พูดว่าตามใจ ปากแม่บอกแค่นั้น แต่วันรุ่งขึ้นเห็นแม่ไปคุยกับอากิ้มกับอาคิ้วที่สำโรง ไปบอกใครต่อใครเขาไปทั่วว่าลูกชายจะบวช ผมบอกแม่ก่อนถึงวันบวชเป็นเดือนเพราะผมต้องเคลียร์งานต่างๆที่บริษัท ต้องไปติดต่อวัด หาซื้อของใช้ในการบวชและของถวายวัดต่างๆ ที่สำคัญผมต้องท่องบทสวดมนต์ต่างๆและต้องมาฝึกซ้อมคำกล่าวคำที่วัดอย่างน้อย3วันเพื่อให้คล่องและจำบทกล่าวภาษาบาลีได้ถูกต้องครบสมบูรณ์

คืนก่อนถึงงานวันบวชตอนแม่หลับผมได้เข้าไปหาแม่และกล่าวคำขอขมากับแม่ ที่ผมต้องพูดตอนแม่หลับเพราะมันไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้เราสองแม่ลูกไม่เคยพูดจาหวานๆใส่กันไม่เคยกอดกันและหอมแก้มกันเลย แต่เราสองคนต่างก็รู้ว่าเราแม่ลูกรักกันมากแค่ไหน

"กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่ลูกได้เคยประมาทล่วงเกินแม่ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ทั้งตั้งใจก็ดี มิได้ตั้งใจก็ดี ขอให้แม่จงอโหสิกรรมแก่ลูกด้วยเทอญ"

คืนก่อนบวชปกติทั่วไปบ้านที่มีฐานะหน่อยเขาก็จะมีพิธีทำขวัญนาคกัน แต่ผมไม่จัดพิธีทำขวัญนาคเพราะว่าแม่ผมก็อายุมากแล้ว ถ้าจัดงานแม่ก็คงต้องเหนื่อยมากๆอีกอย่างไม่ค่อยมีลูกหลานหรือญาติๆที่อยู่ใกล้ๆมาช่วย ภาระแม่งานก็ต้องตกเป็นของแม่ ผมสอบถามเจ้าอาวาสที่วัดท่านบอกว่าสมัยนี้ สะดวกสบายให้ติดต่อวัดเตรียมงานให้หมด ไปถึงวัดก็ทำพิธีปลงผมนาคและแห่นาคเข้าโบสถ์ทำพิธีบวชได้เลยไม่ต้องยุ่งยากจัดงานใหญ่โตเสียค่าใช้จ่ายมากมายจนเกินไป


เมื่อถึงพิธีจะมีมัคทายกที่มีความรู้และความเชียวชาญในเรื่องการบวชของวัดเพราะช่วยงานให้คนบวชที่นี่มาจนหนุ่มยันแก่แล้ว มาช่วยบอกให้ญาติๆและแขกที่มางานคอยตั้งขบวนตามขั้นตอนการบวชต่างๆ ขนาดมีคนเก่งและเป็นงานมาช่วยผมยังอดกังวลใจไม่ได้เลยว่างานจะเละไหมจะล่มไหมจะทำงานกันออกมาดีหรือป่าว ถ้าไม่ติดว่าใส่ชุดนาคอยู่ ผมคงจะถกผ้าไปวิ่งยกของจัดงานเองแล้ว แต่คงทำไม่ได้แม้ใจจะกระวนกระวายว้าวุ่นแค่ไหนก็ต้องทำใจให้สำรวมสงบนิ่งมากที่สุด

ท่านมัคนายกได้ให้ญาติๆและเพื่อนสนิทของผมนำของต่างๆที่เตรียมมาจัดเป็นรูปขบวนเพื่อแห่นาครอบโบสถ์ แถวหน้าเป็นวงดนตรี แตรวง และ เถิดเทิง ตามด้วยของถวายพระอุปัชฌาย์ คู่สวด ส่วน ไตรอันนี้เขากำหนดเฉพาะให้แม่ถือ ส่วนผมให้พนมมือถือดอกบัว ๓ ดอก ธูป ๓ ดอก เทียน ๒ เล่ม ตามด้วยบาตร และตาลปัตร จะให้อาคิ้วดมน้องชายแม่ถือแทนเพราะแต่เดิมเขาจะให้พ่อของผมถือ ตามมาด้วยแถวขบวนต่อๆไปจะเป็นของถวายพระอันดับ บริขารและเครื่องใช้ต่างๆ

ขบวนแห่มีพวกญาติๆเพื่อนๆมาช่วยแบ่งกันถือของอัฏฐบริขารและเครื่องใช้อื่นๆ เรียงรายเป็นแถวตอนลึกยาวเหยียดไป

๑.ไตรครอง ได้แก่ สบง ๑ ประคตเอว ๑ อังสะ ๑ จีวร ๑ สังฆาฏิ ๑ ผ้ารัดอก ๑ ผ้ากราบ ๑ 
๒.บาตร แบบมีเชิงรองพร้อมด้วยฝา ถลกบาตร สายโยค ถุง ตะเคียว 
๓.มีดโกน พร้อมทั้งหินลับมีดโกน 
๔.เข็มเย็บผ้า พร้อมทั้งกล่องเข็มและด้าย 
๕.เครื่องกรองน้ำ (ธมกรก) 
๖.เสื่อ หมอน ผ้าห่ม มุ้ง 
๗.จีวร สบง อังสะ ผ้าอาบ ๒ ผืน (อาศัย) 
๘.ตาลปัตร ย่าม ผ้าเช็ดหน้า ร่ม รองเท้า 
๙.โคมไฟฟ้า หรือตะเกียง ไฟฉาย นาฬิกาปลุก 
๑๐.สำรับ ปิ่นโต คาว หวาน จานข้าว ช้อนส้อม ผ้าเช็ดมือ 
๑๑.ที่ต้มน้ำ กาต้มน้ำ กาชงน้ำร้อน ถ้วยน้ำร้อน เหยือกน้ำและแก้วน้ำเย็น กระติกน้ำแข็ง กระติกน้ำร้อน 
๑๒.กระโถนบ้วน กระโถนถ่าย 
๑๓.ขันอาบน้ำ สบู่และกล่องสบู่ แปรงและยาสีฟัน ผ้าขนหนู กระดาษชำระ 
๑๔.สันถัต (อาสนะ) 
๑๕.หีบไม้หรือกระเป๋าหนังสำหรับเก็บไตรครอง 
ข้อที่ ๑-๕ เรียกว่าอัฏฐบริขารซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดเสียมิได้ มีความหมายว่า บริขาร ๘ แบ่งเป็นผ้า ๕ อย่างคือ สบง ๑ ประคตเอว ๑ จีวร ๑ สังฆาฏิ ๑ ผ้ากรองน้ำ ๑ และเหล็ก ๓ อย่างคือ บาตร ๑ มีดโกน ๑ เข็มเย็บผ้า ๑ 
ของที่ต้องเตรียมใช้ในพิธีในการใช้กล่าวคำขอบวชคือ
๑.ไตรแบ่ง ได้แก่ สบง ๑ ประคตเอว ๑ อังสะ ๑ จีวร ๑ ผ้ารัดอก ๑ ผ้ากราบ ๑ 
๒.จีวร สบง อังสะ (อาศัยหรือสำรอง) และผ้าอาบ ๒ ผืน 
๓.ย่าม ผ้าเช็ดหน้า นาฬิกา 
๔.บาตร แบบมีเชิงรองพร้อมด้วยฝา 
๕.รองเท้า ร่ม 
๖.ที่นอน เสื่อ หมอน ผ้าห่ม มุ้ง (อาจอาศัยของวัดก็ได้) 
๗.จานข้าว ช้อนส้อม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดมือ ปิ่นโต กระโถน 
๘.ขันน้ำ สบู่ กล่องสบู่ แปรง ยาสีฟัน ผ้าเช็ดตัว 
๙.ธูป เทียน ดอกไม้ (ใช้สำหรับบูชาพระรัตนตรัย) 
๑๐.ธูป เทียน ดอกไม้ 

ไอ้ต้อมเพื่อนรักของผมที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถมนั่งยองๆย่อตัวลงให้ผมขึ้นไปขี่คอ เสียงแตรวงบรรเลงอย่างสนุกสนานครื้นเครง
เมื่อจัดขบวนเรียบร้อยแล้วก็เคลื่อนขบวนแห่นาคเข้าสู่พระอุโบสถ เวียนขวารอบนอกขันธสีมา จนครบ ๓ รอบ จากนั้นนาคก็จะเริ่มเข้าโบสถ์เพื่อทำพิธีบวชพระ ก่อนจะเข้าโบสถ์ก็ต้องวันทาเสมาหน้าพระอุโบสถเสียก่อนและพูดว่า วันทามิ อาราเม พัทธะเสมายัง โพธิรุกขัง เจติยัง สัพพะ เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต 
เมื่อเสร็จแล้วก็เอาหรียญที่ใส่ไว้เต็มพานออกมาโปรยทาน เด็กๆและเพื่อนๆต่างแย่งกันเก็บไว้เพื่อเป็นสิริมงคล ก่อนเข้าพระอุโบสถให้ญาตที่ตัวใหญ่ๆอุ้มข้ามธรณีประตูเข้าไปแล้วผมก็ไปกราบพระประธานด้านข้างพระหัตถ์ขวาขององค์พระ รับไตรครองจากแม่ จากนั้นจึงเริ่มพิธีการบวช 


ผมต้องกล่าวคำขอบรรพชาต่อ พระอุปัชฌาชย์อันนี้มีคำขอกล่าวเฉพาะยาวพอสมควร ใครที่จะบวชจะต้องฝึกท่องจำให้ได้อย่างน้อยควรมีการเตรียมพร้อมก่อนบวชสักเดือน เมื่อกล่าวเสร็จแล้วให้ออกมาครองผ้า แล้วเข้าไปขอศีลกับพระอาจารย์เพื่อเป็นการบวชสามเณรก่อน

ต่อจากนั้นอุ้มบาตรเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์กล่าวคำขอนิสัย เมื่อท่านเอา บาตรคล้องคอแล้วมอบบาตรจีวรให้ ให้ออกไปยืนข้างนอก ตอนนี้พระอาจารย์คู่สวดจะสมมุติตนเป็นผู้สอนและซักซ้อมนาคแล้วออกไปซักถามนาค พอถามแล้วก็เรียกนาคเข้ามาถามต่อหน้าสงฆ์ พระอุปัชฌาย์ทำหน้าที่บอกเล่าสงฆ์ แล้วอาจารย์สวดเป็นผู้ถามพอถามเสร็จก็สวดญัติ 1 ครั้ง และอนุสาวนา 3 ครั้ง เรียก ญัตติจตุตถกรรมวาจา เป็นอันว่านาคนั้นได้บวชเป็นพระภิกษุโดยสมบูรณ์แล้ว(ขั้นตอนการถามตอบนั้นมีบทกล่าวที่ให้ท่องยาวเหมือนกันอันนี้จะมีอยู่ในหนังสือสวดมนต์ของผู้ชายที่จะบวชพระ)
พอพระอุปัชฌาย์บอกอนุศาสน์จบแล้วถือว่าเสร็จการบรรพชาอุปสมบทแล้ว ต่อจากนั้นพระใหม่จะนำจตุปัจจัยไปถวายพระอุปัชฌาย์อาจารย์ และพระสงฆ์ เสร็จแล้วออกไปนั่งท้ายอาสนะ คอยรับอัฏฐะบริขาร ถ้าผู้ชายถวายของให้พระรับด้วยมือ ถ้าผู้หญิงถวายของให้พระใช้ผ้ากราบรับ

เสร็จแล้วเข้ามานั่งที่เดิม เตรียมกรวดน้ำไว้ เมื่อพระอุปัชฌาย์ว่า "ยถา..... " พระใหม่เริ่มกรวดน้ำพอท่านว่าถึง "............ มณีโชติรโส ยถา........ " ให้กรวดน้ำให้หมด การกรวดน้ำในพิธีนี้ถือว่าเป็นการแผ่ส่วนกุศลแด่ญาติที่ล่วงลับไปแล้วเป็นอันเสร็จพิธี

จากนั้นก็จะมีการฉลองพระบวชใหม่ ด้วยการถวายภัตตาหารเพล มีอาหารคาวหวาน ที่แม่กับญาติช่วยกันทำไว้ตั้งแต่เช้ามืดสู่ขวัญให้พระบวชใหม่ 

วันแรกของการบวชเป็นพระ จะมีพระภิกษุรุ่นพี่ที่บวชมาก่อนมาชี้แนะช่วยสอนพระหัดใหม่ให้รู้ถึงวิธีการห่มจีวรที่ถูกต้องสำหรับการทำกิจในวัดและการห่มจีวรสำหรับทำกิจนอกวัด
การทำกิจของพระสงฆ์ภายในวัด เช่น การทำวัตรเช้า การทำวัตรเย็นพระพี่เลี้ยงอธิบายว่าต้องใช้ การห่มจีวรแบบเปิดไหล่ด้านขวาด้านเดียว ส่วนไหล่ด้านซ้ายจะคลุมบ่าและคลุมแขนทั้งหมด ส่วนการทำกิจของสงฆ์นอกวัด เช่น การไปบิณฑบาตร การห่มจีวรจะเป็นแบบปิดไหล่ทั้งสองข้าง
ความไม่ชำนาญในการห่มจีวรของพระหัดใหม่อก็คือการพันผ้าครับ การพันผ้าให้เป็นม้วนกลม ๆ ที่พระเรียกก้อนกลมม้วนเป็นโรลล์นั้นว่าพันบวบ การพันบวบที่ถูกต้องคือบวบต้องแข็มจะทำให้การห่มจีวรไม่หลวมสามารถทรงตัวอยู่ได้นานและไม่หลุดง่าย การอธิบายอาจค่อนข้างลำบากนิดนึง คุณผู้อ่านคงต้องใช้วิธีการสังเกตุเมื่อพบพระภิกษุตอนบิณฑบาตรหรือลองสังเกตุตอนเห็นพระกันดูก็จะพบลักษณะม้วนโรลล์ที่เรียกว่าบวบอยู่บริเวณด้านไหล่ซ้ายยาวโดยตลอดลงมาด้านหน้าและด้านหลัง
สำหรับการเป็นพระวันแรก ต้องรีบตื่นแต่เช้าตั้งแต่ตี3มาเตรียมตัวห่มจีวรหลังจากล้างหน้าแปรงฟันอาบน้ำเสร็จ ก็คร่ำเคร่งอยู่กับการพันผ้าห่มจีวรจนถึงเวลาประมาณตีสี่ครึ่งก็ต้องรีบเข้าไปรอในวิหาร พอตีห้า พระในวัดทุกรูปจะทำวัตรเช้าเพราะถือว่าเป็นกิจอย่างหนึ่งของพระภิกษุที่ควรจะเข้าทำเพื่อสวดมนต์และแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย
หลังจากการทำวัตรเช้าเสร็จ ผมก็จะต้องรีบกลับเข้าไปในกุฎิอีกครั้งเพื่อห่มจีวรใหม่เพื่อออกไปบิณฑบาตรนอกวัด คราวนี้เปลี่ยนมาห่มจีวรแบบปิดไหล่ทั้งสองข้าง


กรวดที่ทิ่มแทงเท้าเวลาเดิน ถนนซีเมนต์ที่ร้อนระอุไปด้วยแสงแดด พระที่บวชใหม่อย่างผมรู้ซึ้งเป็นอย่างดี การเดินเท้าเปล่าด้วยความร้อนที่พื้นและเม็ดกรวดหยาบที่แทงให้ฝ่าเท้ามันช่างทรมานนัก แต่ด้วยผ้าเหลืองที่หุ้มกายทำให้เราต้องสำรวม ที่เหนือไปกว่านั้นด้วยจิตใจที่แน่วแน่ที่จะทำความดี เพื่อส่งผลบุญบารมีให้แก่แม่แล้วความเจ็บปวดแค่นี้ถือว่าน้อยนัก

ระหว่างทาง30กว่ากิโลจากวัดมาถึงบ้านเพื่อเดินมาบินทบาตรรับของทำบุญจากแม่ในตลาดที่โยมแม่ขายของอยู่ เพื่อจะให้โยมแม่ได้ความสุขใจที่ได้ถวายอาหารแก่พระใหม่ และได้รับศีลรับพร ระหว่างทางนอกจากโยมแม่จะใส่บาตรบาตรให้แล้วก็ยังมีชาวบ้านที่รอใส่บาตรตามปกติอีก ข้าวสวยร้อนๆที่บรรจงใส่ลงไปในบาตรยามนี้ เห็นได้ถึงความสุขอิ่มเอมของผู้ที่มีใจอันเป็นทานด้วยการให้ แต่ระยะทาง30กิโลขากลับวัดนี้สิ บาตรร้อนชะมัดเลยญาติโยม

ถ้าใครสังเกตก็คงจะเห็นว่าพระใหม่รูปนี้จะเดินเอียงๆกลับตลอดทาง เพราะบาตรที่ร้อนด้วยข้าวสวยที่โยมใส่มาเต็มทีกับซีเมนต์ที่ร้อนรวกขาและกรวดที่แข็งทิ่มแทงอุ้งเท้าอยู่ทุกฝีก้าว แต่ความอดทนครั้งนี้ก็รู้สึกดีที่เราได้ผ่านทุกข์ยากมาเพื่อให้ได้บุญบารมีอย่างเต็มที่เพื่อมอบให้แม่เช่นกัน

กลับจากบิณฑบาตรบ้านโยมแม่ พอเข้ามาถึงในวัดก็ไปที่บริเวณใต้วิหารซึ่งเป็นบริเวณที่พระภิกษุจะมานั่งเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อรอฉันอาหารเช้ากัน หลังจากวางบาตรเสร็จปุ๊บ ก็ต้องก้มลงกราบบูชาพระ จากนั้นก็ต้องจัดเปลี่ยนการห่มจีวรให้เหมาะสมตอนนี้ต้องห่มแบบเปิดไหล่ด้านขวาอีกครั้งเพื่อสะดวกในการนั่งสวดมนต์และฉันอาหาร
แต่จีวรที่ห่มคลุมนั้นไม่ได้ต้องห่มตลอดหรอกนะครับ เพราะเมื่อฉันเสร็จก็จะถอดจีวรออกไปแขวนเก็บไว้ชั่วคราว ตอนล้างเช็ดบาตรให้สะอาดเช็ดเก็บไว้ออกบิณทบาตรในเช้าวันต่อไปถ้าห่มจีวรล้างบาตรก็คงเปียกปอนกันหมดพอดี

การบวชนั้นทำให้ได้ฝึกสมาธิ สติปัญญาของตัวเองให้สงบนิ่งขึ้น และที่สำคัญวันที่แม่ไปหาที่วัด วันที่แม่เอาอาหารไปถวายเพลให้ ได้เห็นรอยยิ้มอย่างอิ่มเอมและมีความสุขของแม่

บวชครบ15วันตามความตั้งใจ วันสึกมีดอกไม้ ธูปเทียนเข้าไปลาสิกขากับ พระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่บวชให้ เมื่อถึงเวลาท่านได้นิมนต์พระสงฆ์มาพร้อมกันแล้ว แล้วกล่าวว่า "นโม 3 จบ" กล่าว "ปัจจเวกขณะ 1 จบ" กล่าวคำลาสิกขาว่า " สิกขัง ปัจจักขามิ คีหิติ มัง ธาเรถะ ข้าพเจ้าขอลาสิกขา ขอท่านทั้งหลายจงจดจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็นคฤหัสถ์ ณ บัดนี้" 3 จบ แล้วพระเถระชักผ้าสังฆาฏิออก แล้วให้ออกไปเปลื้องผ้าเหลือออกเปลี่ยนชุดขาวเข้ามานั่งแล้วกล่าว คำขอสรณคมณ์และศีล 5 เสร็จแล้วให้กล่าวคำ ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามะกะว่า "อหัง พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สรณังคโต สาธุ ภันเต ภิกขุสังโฆ พุทธมามโกติ มัง ธาเรถะ" พระสงฆ์นั่งอันดับรับสาธุพร้อมกัน จากนั้นก้มลงกราบ 3 พร้อมกับนำเครื่องสักการะถวาย พระสงฆ์อนุโมทนาเป็นเสร็จพิธี 

เมื่อผมสึกเสร็จพระพี่เลี้ยงที่อยู่ด้วยบอกว่าคนที่สึกจากโลกแห่งธรรมเขาจะทำความสะอาดกุฎิกวาดลานวัดเพื่อถือเป็นการทำความดี เพื่อเป็นสิริมงให้แก่ตัวเองในการใช้ชีวิต ผมกับแม่ช่วยกันล้างจานให้พระและรดน้ำต้นไม้ กวาดใบไม้ล่วงๆตรงลานวัดและเก็บขยะเป็นอันเสร็จพิธี เราสองคนแม่ลูกกลับบ้านด้วยความสุขอิ่มใจมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาหลายสิบปี


*******************************

หมายเหตุ

แม่สอน...

ให้พี่เสียสละให้น้อง

ให้น้องเคารพเชื่อฟังพี่

ลูกซื้อ..
การ์ดสวยๆให้เพื่อน
กระเช้าของขวัญให้เจ้านาย
ช่อดอกไม้ให้แฟน
วันแม่ปีนี้ลูกซื้อ?



                                    ยอดนักสู้ 


"เจี๊ยบ ยายแกเป็นอะไรล้มลงก็ไม่รู้ "คนข้างบ้านที่ออกไปซื้อกับข้าวที่ตลาดวิ่งหน้าซีดมาหาผม 

สิ้นเสียงป้านุชคนข้างบ้านผมวิ่งออกไปหาแม่ที่ตลาด ตรงข้างๆแผงมีแม่ค้าขายผลไม้ร้านติดกันนั่งประคองร่างแม่ที่นอนราบอยู่แขนขวาพยุงคอแม่นอนหนุนไว้ในมือเขาถือพัดโบกไปมา

เร็วเข้าเจี๊ยบยายแกเป็นอะไรไม่รู้ยืนอยู่ก็ล้มลงไป แกพูดด้วยหน้าตาตื่น

เดี๋ยวไปเรียกรถแท็กซี่ก่อนนะครับ

พอรถมาถึงโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่ก็อุ้มแม่ใส่รถเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน

เป็นอะไรกับผู้ป่วยค่ะ

เป็นลูกครับ

ผู้ป่วยอายุเท่าไหร่ มีโรคประจำตัวอะไรไหมค่ะ พยาบาลแผนกเวชระเบียงสอบถามประวัติผมก็ตอบคำถามไปจนเสร็จ

นั่งรอสักครู่นะค่ะ เดี๋ยวมีอะไรแล้วจะประกาศเรียก

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเสียงเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เรียกผมเขาไปพบคุณหมอที่ห้องเบอร์สอง

คนไข้มีอาการช็อคหมดสติไป อาการแบบนี้เป็นได้2-3อย่างนะครับ คุณหมออธิบายหลังจากที่ผมเข้าไปพบในห้อง

อาการแบบนี้จะเป็นเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบ ถ้าจะให้วินิจฉัยได้อย่างถูกวิธีก็คือต้องเอาคนไข้x-rayสมองดูเพื่อจะได้รู้อาการที่แน่ชัด ว่ามีเลือดออกในสมองส่วนไหนบ้างหรือป่าว

ผมต้องทำอย่างไรบ้างครับ

ถ้าญาติอนุญาตหมอก็จะx-rayสมองในวันพรุ่งนี้

ได้ครับคุณหมอผมตอบตกลง



สองวันต่อมา....

หวัดดีครับผมเข้าไปพบคุณหมอที่ห้อง

ผลx-rayสมองของผู้ป่วยออกมาแล้วครับคุณหมอชี้แจง

แม่ผมอาการเป็นยังไงบ้างครับ

ผู้ป่วยเป็นโรคเส้นเสือดในสมองตีบและจากภาพถ่ายฟิล์มx-rayสมองพบว่าผู้ป่วยมีสมองฝ่อเกินครึ่ง

อาการสองฝ่อนี่จะร้ายแรงไหมครับ

อาการสมองฝ่อก็คือสมองตาย ดูตรงนี้สิครับ คุณหมอลุกขึ้นชี้รูปกระโหลกของแม่ให้ดู

สมองของผู้ป่วยตายทั้งซีกเลย ทำให้ประสาทส่วนที่สั่งงานกับอวัยวะต่างๆจะเสียไป เซลล์สมองที่ตายไปแล้วจะไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้

 แล้วแม่ผมจะฟื้นไหมครับ

 ผู้ป่วยจะฟื้นแต่คงไม่เหมือนเดิมจะเป็นอัมพาตครึ่งซีก คือซีกที่สมองตาย

 แล้วแม่ผมต้องใช้เวลารักษาตัวนานไหมครับ

 โรคอัมพฤกต์อัมพาตต้องอาศัยเวลาและหมั่นให้ผู้ป่วยได้ออกกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อและอวัยวะส่วนที่สำคัญต่างๆ แต่คงจะไม่ดีขึ้นหรือหายเป็นปกติ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คืออย่าเครียดหรือใช้สมองทำงานหนักเหมือนเดิมอีก เพราเซลล์สมองเก่าที่ตายแล้วจะตายเลย เซลล์สมองใหม่ก็จะถูกกินให้ตายขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถสร้างเซลล์ใหม่ได้







หลังจากหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วผมจึงพาแม่กลับมาอยู่บ้าน

แม่กลับมาอยู่บ้าน ตอนนี้แขนขาของแม่ยังไม่สามารถขยับได้เลยแถมแม่ก็พูดไม่ได้ด้วย ผมต้องคอยบอกแม่ว่าเดี๋ยวแม่ก็หายนะ แม่ไม่ต้องคิดมากแม่ต้องมีกำลังใจและพักผ่อนมากๆคุณหมอบอกว่าให้ขยันกายภาพทุกๆวันแขนขาก็จะมีเรี่ยวแรงขึ้น ผมปลอบใจแม่ไม่อยากให้แม่คิดมาก

แม่นอนยู่ที่โรงพยาบาลเกือบสองอาทิตย์ ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลนางพยาบาลจะสอนให้ผมฝึกท่าออกกายบรหารให้แม่ตั้งแต่การยกแขนหมุนซ้าย-ขวา การนวดฝ่ามือนวดนิ้วยืดเส้นเอ็นต่างๆไม่ให้ข้อกระดูกติดกัน ขาก็เหมือนกันให้ยกตั้งฉากขึ้น-ลง ให้นวดบริเวณกล้ามเนื้อต่างๆและก็ดึงข้อบริเวณฝ่าเท้าและยืดนิ้วเท้าให้เส้นเอ็นซ์ข้อยืดหยุ่นไม่ติดกัน ทำอย่างน้อยวันละ1-2ครั้งเช้าและเย็น

วันแรกผมพาแม่มาอยู่บ้าน ผมต้มโจ๊กใส่หมูสับและตับให้แม่กิน ผมเอาน้ำชุบเช็ดตัวให้แม่ทาแป้งและคอยเอาหมั่นให้แม่ขยับตัวนอนตะแคงซ้ายบ้างขวาบ้างเพราะถ้านอนหงายท่าเดิมนานๆ จะเป็นแผลกดทับตรงบริเวณแผ่นหลัง

วันนี้มีเพื่อนๆแม่ค้าของแม่ที่อยู่แถวบ้านพอรู้ว่าแม่ออกมาจากโรงพยาบาลแล้วก็พากันซื้อผลไม้มาเยี่ยมให้กำลังใจกันหลายคน บางคนก็สงสารเห็นใจ บางคนก็ให้กำลังใจ ที่แม่ต้องมาล้มป่วยลงแบบนี้

 แล้วพี่สาวล่ะ มาช่วยดูแลแม่บ้างไหมแม่ค้าขายผลไม้ถาม

 อ๋อ เขาก็มาทุกวัน ตอนอยู่โรงพยาบาลเขายังช่วยไปเฝ้าเลย ตอนที่ผมไปทำงานผมตอบ

 แล้วทำไม ไม่ให้แม่ไปอยู่กับพี่สาวล่ะ เป็นผู้หญิงน่าจะดูแลได้ดีกว่า ที่บ้านเขาก็ยังมีหลานช่วยอีกตั้งหลายคนเจ๊ขายข้าวมันไก่ถาม

ถามแม่แล้ว ว่าแม่อยากอยู่กับเจี๊ยบไหม แกพยักหน้าผมอธิบาย

เจ๊แกรักลูกชายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าแกอยากอยู่กับลูกชายก็ตามใจแกเถอะ ต้องเอาใจแกจะได้หายเร็วๆ อย่าไปขัดใจแกป้าขายกล้วยแขกที่เห็นผมมาตั้งแต่เล็กๆบอก

ใช่ โรคแบบนี้ต้องการกำลังใจแม่ค้าอีกคนเสริม

ที่ผมอยากจะดูแลแม่ เพราะว่าพี่สาวผมทำงานเป็นกะเลิกงานไม่เป็นเวลา ทำงานโรงงานได้ค่าแรงเป็นรายวันวันไหนหยุดก็ไม่ได้ค่าแรง ถ้าหยุดมาดูแม่บ่อยๆก็คงไม่สะดวกหลานผู้หญิงคนโตและคนรองก็มีครอบครัวและมีลูกต้องเลี้ยงดูส่วนหลานผู้ชายก็ต้องทำงานหลานคนเล็กก็ยังเรียนไม่จบ

ผมตั้งใจจะดูแลแม่ให้ดีที่สุด ที่ผ่านมาผมทอดทิ้งแม่ไปโน้นมานี่มาหลายปีแล้ว

และตอนนี้งานที่บริษัทของผมก็ลุ่มๆดอนๆ ขาดทุนมาโดยตลอด เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้ผมจึงตัดสินใจว่าจะปิดบริษัทและเอาเงินส่วนที่เหลือมาเก็บไว้รักษาตัวให้แม่

มืดแล้วคนที่มาเยี่ยมแม่ทยอยกลับกันไปจนหมด ผมเตรียมน้ำใส่กะละมังพร้อมผ้าเช็ดแล้วถอดเสื้อผ้าแม่ออก ค่อยๆเช็ดหน้าของแม่เบาๆ

เช็ดตัวหน่อยนะแม่จะได้สดชื่น เดี๋ยวทาแป้งหอมๆเวลานอนจะได้สบายตัวผมไล่เช็คตั้งแต่ใบหน้าไปทั้งตัวจนเสร็จ แล้วก็เปลี่ยนมาแกะแพมเพิร์สออก 

 อือ อือแม่ขยับตัวไม่ได้ ได้แต่เบี่ยงหน้าและส่งเสียงพยายามจะพูดแต่มีเสียงอยู่ในลำคอเบาๆ

ไม่ต้องอายลูกหรอกแม่ผมแกะแพมเพิร์มออก

ถึงว่าแม่ปวดท้องนี่เอง ผมเช็ดของที่แม่ขับถ่ายออกจนหมดแล้วเปลี่ยนแพมเพิร์สแผ่นใหม่ให้แม่

แม่หลับไปแล้วภาพผู้หญิงที่นอนหลับอยู่ในตอนนี้ไม่เหลือร่องรอยความสวยงามในวัยสาวอีกแล้ว ใบหน้าผอมตอบมีรอยเหี่ยวย่นผมขาวที่หงอกขาวโพลนไปทั้งหัว ผิวหนังที่แห้งติดกระดูกมันคือผลลัพธ์ที่แม่ต้องลำบากเลี้ยงดูผมมาตลอด30กว่าปี



.......



อาเจี๊ยบ อาเจี๊ยบเสียงตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน

 อยู่ในบ้านครับผมเปิดประตูแล้วร้องบอก

แม่ลื้อเป็นยังไงบ้าง พออั๊วรู้ข่าวก็มาเยี่ยมเลยเฮียตงเส็งลูกพี่สาวแม่สักเป็นหลานแม่และลูกผู้พี่ผม

แม่ก็ดีขึ้นบ้างแล้ว เฮียมาได้ยังไงผมถาม

อาคิ้วที่สำโรงโทรไปบอก

แล้วเฮียมาหาที่บ้านถูกได้ยังไง

ถามคนในตลาดมาเฮียตงเส็งเพ่งมองแม่ด้วยแววตาหมองหม่น

เห็นอากิ้มเป็นหนักขนาดนี้ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้

 วันนี้อั๊วจะพาอากิ้มไปรักษากับหมอที่ลพบุรี ดังมาก ใครเป็นอัมพาตพาไป เขารักษาหายหมดทุกราย

 จะพาแม่ไปวันนี้เลยเหรอ งั้นขอเก็บเสื้อผ้าก่อน

ผมกับเฮียตงเส็งช่วยกันอุ้มประคองแม่ขึ้นไปนอนอยู่ด้านหลังรถกระบะที่ติดหลังคาแคลลี่บอยและมีแอร์ในรถอย่างดี ขับรถมุ่งหน้าพาแม่ไปรักษากับหมอชื่อดังทันที

เฮียตงเส็งพามาหาหมอ"เหยียบน้ำมันร้อน " ซึ่งเป็นการรักษาด้วยวิธีแผนโบราณ

มีสรรพคุณรักษาโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มือเท้าชา กระดูกทับเส้น เคล็ดขัดยอก ปวดหลังปวดข้อ ปวดขา ให้ดีขึ้น สำหรับขั้นตอนการรักษา ก่อนอื่นจะต้องมีการบูชาครูด้วยดอกไม้ธูปเทียน พร้อมด้วยเงิน 12 บาท เตรียมเตาถ่านและเหล็กสำหรับเหยียบ น้ำมันงา ใบพลับพลึง หรือ ใบตอง มารองเหยียบก่อนเอาเท้าที่ร้อนๆไปเหยียบลงที่ตัวผู้ป่วย เพราะน้ำมันในใบไม้พวกนี้จะช่วยซึมซับได้ดี 

การใช้เท้าเหยียบน้ำมันงาและเหยียบเหล็กแดงที่วางอยู่บนเตาร้อนๆ และเหยียบไปบริเวณที่มีอาการ ซึ่งจะได้ผลทั้งจากการกดนวดและความร้อนในเวลาเดียวกัน 

หมอจะจุดไฟในเตาถ่านให้ร้อน เอาแผ่นเหล็กวางบนเตาถ่าน นำน้ำมันว่านหรือ น้ำมันอะไรที่
เขาใช้ เทลงบนแผ่นเหล็ก ยกเท้าขึ้นแตะน้ำมันที่ร้อนฉ่านั้น แล้วยกเท้าลงมาเหยียบลงตรงจุดที่เจ็บปวด สักพัก ก็จะค่อยคลายความเจ็บปวดพวกนั้นลงได้ 

หมอชาเล่าให้ฟังว่า การนวดด้วยวิธีนี้ผู้นวดจะต้องได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถควบคุมน้ำหนักความแรงของการกดได้ โดยการนวดอาจใช้อวัยวะส่วนต่างๆ มาประกอบด้วย เช่น นิ้วมือ ศอก เท้า มากด คลึง บีบ ทุบ สับ ตามร่างกายผู้ป่วย ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงต่อราย 

ตอนท้ายผ่อนแรงทั้งสองฝ่ายด้วยการใช้ลูกประคบมาร่วมด้วย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับไอร้อนจากลูกประคบในการทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวได้ดีขึ้น

หมอชาหยิบแผ่นเหล็กที่แช่ไฟร้อนๆขึ้นมาวาง แล้วเอาส้นเท้าจุ่มลงไปในน้ำมันมะพร้าว จากนั้นก็เหยียบไปบนเหล็กร้อนๆ ที่กำลังร้อนนั้น แล้วก็มากดลงไปที่บริเวณขาของแม่ 

โอ๊ย โอ๊ย เสียงแม่ร้อง 

หมอชากดไล่จากขาไปเรื่อย จนถึงสะโพก พอขาเริ่มหายร้อนหมอชาก็จุ่มไปที่น้ำมันแล้วเหยียบไปบนเหล็กร้อน แล้วก็กลับมาเหยียบที่ขาของแม่สลับไปมาทั้งซ้ายและขวา 

วันนี้เหยียบแค่ขาแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้เหยียบใหม่ หมอชาบอกหลังจากเหยียบไปได้ประมาณ 40 นาที 

สาเหตุที่พามาเหยียบน้ำมันก็เพราะว่าแพทย์แผนปัจจุบันบอกว่า โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ของแม่หายยาก ต้องใช้วิธีกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อบ่อยๆ ทุกๆวัน เพื่อให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวและข้อกระดูกไม่ติดขัด แต่การนวดน้ำมันถือว่าได้ผลเพราะความร้อนจากแผ่นเหล็กที่กดลงไปบนเส้นเอ็นช่วยกระตุ้นความรู้สึกให้แม่ได้อย่างชัดเจน สังเกตุได้จากที่แม่ร้องออกมาด้วยความเจ็บ

ร้องน่ะดีแล้ว เสียงหมอชาบอกจะได้หายเร็วๆ 

หมอชาอธิบายให้ฟังว่า โรคอัมพฤกษ์อัมพาต กล้ามเนื้อมันจะไร้ความรู้สึก วิชาเหยียบน้ำมันเนี่ยหมอชาแกได้มาจากอาจารย์ของแกอีกทีนึง 

แล้วหมอชาไม่ร้อน เหรอครับ ผมถาม เมื่อเห็นหมอชาเหยียบแผ่นเหล็กร้อนๆนั้น

ไม่ร้อน ทำมาเป็น 20 กว่าปีแล้ว หมอชาอธิบาย

ผมสังเกตุที่ฝ่าเท้าของหมอชา เซลกล้ามเนื้ออาจจะตายเพราะความร้อนที่ถูกย้ำๆตรงเซลตรงนั้นมานานนับ 10 ปีแล้วก็ได้ หรือจะเป็นตามเคล็ดวิชาที่หมอชาบอกก็แล้วแต่ มันได้ผล มันทำให้แม่มีความรู้สึกและกล้ามเนื้อเริ่มๆจะฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง จากเมื่อก่อนตอนเป็น อัมพาตใหม่ๆ กล้ามเนื้อ แขนขากระดิกไม่ได้เลย แต่พอมาให้หมอชาเหยียบน้ำมัน แขนขาก็ค่อยๆฟื้นตัวขึ้น 

อีกไม่ถึงเดือนแม่ก็เดิน และยกของได้แล้ว หมอชาบอกอย่างมั่นใจ

ผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมา เพราะตอนมาใหม่ๆ แม่นั่งรถเข็นและมีผมกับเฮียตงเส็งช่วยกันยกขึ้นลงรถ เวลาไปไหนในที่ต่างๆ การรักษาเหยียบน้ำมันที่นี่ มีทั้งคนที่ไปเช้าเย็นกลับและค้างคืน ถ้าค้างคืนเขาก็จะมีห้องให้ ค่ารักษาก็แล้วแต่จะให้ตามความเหมาะสม 

วันที่ไปเฮียตงเส็งได้ให้เงินเมียหมอชาไว้หลายพัน พร้อมทั้งฝากฝังให้ช่วยดูแลแม่ด้วย 

คนที่ไม่มีญาติเฝ้าก็จะฝากให้เมียหมอชาช่วยดูแลเรื่องอาหารการกิน ที่นี่นอกจากรับรักษาโรคอัมพฤกษ์อัมพาตแล้วยังตั้งเป็นสำนักทรงเจ้าที่มีชื่อเสียงอีกด้วย

ในแต่ละวันผมจะเห็นภาพของคนมาให้เจ้าลงทรงเพื่อให้ทำนายทายทักโชคชะตาต่างๆ หลังจากทำนายเสร็จก็อาจจะมีการทำพิธีสะเดาะเคราะห์ เช่น อาบน้ำรดน้ำมนต์ หรือทำบุญสะเดาะเคราะห์ต่างๆ 

ผมอยู่ที่นี่ ทุกเช้าผมจะตื่นมาเช็ดตัวให้แม่ และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แม่ และรอรถผักที่มีกับข้าวมาขาย ผมจะเลือกซื้อพวกตับ ผัก มาต้ม ทำกับข้าวให้แม่กิน หลังจากที่แม่กินกับข้าวทุกเช้าเรียบร้อยแล้วสายๆ คนป่วยทุกคนก็จะทะยอยออกไปตรงศาลาเพื่อให้หมอชาเหยียบน้ำมัน 

ที่นี่จะเหยียบกันวันละ 1 ครั้ง เสร็จต้องไม่เกินเที่ยง เพราะจะต้องต้อนรับคนที่มาดูหมอ หน้าที่ของผมก็คือหาอาหารเช้า กลางวัน ค่ำ ให้แม่ นอกจากนั้นผมก็ต้องช่วยเมียหมอชาไปตักน้ำไว้ให้กับคนที่มาอาศัยใช้ และคอยดูแลความสะอาดสำนักทรง 



 เชื่อเรื่องทรงเจ้าเข้าทรงมั้ย เมียหมอชาถามผมในคืนวันนึงในระหว่างที่นั่งดูทีวีในบ้านของเขา

เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ผมตอบยิ้มๆ 

อยู่กรุงเทพ แล้วทำงานอะไรเมียหมอชาถาม

ทำธุรกิจส่วนตัวผมตอบไปแบบไม่คิดอะไร 

 เป็นคนสมัยใหม่ เลยไม่เชื่อ แต่อย่าลบหลู่นะ เสียงเมียหมอชาพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อย

พอใจ

เพราะถ้าไม่เชื่อถือก็ไม่ต้องรักษาก็ได้ 

ผมขอตัวกลับเข้าไปนอนเพื่อตัดปัญหา

หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมรู้สึกอึดอัดกับการอยู่ที่นี่ เพราะถึงแม้ผมจะเห็นอะไรหลายๆอย่างจากการเข้าทรงที่เหมือนการหลอกลวงแต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะมันคนละส่วนกัน ผมพาแม่มาเพื่อรักษาเหยียบน้ำมันซึ่งมันก็ได้ผลดี แต่ส่วนอื่นผมคิดว่าผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย 

จากปฎิกิริยาที่ผมได้ทำงานโดยไม่ได้พูดคุยกับเขาเท่าไร เป็นผลให้เขาเกิดการต่อต้านมักจะใช้วาจาพูดดูถูกถากถางอยู่เสมอ

มีอยู่วันนึง ในขณะที่ผมเช็ดตัวให้แม่อยู่ เมียหมอชาก็เข้ามาใช้ให้ผมทำโน่นทำนี่ พร้อมทั้งพูดว่าถ้าหมอชาไม่ช่วยแม่ก็คงไม่หาย แม่ แสดงปฎิกิริยาไม่ค่อยพอใจเหมือนกับอยากกลับบ้าน ผมรู้ว่าแม่คิดยังงัย แม่ไม่ชอบคนที่มาดูถูกเรา 

ผมบอกแม่ว่า อดทนนะ อีกไม่กี่วันหายเราก็จะได้กลับบ้านแล้วแม่ผมพยักหน้าเพราะแม่มีความเป็นนักสู้อยู่ในสายเลือดอย่างเต็มหัวใจอยู่แล้ว

หลังจากที่หมอชาเหยียบให้แม่เสร็จ วันนี้ พี่สาวแม่คนที่อยู่อยุธยามาเยี่ยม ผมก็ได้รับโทรศัพท์ให้กลับมาเคลียร์ที่กรุงเทพงานด่วน 

ผมคุยกับป้าขอให้อยู่ช่วยดูแลแม่ให้ซัก อาทิตย์หนึ่งได้มั้ย ผมจะต้องกลับไปเคลียร์งานที่กรุงเทพ

ป้าอยู่ได้พี่สาวแม่บอกเป็นมั่นเป็นเหมาะ

เมื่อป้ารับปากจะช่วยดูแลแม่ให้ผมจึงรีบกลับเข้ามาที่กรุงเทพ

หลังจากกลับมากรุงเทพ 2 วัน เจ๊เพ็ญลูกสาวของป้าคนโตก็โทรศัพท์มาบอกผมว่า เฮียตงเส็ง ได้ฝากให้โทรมาบอกว่าจะพาแม่ไปรักษาตัวต่อที่จันทบุรีเพราะว่าไม่มีใครอยู่เฝ้าแม่ 

ที่เฮียตงเส็งเป็นห่วงเป็นใยและคอยช่วยเหลือแม่มากขนาดนี้ เพราะเมื่อครั้งหนึ่งแม่เคยช่วยเหลือโดยให้อาตงเส็งยืมเงินไปทำธุรกิจนากุ้งเป็นเงินหลายล้านบาท เฮียตงเส็งจึงนึกถึงบุญคุณของแม่อยู่เสมอ 

บ้านของอาตงเส็งเป็นฟาร์มกุ้งที่อยู่ อำเภอขลุง ที่ต้องนั่งเรือออกไปในทะเลหลาย 10 กิโล เพราะบ้านตั้งอยู่ กลางทะเล การที่อาตงเส็งพาแม่ไปอยู่ที่จันทบุรีมันก็เลยเป็นการยากลำบากเพราะเขาต้องยกแม่แบกขึ้นบ่าเพื่อลงเรือ ทุกเสาร์-อาทิตย์ อาตงเส็งจะพาแม่เข้ามาในเมืองและต้องยกขึ้นยกลงเรืออย่างนี้ การยกขึ้นลงในครั้งนั้นทำให้กระดูกไหล่ของแม่หลุด เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนไม่สามารถจะต่อกระดูกหัวไหล่ของแม่ได้ติด

เกือบปีแล้วแม่ไปอยู่ที่บ้านเฮียตงเส็ง ทุกครั้งที่ผมได้ยินเพลงเกี่ยวกับแม่ น้ำตาผมก็จะไหลออกมาทุกทีไม่รู้ว่าตอนนี้แม่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว ผมยังไม่ได้ไปเยี่ยมแม่เลย 

หลายเดือนแล้วที่ผมต้องแก้ปัญหาของบริษัทและหมุนเงินจากการกู้ยืมธนาคารมาพยุงธุรกิจของบริษัท ใจหนึ่งก็เป็นห่วงแม่อีกใจหนึ่งก็ต้องวิ่งไปติดต่อลูกค้าหาเงินแต่ละเดือนมาจ่ายพนักงานและจ่ายดอกเบี้ยธนาคาร

วันนี้ในขณะที่ผมไปงานเลี้ยงลูกค้าที่ห้องอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งแถวๆรัชดา ระหว่างที่ลูกค้ากำลังนั่งร้องเพลงคาราโอเกะนั้น อยู่ๆก็เปิดเพลงนี้ขึ้นมา..

 คิดถึงแม่ขึ้นมาน้ำตามันก็ไหล

อยากกลับไปซบลงที่ตรงตักแม่

 ในอ้อมกอดรักจริงที่เที่ยงแท้

ในอกแม่อุ่นเกินใคร

บทเพลง แม่ ของเสก โลโซ ทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาในใจ ในขณะที่แม่ผมกำลังเจ็บป่วย เป็นทุกข์อยู่ที่ต่างจังหวัด แต่ผมกำลังสนุกสนานร้องเพลงอย่างมีความสุขในที่แห่งนี้...ผมเดินออกจากร้านอาหารไปด้วยหัวใจที่บอบช้ำ



******************

หมายเหตุ

ทุกวันที่ตื่นลืมตา

เห็นแม่ออกไปทำงานหาเงินมาให้ลูก

คำถาม..

แม่กอดลูก..ลูกกอดใคร

แม่เลี้ยงลูก..ลูกเลี้ยงใคร

แม่รัก(แท้)ลูก..ลูกรัก(หลง)ใคร












                                    วันที่แม่จาก

พี่เมนนางส์ไม่มาหลายวันแล้วนางบอกผมในวันหนึ่งขณะที่ผมนั่งแก้ต้นฉบับของกองบอกออยู่
นึกถึงวันที่ผมลาออกจากอาชีพครู ผมกลับมาอยู่กรุงเทพและก็มาเปิดบริษัททำงานเกี่ยวโฆษณาการตลาดของตัวเอง แม่เองก็ฝันอยากจะให้ผมทำงานราชการจะได้เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ แม่บอกว่างานราชการมั่นคงอยากให้ผมสอบบรรจุครู ผมบอกว่าผมอยากทำงานด้านอื่นๆหาประสบการณ์และผมอยากมีธุรกิจของตัวเองผมอยากเป็นเจ้าของธุรกิจผมอยากจะให้แม่เลิกขายของแล้วพักผ่อนบ้างแม่แก่แล้วผมอยากให้แม่สบาย
สมการความสุขที่ว่าเรียนจบมามีงานดีๆทำมีเงินใช้เยอะๆมีรถยนต์มีบ้านมีความสำเร็จมีความสุขผมบอกกับแม่ว่าผมอยากให้แม่มีความสุขมีครอบครัวที่อบอุ่นเราอยู่กันพร้อมหน้าแม่ลูกและหลานๆ
ผมทำงานอยู่ที่บริษัทท็อปมาเก็ตติ้งอยู่2ปีจนเจอนางในฐานะเลขากอง ผมได้ปรับตำแหน่งเป็นบรรณาธิการต้องรับผิดชอบดูและนิตยาสารทั้งสองเล่มของบริษัทตอนนั้นมีหนังสือแนวพร็อพเพอร์แนวเกี่ยวกับบ้านและ นิตยสารcarแนวเกี่ยวกับรถยนต์ 
ผมเข้าเปิดบริษัทของตัวเองได้3ปีกว่าผมก็ไม่สามารถบริหารงานต่อไปได้เพราะทนขาดทุนและแบกรับหนี้ไม่ไหว หลังจากปิดบริษัทแล้วผมก็ต้องหางานหาเงินด้วยการมาเป็นลูกจ้างเขาอย่างเดิม ด้วยประสบการณ์การบริหารทีมงานและการผลิตนิตยสารมาก่อนทำให้ผมได้ดูแลนิตยสารของบริษัทแห่งนี้
ในช่วงที่เลิกอาชีพครูแล้วมาทำกิจการด้านผลิตสื่อของตัวเองผมยอมรับว่าผมมีประสบการณ์น้อยในด้านงานและคน ตลอดระยะเวลา3ปีมีทั้งกำไรและขาดทุนแต่ที่หนักหนาสาหัสจนทำให้บริษัทไปไม่รอดก็คือการทุจริตของหุ้นส่วนและพนักงานที่เป็นหัวหน้าฝ่ายด้านโฆษณาและการตลาด ที่ยักยอกเงินของบริษัทโดยเก็บเงินลูกค้าไปหมุนใช้จนผมต้องแบกรับหนี้มากมาย 
การผิดพลาดในฐานะที่ผมเป็นผู้บริหารสูงสุดในฐานะที่ผมถูกคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจหักหลังและแทงข้างหลังทำให้ผมรู้สึกผิดหวังกับความไม่จริงใจในสังคมจากคนที่มองโลกในแง่ดีได้แปรเปลี่ยนไปเป็นคนที่อยากจะหนีออกไปสู่อีกโลกหนึ่งไปในชนบทในต่างจังหวัดที่ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีกัน
นางคือเด็กสาวชาวเชียงรายที่มาทำงานในกรุงเทพและรู้จักกับผมในฐานะผู้ทำงานร่วมกัน จากการคลุกคลีทำงานใกล้ชิดกันทำให้เราสนิทกัน วันสงกรานต์ปีหนึ่งนางได้ชวนผมไปเที่ยวบ้านความรู้สึกอยากหนีจากเมืองที่วุ่นวายทำให้ผมค้นพบว่าเมืองเหนือเป็นบ้านหลังใหม่ที่ผมอยากจะใช้ชีวิตใหม่อยู่ที่นั่นกับครอบครัวกับสังคมที่มีแต่ความจริงใจให้กัน
ยินดีด้วยครับ แฟนคุณตั้งครรภ์ได้3สัปดาห์แล้วหมอบอกในวันที่ผมพานางไปตรวจ
เรายังไม่พร้อมเลยนะพี่..เอาเด็กออกดีไหมนางเห็นผมเงียบ
พี่ทำร้ายลูกไม่ได้หรอกมันบาป พี่อยากมีลูกพี่อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น
ก็แล้วแต่พี่เธอเห็นด้วย
เดือนต่อมาผมเคลียร์งานแล้วลาเจ้านายพาแม่ขึ้นไปจัดงานสู่ขอผูกข้อไม้ข้อมือนางกับญาติของเขาที่จังหวัดเชียงราย เราจัดงานเลี้ยงเล็กๆตามอัธภาพเพื่อให้เกียรติแก่ญาติของเขาเพื่อไม่ให้เป็นที่นินทาของชาวบ้าน
ผมวางแผนชีวิตไว้ว่าเมื่อนางท้องแก่แล้วจะให้นางขึ้นมาอยู่กับญาติเขาทีเชียงรายเพราะอากาศที่นี่ดีกว่าอากาศในกรุงเทพที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันต่างๆ แล้วพอมีลูกผมก็จะลาออกจากงานมาช่วยเลี้ยงลูกผมไม่อยากให้ลูกขาดความอบอุ่นไม่มีพ่ออยู่ใกล้ๆเหมือนผม
กินนมเยอะๆนะบำรุงร่างกายผมเห่อลูกอย่างออกหน้าออกตาผมซื้อนมตราหมีมาทีละหลายๆแพคมาให้นางกินเพื่อให้ลูกในท้องแข็งแรง
หลายเดือนผ่านไปลูกในท้องของนางก็เริ่มดิ้นนางเองก็เริ่มมีน้ำนมไหลออกมาแล้วท้องก็ลายมีรอยแตกตรงบริเวณที่เริ่มขยายใหญ่ขึ้นมา
นางเริ่ม แพ้ท้อง อยากกินโน่นกินนี่ไปหมด ทำใฟ้ผมเป็นห่วงและไม่มีสมาธิทำงานต้องนั่งรถทัวร์ไป-กลับ-กรุงเทพ-เชียงรายทุกอาทิตย์
พี่อยากได้ลูกผู้หญิงหรือผู้ชาย นางถาม 
แล้วนางล่ะอยากได้ผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมถามกลับ
ยังไงก็ได้
ใช่ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ ลูกเราเหมือนกัน
ช่วงที่นางท้องแก่ นางเริ่มทรมานมากขึ้น ในช่วงเวลากลางวันเวลาจะเดินไปไหนก็ต้องค่อยๆเดินและจะเดินช้าอุ้ยอ้าย พอเวลากลางคืนก็นอนลำบากมากกว่าจะหลับได้ก็ลำบาก เพราะเวลานอน ต้องนอนตะแคงได้ท่าเดียว เพราะถ้านอนหงายจะหายใจไม่ออก แถมดึกๆลูกยังชอบดิ้นด้วยความซุกซนอีก 
เดือนที่เก้าใกล้กำหนดคลอด คืนก่อนคลอดนางจะ ผลุดลุกผลุดนั่งอย่างกระวนกระวาย ฉี่บ่อย มีน้ำอะไรไม่รู้ไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา ใช้ผ้าถุงเปลืองมากที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า ถุงน้ำคร่ำแตก 2ทุ่มกว่านางก็ร้องบอกว่าเจ็บท้องผมรีบบอกให้พี่ชายของนางเอารถปิคอัพออกรีบพาไปส่งโรงพยาบาล 
นางเข้าไปในห้องคลอดตั้งแต่3ทุ่มกว่า ผมเดินกระวนกระวายว่าเมื่อไหร่ถึงจะคลอดสักที ผมตื่นเต้นอยากเห็นหน้าลูกอยากรู้ว่าลูกเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงลูกคลอดออกมาจะแข็งแรงครบสามสิบสองไหม 
คุณได้ลูกผู้ชายค่ะ แข็งแรงดี พยาบาลเดินออกมาบอกผมตอนเช้าประมาณ7โมงกว่าๆ ผมนั่งหลับสัปหงกอยู่ในโรงพยาบาลทั้งคืนจนถึงเช้ากว่าลูกจะคลอดออกมาได้ยากเย็น
แต่พ่อก็ดีใจที่เห็นลูกปลอดภัย นางนอนหลับอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้น ผมนั่งอยู่ข้างๆเตียง รอพยาบาลอุ้มลูกออกมาให้
ลูกชายมาแล้วคะพยาบาลอุ้มลูกเดินเข้ามาในห้อง
คุณแม่นอนตะแคงให้ลูกดื่มนมด้วยคะพยาบาลวางลูกน้อยลงข้างๆนางแล้วเอามือปลดกระดุมตรงราวนมออกให้ลูกน้อยค่อยๆอ้าปากอมหัวนมของแม่ไว้ ด้วยสัญชาติญาณผมเห็นลูกดูดนมแม่เขาเสียงดังจั๊บๆทั้งที่ยังหลับตาปี๋อยู่เลย 
น้องหนัก2300กรัม แข็งแรงดี พยาบาลบอกแล้วอมยิ้ม
คุณพ่อจะลองอุ้มลูกไหมคะ เสียงพยาบาลถามหลังจากที่ลูกดูดนมผ่านไปได้สักสิบนาที
 ครับ ผมพนักหน้า
พยาบาลค่อยๆอุ้มลูกน้อยที่กำลังหลับสบายอยู่ในผ้าอ้อมส่งมาให้ผม มือที่สั่นทั้งสองข้างของผมยื่นออกไปประคองรับลูกเข้ามาสู่อ้อมแขนของผมด้วยความทนุถนอม
พ่อรักลูกนะผมบอกลูกแล้วก้มลงไปหอมแก้มเขาเบาๆ
มันเป็นสัญชาตญาณของความเป็นพ่อที่ได้บอกกับตัวเองตั้งแต่วินาทีนั้นว่า ผมจะปกป้องลูกด้วยชีวิตของผม ในเสี้ยววินาทีนั้นผมได้ตระหนักถึงคุณค่าของความรักที่แม่ได้มีต่อลูก...คุณค่าของความรักที่บริสุทธิ์...คุณค่าของความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจมีอะไรมาเสมอเหมือน... เลือด ในอกของแม่อยู่ในตัวผมครึ่งหนึ่ง แม่คือผู้ให้ชีวิตกับผม
ถ้าลูกโตขึ้นลูกจะรู้ว่าพ่อรักลูกมากแค่ไหน..และแม่ของพ่อก็คือย่าของลูกก็รักพ่อและรักลูกมากมายมหาศาลเช่นกัน

..

ผมหยิบรูปถ่ายตอนที่น้องแชมป์ยังเด็กขึ้นมาเปรียบเทียบกับรูปของผมตอน2เดือนที่แม่ถ่ายให้ ภาพความทรงจำหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ในเช้าวันหนึ่งใน ขณะที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่ในบ้านปล่อยให้น้องแชมป์เดินเล่นของเล่นอยู่รอบๆบ้านโดยมีแม่นั่งเฝ้าดูอยู่ 
ตู้ๆตี้ๆ..ไปบ้านตี้ไปบ้าน เสียงแม่แอะโวยวายผมจึงออกมาดู เห็นน้องแชมป์กำลังเอามือจิ้มปลั๊กไฟตรงผนังกำแพงห้องอยู่
เพี๊ยะผมเอามือตีลงไปที่มือน้องแชมป์อย่างแรง พอผมหายโกรธแล้วผมถึงจะรู้สึกผิดที่ได้ตีลูกลงไปด้วยความแรงขนาดนั้น ผมแค่อยากจะสอนให้ลูกรู้ว่าสิ่งนั้นมันเป็นอันตรายไม่ควรจะเอามือลงไปแหย่มันเล่นอีก นั่นคือวันที่ผมตีน้องแชมป์ครั้งแรกตอนเขา2ขวบและก็เป็นครั้งเดียวที่ผมได้ตีลูก
มือของลูก ป้อม ๆ เล็ก ๆ เพิ่งจะเจริญเติบใหญ่ กล้ามเนื้อก็ยังนิ่มเป็นมือเด็กที่ไร้เดียงสาไม่รู้ถูกรู้ผิดรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งดีหรือไม่ดีเป็นอันตรายหรือว่าเป็นสิ่งที่เด็กควรจะกลัว น้องแชมป์ยังเด็กเกินไปจะรู้ว่าเล่นได้หรือไม่ได้ และถ้าแม่ไม่ร้องตะโกนบอก ผมก็อาจจะเสียน้องแชมป์ไปเพราะไฟดูดแล้วก็ได้
สิ่งที่ผมรู้สึกเสียใจมาก็คือหลังจากที่แม่เส้นเลือดในสมองแตกคราวนั้นเส้นประสาทที่สั่งการในพูดของแม่บกพร่องทำให้แม่พูดไม่ได้ ในสมัยก่อนแม่จะเป็นเลี้ยงหลานทุกคนเจ้าเบญหลานคนโตเจ้าเปิ้ลหลานคนลงเจ้าเต่าหลานคนที่สามและเจ้าจิ๊บหลานคนเล็ก ทั้งหมดเป็นลูกของพี่ใจที่แม่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เริ่มคลอดคลานออกมาทั้งนั้น พอถึงน้องแชมป์แม่ก็พยายามจะช่วยผมเลี้ยงแต่ด้วยการสื่อสารต่างๆทำให้ย่าหลานคุยกันไม่รู้เรื่องและเป็นด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้หลานไม่ชอบเล่นกับย่า 
มีหลายครั้งที่ผมอยากจะซื้อของใช้ให้แม่ซื้อข้าวที่แม่ชอบให้ทานซื้อของขวัญดีๆให้แม่ในวันพิเศษแต่ผมก็ไม่รู้ว่าแม่อยากได้อะไรบ้าง ตอนนั้นผมอยากให้แม่พูดได้เหลือเกินแม่จะได้บอกผมได้ว่าแม่ต้องการอะไรลูกจะได้ไปหามาให้แม่
ทุกวันแม้จะเหนื่อยจะท้อจากการทำงานจากการดิ้นรนหางินมาใช้หนี้ใช้สินแต่ผมก็รู้สึกมีกำลังใจทุกครั้งที่กลับมาบ้านแล้วมีแม่รออยู่ แม่รอผมกลับบ้านแม่คอยดูแลน้องแชมป์ให้
พอผมมาถึงแม่บ้านแม่ถึงจะยอมเข้าไปนอน เวลาเราเหนื่อยๆเราได้เห็นแม่ได้เห็นลูกน้อยวิ่งเข้ามาหาเข้ามากอดเห็นลูกเดินเตาะแตะวนไปเวียนมารอบตัวเรา ความทุกข์ความเครียดความเหนื่อยมันก็หายมลายไปหมดสิ้น ในใจมันคิดเสมอว่าเราต้องอยู่ดูแลลูกและแม่ของเราให้ดีที่สุด
แม้ว่าแขนและขาแม่จะใช้งานเพียงข้างเดียวแต่ทุกเช้าแม่จะตื่นตั้งแต่ตี5ลุกมาแต่งตัวให้กับน้องแชมป์ แม่จะเอามือที่ยังดีอยู่อีกข้างหนึ่งใช้งานติดกระดุมเสื้อนักเรียนให้หลาน พอส่งน้องแชมป์ขึ้นรถโรงเรียนแล้ว แม่ถึงจะเดินไปซื้อกับข้าวหน้าบ้านด้วยไม้เท้าของแม่ 
แม่จะชอบเอาเท้าหนีบผักแทนมือแล้วเอามีดหั่นผักทำกับข้าวกินเอง แม่ชอบทำกินเองมากกว่าให้ผมซื้อมาให้ ผมเห็นแม่ทำแล้วมีความสุขผมก็ยอมให้แม่ทำ ไม่อยากจะห้ามแม่ เพราะถ้าอยู่ว่างๆแม่จะเบื่อ เหมือนกับเรื่องซักผ้าล้างจานแม่จะชอบทำผมดุแม่กี่ครั้งแม่ก็ไม่ยอมฟัง จนผมยอมแพ้ต้องปล่อยให้แม่ทำเพราะถือว่าแม่ได้ออกกำลังกายและได้ความสุขใจที่ได้ทำโน่นทำนี่
ติ๊ด ติ๊ดเสียงดังจากโทรศัพท์มือถือเรียกความคิดคำนึงของผมให้กลับมาจากภวังค์
ฮัลโหลผมรับสาย
เจี๊ยบเหรอ
ใช่ มีอะไรพี่ใจ
พรุ่งนี้เอ็งไปหาแม่ที่โรงพยาบาลหรือเปล่า
ไป มีอะไรเหรอ
เมื่อกี้ พยาบาลเขาโทรมาบอกให้ข้าไปที่โรงพยาบาลเขาจะสอนวิธีทำอาหารผู้ป่วยให้ เพราะใกล้เวลาที่หมอจะให้เอาแม่กลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว
 ได้ เพราะพรุ่งนี้จะไปหาแม่ที่โรงพยาบาลอยู่แล้ว
งั้นแค่นี้นะ โทรมาบอกแค่นี้แหละ
หลังจากพี่สาวผมวางสายไปแล้ว ผมก็เก็บรูปต่างๆลงไว้ในกล่องตามเดิมแล้วหยิบกล่องเข้าไปเก็บในตู้เสื้อผ้า เห็นเสื้อคอกระเช้าลายฉลุลูกไม้ลายดอกสีชมพูตัวโปรดของแม่ผมเลยหยิบออกมาวางเตรียมไว้ จะเอาไปให้แม่ใส่แต่งตัวสวยๆกลับมาบ้าน 
รุ่งเช้าผมไปติดต่อเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์บอกว่ามาหมอให้มาติดต่อเรื่องจดสูตรอาหารโภชนาการผู้ป่วย
 คนไข้ชื่ออะไรคะ
ชื่อมาลีครับ
พยาบาลดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์สักพักแล้วก็บอกให้ผมขึ้นลิฟส์ไปที่ชั้น5ไปที่ห้องครัวของโรงพยาบาลผมไปพบเจ้าหน้าฝ่ายโภชนาการด้านอาหารของโรงพยาบาล
พอไปถึง เจ้าหน้าที่ให้ผมเอาสมุดขึ้นมาจดว่าผมต้องซื้ออุปกรณ์อะไรบ้าง และต้องดูแลผู้ป่วยอย่างไร ตลอดระเวลาเกือบเดือนที่แม่อยู่ที่โรงพยาบาลการดูแลเรื่องการเช็ดตัวให้อาหารให้ยาต่างๆพยาบาลจะจัดการให้หมด 
เมื่อถึงเวลาคุณหมอบอกว่าต้องพาแม่กลับไปดูแลรักษาต่อเองที่บ้าน ญาติที่จะเป็นคนดูแลจะต้องมาเรียนรู้ขั้นตอนการดูแลผู้ป่วยต่างๆให้เข้าใจ
ใช้ตับสดที่หั่นชิ้นเล็กมีฝักทองหันเนื้อมาพอประมาณนำมาต้มให้สุกแล้วเอามาใส่เครื่องปั่นเทน้ำซุปลงไปบดให้ละเอียดเป็นน้ำเหลวเพื่อเทใส่หลอดฟีด อาหารจะผ่านสายยางเข้าไปในกระเพาะอาหารของผู้ป่วย
วันหนึ่งควรจะให้อาหาร4ครั้งเช้า-กลางวัน-เย็น-ดึก ฉะนั้นอาหารที่ปั่นควรจะทำให้พอดีต่อวันไม่ควรทำมากเกินไป ในแต่ละมื้อเมื่อให้อาเสร็จเรียบร้อยแล้วที่เหลือในมื้อต่อไปให้แช่ตู้เย็นเก็บไว้ อาหารใช้วันต่อวันไม่ควรให้เหลือเสียงหัวหน้าฝ่ายโภชนาการของโรงพยาบาลอธิบายอย่างคล่องแคล่ว 
หลังจากให้อาหารหมดแล้วก็ให้เทน้ำสะอาดตามลงไปเพื่อล้างสายบางให้สะอาดแล้วก็ปิดจุกสายยางแล้วม้วนเก็บให้ดีจะได้ไม่มีเชื้อโรคเข้าไปหลังอาหาร1ชั่วโมงก็เตรียมยาที่บดอย่างละเอียดใส่ลงไปแล้วเทน้ำดื่มสะอาดตามลงไปทำเหมือนตอนให้อาหารผมก็จดตาม
 สิ่งสำคัญก็คือก่อนให้อาหารและหลังให้อาหารทุกครั้งต้องมีเครื่องดูดเสมหะหรือเสลดเพื่อไม่ให้สเลดอุดตันท่อทางเดินอาหารหรือท่อทางเดินหายใจ มีข้อปฎิบัติสำหรับผู้ป่วยเป็นข้อๆให้ลอกใส่สมุดแล้วนำกลับไปทำดังต่อไปนี้นะคะ
1. เตรียมของเครื่องใช้ในการให้อาหารทางสายยาง อาหารเหลวที่เตรียมให้ผู้ป่วย รวมทั้งยาของผู้ป่วยที่มีให้หลังอาหารให้พร้อม (ตามวิธีการเตรียมของเครื่องใช้ผู้ป่วยที่ให้อาหารทางสายยาง) 
2. จัดท่านอนให้ผู้ป่วยศีรษะอยู่สูงอย่างน้อย 45 องศา ในรายที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวควรให้หนุนหมอน ตั้งแต่หลังจนถึงศีรษะโดยใช้หมอน 2 ใบใหญ่หรือจัดให้ผู้ป่วยนั่งพิงพนักเตียงหรือให้นั่งเก้าอี้ 
3. ผู้ที่จะให้อาหารต้องล้างมือให้สะอาดตามวิธีการล้างมือที่ถูกวิธี 
4. ในผู้ป่วยที่เจาะคอมีท่อหายใจ ให้ดูดเสมหะในหลอดลมคอก่อนเพื่อป้องกันผู้ป่วยไอ จากการมีเสมหะมาก ขณะให้อาหารทางสายยาง ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ปอดอักเสบจากการสำลักอาหาร 
5. ล้างมืออย่างถูกวิธีภายหลังดูดเสมหะให้ผู้ป่วย 
6. ดึงจุกที่ปิดหัวต่อปลายสายให้อาหารออก ขณะเดียวกันใช้นิ้ว พับสายคีบเอาไว้ เพื่อป้องกันลมเข้ากระเพาะอาหารผู้ป่วย เพราะจะทำให้ผู้ป่วยท้องอืดได้ 
7. ใช้สำลีชุบน้ำต้มสุก เช็ดบริเวณจุกให้อาหารทางสายยาง 
8. เอากระบอกให้อาหาร พร้อมลูกสูบต่อกับหัวต่อและปล่อยนิ้วที่คีบสายออก ทำการทดสอบดูว่า ปลายสายยางให้อาหาร ยังอยู่ในกระเพาะอาหารหรือไม่โดย 

o ใช้กระบอกให้อาหารดูดอาหารหรือน้ำออกจากพระเพาะ ถ้ามีมากเกิด 50 ซีซี
ให้ดันอาหาร น้ำกลับคืนไปอย่างช้าๆ และเลื่อนเวลาออกไปครั้งละ 1 ชั่วโมง 
แล้วมาทดสอบดูใหม่ ถ้ามีไม่เกิน 50 ซีซี ให้ดันอาหารน้ำกลับคืนไปอย่างช้าๆ และให้อาหารได้ 

o ถ้าดูดออกมาแล้ว ไม่มีอาหารตามขึ้นมาเลย ให้ดูดลมเข้ามาในกระบอกอาหาร ประมาณ 20 ซีซี
แล้วต่อเข้ากับสายให้อาหาร พร้อมกับเอาฝ่ามืออีกด้านหนึ่ง หรือหูแนบเข้ากับใต้ชายโครงด้านซ้าย 
ดันลมในกระบอกให้เข้าไปในกระเพาะอาหารอย่างช้า ถ้าสายอยู่ในกระเพาะอาหาร จะรู้สึก 
หรือได้ยินเสียงลมเข้าไปในกระเพาะอาหาร จากนั้นให้ดูดลมออกด้วย อาจจะประมาณ 20 ซีซี ก็ไม่เป็นไร 

o ถ้าดูดออกมาแล้วได้ของเหลวสีน้ำตาลเข้ม ๆ ควรปรึกษาพยาบาลเยี่ยมบ้าน
เพราะผู้ป่วยอาจมีปัญหาแผลในกระเพาะอาหารได้ 
9. พับสายยาง ปลดกระบอกให้อาหารออก เอาลูกสูบออกจากกระบอกแล้วต่อกระบอกเข้ากับสายให้อาหารใหม่ 

10. เทอาหารใส่กระบอกครั้งละประมาณ 50 ซีซี ยกกระบอกให้สูงกว่าผู้ป่วยประมาณ 1 ฟุต ปล่อยให้อาหารไหลตามสายช้าๆ อย่าให้อาหารไหลเร็ว ถ้าเร็วมากต้องลดกระบอกให้ต่ำลง เพราะการให้อาหารเร็วมากเกินไป จะทำให้ผู้ป่วยคลื่นไส้ อาเจียน 
ปวดท้อง หรือท้องเดิน 

11. เติมอาหารใส่กระบอกเพิ่มอย่าให้อาหารในกระบอกลดระดับลงจนมีอากาศในสาย เพราะอากาศจะทำให้ผู้ป่วยท้องอืดได้ 

12. เมื่ออาหารกระบอกสุดท้ายเกือบหมดให้เติมน้ำและยาหลังอาหารที่เตรียมไว้ เติมน้ำ ตามอีกครั้ง จนยาไม่ติดอยู่ในสายยาง และไม่ควรมีน้ำเหลือค้างอยู่ในสาย 

13. พับสาย ปลดกระบอกให้อาหารออก เช็ดหัวต่อด้วยสำลีชุบน้ำต้มสุกปิดจุกหัวต่อให้เรียบร้อย 

14. ให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูงหรือนั่งพักหลังให้อาหารต่อไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง

สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายนั้นแบ่งออกเป็น 6 หมวด ดังนี้ 

1. โปรตีนมีในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง นม 

2. คาร์โบไฮเดรตมีในอาหารจำพวก ข้าว แป้ง น้ำตาล หัวเผือก หัวมัน 

3. วิตามินมีในอาหารจำพวกพืชผักชนิดต่างๆ เช่น ผักสีเขียว สีเหลือง สีแดง 

4. เกลือแร่และวิตามินมีในอาหารจำพวก ผลไม้ต่างๆ รวมทั้งผลไม้ที่รับประทานดิบและสุก 

5. ไขมันจากพืชและสัตว์มีในอาหารจำพวกไขมันจากสัตว์และไขมันจากพืช 

6. น้ำดื่ม

ขั้นตอนการดูแลและให้อาหารผู้ป่วยมีเท่านี้มีอะไรสงสัยจะถามเพิ่มเติมไหมคะ

ไม่มีครับ ผมเสร็จจากห้องโภชนาการก็ลงลิฟส์มาที่ชั้น5 ที่เตียงผู้ป่วยเห็นแม่นอนหลับสนิทอยู่ ผมเข้าไปนั่งข้างๆเตียงของแม่

พรุ่งนี้หมอให้แม่กลับบ้านได้แล้วนะผมบอกแม่

เมื่อวานน้องแชมป์ถามถึงว่าย่าเป็นยังไงบ้างผมชวนแม่คุยเพราะผมคิดว่าในส่วนลึกแม่คงจะได้ยินผม

กลับไปอยู่บ้านของเรานะ

ขอโทษนะคะเสียงพยาบาลบอก

ครับผมลุกมายืนห่างเตียง

ขอเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนไข้ก่อนนะคะพยาบาลรูดม่านปิดรอบเตียง

แม่เป็นยังไงบ้างพอดีพี่ใจเดินเข้ามาในห้อง

พยาบาลกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แม่อยู่

ข้าเลิกงานเสร็จก็แวะมาเยี่ยมแม่เลย แล้ววันนี้ไปจดสูตรอาหารมาเป็นยังไงบ้าง

ก็จดมาเยอะแยะเลย เดี๋ยวก่อนกลับบ้านจะแวะไปซื้อตับสดกับฟักทองมาแช่ตู้เย็นไว้ทำให้แม่กินพรุ่งนี้

หมอเขาให้ออกแล้วเหรอ

หมอเขาบอกว่าให้มารับตอนบ่ายๆ

พรุ่งนี้พี่ใจมารับแม่กลับไปบ้านได้ไหม เพราะพรุ่งนี้สิ้นเดือนเงินเดือนออกคงต้องยุ่งไปโอนเงินเข้าบัญชีและเคลียร์เงินให้พนักงาน

แล้วข้าต้องทำอะไรบ้าง

ที่โรงบาลเขามีรถพยาบาลไปส่ง พี่ใจก็นั่งไปด้วยในรถไปกับเขาคอยบอกทางเข้าบ้านให้เขาจะได้ไปส่งถูก

ได้ พรุ่งนี้ข้าจะลางานครึ่งวันมารับแม่

วันนี้เป็นวันศุกร์สิ้นเดือนรถติดไม่ขยับเลย เกือบชั่วโมงแล้วที่รถหยุดยิ่งนานอยู่บนทางด่วน 

ผมออกมาจากออฟฟิศตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้วนี่ก็จะหกโมงกว่าแล้วผมยังไม่ถึงบ้านเลย ผมเป็นห่วงแม่จะรีบกลับไปทำอาหารมื้อแรกที่บ้านให้แม่กิน หลังจากที่แมอยู่โรงพยาบาลมาเกือบเดือน

ติ๊ด ติ๊ด

ฮัลโหล ว่าไงพี่ใจ กำลังไป รถติดอยู่

เจี๊ยบ แม่ตายแล้ว ฮื่อๆ

*********************

หมายเหตุ

แม่ให้ความรักทั้งหมดแก่ลูก

ลูกให้ความรักคืนกลับให้แม่สักครึ่งไหม?


                                   สำนึกสุดท้าย


งานศพแม่ผมตั้งศพไว้สวดที่วัด3วันแล้วก็เผาเลย ในงานมีพี่สาวแม่คนโตและคนรอง มีอาคิ้วดมและอากิ้ม มีเจ๊เพ็ญ พี่สาวแม่คนที่5(แม่เจ๊เพ็ญ) เฮียตงเส็ง พี่ใจ เจ้าเต่า เบญ เปิ้ล จิ๊บ ส่วนน้องแชมป์ลูกชายผมได้บวชเณรให้เพื่อส่งย่าได้เกาะผ้าเหลืองไปสวรรค์

วันที่รดน้ำศพแม่ผมอาบน้ำปะแป้งให้แม่ เฮียตงเส็งไปซื้อกระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ารองเท้าและของใช้ต่างๆใส่ไปไว้ในโรงศพ เฮียตงเส็งบอกว่าแม่จะได้เอาติดตัวไปไว้ใช้ในภพที่แม่ไปอยู่ ช่วงที่ตั้งศพสวดอภิธรรมที่วัด ผมจะเป็นคนเอากับข้าวและผลไม้ต่างๆที่แม่ชอบไปวางไว้หน้าโรงศพ

ก๊อก ก๊อก

แม่ครับ มากินข้าวผมเคาะโรงบอกแม่

 แม่ครับ เจี๊ยบคิดถึงแม่ ถ้าแม่อยู่แถวนี้และได้ยินเสียงลูก คืนนี้แม่มาหาลูกได้ไหม

 ฮื่อ ฮื่อผมแอบร้องไห้ไม่ให้ลูกเห็น

ผมเฝ้ารอแม่ทุกคืน เคยมีคนบอกว่าภายในสามวันเมื่อคนตายไปแล้ว วิญญาณยังไม่รู้ตัวว่าได้ตายไปแล้วจะกลับเข้ามาในบ้าน ผมจึงเฝ้าหวังว่าจะได้เจอแม่อีกสักครั้ง ผมอยากจะกราบเท้าแม่และบอกแม่ว่าลูกคนนี้รักแม่มากแค่ไหน

แม่คงรู้ว่าผมหมดกำลังใจและสิ้นหวัง ผมรู้ว่าแม่เป็นห่วงผม แม่คงแอบเฝ้ามองผมอยู่ที่ไหนสักแห่งในบ้าน แต่แม่ใม่ยอมปรากฎตัวให้ผมเห็น

แม่ลื้อเป็นอะไรตายอาคิ้วถาม

นั่นสิ ตอนอยู่โรงพยาบาลก็ยังเห็นดีอยู่เลยอากิ้มพูดเสริม

วันที่พาแม่กลับบ้าน ช่วงเที่ยงพยาบาลได้ให้อาหารทางสายยางแม่ตามปกติ แต่พอไปถึงบ้านเสมหะมันเกิดไปอุดที่หลอดลมจนแม่หายใจไม่ออก กว่าจะมีใครรู้แม่ก็สิ้นใจแล้ว

งานเผาศพแม่ผ่านไป ..แต่บ้านมันไม่เหมือนเก่า..ชีวิตผมเองก็ไม่เหมือนเก่า ผมเคยมีคนที่ห่วงใย 

แต่วันนี้ใจมันหายๆ รู้สึกว่าชีวิตผมขาดสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไป

ความผิดพลาดที่ผ่านมาในชีวิตที่ผ่านมา ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะขอย้อนเวลากลับไปในวัยเด็กอีกครั้ง ผมอยากกลับไปอยู่ในอ้อมอกของแม่อีกครั้ง เพราะในช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต

ผมขายรถยนต์ขายทรัพย์สินมีค่าทุกอย่างที่มีเอาไปจ่ายเงินเดือนให้พนักงานและเอาไปเคลียร์หนี้สินให้กับเจ้าหนี้ ผมยอมปิดบริษัทเพราะทนการขาดทุนไม่ไหว วันนี้ผมกำลังมองหาจุดเริ่มต้นใหม่ๆในชีวิตเพราะชีวิตก็ต้องก้าวเดินต่อไป

กล้วยปิ้งๆถั่วต้มๆภาพหญิงชราคนหนึ่งหาบของขายผ่านป้ายรถเมล์ที่ผมนั่งรออยู่

ยายซื้อกล้วยยี่สิบบาท 

เอาถั่วต้มยี่บาท

ผมชงักไปแปบหนึ่งก่อนจะได้สติแล้วร้องเรียกสั่งซื้อของจากยายขายกล้วยปิ้ง 

แม้ว่ายายแก่จะหาบของจากผมไปแล้ว แต่ภาพหญิงแก่ที่ยกมือปาดเหงื่อก่อนจะหยิบกล้วยใส่ถุงและตวงถั่วต้มส่งให้ มันทำให้ผมคิดถึงแม่ ...

ผมนั่งกินกล้วยปิ้งทั้งน้ำตา

ผมนั่งใจลอยมองไปนอกกระจกรถ ภาพที่แม่ต้องตื่นแต่เช้าไปซื้อของมาขาย เพื่อส่งให้ผมเรียนจนจบ แม่เคยบอกผมว่าอยากให้ลูกเรียนสูงๆและมีงานที่ดีๆทำ แม่อยากเห็นผมประสบความสำเร็จ 

วันนี้ไม่มีแม่อยู่แล้ว แตชีวิตผมยังต้องสู้และก้าวเดินต่อไปเพื่อลูก

แม่จ๋า คนเยอะจัง

นั่งตรงนี้ก็ได้ครับ ผมลุกขึ้นให้นั่ง

ขอบคุณค่ะ

 ขอบคุณสิจ๊ะลูกแม่บอกให้หนูน้อยกล่าวคำตาม

หนูน้อยคนนั้นยกมือไหว้ผมอย่างอายๆแล้วก็หย่อนก้นลงนั่งบนตักของแม่

คุณแม่เหนื่อยไหมคะหนูน้อยช่างเจรจา

ไม่เหนื่อยหรอกจ๊ะลูกเธอตอบพร้อมกับลูบผมลูกน้อยของเธอด้วยความอ่อนโยน

หนูรักแม่นะคะ

แม่ก็รักลูกจ๊ะ

หนูรักแม่เท่าฟ้าเลย

แม่ก็รักลูกเท่าฟ้า

หนูรักแม่มากที่สุดในโลก

แม่ก็รักหนูมากที่สุดในโลกจ๊ะ

เด็กน้อยคนนี้โชคดีจังที่มีโอกาสได้บอกรักแม่

..

หวัดดีครับพ่อ หนูไปเล่นนะน้องแชมป์ตะโกนบอกตอนวิ่งสวนกับผมตรงทางเดินเข้าบ้าน

จะไปไหน เสื้อผ้าทำไมไม่ถอด ผมดุลูกด้วยความเคยชิน 

ผมเปิดประตู.... บ้าน ที่ไร้แม่ในตอนนี้มันช่างเงียบเหงาและว้าเหว่ไปถึงหัวใจ ผมเดินเก็บร้องเท้า กระเป๋านักเรียน หมวกลูกเสือ ถุงสุขภาพของลูก..

ถอดเสื้อเก็บให้เป็นที่เดี๋ยวนี้เสียงแม่ตะโกนบอกไล่หลังตามผมมา

บ่นอยู่ได้ผมตะคอกใส่แม่พร้อมปิดประตูบ้านดังปัง

น้ำตาของผมปริ่มล้นออกมาจากตา...ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่า แม่รักผมมากแค่ไหน



***********************

หมายเหตุ

1. แม่อยากให้ลูกมีสุขภาพดี 
2. แม่อยากให้ลูกมีการศึกษาที่ดี 
3. แม่อยากให้ลูกมีงานทำที่ดี
4.แม่อยากให้ลูกมีครอบครัวที่ดี
5. แม่อยากให้ลูกเป็นคนดี				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟมิสเตอร์M
Lovings  มิสเตอร์M เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟมิสเตอร์M
Lovings  มิสเตอร์M เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟมิสเตอร์M
Lovings  มิสเตอร์M เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงมิสเตอร์M