22 มีนาคม 2550 00:39 น.
ภาเกตุ
บทรักคืนวิวาห์ 1/3
สรทัศน์ในชุดเจ้าบ่าวกำลังเปิดไฟเลี้ยว เพื่อเข้าวงแหวนรอบนอกไปทะลุถนนวิภาวดีรังสิต เส้นทางนี้จะช่วยพาเขาและเจ้าสาวคนสวยไปถึงเรือนรักได้เร็วที่สุด เขาเอื้อมมือไปเปิดวิทยุให้เล่นเพลงโปรดของเขาที่เหมาะกับช่วงเวลานี้พอดิบพอดี เพลงHOME ของไมเคิล บูลเบ
ดนตรีเอื่อยๆทำให้อารมณ์ของสุจิราล่องลอย เธอมองออกไปนอกหน้าต่างรถก่อนพับคอหลับไปเพราะความเพลีย โดยไม่ได้สังเกตว่าสรทัศน์มักจะเหลือบมองเธออยู่เสมอ
///.......หลับจนได้นะ สุจิรา นึกว่าจะเก่งได้นานกว่านี้ซะอีก ดูๆไปผู้หญิงคนนี้ก็สวยดี สวยเหมือนที่เจอกันวันแรกเลย นึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้ายื่นข้อเสนอเหมือนละครน้ำเน่าแบบนี้ได้ แต่งงานนี่นะคิดได้ยังไง ที่แปลกกว่านั้นทำไมต้องเป็นเรา สรทัศน์สุดหล่อคนนี้///
****สายลมพัดพาให้คลื่นทะเลนั้นซัดสาดเป็นระลอกๆ ชายหนุ่มกับกางเกงขาสั้นสีเข้มวิ่งวุ่นหาที่หลบภัย จากบรรดาสาวๆนางแบบหน้าใหม่ที่มักจะมาก่อกวนเขาเสมอ ขนาดวันนี้เขาขอลาพักร้อนมาถึงชะอำแล้วนะ สาวเจ้ายังตามกันมาจนได้ ความจริงเขาน่าจะไปหลบให้ไกลกว่านี้ เป็นเกาะร้างได้ยิ่งดี แต่เป็นไปไม่ได้หรอก งานคือเงินบันดาลความสุข คือสโลแกนของเขา สุดยอดช่างภาพฝีมือเยี่ยมของเมืองไทย นายสรทัศน์ นติสาโรจน์****
*****งานในห้องแลบ สำหรับสุจิราเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก งานเกี่ยวกับนิติเวช ไม่ว่าจะหาคราบเลือด พิสูจน์ลายนิ้วมือ ตรวจดีเอ็นเอ ล้วนแล้วแต่เป็นงานที่เธอเชี่ยวชาญทั้งนั้น การที่ได้ทำงานในสถาบันนิติเวชของเอกชนนี้ มีดีอยู่ที่เครื่องมือครบครันและงานที่หลากหลาย แต่แย่ตรงที่ต้องแข่งขันสูงทั้งกับคนไทยด้วยกันเองแล้วยังมีชาวต่างชาติเกรดเออีกหลายคน สุจิราจึงต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่องานนี้ ด้วยความที่เธอรักงานเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ชีวิตบางส่วนได้หายไปโดยไม่รู้ตัว****
และแล้วรถโตโยต้าคันงามของสรทัศน์ก็มาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังเล็กที่เน้นความร่มเย็นของบรรยากาศรอบๆมากกว่าตัวบ้าน สรทัศน์จัดการจอดรถให้เข้าที่ แล้วหลังมามองสุจิราที่ยังคงไม่รู้สึกตัว ชุดแต่งงานเกาะอกแบบนี้ช่างยั่วยวนใจของเขาซะจริงๆ มองละผ่านขึ้นไปที่ลำคอ ปลายคาง และริมฝีปากทรงกระจับ ทำให้หวนคิดถึง...จูบหวาบหวามที่เขาบรรจงมอบให้กับเธอที่งานเลี้ยงคืนนี้ คงไม่เป็นไงหรอกมั่ง ถ้าเขาจะ.....
***ทวนความทรงจำอีกสักครั้ง***
สุจิรา คุณ ตื่นได้แล้ว จะให้อุ้มคุณเข้าบ้านหรือไง ไม่เอานะ ผมคงไม่ไหวหรอก ดูตัวคุณซิ
สรทัศน์ปลุกสุจิราโดยจ้องมองหน้าและท่าทางเธออยู่ตลอด ใจหวังว่าเธอคงไม่รู้หรอกนาว่า เขาได้อะไรไปบ้างตอนที่เธอหลับอยู่
ถึงแล้วเหรอ อืม นี่กี่โมงแล้วนี่ หญิงสาวขยับตัวเพื่อสลัดความง่วง พร้อมส่งสายตาหานาฬิกาหน้ารถซึ่งดับไปแล้วพร้อมกับเครื่องยนต์ จึงหันต่อไปหาสรทัศน์ที่เลื่อนแขนเสื้อขึ้นเพื่อดูเวลาอยู่
เกือบจะตีสองแล้ว คุณ...รีบเข้าเถอะ วันนี้ผมยังต้องทำอะไร อะไร อีกเยอะ สรทัศน์ใช้สายตาสื่อความหมาย อะไรอะไร ของเขาอย่างแจ่มแจ้ง ตาของสุจิรายังงัวเงียๆอยู่แต่ก็พอจะรู้ความหมาย เธอไม่ตอบอะไรเพียงแต่ยกกระโปร่งลงจากรถอย่างสงบนิ่งก่อนจะหันไปพูดเพิ่มเติมกับสรทัศน์
ขอกุญแจด้วย
21 มีนาคม 2550 17:10 น.
ภาเกตุ
บทที่ 4
ที่ทางเดินเข้าบ้าน บ้านหลังสีฟ้าอ่อนระยิบระยับเมื่อต้องแสงนวลของดวงอาทิตย์ยามลับขอบฟ้า ผกายดาวเดินนำอรพิมล และณนที่ช่วยถือแฟ้มรายงานภาษาอังกฤษตั้งใหญ่ของผกายดาวเดินตามไปยังประตูบานใหญ่แกะสลักเป็นรูปนกยูงรำแพนสองตัวที่เปิดกว้างรอรับพวกเขาอยู่ สายตาของอรพิมลกวาดมองออกไปรอบๆ บ้าน บ้านหลังนี้ใหญ่จริงๆ เธอเองเพิ่งจะเคยเห็นของจริงเพราะเคยนึกว่าบ้านสวยๆแล้วยังใหญ่แบบนี้คงมีแต่ในละครเท่านั้น สนามหน้าบ้านถูกตกแต่งด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ทั้งต้นเล็กต้นใหญ่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี และเมื่ออรพิมลเดินเข้ามาถึงตัวบ้าน เสียงน้ำรินไหลดังกังวานสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย ก็มาประทะหูของเธอ หลังจากเดินผ่านประตูอรพิมลก็ได้เห็นถึงแหล่งที่มาของเสียง น้ำตกขนาดย่อมตั้งตระง่านอยู่ใจกลางบ้าน โขดหินที่เรียงเป็นชั้นๆถูกประดับตกแต่งด้วยหินสีที่ผ่านการเจียระไน ยิ่งได้น้ำใสสะอาดตกกระทบลงมาก็ยิ่งสะท้อนแสงราวกับเป็นอัญมณีวาววับ
......... กลับมาแล้วเหรอคะ คุณหญิง เสียงหญิงวัยกลางคนกล่าวต้อนรับพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม
......... ค่ะ วันนี้หญิงพาน้องรหัสคนใหม่มาอวดด้วย ชื่อน้องออยคะ ผกายดาวบรรยายและแนะนำอรพิมลให้รู้จัก ขณะที่อรพิมลยกมือไหว้อย่างสุภาพ
......... คุณภัทรค่ะ แล้วน้องไผ่กลับมารึยัง ผกายดาวถามต่อ
......... ไผ่กลับมาแล้วค่ะ ดูหนังสืออยู่ข้างบนนะคะ เดี๋ยวน้าไปตามให้นะคะ ภัทรวลีกล่าวตอบผกายดาวเสร็จก็ขึ้นไปตามลูกสาวอย่างที่พูด
.......... เอ๋ รถใครมา ไม่เคยเห็นเลย ผกายดาวเดินออกไปหน้าบ้าน มองหาเจ้าของรถคันแปลกหน้าว่าเป็นใครกัน
มีชายหนุ่มสองคนลงมาจากรถสปอร์ตเปิดประทุนสีดำเงา คนหนึ่งยิ้มหน้าระรื่นเสยผมยาวที่ตกมาละใบหน้า ก่อนจะจับปกเสื้อสีโศกของตนเองให้ตั้งขึ้นขยับเน็ทไทต์สีมรกตให้เข้าที่แล้วพับปกกลับอย่างเรียบร้อยขณะเดินเข้ามา อีกคนในชุดเสื้อยืดสีเทาซ้อนทับเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวในและกางเกงยีสต์ที่เข้ากับผมสั้นเกียนแบบทหารคว้าถุงสองสามถุงที่วางอยู่หลังรถมาด้วยก่อนจะเดินตามเข้ามา
......... โอ้โห นายซื้อรถใหม่อีกแล้วเหรอจิรา ผกายดาวเอ๋ยทักเสียงหลง
......... ใช่แล้ว เราอานะเปลี่ยนรถทุกเดือนแหละ สาวๆจะได้กรี๊ดไง จิรายุทธปั้นน้ำเป็นตัว แต่ก็ไปได้ไม่นานเท่าไหร่ เพราะกรเกล้าที่เดินตามมาสาธยายซะก่อน
.......... รถเราเอง แต่นายจิรามันอยากลองเครื่องน่ะ มันก็เลยอาสาขับส่วนเจ้ารถสีแดงแป๋นคันเก่าของมัน ยังจอดอยู่ที่บ้านเราอยู่เลย
โธ่เอ๊ย ไม่ใช่รถของตัวเองซะหน่อย ผกายดาวยอกย้อนจิรายุทธที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แก้เกล้อไปพลางๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องมาทักทายณนที่นั่งอยู่กับอรพิมลที่เก้าอี้รับแขกกำมะยี่สีน้ำเงินแทน
......... เฮ้ย ณนมานานรึยังวะ แอ๋... วันนี้พาแฟนใหม่มาเหรอ โอ้...สวยซะด้วย คำพูดชวนสนุกของจิรายุทธทำเอาหัวใจของอรพิมลเต้นแรงขึ้นมาทันใด
......... อย่าให้มากนักเลยแก จิรา น้องออยเขาเป็นน้องรหัสขององค์หญิงต่างหาก ณนพูดแก้ตัวด้วยน้ำเสียงเรียบๆและให้เกียรติอรพิมล ผกายดาวที่ฟังอยู่รู้สึกอยากจะแพล่นกระบานจิรายุทธเข้าจริงๆ
......... ก็ถึงว่า ถ้านายจะมีแฟนใหม่ ก็ไม่น่าพามาให้น้องไผ่เห็นเลย จิรายุทธพูดไปหน้าตาก็เริ่มกังวนใจเล็กน้อย เผอิญฝ่ามือของผกายดาวกระแทะมาที่ไหล่เข้าซะก่อน เมื่อเห็นผาณิตหญิงสาวใบหน้าแน่วนิ่งเดินเข้ามา อรพิมลที่นั่งฟังอยู่พอจะรู้ได้ว่า น้องไผ่ที่จิรายุทธพูดถึงคงจะหมายถึงผู้หญิงคนนี้เป็นแน่ ผาณิตเป็นผู้หญิงที่มีผิวพรรณและรูปร่างดี แถมยังแต่งตัวสวยทันสมัย เพียงแต่เธอผู้นี้กลับมีสายตาที่เศร้าสร้อยยิ่งนัก
20 มีนาคม 2550 23:13 น.
ภาเกตุ
บทที่ 3
น้องครับ ชายคนนั้นส่งเสียงเตือนสติเธออีกครั้ง อรพิมลออกจากภวังค์ เธอรู้ได้ว่าตอนนี้หน้าของเธอคงมีสีแดงขึ้นมาจับจองเสียแล้วแต่เธอก็ไม่ทำเสียเรื่องอีกคราวนี้เธอตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเขินไว้เล็กน้อย
........... มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าค่ะ
.......... คือพี่เห็นกระเป๋าเพื่อนพี่วางอยู่นะ แต่ไม่เห็นเขา ไม่ทราบว่าน้องรู้จักผกายดาวไหมครับ ชายคนนั้นพูดพลางชี้มือไปที่กระเป๋าสีม่วงอ่อนที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นเอง
.......... อ๋อ กระเป๋าพี่หญิง พี่มาหาพี่หญิงหรือคะ อรพิมลตอบไป เธอได้รู้แล้วว่าที่แท้ผู้ชายคนนี้ก็เป็นเพื่อนของพี่หญิงป้ารหัสของเธอ
.......... พี่หญิงไม่อยู่ค่ะ เห็นบอกว่าเหนื่อยแล้วก็ไปไหนไม่รู้
.......... เหรอครับ งั้นพี่นั่งรอตรงนี้ได้ไหม ไม่รบกวนน้องใช่ไหมครับ เขาขออรพิมลอย่างมีมารยาท และเมื่ออรพิมลอนุญาตชายหนุ่มจึงได้นั่งลงข้างเธอ การนั่งของเขาเว้นระยะห่างจากเธอพอประมาณ สำหรับอรพิมลแล้วเขาเป็นพวกชายที่สุภาพคนหนึ่งทีเดียว ระหว่างที่นั่งรอผกายดาว เขาไม่ได้ชวนอรพิมลคุยอีกแต่กลับสนใจหนังสือภาษาอังกฤษที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ และลองหยิบบางเล่มขึ้นมาอ่าน ซึ่งอรพิมลเองก็เช่นกันเธอยังคงอ่านหนังสือเล่มเดิมต่อไป แม้ตอนนี้ความรู้สึกจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม
.......... องค์หญิง ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ เสียงของชายหนุ่มทำให้อรพิมลเงยหน้าขึ้น ผกายดาวกำลังเดินทำหน้าเบื่อโลกไปดูดน้ำไปเดินตรงมายังพวกเขา เมื่อมาถึงผกายดาวก็นั่งลงที่เก้าอี้อีกฝากแล้วทำหน้ามุ่ยใส่กองหนังสือตรงหน้า
.......... ไงจ๊ะ เป็นอะไรบอกพี่ซิ ชายหนุ่มยังคงถามต่อด้วยคำถามที่นิ่มนวลจนอรพิมลอดเหลือบมองเขาไม่ได้
......... พี่ณน เราทำไม่ได้เลยทั้งข้อสอบเมื่อวาน ทั้งรายงานบ้าบอเนี่ย สงสัยเราจะเรียนไม่จบซะแล้วแหละ ผกายดาวเอ่ยตอบด้วยใบหน้าชวนให้คนฟังทั้งขำขันและน่าเห็นใจไปพร้อมกัน
......... อะไรกัน องค์หญิงอย่าเพิ่งท้อซิ
......... โห้ พี่ณนก็รู้ว่าเราเรียนไม่เก่ง แล้วก็ไม่ชอบเรียนด้วย ทำไมทุกคนต้องเข็นให้เราเรียนด้วย ผกายดาวร่ายถึงความอัดอั้นตันใจ แต่พอมองหน้าณนอีกครั้งเธอก็เริ่มนึกได้ว่าเมื่อกี้นี้ เธอนั่งอยู่กับอรพิมลน้องรหัส แล้วณนมาตั้งแต่เมื่อไร
......... อุ้ย แล้วพี่ณนมานานยังนี่ เรามัวแต่ไปเดินแก้เซ็ง
......... ไม่นานหรอก องค์หญิงกำลังทำรายงานอะไรอยู่ให้พี่ช่วยไหม ณนเสนอความคิดเห็นที่ฟังก็รู้ว่าสร้างความปิติยินเป็นอย่างยิ่งให้แก่ผกายดาว ซึ่งตอนนี้สีหน้าของเธอเต็มตื้นด้วยรอยยิ้ม (ก็ตอนนี้มีตัวช่วยถึงสองคนแล้วนี้ผกายดาว)
หลังจากนั้นผกายดาวก็ได้เริ่มทำรายงานวิจารณ์ภาษาอังกฤษของเธอสักที โดยมีทั้งชายหนุ่มที่มีทักษะภาษาอังกฤษเชี่ยวชาญอย่างณน และอรพิมลที่แม้จะเป็นรุ่นน้องแต่สำรับเรื่องภาษาอังกฤษเธอก็มีความรู้พอตัว จนณนเอ่ยปากชมเธอหลายครั้ง ณนช่วยเธออ่านและแปลซึ่งก็ดูเหมือนจะคล้ายเล่าเรื่องให้เธอฟังซะมากกว่า อรพิมลช่วยวิจารณ์บทความเป็นภาษาอังกฤษร่วมกับผกายดาวที่ขอวิจารณ์เป็นภาษไทยก่อนแล้วค่อยแอบไปให้ณนแปลเป็นอังกฤษให้อีกที ทั้งสามช่วยกันคิดช่วยกันทำ บรรยากาศที่เริ่มร่มเย็นลงแม้ว่าพระอาทิตย์จะยังไม่ตกดินก็ตาม ผกายดาวยกแขนดูนาฬิกา
......... นี่จะสี่โมงขึ้นแล้ว พี่ณน ออย เอาไว้แค่นี้ก่อนดีไหม นี่ก็เกือบเสร็จแล้ว เหลืออีกสองสามบทแล้วก็วิจารณ์ตัวละคร
......... ทำไมไม่ทำให้เสร็จเลยล่ะคะ อรพิมลที่สนุกกับการอ่าน แปลแล้วก็วิจารณ์ ไม่ได้รู้ถึงความรู้สึกเหนื่อยสุดๆของคนภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงอย่างผกายดาวเอาซะเลย
......... ไม่ดีกว่า คือพี่รู้สึกเหนื่อยนะ โอ้....เหนื่อยแล้วจริงๆ พักก่อนนะนะ ผกายดาวใช้เสียงออดอ้อนโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพี่เป็นน้องกันแน่ อรพิมลจึงได้แต่ยิ้มยอมทำตามแต่โดยดี ณนที่รู้หน้าที่เริ่มเก็บของที่กระจัดกระจายอย่างประณีต มีการเขียนหน้าหัวกระดาษไว้เสร็จเรียบร้อยก่อนจะใส่แฟ้มชนิดที่ผกายดาวไม่ต้องเอ่ยปากเลย อรพิมลที่ดูอยู่นั้นรู้สึกชื่นชมเข้าอย่างมากในความรู้สึกนั้นยังมีสิ่งอื่นที่แปลกๆปะปนอยู่อีก ..............ตอนนี้สิ่งที่เธออยากรู้คือณนจะเป็นเพื่อนกับผกายดาวจริงอย่างที่เขาบอกกับเธอตอนเจอกันครั้งแรกหรือไม่
.......... น้องออย ไปบ้านพี่หญิงนะ วันนี้พี่หญิงเลี้ยงเองอุตส่าห์ มาช่วยพี่เกือบทั้งวันนะนะ ผกายดาวใช้เสียงอ้อนอีกครั้งชวนอรพิมล ขณะที่อรพิมลอ้ำอึ้งอยู่นั้นก็มีเสียงหนึ่งที่ทำให้เธออยากจะไปขึ้นมา
.......... ไปด้วยกันสิครับ น้องออย พี่ก็ไปด้วย ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ สิ้นเสียงนั้น อรพิมลสาวน้อยร่างเล็กก็ตัดสินใจรับคำชวนทันที
20 มีนาคม 2550 21:04 น.
ภาเกตุ
บทรักคืนวิวาห์1/1
เสียงปรบซ่าซ่านดังขึ้นพร้อมการปรากฎตัวของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
***
"สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติทุกท่านวันนี้ เป็นวันที่เป็นมงคลยิ่งนักสำหรับคู่บ่าวสาวที่รักกันอย่างยาวนานถึง...ฮึ ...สา..สะ 3วัน"พิธีกรในงานถึงกับอึ้งแต่ก็ปรับสีหน้าทันควัน และต่อด้วยถ้อยคำที่สร้างสรรค์สมกับเป็นพิธีกร
"เห็นไม่ครับทุกท่านความรักนั้น เวลาไม่ได้มีสำคัญเหนือกว่าจิตใจ ลองเมื่อรักกันแล้วนะครับ ผมคงจะพูดได้ว่าความรักของทั้งคู่ คือรักแรกพบที่แท้จริงครับทุกท่าน" ได้ยินดังนั้นทำให้แขกหลายคนถึงกับส่งเสียงฮือฮา
"เอาละครับ บัดนี้ของเชิญเจ้าบ่าว คุณสรทัศน์ นติสาโรจน์ หรือ คุณป้อของเราออกมากล่าวอะไรสักนิด"
****ชายหนุ่มในชุดเจ้าบาวสีครีม ก้าวออกมาข้างหน้า บรรจบพอดีกับแสงไฟในงานส่องกระทบหน้าให้เห็นเป็นว่า ชายคนนี้มีดีที่รูปร่างสูงโปร่งแต่งไม่ผอมบาง ผิวสีขาวนวลที่ใบหน้าอมชมพู่เล็กน้อย แต่ก็ยังดูมาดแมนด้วยรอยหนวดเคราที่ดูพอดิบพอดีซะเหลือเกิน****
"วันนี้ผมแต่งงาน ก็ไม่รู้นะว่าจะเป็นไง วันแต่งงานเขาทำอะไรกัน เอาเป็นว่าผมจะทำหมดทุกอย่างเลย ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติมากครับ" เพื่อนพ้องฝ่ายเจ้าบ่างส่งเสียงฮา
"อย่าให้พลาด อย่าให้พลาด"
"ไม่พลาดแน่" เจ้าบ่าวตอบกับไปพลันเรียกเสียงฮาอีกรอบ
จากนั้นพิธีกรเชิญฝ่ายเจ้าสาวออกมาบ้าง
****สาวร่างอวบในชุดลูกไม้เกาะอกเน้นเนินอกสีขาวระยิบระยับนามว่า สุจิรา ก้าวมาอยู่เคียงข้างผู้เป็นเจ้าบ่าวของเธอ ผิวสีน้ำผึ้งกับผมสีดำคลับที่ถูกรวบรัดไว้ด้านหลังดูเข้ากันได้ดี พิศดูดวงตาช่างกลมหวานมีเสน่ห์ จมูกเรียวเป็นสันประกอบปากที่แดงระเรื่ออวบอิ่มน่าลิ้มลอง ใครเห็นก็ต่างอิจฉาเจ้าบ่าวทั้งนั้น****
"ขอบคุณ เพื่อนทุกคนที่ช่วยเตรียมงาน และทำให้งานเป็นไปตามวิถีที่ควรจะเป็น" สุจิราพูดน้อยจนพิธีกรต้องรีบแก้สถานการณ์
"เจ้าสาวคงจะเขินนาครับเลยพูดน้อยไปหน่อย เอาเป็นว่าถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยแล้วครับเจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาวหน่อยครับ"
เฮ......เฮ เสียงเฮจากเหล่าเพื่อนจอมกวน กระตุ้นอารมณ์ฮึกเหิมของเจ้าบ่าวเขามองตาเจ้าสาวหมายจะได้รับการตอบรับที่ดีจากเธอ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นเจ้าสาวคนสวยยังวางหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไอ้อาการแบบสำหรับนายป้อแล้วมันยิ่งน่า....จะเป็นไรมั้ยถ้าเขาจะไม่หอมแก้มเธอ
****แต่จะ....****
สรทัศน์ใช้อุ้มมือทั้งสองประคองใบหน้าของสุจิราเจ้าสาวให้หันมาทางเขาอย่างรวดเร็ว และบรรจงประกบริมฝีปากอวบอิ่มโดยที่หญิงสาวยังไม่ทันตั้งตัว ไม่เพียงเท่านี้เขายังสอนวิธีจูบที่แท้จริงแก่หล่อนท่ามกลางสายตาผู้คนในงาน
สุริจารู้สึกเหมือนกำลังถูกโจมตีอย่างดุเดือดจากชายหนุ่ม รสลิ้นที่หอมหวนพาลเอาจิตใจของหญิงสาวเคลิ้มตาม แต่เธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากปล่อยเขาไปและคิดว่าเขาคงจะหยุดมันในเวลาที่เร็วที่สุด
สรทัศน์ถอนริมฝีปากออกพลางอมยิ้มอย่างได้ใจก่อนจะหันไป ทักทายเพื่อนที่อื่ออึงกับการจูบอย่างดูดดื่มของเขา เป็นไงเขาเจ็งมั้ย
เสี้ยววินาทีสรทัศน์หันกลับไปมองสุจิราอีกครั้ง ใจคาดว่าเธอคงเขินหรือไม่ก็อายเต็มที เขาคาดผิดจริงๆ สุริจายังคงยืนนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเช่นเดิม
///.........ผู้หญิงคนนี้แซบจริงๆ ขนาดเขาจูบเธอถึงเพียงนี้ยังไม่รู้สึกรู้สา เอาเถอะคืนนี้ได้รู้กันแน่ สุจิรา!.....///
----------------------------------------------------
บทรักคืนวิวาห์1/2
เข็มนาฬิกามาพบกันที่เลข12พอดี เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว สรทัศน์รู้สึกเพลียอยู่เนืองๆ งานคืนนี้มาถึงตอนจบ ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างพร้อมใจกันมายืนส่งแขกที่หน้างาน
ยังมีชายหนุ่มอีกคนที่ใจจริงยังไม่พร้อมออกไปเจอใครที่หน้างาน เขาเดินโซซัดโซเซด้วยฤทธ์แอลกอฮอล์ตรงมาที่คู่บ่าวสาว
"ซูซาน ทำไมคุณทำกับผมแบบนี้ ซูซาน..." พอเข้ามาถึงได้ หนุ่มหน้าฝรั่งแต่ทำตัวเหมือนพวกขี้เมา ก็พูดพ่ามเสียงดัง
****สุจิราเห็นเข้าก็ตกใจ ใช่แล้วเขามักเรียกเธอว่า ซูซาน วันนี้เธอรู้ตัวว่าทำให้เขาเสียใจมากแค่ไหน****
****สรทัศน์ที่เห็นเหตุการณ์อยู่เช่นกัน มองตรงไปที่พ่อหนุ่มลูกครึ่งอย่างพิจารณา ก็หล่อดีนี่นา //...แต่ไอ้บ้าเอ้ย แกไม่เห็นที่ฉันจูบหล่อนเมื่อกี้เหรอไง...// ****
ด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกลของสรทัศน์ เขาจึงใช้เวลาจัดการหนุ่มน่าสงสารคนนี้เพียงแป๊บเดียวเท่านั้น
"น้องๆ ทำไมปล่อยให้ฝรั่งขี้เมามาป่วนในงานพี่ล่ะ รีบจัดการเลยนะ" สรทัศน์ใช้น้ำเสียงเด็ดขาด บริกรสองสามคนแถวนั้นจึงรีบกระวีกระวาดทำตามที่เขาสั่ง แม้เจ้าฝรั่งนั่นจะขัดขืน แถมเอะอะโวยวายแต่ก็ถูกลากออกไปจนได้
สรทัศน์หันมายักคิ้วลิ่วตาให้กับเจ้าสาวของเขาก่อนจะหันไปบอกเพื่อนๆ โดยเล่นบทชายผู้แสนดีที่สงสารหนุ่มลูกครึ่งขี้เมาเพราะอกหัก ไม่เหมือนเขาที่มีแต่ได้กับได้ 5555
///.....โธ่ มาร์ค ฉันขอโทษแต่มันคงดีที่สุดแล้วสำหรับเรา และนี่ก็คือจุดประสงค์ข้อหนึ่งที่ฉันต้องมาแต่งงานกับนายนี่....///
19 มีนาคม 2550 20:32 น.
ภาเกตุ
บทที่ 2
.......... โป๊ก! โอ๊ย?? (จิรายุทธโดนเข้าซะแล้ว) จิรายุทธยกมือกุมหน้าผากลูบคลำหาร่องรอยที่ถูกผกายดาวใช้หัวโขกเข้าให้
........... สม ฮาฮาห้า ผกายดาวหัวเราะชอบใจกับท่าทางของจิรายุทธ พอๆกับสะใจที่ได้แกล้งชายหนุ่ม ระหว่างนั้นเองตาของผกายกายดาวก็ไปสะดุดเข้ากับร่างของผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ความมืดของคืนนี้ทำให้เธอต้องเพ่งมองเขา และไม่ช้ารอยยิ้มพิมใจก็ปรากฏตรงนายของหญิงสาว
.......... เก้า เฮ้อ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่....คิดถึงจังเลย ผกายดาวพูดไปเดินไปก่อนจะโผล่เข้ากอดชายหนุ่มในชุดทหารเรือสีขาวอย่างแนบแน่นโดยที่ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ตอบคำถามเลย ต่อจากนั้นถึงคราวที่ผกายดาวใช้สายตาตรวจสอบราชนาวีหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า
.......... ดำขึ้นเป็นกองเลย ว้ายไอ้ดำ ผกายดาวเปิดปากล้อ
.......... เจอตัวก็ปากเสียเลยนะ ดำแต่เท่อะเคยเห็นอ่ะป่าว กรเกล้าย้อนกลับทันควัน
......... ไอ้เก้ามันมาเมื่อกี้นี่เอง เราเพิ่งไปรับมันมา ล้วก็มาหาองค์หญิงนี้แหละ จิรายุทธที่ยังใช้มือกุมหน้าผากเดินมาสมทบ
......... อ๋อ ก็เลยมารับเราน่ะนะ ผกายดาวหันไปถามจิรายุทธ
. ถูกต้องนะ ครับ
......... แล้วจะไปไหนต่ออีกอ่ะ ผกายดาวทำหน้าสงสัย
......... แล้วยังขาดใครล่ะ องค์หญิง วันนี้ต้อง ครัวครบรส จิรายุทธใช้ศัพท์แปลกๆเรียกรอบยิ้มให้อีกสองผู้ฟัง ก่อนจะขว้างมือผกายดาวแล้วหันไปพยักหน้าชวนกับกรเกล้าแสดงว่า ไปกันเถอะ
ภาพสามร่างเดินเกาะกลุ่มกันไปหัวเราะกันไป คล้ายภาพวาดในความทรงจำดูแล้วไม่ได้ต่างจากวันวานของพวกเขาเลย หญิงสาวในชุดนักศึกษาดูยังไงก็เรียกได้ว่าน่ารักเหมือนตุ๊กตาผมเป็นลอนสีน้ำตาลอ่อนโบกพลิ้ว ขนาบด้วยหนึ่งชายมาดเท่ในชุดทหารองอาจ และอีกหนึ่งคือชายหน้าตาน่ารักโดดเด่นด้วยลักยิ้มมหาเสน่ห์ที่ยังคงเกาะกุมมือของหญิงสาวไม่ยอมปล่อย
11 สิงหาคม 2548
วันสุดท้ายของการสอบกลางภาค หอที่ฉันพักอยู่ผู้คนเริ่มบางตาลง เพราะกลับบ้านกันไปหมดแล้ว มีวันหยุดติดต่อกัน4วัน ฉันเองก็อย่างกลับบ้านบ้างจัง แต่กลับไปก็ไม่รู้เพื่ออะไรเพื่อใคร พ่อกับแม่เลี้ยงแล้วยังลูกใหม่อีกตั้งสองคน คงไม่มีใครสนใจฉันหรอก ฉันว่าแค่ฉันขอทุนเรียนได้ด้วยตัวเองพ่อก็คงโล่งอกขึ้นเป็นกองที่ไม่ต้องมารับภาระกับ ลูกนอกคอกคนนี้อีกก็มันลูกหลงนี่ ไม่เคยมีใครรัก........ไม่มีสักคน
แต่ก็ยังมีเรื่องดีอยู่บ้างเพราะวันนี้บังเอิญไปเจอพี่หญิงที่นั่งทำหน้าเครียดจัดอยู่ที่ซุ้มต้นไม้หน้าภาควิชา ทีแรกฉันก็ไม่กล้าเข้าไปหรอกเพราะกลัวจะรบกวนพี่เขา พี่หญิงดันเห็นฉันซะก่อนก็เลยเรียกไปคุยเรื่องโน่นเรื่องนี้ ก็เลยรู้ว่าพี่หญิงยังทำโปรเจ็คเดียววิชาภาษาอังกฤษไม่เสร็จ ได้แต่บอกว่าพี่คิดยังไงก็ไม่ออก ฉันก็เลยถามพี่หญิงว่าทำไมไม่ให้เพื่อนช่วย พี่ก็ทำหน้ากระตือรือร้นขึ้นมาทันทีแล้วหันมามองหน้าฉัน สรุปแล้วฉันที่เป็นรุ่นน้องก็ได้กลายเป็นผู้ช่วยไปในที่สุด
สำหรับฉันงานของพี่หญิงก็ไม่ได้ยากมาก ก็แค่ทำบทวิจารณ์หนังสือภาษาอังกฤษเล่มไหนก็ได้สักเล่มแล้วพี่หญิงก็มีอยู่แล้วหลายเล่มด้วย
.......... พี่หญิง ทำไมไมอ่านสักเรื่องล่ะ อรพิมลถามผกายดาวที่กับพลิกหนังสือภาษาอังกฤษเล่มนั้นทีเล่มนี้ที
.......... โห เล่มนี้ก็อ่านไม่รู้เรื่อง เล่มนี้ก็ศัพท์ยากๆทั้งนั้น อะไรนักวะ ผกายดาวฟาดหนังสือลงกับโต๊ะแล้วก็ลุกขึ้นพรวด พี่ขอไปพักก่อนนะเหนื่อย ผกายดาวเดินลิ่วไปแล้ว อรพิมลก็งงกับเหตุการณ์บ้าบอของผกายดาวไม่แพ้ใคร จึงได้แต่หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาดูลองพลิกอ่านดูไปเรื่อยเป็นเรื่อง THE MERCHANT OF VENICE ของเซกเปียกซ์ เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับชาวยิว การกีดกันเชื้อชาติ
.......... เอ่อ น้องครับ
เมื่ออรพิมลเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ก็พบกับผู้ชายหน้าตาดีซะเหลือเกินชนิดที่เรียกว่าเป็นดาราหรืออย่างน้อยก็ต้องนายแบบ อรพิมลจ้องมองชายคนนั้นอยางไม่วางตา รู้สึกเมื่อว่าโลกทั้งใบหยุดเวลไว้ให้มีเพียงแค่คนสองคน เธอและเขา