6 พฤศจิกายน 2547 21:00 น.
มณี ปัทมะ ตารา
ถนนปั้นคืนวันวิชัยทัสมิ แห่ง เทศกาลนวราตรี คราคร่ำเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ความศรัทธาอัดเบียดเสียดยัดเหยียด
ยิ่งเดินเข้าใกล้วัดแขก คนยิ่งหนาตาและเบียดกันแน่นมากขึ้น ดูขาวสบายนัยน์ตาด้วยภูษาผ้าที่เหมือนนัดแต่งกายกันมาด้วยชุดขาว เพื่อรอดูขบวนราชรถ แต่ในจิตใจของแต่ละผู้คน ณ ขณะนั้น แน่นอน...ทุกคนเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความศรัทธา
ตามเก็บภาพซุ้มโต๊ะพิธีที่ตกแต่งประดับประดาด้วยหลากดอกไม้นานาพันธุ์ สวยสดงดงามตระการตาด้วยโคมไฟหลากสี ถนนปั้นสว่างทอดเป็นระยะด้วยโคมตะเกียงอารตี
31 ตุลาคม 2547 19:42 น.
มณี ปัทมะ ตารา
น้องจุ๋มบุ๋มบิ๋มปริ่มรัก
ถนอมนักจักคอยพลอยหา
ร้องเรียกเหมียวเหมียวเดี๋ยวมา
เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดู
ตาโตดำขลับสลับเหลือง
เชื่องเชื่องเยื้องช้าพาหราหรู
ลายเสือเรื่อเทาเงาหางพู่
ขนฟูฟูดูหยิ่งหญิงท่านแมว
คืนฝนตกตระหนกตื่นฝืนร้องเรียก
ตัวไม่เปียกเพรียกร้องจ้องตาแป๋ว
คุณแม่ขาฟ้าถล่มจมจุ๋มแจว
จุ๋มแจ๋วแหววแคล้วคลาดฟาดเคราะห์มา
คุณแม่ขาพาจุ๋มไปนอนด้วย
คุณพระช่วยอวยพรจุ๋มหน่อยหนา
จุ๋มไม่กลัวอะไรเลยเฉยทุกครา
แต่เพียงเสียงฟ้าผ่าน่าเกรงเอย
.....น้องจุ๋มเป็นแมว เป็นลูกของแม่แป๋ว แม่แป๋วมีลูก 4 ตัว ชื่อ น้องจิ้ม น้องจุ๋งหม่ง น้องจิ๋ม แล้วก็น้องจุ๋ม
4 ตัวนี้ น้องจุ๋งหม่ง อ่อนแอขี้โรคที่สุด ต้องพาไปหาหมอตลอด เพราะจุ๋งหม่งโดนรถทับแล้วไม่ตาย แต่ระบบขับถ่ายภายในเสีย น้องจุ๋งหม่งเป็นพี่ของน้องจุ๋ม น้องจุ๋งหม่งมักจะเกิดอาการสงสัยและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆเมื่อเจองูหรือหนู คงคิดว่า ตัวอะไรน้า หน้าตาไม่เห็นเหมือนแมวอย่างเราเลย
สำหรับแม่แป๋ว ฉลาดมาก ถ้ามีอะไรผิดปกติ เช่นมีผู้บุกรุกหน้าตาไม่เหมือนแมว เข้ามาภายในบ้านโดยไม่ได้รับเชิญ แม่แป๋วจะวิ่งเข้ามาหาแล้วร้องอยู่อย่างนั้น ถ้านอนอยู่ก็จะกระโดดขึ้นมาบนอก แล้วก็จ้องหน้า ร้องอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะเดินตามเค้าไป
แม่แป๋ว กับลูกอีก 3 ตัว ตายหมดแล้ว ยกเว้นน้องจุ๋ม ที่ยังอยู่เป็นคู่ชีวันขวัญชีวี เวลาน้องจุ๋มหิว ก็จะมานั่งใกล้ๆแล้วร้อง ถ้าถามว่าจะเอาอะไร น้องจุ๋มก็จะมองไปที่ถุงอาหารมีโอ อ๋อ...เรารู้กัน...
น้องจุ๋มตื่นเช้ามาก ถ้ายังไม่มีใครตื่น น้องจุ๋มจะมาเคาะประตูเรียก อีกอย่างเป็นแมวที่กลัวเสียงฟ้าร้องมาก ไม่รู้เหมือนแมวบ้านอื่นหรือเปล่า น้องจุ๋มนิสัยเหมือนแม่แป๋ว ถ้ามีผู้บุกรุกหน้าตาไม่เหมือนแมว น้องจุ๋มก็จะรีบมาบอก ทำท่าลุกลี้ลุกลน เหมือนวิ่งไล่ต้อนอะไรอยู่ อ๋อ...ให้ไปช่วยไล่งูกัน...
ตอนนี้น้องจุ๋มเป็นแมวเพียงตัวเดียวที่เหลืออยู่ภายในบ้าน น่าสงสาร ดีที่คุยกันรู้เรื่อง น้องจุ๋มเลยไม่ค่อยเหงาเท่าไหร่...อ๋อ...เรารู้กัน...
อยากบอกว่า...น้องจุ๋มน่ารักมากค่ะ...
มณี ปัทมะ ตารา
13 ตุลาคม 2547 10:29 น.
มณี ปัทมะ ตารา
บทบาทเกี่ยวกับชีวิตของบุคคลอื่น ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ดูเหมือนจะมากกว่าชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ บางครั้งเราก็หลงในชีวิตของผู้ไม่มีตัวตน ชีวิตสมมติของบุคคลในเรื่องราวต่างๆ ที่ปรากฎออกมาในฐานะของตัวละคร ลิเก ภาพยนตร์ ซึ่งถูกสร้างสรรค์และลิขิตไปตามบทบาทสาระพัดอย่าง
ตามแต่ผู้ประพันธ์จะลิขิต แต่มันก็ทำให้เราสนใจในเรื่องชีวิตเหมือนกัน แต่ทว่ากลายเป็นไปสนใจในเรื่องของคนอื่น บทบาทของคนอื่น จนลืมสนใจในเรื่องชีวิตของตนเอง นานเข้า...ก็เข้าใจผิด หลงยึดเอาบทบาทที่สร้างสรรค์ขึ้นมานั้น เป็นแบบอย่างประพฤติปฏิบัติตาม
ดูหนัง ดูละคร ดูเพื่อพิจารณาปลงธรรมสังเวช ย่อมมีประโยชน์ แต่หากถือมาเป็นแบบฉบับและหลงเคลิบเคลิ้มไปตามบทบาท บุคคลผู้อ่อนต่อเรื่องของชีวิต ย่อมตกเป็นทาสของบทบาทที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างไร้สติ จริงอยู่...ที่อาจทำให้เกิดความเพลิดเพลิน และลืมความทุกข์ที่ประสบอยู่ได้ แต่ก็เพียงชั่วขณะหนึ่ง
ความสุขที่ได้รับมา จึงเต็มไปด้วยอำนาจของโมหะธรรม อำนาจของโลภะเจตนา อำนาจของโทสะ ถูกความหลงเข้าครอบงำ และมีชีวิตอยู่โดยขาดสติสัมปชัญญะ ไม่สามารถจะวินิจฉัยได้ว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ผลสุดท้าย...ชีวิตของตนเองก็อยู่แบบแล้วแต่เหตุการณ์จะพาไป ล่องลอยไปตามบทบาทของตัวละครในนวนิยายที่ได้อ่าน ได้ดู ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม...ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
สิ่งประโลมโลกทั้งหลายนั้น หาใช่การดับทุกข์ที่แท้จริงไม่ แต่หากเรามีสติสัมปชัญญะ รู้สึกผิดชอบชั่วดีและพิจารณา มันก็จะกลายเป็นความสงบ เปี่ยมไปด้วยความผาสุก ขอเพียงรู้จักป้องกันอย่าให้สิ่งที่ไม่ดีมาทำลายจิตใจของเราให้ห่างเหินจากความเป็นมนุษย์ก็เพียงพอ
จงภูมิใจเถิดที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สุดประเสริฐแท้ที่ได้เกิดในพุทธศาสนา ทุกคนเป็นมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ที่ดีก็ยังเป็นการยาก ทำให้เรื่องของชีวิตเป็นเรื่องยากไปด้วย
มณี ปัทมะ ตารา
11 ตุลาคม 2547 09:43 น.
มณี ปัทมะ ตารา
ความทุกข์ใจของมนุษย์มีมากมายสารพัด และคอยที่จะบั่นทอนสุขภาพจิตของตนเอง เบียดเบียนจิตใจตนเองให้ผิดปกติแล้วยังไม่พอ มนุษย์ผู้มีจิตใจมืดบอดเลวร้ายเป็นทวีคูณ ก็คิดที่จะแก่งแย่งกัน เอาเปรียบกัน กระพือโหมกิเลสตัณหาในใจตนให้หนักยิ่งขึ้น จนเป็นบาป เป็นอกุศล เป็นทุกข์ทางใจ เป็นมโนกรรม ความชั่วแผดเผาจิตใจตนเองให้เร่าร้อน จนทะลักออกไปทางปาก เป็นวจีกรรม และทางกายเป็นกายกรรม..ชั่ว.. ก่อทุกข์ก่อโทษให้สังคม แม้แต่ในครอบครัวตนเอง จนลุกลามใหญ่โตไปทำความเดือดร้อนให้แก่สังคม มันน่าอดสู น่าอับอายสัตว์เดรัจฉานยิ่งนัก
มนุษย์ผู้มืดบอดด้วยโมหะ อวิชชา มิจฉาทิฏฐิ จึงหลงมัวเมาไปใน สุขเวทนา อันเป็นอิฏฐารมณ์จากกามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส พากันตกเป็นทาสอารมณ์ ทาสวัตถุ อย่างเบาปัญญา
บ้าสุดเหวี่ยง เพื่อหวังยื้อแย่ง ช่วงชิง หวงแหน ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งสุขภาพจิตและสุขภาพกายตน ใฝ่ฝันที่จะได้มี ได้เป็น ไม่สมหวังก็โกรธ เคียดแค้น อิจฉาริษยา มนุษย์.....จึงเป็นสัตว์ที่ต้องทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส.....ช่างน่าสมเพช.....น่าเวทนาเป็นยิ่งนัก..... มนุษย์.....ปกติชอบเข้าใจ กงจักรว่าเป็นดอกบัว ไม่กำหนดรู้ทุกข์ทางกาย และสาเหตุของทุกข์ แล้วจัดการดับทุกข์นั้นลงให้ตรงสาเหตุ ให้ขาดสะบั้นไป.....
มนุษย์.....เป็นสัตว์ชนิดเดียว ที่สามารถศึกษามหาวิทยาลัยโลก คือ จิตใจที่ควบคุมกายนี้ แต่มักไม่ชอบศึกษา เพราะมันไม่สนุกเหมือนกับการได้ศึกษาโลกภายนอก คือ กามคุณทั้ง 5 นั่นเอง จึงถูกกงจักรปั่นอยู่บนศีรษะจนเลือดไหลโทรมแล้วโทรมอีกก็หารู้สึกตัวไม่ เหมือนแมลงเม่าที่หลงผิดไปว่า ไฟนั้นให้ความสุขสนุกสนานแก่ตนได้ จึงพากันบินเข้าสู่กองไฟ ตายไปเสียนักต่อนักแล้ว
มหาวิทยาลัยโลก.....อยู่ที่ใดหนอ.....ฟังเถิดหนา.....มนุษย์.....ช่างไร้เดียงสาต่อธรรมชาติยิ่งนัก.....เหตุใด.....มาก็มืด.....ไปก็มืด.....เสียดายชาติเกิดนักหนา.....
.....จงเรียนรู้สัจธรรม ความเป็นจริงของธรรมชาติที่จริงแท้.....โลกนี้หนา...คือ...กายอันยาววา หนาคืบ กว้างศอก ที่มีพร้อมทั้งสัญญาและใจ.....
.....มนุษย์ผู้มีกายและจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ ครบบริบูรณ์ จึงจะสามารถเรียนรู้โลกนี้ได้.....เกิดมาแล้ว เมื่อยามจากไป ใยทิ้งไว้ให้เหลือเพียงแต่...ซากศพ...มนุษย์.....
พัฒนากายและจิตวิญญาณตนเองเถิดหนา เพื่อจะได้พ้นไปจากอำนาจของโลกียะ และสามารถยกระดับจิตขึ้นสู่ โลกุตตระ ใช้พลังศรัทธาและวิริยะ ศึกษาโลกจนเข้าใจโลกธรรมโดยกระจ่าง และแจ้งในโลกุตตระ แม้มีชีวิตต่อไปเพื่อทำหน้าที่ของมนุษย์ ก็จะเป็นมนุษย์ที่ได้รับประโยชน์ตนและทำประโยชน์ท่านอย่างดียิ่ง มิเสียดายชาติเกิดเช่นนี้หนา.....มนุษย์.....
ขอธรรมะคุ้มครองคุรุผู้ประเสริฐ คุรุผู้เมตตาธรรมทุกท่าน
ขอธรรมะคุ้มครองสรรพสัตว์ทุกชีวิตในโลกมายามนุษย์นี้ด้วยเถิดหนา สวัสดี
มณี ปัทมะ ตารา
7 ตุลาคม 2547 19:57 น.
มณี ปัทมะ ตารา
ทางเดินแห่งชีวิต แต่ละคนย่อมเดินอยู่บนหนทางที่แตกต่างกัน บางคนตลอดระยะเวลาการเดินทางล้วนโรยด้วยกลีบกุหลาบ หนทางคงสวยสดงดงาม กรุ่นหอมไปด้วยธรรมชาติของดอกไม้
ใครจะรู้บ้างว่า กว่าจะบรรจงดึงกลีบกุหลาบอันนุ่มและบอบบางแต่ละกลีบ ต้องทะนุถนอมขนาดไหน ผิวอันบอบบางบนฝ่ามืออันอ่อนนุ่ม ถูกทิ่มตำและบาดลึกด้วยหนามแหลมคมของกุหลาบแต่ละดอก กว่าจะโรยกลีบให้เต็มถนน มือก็เจ็บระบม บาดลึกเป็นแผลใหม่ ซ้ำแทงลึกลงรอยแผลเก่าให้ปวดร้าวหนักขึ้นไปอีก
ทุกคนอยากมีถนนสายดอกกุหลาบเป็นของตนเอง บางคนก็รู้ความหมายและบั้นปลายแห่งการเดินทาง แต่บางคนแทบไม่รู้เลยว่า ถนนที่โรยโปรยกลีบไว้เพื่อให้สวยสดงดงามอย่างผู้อื่น กลับไม่มีกลิ่นอายความหอมหวลของธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็นอยู่เลย
ทำอย่างไรได้เล่า.....นอกจากอดทนโปรยกลีบกุหลาบลงบนเส้นทางเดินของตนเองต่อไป แต่ก็สดชื่นหัวใจและดื่มด่ำกับความงามที่กรุ่นอวลหอมหวล ด้วยเข้าใจในธรรมชาติของดอกไม้ทุกครา เปรียบประดุจได้เบ่งบานอยู่ในดวงจิต.....ช่างมีความสุขเสียนี่กระไร
ระเบียบกฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง ตั้งอยู่บนความเอารัดเอาเปรียบ เพียงเพื่อหาสรรเสริญแห่งตน คือปกติธรรมดาของสังคม บนความสุขย่อมมีความทุกข์ และบนความทุกข์ ความสุขก็เบียดคู่มาตลอด
ท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ซึ่งมีอยู่ในสังคมมนุษย์ทุกระดับ แต่ก็ยังมีความอุ่นอวลของความเมตตา กรุณา อยู่ในสังคมทุกระดับเช่นกัน
ชีวิตเต็มไปด้วยปรัชญา แต่อนิจจา.....ก็ไม่สามารถไขปรัชญาแห่งชีวิตของตนเองออก เพราะบังเอิญเป็นปรัชญาที่จดจำมาจากผู้อื่น ดูช่างไร้ความหมาย เพราะไม่ได้ซึมเข้าไปจุดประกายปัญญาตนเองอย่างแท้จริง
อนิจจา.....ถนนสายดอกกุหลาบ.....จึงปราศจากความกรุ่นอวลหอมหวลตามธรรมชาติไปโดยสิ้นเชิง.....อนิจจา