18 สิงหาคม 2551 13:17 น.
มนต์อักษรา
ความทรงจำในวัยเด็กของผม ซึ่งนับวันจะเลือนรางลงไปทุกขณะ บางครั้งความทรงจำนั้นก็กลับแว๊ปเข้ามาในสมอง บางครั้งก็มีความทรงจำในเรื่องใหม่ๆเข้ามาแทนที่ แล้วก็หายไปพร้อมกับความวุ่นวายในชีวิตปัจจุบันเข้ามาดึงความสนใจ
ครอบครัวของผมอาศัยอยู่ด้วยกัน ๗ คน มีพ่อ แม่ พี่ชาย ผม และน้องของแม่อีกสามคน แม่ผมเกิดในครอบครัวที่ยากจนมาก ยายมีลูกหกคน แม่เป็นลูกสาวคนโตและได้เรียนหนังสือแต่น้าๆ ไม่ได้เรียนหนังสือ วันสอบวันสุดท้ายของแม่ เป็นวันที่ยายเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง แม่จึงไม่เรียนต่อ พร้อมกับหันชีวิตออกมาทำงานดูแลน้องสามคนที่ยังเล็ก ส่วนตานั้นแยกทางกันกับยายตั้งแต่แม่ยังเด็ก ภาระในการดูแลน้องทั้งหมดจึงเป็นของแม่ น้าคนที่ ๔ และคนที่ ๕ จึงได้เรียนหนังสือ หลังจากที่แม่มารับราชการแล้วมาเจอกับพ่อในที่ทำงาน สักพักก็แต่งงานกัน ผมก็รู้มาคร่าวๆเพียงเท่านี้
ความทรงจำที่กระท่อนกระแท่นของผม เมื่อยังเด็ก พ่อ แม่มักจะไม่อยู่บ้าน ต้องเดินทางไปยังที่ต่างๆ พอถามว่าพ่อกับแม่ไปไหน มักจะได้คำตอบเดิมๆ คือ ไปทำงาน ผมก็ไม่เข้าใจเลยว่า ทำงานทำไมต้องไปนานๆ กลับดึกๆ หรือไม่ก็ไปเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน แล้วก็ทิ้งผมให้อยู่กับน้า ซึ่งอายุห่างจากผมสิบปี และพี่ชาย แต่พอน้าไปเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำอำเภอผมก็ต้องอยู่กับพี่ชายสองคน
บางวัน เลิกโรงเรียนมา ทั้งบ้านเงียบเหงา ไม่มีใครอยู่ แต่พอมองไปก็เห็นกระเป๋าหนังสือของพี่ชายก็ทำให้ใจของผมชื้นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย นั่นแสดงว่า เขากลับมาและไปเล่นกับเพื่อนของเขาแล้ว ผมเคยวิ่งตามจะขอไปเล่นด้วย แต่ด้วยวัยที่ต่างกันและต้องการเล่นกับเพื่อนเขาก็มักจะไม่ให้ผมไปเล่นด้วย สุดท้ายผมก็อยู่บ้านคนเดียวเพราะละแวกบ้านไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันเลย
ผมเคยถามพ่อกับแม่ ว่าทำไมต้องไปทำงานช่วงค่ำๆ แล้วให้ผมไปด้วยได้ไหม แต่ไม่ได้บอกหรอกว่า ผมเหงา และคำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือ
ลูกต้องอดทน พ่อกับแม่มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ แล้วไม่เหมาะสมให้เด็กไปด้วย อีกอย่างลูกก็ต้องมีหน้าที่ของลูกเช่นกัน
มีอีกความทรงจำหนึ่งที่ผมจำได้ไม่เคยลืม ช่วงนั้นผมน่าจะอยู่ประมาณ ป.๒ ป.๓ พ่อกับแม่บอกว่า จะไปทำงานวันนี้ไม่อยู่บ้าน แล้วให้เงินผมกับพี่ไว้ คนละห้าบาท ซึ่งในเวลานั้น ห้าบาทก็คงจะเท่ากับยี่สิบบาทในสมัยนี้กระมัง ในหมู่บ้านที่ผมอยู่ขายส้มตำให้เด็กครกละ ๑ บาทเอง การติดต่อสื่อสารก็ใช้เพียงจดหมายและโทรเลข
พอเวลาผ่านไปจนค่ำ พ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับบ้าน แล้วก็ผ่านไปวันที่สอง วันที่สาม ผมก็ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ไปไหนก็เลยตัดสินใจไปกินข้าวที่บ้านปู่กับย่า แล้วก็กลับมาบ้าน จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งเดือนกระมัง พ่อกับแม่จึงกลับมาแล้วเหตุการณ์หลังจากนั้นผมก็จำไม่ได้ ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรความทรงจำนี้จึงเด่นชัดกว่าความทรงจำอื่น
อ้อ! และก็มีอีกความทรงจำที่ผมจำได้ แต่มันเป็นช่วงเวลาแค่นิดเดียวที่ฝังอยู่ คือ เวลาที่ไปไหนกับพ่อแม่ ท่านทั้งสองจะบอกว่า
อยู่ต่อหน้าคนอื่น ลูกอย่าหัดเป็นคนนิสัยขี้ขอ เหมือนลูกคนอื่นนะ เพราะคนเขาจะมองเราว่าเป็นคนไม่มีมารยาท และพ่อแม่ไม่ได้สั่งสอนลูก
ลูกต้องเป็นเด็กดี ไม่ทำอะไรให้เป็นการหักหน้าพ่อแม่
ลูกต้องรู้จักเสียสละ
ลูกต้องตั้งใจเรียน
เวลาจะทำอะไร อย่าทำให้พ่อแม่ขายหน้า
ลูกเป็นลูกของ..... จะทำอะไรต้องคิดถึงพ่อและแม่ด้วย หากลูกทำอะไรไม่ดีมา คนเขาจะว่าเสียๆหายๆได้
ฯ ล ฯ
ผลจากคำบอกต่างๆนานา ทำให้ผมยังรู้สึกขำทุกครั้ง เมื่อมองย้อนกลับมาพบว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมได้ไปงานเลี้ยงกับพ่อแม่ด้วย แต่ในงานมีแต่อาหารที่เผ็ด ส่วนที่ไม่เผ็ดก็จะไม่สุก เครื่องดื่ม ก็มีแต่แอลกอฮอร์
วันนั้น เวลาเย็น ผมรู้สึกหิวข้าว ก็เลยไปบอกใกล้ๆ ว่า
แม่ครับ ผมหิวข้าว อยากดื่มน้ำด้วย
แต่แม่ก็ส่งสายตามาที่ผม เหมือนจะบอกว่า
จะมาขอทำไมขายหน้าเขา ห้ามพูด
หลังจากนั้นเวลาเคลื่อนจากเย็น จนค่ำ จนกระทั่งดึก ผมก็ยังไม่กล้าจะขอกินข้าว เพราะกลัวพ่อกับแม่ว่าผมไม่มีมารยาท หิวน้ำผมก็ไม่กล้าขอดื่มน้ำ และก็แปลกที่ไม่มีใครสนใจเลยว่า ผมจะได้กินอะไรหรือยัง จะหิวไหม
ผมได้แต่มองลูกของคนอื่นๆที่มาด้วย เขาขอพ่อแม่ บอกพ่อแม่ของเขาว่าเขาหิว บางคนก็หาให้ลูกกินโดยที่ยังไม่ได้เอ่ยขอ แต่สำหรับผม ผมขอไม่ได้ เพราะกลัวโดนดุและถูกสั่งไว้แบบนั้น ท้องผมเริ่มร้องประท้วง จนกระทั่งหลับไป
ผมได้แต่สงสัยว่า ทำไมผมถึงทำแบบคนอื่นไม่ได้ ทั้งๆที่เขาก็มีฐานะไม่ต่างอะไรกับผม เขาก็เป็นลูกข้าราชการเหมือนกันกับผม แต่ทำไมเขาถึงทำได้ในสิ่งที่ผมต้องทนอย่างทรมาน
นี่คือความทรงจำในวัยเด็กบางส่วน ที่ยังติดอยู่ในความทรงจำของผมจนถึงทุกวันนี้