2 เมษายน 2550 01:43 น.
ภาเกตุ
แด่ความเจ็บปวดที่ใครเล่าจะรู้เท่าเรา
การบูชาความรัก กับเงื่อนเวลาที่แปรเปลี่ยน สร้างความบอบช้ำให้สภาพจิตใจ อนิจสงค์ของความรักมีอนุภาพ เพียงแค่ใครจะเป็นผู้รับกรรม ความเจ็บปวดจะปรากฏแก่ท่าน ความทุกข์ทรมานนั้นคืออะไร ใครเล่าจะรู้เท่าเรา ผู้บูชาเป็นทาสแห่งรัก และคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป
ราวๆสามปีที่แล้ว เรื่องที่ผมได้ประสบพบเจอ ทำให้ผมหวนรำลึกความหลังสมัยยังเป็นเด็กหนุ่ม วัยที่เริ่มแรกรัก ตอนนั้น ผมหมายถึงเมื่อสามปีที่แล้ว เพื่อนหญิงของผมคนหนึ่งเธอเดินร้องไห้เข้ามาหาผม ผมก็ไม่รู้เธอเป็นอะไร ผมมองๆและครุ่นคิด และเริ่มแน่ใจว่าคงไม่มีอะไรทำให้คนตรงหน้าผมร้องให้ได้ นอกจากเรื่องรักๆใคร่ๆ เมื่อผมเริ่มถามสาเหตุอาการร่ำร้องของเธอ ผมก็ได้ความจริงเช่นนั้น เธอเล่าวนเวียนวกวนไปๆมาๆก็ มีแค่เรื่องเดียวคือเขาทิ้งเธอ ทิ้งอย่างไม่ไยดี ทิ้งเพราะเหตุผลเพียงเวลานี้เธอไม่ใช่ คนที่เขาต้องการ ผมอยากจะรู้จริงๆว่าชายคนนั้นเขาต้องการอะไร ผู้หญิงที่เขามีอยู่คนนี้ต้องมานั่งร้องไห้ใจจะขาด ความเจ็บปวดที่เธอได้รับมาจากความไม่ต้องการของคนๆหนึ่งเท่านั้น จำได้ว่ากว่าเพื่อนหญิงของผมคนนี้จะคลายทุกข์ก็ปาไปเป็นปี ใช่แล้วเธอยังสามารถดำเนินชีวิตต่อไปพร้อมกับลบเลือนความเจ็บปวดที่ยังครั่งค้างอยู่ได้ คำพูดมากมายถูกพูดขึ้นเพื่อชี้แนะเตือนสติหรือสร้างความผ่อนคลาย ที่สะกิดใจผมก็มีอยู่สักสี่ห้าประโยชน์จากบุคคลที่ต่างกัน
ทำไมวะ ทำไมแกต้องมาเสียน้ำตาให้คนแบบนั้นด้วย มันไม่คุ้มกันเลย จากผู้หญิงบุคลิกโดดเด่นเรื่องความเป็นผู้นำ เธอรุ่นเดียวกับพวกเราแต่มีตำแน่งการงานเป็นหัวหน้า
เขาทิ้งไปก็ชั่งเขา แกก็ออกจะสวยหาใหม่ได้ง่ายๆจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอ
ฉันเข้าใจ ฉันก็เคยเป็น แกยังโชคดีนะที่มีโอกาสได้รัก อาจจะนานหน่อยนะ แต่มันก็ต้องทำใจ จากผู้หญิงที่ดูเรียบกับคำปลอบโยนที่แสดงความเห็นใจ
ทำอย่างอื่นดีกว่า เอาแบบสนุกๆ เรื่องไม่ดีไม่ต้องไปคิด เชื่อเราเถอะ จากชายร่าเริงในกลุ่มเพื่อนอีกคน
อยากจะบอกว่าถึงแกไม่มีใคร แกก็ยังมีเรา นี่คือคำพูดของผมเอง
ผมไม่รู้ว่ามันจะช่วยเธอได้แค่ไหนเพราะมันเป็นเพียงคำปลอบใจ ถ้าลองไล่ดูจากคำปลอบใจเหล่านี้ สมองของผมกลับไปสะดุดกับประโยคที่สาม จากผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมรู้จักเธอมานานตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ จะบอกว่าเราผ่านวัยเด็กหนุ่มเด็กสาวมาด้วยกันก็ได้ เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาๆไม่ค่อยเด่นเหมือนคนอื่นๆ ผมเข้าใจดีว่าวัยนั้นเราๆก็อยากสวยอยากหล่อกันทั้งนั้น เพียงความมั่นใจอีกเล็กน้อยก็สำคัญแล้ว ผมเองก็หาวิธีให้ตัวเองดูเด่นดังอยู่เหมือนกันโดยวิธีเข้ากลุ่มเด่นๆ จะเตะฟุตบอล เล่นบาสเก็ตบอล กีฬาอะไรผมก็เล่นทั้งนั้น ผมยังโชคดีอยู่อีกอย่างคือผมเป็นคนเรียนเก่ง สาวทั้งที่เป็นเพื่อน และรุ่นน้อง ติดผมเกลียวกราว ใจจริงผมก็ดีใจแต่ที่แสดงออกไปมันไม่ใช่เลย ผมมีข้อเสียข้อหนึ่งที่สำคัญคือ ผมไม่ชอบแสดงออก พูดน้อย ส่วนใหญ่จึงได้แต่ยิ้มตอบเท่านั้น มีคนเคยบอกผมว่าบุคลิกแบบนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบนัก มันดูเท่ดี มีความลึกลับ โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้คิดเช่นนั้น กลับรู้สึกว่าเป็นปัญหาแทน
ผมขอพูดถึงผู้หญิงสมัยเรียนที่ไม่เด่นคนนั้นที่เป็นเจ้าของคำปลอบใจประโยคที่สามอีกครั้ง เธอชื่อ กัญ ย่อมาจากชื่อจริงที่ว่า กัญญารัตน์ เราอยู่ห้องเดียวกันมาตลอด แต่ผมเพิ่งมาสนิทกับเธอสองปีหลังก่อนเรียนจบ กัญเป็นคนพูดน้อยทำให้ผมไม่ขัดเขินเมื่ออยู่กับเธอ คล้ายกับว่าเราเป็นคนที่เหมือนๆกัน ผมเริ่มรู้จักกับเธอเพราะผมเขียนเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองไว้ที่ปกหลังสมุดการบ้านของเธอ ซึ่งความจริงผมเขียนผิดเล่ม มันเป็นมือถือที่พี่ชายผมให้มา แล้วเขาโทรมาบอกเบอร์เครื่องที่หลัง ผมก็เลยหาอะไรจดไว้ และคิดว่ามันเป็นสมุดการบ้านของตัวผมเอง แต่แล้วกลับเป็นของกัญ คืนนั้นเองกัญก็โทรหาผมพอรู้ว่าเป็นผมเธอก็ทำเสียงตกใจ แต่เราก็ยังคุยกันต่อ โดยผมให้เบอร์บ้านเธอเพราะโทรเข้าบ้านจะถูกกว่า เธอมักจะโทรเข้ามาตอนทุ่มครึ่ง มันเป็นเวลาประจำและการโทรก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ผมเพิ่งจะรู้ว่ากัญคนเรียบร้อยที่ผมเห็นตัวจริงไม่เป็นเช่นนั้นเลย การพูดการจาและเรื่องที่หามาคุยมันทำให้ผมสนุกตามเสมอ ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกัญตามสายมา เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเราอยู่ที่โรงเรียนเราถึงไม่คุยกัน ไม่พูดกัน ทำหน้าที่คนรู้จักกันด้วยการยิ้มให้หรือส่งสายตาบอก การสื่อความหมายผ่านทางสายตาไม่ได้บ่งบอกอะไรที่มากไปกว่าเพื่อนที่เหินห่าง ผมควรจะเข้าไปหากัญไปพูดคุยกับเธอแบบที่เคยคุยผ่านโทรศัพท์ บอกความมีตัวตนของผมให้เธอได้รู้ว่าผมมีความรู้สึกดีๆกับเธอ ถ้าตอนนั้นผมกล้านะ
หลายเดือนผ่านพ้นไปหัวใจของผมเริ่มอ้างว้าง แม้กัญจะยังโทรมาคุยกันเหมือนเคย แลดูจะสนิทกันมากขึ้นเสียอีก แต่สิ่งที่ผมรู้คือความรู้สึกของผมมันเปลี่ยนไปอาจจะเป็นเพราะความคุ้นเคย จนเสมอเหมือนเป็นเพื่อนธรรมดาๆไปแล้ว จนผมกล้าพูดคำว่ารำคาญแล้ว อย่ายุ่งให้มาก และอะไรอีกมากที่เพื่อนจะพูดกับเพื่อน รวมถึงปรึกษาเรื่องความรัก ความคิดที่เคยลึกซึ้งเกินไปบ้างมันดูจะเหือดหายไปอย่างที่ผมไม่ทันรู้ตัว
และวันหนึ่งความรู้บางอย่างก็เกิดขึ้น ผมเรียนรู้มันจากความผิดหวังของใครบางคน ที่ผมสงสารจนจับใจ ผมไม่รู้จะช่วยเธอยังไง การที่ผมห่วงใยเธอมากมายแต่แสดงออกไม่ได้ มันชั่งทรมานแทบเป็นแทบตายในห้วงวินาทีหนึ่งๆได้เลย ทุกความเคลื่อนไหวของเธอสถิตเสถียรในสายตาของผม พะวงต่อการเป็นไปของชีวิตที่บอบบางนั้น หลายครั้งผมสับสนว่าผมจะเป็นเช่นนี้เพื่ออะไร ทำไมผมถึงอยากพูดอยากคุย ถามและพยายามทำอะไรๆไปได้มากขนาดนั้นโดยไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ก็ไม่อาจละเลิกสิ่งเหล่านั้นได้ มันเหมือนสิ่งที่เป็นกฎบัญญัติไว้ให้เป็นไป สรรสร้างและสร้างสรรค์ในเรื่องเล็กน้อยให้มีความหมาย ขอให้มันเกี่ยวกับเธอเท่านั้นก็พอใจ ทุกวันผมกุรีกุจรไปรับเธอและรอเธอหลังเลิกงานเพื่อไปส่ง บ้านผมคนทางและห่างไกลกับเธอมากพอดู มันไม่ได้ทำให้ผมเหนื่อยเลย ผมสดชื่นทุกเช้าที่ตื่นขึ้น และอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูกหลังเลิกงาน ที่เคยคิดว่าตัวเองพูดน้อยและมีนิสัยเงียบขรึมเป็นส่วนใหญ่ กลับต่างออกไป ใครจะรู้ว่าผมก็มีความสามารถจะพูดเรื่องราวมากมายที่ขบขันทั้งยังมีชีวิตชีวาออกมาได้ ผมได้แต่คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะผ่อนคลายหัวใจของเธอลงได้ และน่าใจว่าสิ่งเหล่านี้มันทำให้ผมมีความสุข สุขอย่างที่ไม่เคยพบเลยสักครั้งในชีวิต
ทีหลังไม่ต้องมาส่งเราแล้ว เรากลับเองเป็น
คำพูดนี้ทำผมสะอึกกลั้นเสียงลมหายใจที่กำลังจะผ่านลำคอออกไปถามว่าทำไม ที่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ถามสมใจ แท้จริงใจของผมมันสั่นสะท้านเมื่อคนเป็นโรคหอบ แต่ก็ไม่กล้าต่อปากด้วยถ้อยคำใดอีก มีเพียงความชอกช้ำที่มาจากไหน ซัดเอารอยยิ้มของผมไปโดยไม่บอกกล่าว
ทำไมถึงได้ทำตัวน่ารำคาญแบบนี้ คิดมากไปหมดทุกเรื่องเลยน่าเบื่อจริงๆ
แรกฟังคำพูดจากปากเธอ ผมเตือนใจตัวเองให้คิดเพียงคำพูดเล่น จวนจะยับยั้งอะไรได้ทัน เพราะหัวใจของผมได้ร่วงหล่นกราวไปเสียแล้ว การหายใจผมเริ่มหอบเหือด ร้อนลมวาบตามใบหน้าและร้อนที่สุดที่กกหู เหมือนจะมีอะไรแปลกๆมาครอบครองพื้นที่แห่งดวงตา มีทางเดียวคือการฉีกปากออกไปจนแลดูยิ้มอย่างเบิกบานที่สุด แสนทรมานแต่ต้องทนให้ได้
เราคิดว่าเราจะคบกับป้อมละ แกว่าดีมะ
ผมกำลังหยุดนิ่งในสมองอันว่างเปล่า ไม่ได้รู้สึกอะไรอีก ลมหายใจผ่อนออกผ่อนเข้าได้ไม่ทั่วท้อง ร่างกายของผมเปราะบางโดยไม่ทราบสาเหตุ ผมอยากจะแทรกตัวเองออกไปกลับอากาศที่อยู่รอบตัว เหมือนผมไม่ได้มีตัวตนอีกแล้ว ใครกันทำให้เป็นแบบนี้ ความเจ็บปวดกระแทกเข้าไปลึกที่สุดของหัวใจ ที่ผมรู้ว่าไม่มีทางที่ใครจะรับรู้ได้เลย มีความจริงบางอย่างที่ผมทราบทันทีที่เธอพูดประโยคนั้นคือไม่มีใครจะเจ็บปวดแทนตัวเราได้ ถ้าเราไม่เลือกที่จะเดินออกมาจากความเจ็บปวดเองก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากมันได้เลย
ผมได้เริ่มเรียนรู้อะไรบางอย่างที่มีคุณค่า การจะห่างไกลจากความเจ็บปวด มีวิธีใดบ้างที่ผมจะทำได้ การร้องไห้ผมไม่เชื่อว่าการร้องไห้จะช่วยอะไรได้ ผู้ชายอย่างผมควรหรือจะมาร้องไห้กับเรื่องผู้หญิง แต่กลับเป็นว่าหยาดน้ำตาใสๆจากผู้ชายคนหนึ่งจากตาของผมมันมาช่วยชะล้างจิตใจให้เศร้าน้อยลงไปบ้าง อย่างน้อยทุกครั้งที่ผมร้องไห้เสร็จผมก็จะเหนื่อย และนอนหลับไปเพราะความเพลีย ที่ผมคิดอีกอย่างก็คือผมไปทำบาปกรรมอะไรกับใครไว้หรือไม่ ถ้าเคยพรากใครเขาให้จากกันในพบชาติใดก็ขอให้มันพ้นไปสิ้นกรรมกันแต่เพียงนี้ ยังจำคำพูดของกัญที่ใช้ปลอบใจเพื่อนหญิงที่ผิดหวังเรื่องความรักมาได้ไหมฉันเข้าใจ ฉันก็เคยเป็น แกยังโชคดีนะที่มีโอกาสได้รัก อาจจะนานหน่อยนะ แต่มันก็ต้องทำใจ ใช่แล้วผมกำลังคิดว่าอาจเป็นกรรมที่ผมทำกับกัญ คนที่กัญชอบอาจเป็นผม ผมไม่ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่ผมคิดในตอนแรก ผมไม่พูดความรู้สึกที่แท้จริงว่าเริ่มแรกนั้นผมสนใจในตัวกัญ ผมปฏิเสธในสิ่งที่ผู้ชายควรจะทำคือการเข้าไปหาเธอก่อนบ้าง ทั้งที่กัญคอยโทรหาผมตลอดและผมก็รู้ว่ากัญห่วงใยผมในทุกๆเรื่อง และไม่ว่าผมจะแสดงออกอย่างไรเธอก็รับได้เสมอนั้นเป็นสิ่งที่ผมคิด ไม่เคยรู้เลยว่าเธอจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เมื่อเวลาได้เปลี่ยนไปใจคนก็เปลี่ยนตามอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แม้ผมจะเปลี่ยนความรู้สึกไปเป็นเพื่อนแน่แท้กับกัญในภายหลัง ผมก็แสดงออกไปอย่างตัวผมรู้เพียงคนเดียว หากกัญสังเกตเห็นผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าการเปลี่ยนไปของผมจะสร้างความเจ็บปวดให้เธอได้มากแค่ไหน ถ้าผมบอกเอ่ยปากว่าเราเป็นเพื่อนกันอย่างจริงจังสักครั้งผมคงไม่รู้สึกผิดได้มากมายขนาดนี้ สิ่งที่ควรจะทำเมื่อนานมาแล้วอาจไม่มีค่าแล้วเมื่อเวลาผ่านไป แต่ยังไงผมก็จะพูด
กัญเราขอโทษ แกนะ
เรื่องอะไรของแก มาขอโทษอะไร
เมื่อก่อนเราเคยชอบแกนะ แต่พอรู้จักกันมากๆเข้า สนิทกันไปนานๆแกก็กลายมาเป็นเพื่อนรักของเราแทน เราขอโทษ ที่ไม่เคยบอกแกเลย หลังสิ้นเสียงผม ใบหน้าของกัญก็ต่างออกไป เหมือนว่ากำลังตกตลึงอะไรบ้างอย่าง พราวตาของกัญเริ่มเอ่อล้น แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มได้อย่างที่ผมไม่เคยเห็น เธอนิ่งไปสักพักก่อนจะเอื้อคำที่ประเสริฐยิ่งแก่ผม
ไม่เป็นไร อย่างน้อยแกก็รู้แล้ว แค่นี้ก็พอผมและกัญปิดข้อสนทนาสั้นๆเพียงแค่นั้น แต่จิตใจของเราก็ต่างเป็นอิสระจากกันโดยแท้
หลายวันจากนั้นผมกับกัญก็สนิทกันมากยิ่งขึ้น ความเป็นเพื่อนอย่างแท้จริงเกิดขึ้นได้เมื่อเราไม่คล่องใจกันและกันอีกต่อไป กัญบอกผมว่ายังมีอีกอย่างที่ช่วยให้หลุดพ้นความเจ็บปวด และผมก็เข้าใจในทันทีที่กัญบอก เวลาเท่านั้น เวลาจะบรรเทาทุกข์เวลาจะเยียวยาหัวใจ แม้จะไม่ทุกอย่างแต่เวลาก็มีผลมากที่สุดสำหรับเรื่องของความรัก ผมรู้แล้วกัญผมรู้แล้วว่ากว่าจะหยัดยืนอยู่ได้ทั้งที่ใจเจ็บปวดมันต้องอาศัยความเข้มแข็งแค่ไหน เวลาจะทำให้เราเคยชินเองและผ่านพ้นมันมาได้
แต่เรื่องของแก น้ำตากับเวลาไม่ช่วยอะไรหรอกนะ เพราะแกยังมีโอกาส กัญพูดกับผม และเฉลยอะไรบางอย่างแก่คนโง่เขลาเช่นผม
แกต้องมีความกล้า บอกความจริงให้ก้อยรู้สิ ถ้าแกปล่อยเวลาไปสิ่งที่แกเคยทำนอกจากมันจะไม่ให้อะไรกับแกแล้ว แกจะมีแต่เจ็บกับเจ็บที่ต้องคิดถึงมัน โดยที่เขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย บอกก้อยซะ แกรู้ไหม สิ่งที่จะช่วยให้คนเราพ้นจากความเจ็บปวดนะคือความกล้า กล้าที่พูดความจริง กล้าที่จะบอกออกไปโดยไม่กลัวที่จะเจ็บปวดทีหลัง เพราะความเจ็บปวดจากการเก็บกดไว้ในใจแบบที่เราไม่มีทางรู้อะไรเลยได้แต่คิดไปเองมันเจ็บมากว่าความเจ็บปวดจากเรื่องจริงที่ต้องยอมรับให้ได้นะแก
ผมอยากบอกว่าจากคำพูดของกัญวันนั้น เป็นแรงส่งชีวิตของผมเลยทีเดียว กัญคือเพื่อนรักเพียงคนเดียวของผม และยังเป็นคนที่ผมนับถือต่อเรื่องความเจ็บปวดที่เคยอดทนของเธอแม้ผมจะมีส่วนเกี่ยวข้อง เรียกได้ว่าผมสร้างกรรมไว้กับเธอ ความกล้าของผมเพียงบอกขอโทษเธอก็เป็นการปลดปล่อยจิตใจของเธอให้เป็นอิสระแล้วพอจะเป็นตัวอย่างได้ คนเราต้องมีความกล้าถึงจะอยู่อย่างเข้าใจตัวเองและรู้จักความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้ ตราบใดที่เรามีโอกาสก็จนใช้ความกล้านั้นคือสิ่งที่ผมคิดก่อนจะเอ่ยปากกับก้อย ว่าผมรักเธอ และไม่รู้ว่าผมรักเธอตั้งแต่เมื่อไร จำได้เพียงวันนั้นเธอเดินร้องไห้เข้ามาหาผมเพราะใครคนนั้นทำเธอให้ต้องเสียใจ จากนั้นผมก็รู้สึกเจ็บปวดเสมอมาเมื่อเห็นเธอเจ็บปวด ผมดีใจที่ก้อยคลายทุกข์ลงได้ สามปีที่ผ่านมาผมรู้สึกดีๆกับก้อย ความรู้สึกมันเพิ่มขึ้นทุกวันๆ และผมก็รู้ดีว่าก้อยกำลังคบกับใครคนใหม่อยู่ ผมขอบอกก้อยไว้เพียงเท่านี้ ความกล้าของผมประจักษ์ใจของผมเองไม่ว่าก้อยจะตอบเช่นไรผมก็จะยอมรับมัน ถึงแม้มันจะต้องเจ็บปวดก็ตามผมคิดว่าผมคงยอมรับได้ เพราะอย่างน้อยก้อยก็ได้รู้แล้ว ว่าผมรักเธอ สำหรับผมแค่นี้ก็พอ จริงไหม
อย่าหวาดหวั่นถ้าเขาบอกว่าไม่รัก
อย่าหยุดพักถ้าหัวใจเธอเรียกร้อง
อย่าท้อถอยถ้ารักนี้ไม่สมใจปอง
อย่าเก็บไว้ถ้าเธอรักเขาจริงจริง
22 มีนาคม 2550 00:39 น.
ภาเกตุ
บทรักคืนวิวาห์ 1/3
สรทัศน์ในชุดเจ้าบ่าวกำลังเปิดไฟเลี้ยว เพื่อเข้าวงแหวนรอบนอกไปทะลุถนนวิภาวดีรังสิต เส้นทางนี้จะช่วยพาเขาและเจ้าสาวคนสวยไปถึงเรือนรักได้เร็วที่สุด เขาเอื้อมมือไปเปิดวิทยุให้เล่นเพลงโปรดของเขาที่เหมาะกับช่วงเวลานี้พอดิบพอดี เพลงHOME ของไมเคิล บูลเบ
ดนตรีเอื่อยๆทำให้อารมณ์ของสุจิราล่องลอย เธอมองออกไปนอกหน้าต่างรถก่อนพับคอหลับไปเพราะความเพลีย โดยไม่ได้สังเกตว่าสรทัศน์มักจะเหลือบมองเธออยู่เสมอ
///.......หลับจนได้นะ สุจิรา นึกว่าจะเก่งได้นานกว่านี้ซะอีก ดูๆไปผู้หญิงคนนี้ก็สวยดี สวยเหมือนที่เจอกันวันแรกเลย นึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้ายื่นข้อเสนอเหมือนละครน้ำเน่าแบบนี้ได้ แต่งงานนี่นะคิดได้ยังไง ที่แปลกกว่านั้นทำไมต้องเป็นเรา สรทัศน์สุดหล่อคนนี้///
****สายลมพัดพาให้คลื่นทะเลนั้นซัดสาดเป็นระลอกๆ ชายหนุ่มกับกางเกงขาสั้นสีเข้มวิ่งวุ่นหาที่หลบภัย จากบรรดาสาวๆนางแบบหน้าใหม่ที่มักจะมาก่อกวนเขาเสมอ ขนาดวันนี้เขาขอลาพักร้อนมาถึงชะอำแล้วนะ สาวเจ้ายังตามกันมาจนได้ ความจริงเขาน่าจะไปหลบให้ไกลกว่านี้ เป็นเกาะร้างได้ยิ่งดี แต่เป็นไปไม่ได้หรอก งานคือเงินบันดาลความสุข คือสโลแกนของเขา สุดยอดช่างภาพฝีมือเยี่ยมของเมืองไทย นายสรทัศน์ นติสาโรจน์****
*****งานในห้องแลบ สำหรับสุจิราเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก งานเกี่ยวกับนิติเวช ไม่ว่าจะหาคราบเลือด พิสูจน์ลายนิ้วมือ ตรวจดีเอ็นเอ ล้วนแล้วแต่เป็นงานที่เธอเชี่ยวชาญทั้งนั้น การที่ได้ทำงานในสถาบันนิติเวชของเอกชนนี้ มีดีอยู่ที่เครื่องมือครบครันและงานที่หลากหลาย แต่แย่ตรงที่ต้องแข่งขันสูงทั้งกับคนไทยด้วยกันเองแล้วยังมีชาวต่างชาติเกรดเออีกหลายคน สุจิราจึงต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่องานนี้ ด้วยความที่เธอรักงานเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ชีวิตบางส่วนได้หายไปโดยไม่รู้ตัว****
และแล้วรถโตโยต้าคันงามของสรทัศน์ก็มาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังเล็กที่เน้นความร่มเย็นของบรรยากาศรอบๆมากกว่าตัวบ้าน สรทัศน์จัดการจอดรถให้เข้าที่ แล้วหลังมามองสุจิราที่ยังคงไม่รู้สึกตัว ชุดแต่งงานเกาะอกแบบนี้ช่างยั่วยวนใจของเขาซะจริงๆ มองละผ่านขึ้นไปที่ลำคอ ปลายคาง และริมฝีปากทรงกระจับ ทำให้หวนคิดถึง...จูบหวาบหวามที่เขาบรรจงมอบให้กับเธอที่งานเลี้ยงคืนนี้ คงไม่เป็นไงหรอกมั่ง ถ้าเขาจะ.....
***ทวนความทรงจำอีกสักครั้ง***
สุจิรา คุณ ตื่นได้แล้ว จะให้อุ้มคุณเข้าบ้านหรือไง ไม่เอานะ ผมคงไม่ไหวหรอก ดูตัวคุณซิ
สรทัศน์ปลุกสุจิราโดยจ้องมองหน้าและท่าทางเธออยู่ตลอด ใจหวังว่าเธอคงไม่รู้หรอกนาว่า เขาได้อะไรไปบ้างตอนที่เธอหลับอยู่
ถึงแล้วเหรอ อืม นี่กี่โมงแล้วนี่ หญิงสาวขยับตัวเพื่อสลัดความง่วง พร้อมส่งสายตาหานาฬิกาหน้ารถซึ่งดับไปแล้วพร้อมกับเครื่องยนต์ จึงหันต่อไปหาสรทัศน์ที่เลื่อนแขนเสื้อขึ้นเพื่อดูเวลาอยู่
เกือบจะตีสองแล้ว คุณ...รีบเข้าเถอะ วันนี้ผมยังต้องทำอะไร อะไร อีกเยอะ สรทัศน์ใช้สายตาสื่อความหมาย อะไรอะไร ของเขาอย่างแจ่มแจ้ง ตาของสุจิรายังงัวเงียๆอยู่แต่ก็พอจะรู้ความหมาย เธอไม่ตอบอะไรเพียงแต่ยกกระโปร่งลงจากรถอย่างสงบนิ่งก่อนจะหันไปพูดเพิ่มเติมกับสรทัศน์
ขอกุญแจด้วย
21 มีนาคม 2550 17:10 น.
ภาเกตุ
บทที่ 4
ที่ทางเดินเข้าบ้าน บ้านหลังสีฟ้าอ่อนระยิบระยับเมื่อต้องแสงนวลของดวงอาทิตย์ยามลับขอบฟ้า ผกายดาวเดินนำอรพิมล และณนที่ช่วยถือแฟ้มรายงานภาษาอังกฤษตั้งใหญ่ของผกายดาวเดินตามไปยังประตูบานใหญ่แกะสลักเป็นรูปนกยูงรำแพนสองตัวที่เปิดกว้างรอรับพวกเขาอยู่ สายตาของอรพิมลกวาดมองออกไปรอบๆ บ้าน บ้านหลังนี้ใหญ่จริงๆ เธอเองเพิ่งจะเคยเห็นของจริงเพราะเคยนึกว่าบ้านสวยๆแล้วยังใหญ่แบบนี้คงมีแต่ในละครเท่านั้น สนามหน้าบ้านถูกตกแต่งด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ทั้งต้นเล็กต้นใหญ่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี และเมื่ออรพิมลเดินเข้ามาถึงตัวบ้าน เสียงน้ำรินไหลดังกังวานสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย ก็มาประทะหูของเธอ หลังจากเดินผ่านประตูอรพิมลก็ได้เห็นถึงแหล่งที่มาของเสียง น้ำตกขนาดย่อมตั้งตระง่านอยู่ใจกลางบ้าน โขดหินที่เรียงเป็นชั้นๆถูกประดับตกแต่งด้วยหินสีที่ผ่านการเจียระไน ยิ่งได้น้ำใสสะอาดตกกระทบลงมาก็ยิ่งสะท้อนแสงราวกับเป็นอัญมณีวาววับ
......... กลับมาแล้วเหรอคะ คุณหญิง เสียงหญิงวัยกลางคนกล่าวต้อนรับพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม
......... ค่ะ วันนี้หญิงพาน้องรหัสคนใหม่มาอวดด้วย ชื่อน้องออยคะ ผกายดาวบรรยายและแนะนำอรพิมลให้รู้จัก ขณะที่อรพิมลยกมือไหว้อย่างสุภาพ
......... คุณภัทรค่ะ แล้วน้องไผ่กลับมารึยัง ผกายดาวถามต่อ
......... ไผ่กลับมาแล้วค่ะ ดูหนังสืออยู่ข้างบนนะคะ เดี๋ยวน้าไปตามให้นะคะ ภัทรวลีกล่าวตอบผกายดาวเสร็จก็ขึ้นไปตามลูกสาวอย่างที่พูด
.......... เอ๋ รถใครมา ไม่เคยเห็นเลย ผกายดาวเดินออกไปหน้าบ้าน มองหาเจ้าของรถคันแปลกหน้าว่าเป็นใครกัน
มีชายหนุ่มสองคนลงมาจากรถสปอร์ตเปิดประทุนสีดำเงา คนหนึ่งยิ้มหน้าระรื่นเสยผมยาวที่ตกมาละใบหน้า ก่อนจะจับปกเสื้อสีโศกของตนเองให้ตั้งขึ้นขยับเน็ทไทต์สีมรกตให้เข้าที่แล้วพับปกกลับอย่างเรียบร้อยขณะเดินเข้ามา อีกคนในชุดเสื้อยืดสีเทาซ้อนทับเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวในและกางเกงยีสต์ที่เข้ากับผมสั้นเกียนแบบทหารคว้าถุงสองสามถุงที่วางอยู่หลังรถมาด้วยก่อนจะเดินตามเข้ามา
......... โอ้โห นายซื้อรถใหม่อีกแล้วเหรอจิรา ผกายดาวเอ๋ยทักเสียงหลง
......... ใช่แล้ว เราอานะเปลี่ยนรถทุกเดือนแหละ สาวๆจะได้กรี๊ดไง จิรายุทธปั้นน้ำเป็นตัว แต่ก็ไปได้ไม่นานเท่าไหร่ เพราะกรเกล้าที่เดินตามมาสาธยายซะก่อน
.......... รถเราเอง แต่นายจิรามันอยากลองเครื่องน่ะ มันก็เลยอาสาขับส่วนเจ้ารถสีแดงแป๋นคันเก่าของมัน ยังจอดอยู่ที่บ้านเราอยู่เลย
โธ่เอ๊ย ไม่ใช่รถของตัวเองซะหน่อย ผกายดาวยอกย้อนจิรายุทธที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แก้เกล้อไปพลางๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องมาทักทายณนที่นั่งอยู่กับอรพิมลที่เก้าอี้รับแขกกำมะยี่สีน้ำเงินแทน
......... เฮ้ย ณนมานานรึยังวะ แอ๋... วันนี้พาแฟนใหม่มาเหรอ โอ้...สวยซะด้วย คำพูดชวนสนุกของจิรายุทธทำเอาหัวใจของอรพิมลเต้นแรงขึ้นมาทันใด
......... อย่าให้มากนักเลยแก จิรา น้องออยเขาเป็นน้องรหัสขององค์หญิงต่างหาก ณนพูดแก้ตัวด้วยน้ำเสียงเรียบๆและให้เกียรติอรพิมล ผกายดาวที่ฟังอยู่รู้สึกอยากจะแพล่นกระบานจิรายุทธเข้าจริงๆ
......... ก็ถึงว่า ถ้านายจะมีแฟนใหม่ ก็ไม่น่าพามาให้น้องไผ่เห็นเลย จิรายุทธพูดไปหน้าตาก็เริ่มกังวนใจเล็กน้อย เผอิญฝ่ามือของผกายดาวกระแทะมาที่ไหล่เข้าซะก่อน เมื่อเห็นผาณิตหญิงสาวใบหน้าแน่วนิ่งเดินเข้ามา อรพิมลที่นั่งฟังอยู่พอจะรู้ได้ว่า น้องไผ่ที่จิรายุทธพูดถึงคงจะหมายถึงผู้หญิงคนนี้เป็นแน่ ผาณิตเป็นผู้หญิงที่มีผิวพรรณและรูปร่างดี แถมยังแต่งตัวสวยทันสมัย เพียงแต่เธอผู้นี้กลับมีสายตาที่เศร้าสร้อยยิ่งนัก
20 มีนาคม 2550 23:13 น.
ภาเกตุ
บทที่ 3
น้องครับ ชายคนนั้นส่งเสียงเตือนสติเธออีกครั้ง อรพิมลออกจากภวังค์ เธอรู้ได้ว่าตอนนี้หน้าของเธอคงมีสีแดงขึ้นมาจับจองเสียแล้วแต่เธอก็ไม่ทำเสียเรื่องอีกคราวนี้เธอตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเขินไว้เล็กน้อย
........... มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าค่ะ
.......... คือพี่เห็นกระเป๋าเพื่อนพี่วางอยู่นะ แต่ไม่เห็นเขา ไม่ทราบว่าน้องรู้จักผกายดาวไหมครับ ชายคนนั้นพูดพลางชี้มือไปที่กระเป๋าสีม่วงอ่อนที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นเอง
.......... อ๋อ กระเป๋าพี่หญิง พี่มาหาพี่หญิงหรือคะ อรพิมลตอบไป เธอได้รู้แล้วว่าที่แท้ผู้ชายคนนี้ก็เป็นเพื่อนของพี่หญิงป้ารหัสของเธอ
.......... พี่หญิงไม่อยู่ค่ะ เห็นบอกว่าเหนื่อยแล้วก็ไปไหนไม่รู้
.......... เหรอครับ งั้นพี่นั่งรอตรงนี้ได้ไหม ไม่รบกวนน้องใช่ไหมครับ เขาขออรพิมลอย่างมีมารยาท และเมื่ออรพิมลอนุญาตชายหนุ่มจึงได้นั่งลงข้างเธอ การนั่งของเขาเว้นระยะห่างจากเธอพอประมาณ สำหรับอรพิมลแล้วเขาเป็นพวกชายที่สุภาพคนหนึ่งทีเดียว ระหว่างที่นั่งรอผกายดาว เขาไม่ได้ชวนอรพิมลคุยอีกแต่กลับสนใจหนังสือภาษาอังกฤษที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ และลองหยิบบางเล่มขึ้นมาอ่าน ซึ่งอรพิมลเองก็เช่นกันเธอยังคงอ่านหนังสือเล่มเดิมต่อไป แม้ตอนนี้ความรู้สึกจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม
.......... องค์หญิง ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ เสียงของชายหนุ่มทำให้อรพิมลเงยหน้าขึ้น ผกายดาวกำลังเดินทำหน้าเบื่อโลกไปดูดน้ำไปเดินตรงมายังพวกเขา เมื่อมาถึงผกายดาวก็นั่งลงที่เก้าอี้อีกฝากแล้วทำหน้ามุ่ยใส่กองหนังสือตรงหน้า
.......... ไงจ๊ะ เป็นอะไรบอกพี่ซิ ชายหนุ่มยังคงถามต่อด้วยคำถามที่นิ่มนวลจนอรพิมลอดเหลือบมองเขาไม่ได้
......... พี่ณน เราทำไม่ได้เลยทั้งข้อสอบเมื่อวาน ทั้งรายงานบ้าบอเนี่ย สงสัยเราจะเรียนไม่จบซะแล้วแหละ ผกายดาวเอ่ยตอบด้วยใบหน้าชวนให้คนฟังทั้งขำขันและน่าเห็นใจไปพร้อมกัน
......... อะไรกัน องค์หญิงอย่าเพิ่งท้อซิ
......... โห้ พี่ณนก็รู้ว่าเราเรียนไม่เก่ง แล้วก็ไม่ชอบเรียนด้วย ทำไมทุกคนต้องเข็นให้เราเรียนด้วย ผกายดาวร่ายถึงความอัดอั้นตันใจ แต่พอมองหน้าณนอีกครั้งเธอก็เริ่มนึกได้ว่าเมื่อกี้นี้ เธอนั่งอยู่กับอรพิมลน้องรหัส แล้วณนมาตั้งแต่เมื่อไร
......... อุ้ย แล้วพี่ณนมานานยังนี่ เรามัวแต่ไปเดินแก้เซ็ง
......... ไม่นานหรอก องค์หญิงกำลังทำรายงานอะไรอยู่ให้พี่ช่วยไหม ณนเสนอความคิดเห็นที่ฟังก็รู้ว่าสร้างความปิติยินเป็นอย่างยิ่งให้แก่ผกายดาว ซึ่งตอนนี้สีหน้าของเธอเต็มตื้นด้วยรอยยิ้ม (ก็ตอนนี้มีตัวช่วยถึงสองคนแล้วนี้ผกายดาว)
หลังจากนั้นผกายดาวก็ได้เริ่มทำรายงานวิจารณ์ภาษาอังกฤษของเธอสักที โดยมีทั้งชายหนุ่มที่มีทักษะภาษาอังกฤษเชี่ยวชาญอย่างณน และอรพิมลที่แม้จะเป็นรุ่นน้องแต่สำรับเรื่องภาษาอังกฤษเธอก็มีความรู้พอตัว จนณนเอ่ยปากชมเธอหลายครั้ง ณนช่วยเธออ่านและแปลซึ่งก็ดูเหมือนจะคล้ายเล่าเรื่องให้เธอฟังซะมากกว่า อรพิมลช่วยวิจารณ์บทความเป็นภาษาอังกฤษร่วมกับผกายดาวที่ขอวิจารณ์เป็นภาษไทยก่อนแล้วค่อยแอบไปให้ณนแปลเป็นอังกฤษให้อีกที ทั้งสามช่วยกันคิดช่วยกันทำ บรรยากาศที่เริ่มร่มเย็นลงแม้ว่าพระอาทิตย์จะยังไม่ตกดินก็ตาม ผกายดาวยกแขนดูนาฬิกา
......... นี่จะสี่โมงขึ้นแล้ว พี่ณน ออย เอาไว้แค่นี้ก่อนดีไหม นี่ก็เกือบเสร็จแล้ว เหลืออีกสองสามบทแล้วก็วิจารณ์ตัวละคร
......... ทำไมไม่ทำให้เสร็จเลยล่ะคะ อรพิมลที่สนุกกับการอ่าน แปลแล้วก็วิจารณ์ ไม่ได้รู้ถึงความรู้สึกเหนื่อยสุดๆของคนภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงอย่างผกายดาวเอาซะเลย
......... ไม่ดีกว่า คือพี่รู้สึกเหนื่อยนะ โอ้....เหนื่อยแล้วจริงๆ พักก่อนนะนะ ผกายดาวใช้เสียงออดอ้อนโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพี่เป็นน้องกันแน่ อรพิมลจึงได้แต่ยิ้มยอมทำตามแต่โดยดี ณนที่รู้หน้าที่เริ่มเก็บของที่กระจัดกระจายอย่างประณีต มีการเขียนหน้าหัวกระดาษไว้เสร็จเรียบร้อยก่อนจะใส่แฟ้มชนิดที่ผกายดาวไม่ต้องเอ่ยปากเลย อรพิมลที่ดูอยู่นั้นรู้สึกชื่นชมเข้าอย่างมากในความรู้สึกนั้นยังมีสิ่งอื่นที่แปลกๆปะปนอยู่อีก ..............ตอนนี้สิ่งที่เธออยากรู้คือณนจะเป็นเพื่อนกับผกายดาวจริงอย่างที่เขาบอกกับเธอตอนเจอกันครั้งแรกหรือไม่
.......... น้องออย ไปบ้านพี่หญิงนะ วันนี้พี่หญิงเลี้ยงเองอุตส่าห์ มาช่วยพี่เกือบทั้งวันนะนะ ผกายดาวใช้เสียงอ้อนอีกครั้งชวนอรพิมล ขณะที่อรพิมลอ้ำอึ้งอยู่นั้นก็มีเสียงหนึ่งที่ทำให้เธออยากจะไปขึ้นมา
.......... ไปด้วยกันสิครับ น้องออย พี่ก็ไปด้วย ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ สิ้นเสียงนั้น อรพิมลสาวน้อยร่างเล็กก็ตัดสินใจรับคำชวนทันที
20 มีนาคม 2550 21:04 น.
ภาเกตุ
บทรักคืนวิวาห์1/1
เสียงปรบซ่าซ่านดังขึ้นพร้อมการปรากฎตัวของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
***
"สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติทุกท่านวันนี้ เป็นวันที่เป็นมงคลยิ่งนักสำหรับคู่บ่าวสาวที่รักกันอย่างยาวนานถึง...ฮึ ...สา..สะ 3วัน"พิธีกรในงานถึงกับอึ้งแต่ก็ปรับสีหน้าทันควัน และต่อด้วยถ้อยคำที่สร้างสรรค์สมกับเป็นพิธีกร
"เห็นไม่ครับทุกท่านความรักนั้น เวลาไม่ได้มีสำคัญเหนือกว่าจิตใจ ลองเมื่อรักกันแล้วนะครับ ผมคงจะพูดได้ว่าความรักของทั้งคู่ คือรักแรกพบที่แท้จริงครับทุกท่าน" ได้ยินดังนั้นทำให้แขกหลายคนถึงกับส่งเสียงฮือฮา
"เอาละครับ บัดนี้ของเชิญเจ้าบ่าว คุณสรทัศน์ นติสาโรจน์ หรือ คุณป้อของเราออกมากล่าวอะไรสักนิด"
****ชายหนุ่มในชุดเจ้าบาวสีครีม ก้าวออกมาข้างหน้า บรรจบพอดีกับแสงไฟในงานส่องกระทบหน้าให้เห็นเป็นว่า ชายคนนี้มีดีที่รูปร่างสูงโปร่งแต่งไม่ผอมบาง ผิวสีขาวนวลที่ใบหน้าอมชมพู่เล็กน้อย แต่ก็ยังดูมาดแมนด้วยรอยหนวดเคราที่ดูพอดิบพอดีซะเหลือเกิน****
"วันนี้ผมแต่งงาน ก็ไม่รู้นะว่าจะเป็นไง วันแต่งงานเขาทำอะไรกัน เอาเป็นว่าผมจะทำหมดทุกอย่างเลย ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติมากครับ" เพื่อนพ้องฝ่ายเจ้าบ่างส่งเสียงฮา
"อย่าให้พลาด อย่าให้พลาด"
"ไม่พลาดแน่" เจ้าบ่าวตอบกับไปพลันเรียกเสียงฮาอีกรอบ
จากนั้นพิธีกรเชิญฝ่ายเจ้าสาวออกมาบ้าง
****สาวร่างอวบในชุดลูกไม้เกาะอกเน้นเนินอกสีขาวระยิบระยับนามว่า สุจิรา ก้าวมาอยู่เคียงข้างผู้เป็นเจ้าบ่าวของเธอ ผิวสีน้ำผึ้งกับผมสีดำคลับที่ถูกรวบรัดไว้ด้านหลังดูเข้ากันได้ดี พิศดูดวงตาช่างกลมหวานมีเสน่ห์ จมูกเรียวเป็นสันประกอบปากที่แดงระเรื่ออวบอิ่มน่าลิ้มลอง ใครเห็นก็ต่างอิจฉาเจ้าบ่าวทั้งนั้น****
"ขอบคุณ เพื่อนทุกคนที่ช่วยเตรียมงาน และทำให้งานเป็นไปตามวิถีที่ควรจะเป็น" สุจิราพูดน้อยจนพิธีกรต้องรีบแก้สถานการณ์
"เจ้าสาวคงจะเขินนาครับเลยพูดน้อยไปหน่อย เอาเป็นว่าถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยแล้วครับเจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาวหน่อยครับ"
เฮ......เฮ เสียงเฮจากเหล่าเพื่อนจอมกวน กระตุ้นอารมณ์ฮึกเหิมของเจ้าบ่าวเขามองตาเจ้าสาวหมายจะได้รับการตอบรับที่ดีจากเธอ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นเจ้าสาวคนสวยยังวางหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไอ้อาการแบบสำหรับนายป้อแล้วมันยิ่งน่า....จะเป็นไรมั้ยถ้าเขาจะไม่หอมแก้มเธอ
****แต่จะ....****
สรทัศน์ใช้อุ้มมือทั้งสองประคองใบหน้าของสุจิราเจ้าสาวให้หันมาทางเขาอย่างรวดเร็ว และบรรจงประกบริมฝีปากอวบอิ่มโดยที่หญิงสาวยังไม่ทันตั้งตัว ไม่เพียงเท่านี้เขายังสอนวิธีจูบที่แท้จริงแก่หล่อนท่ามกลางสายตาผู้คนในงาน
สุริจารู้สึกเหมือนกำลังถูกโจมตีอย่างดุเดือดจากชายหนุ่ม รสลิ้นที่หอมหวนพาลเอาจิตใจของหญิงสาวเคลิ้มตาม แต่เธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากปล่อยเขาไปและคิดว่าเขาคงจะหยุดมันในเวลาที่เร็วที่สุด
สรทัศน์ถอนริมฝีปากออกพลางอมยิ้มอย่างได้ใจก่อนจะหันไป ทักทายเพื่อนที่อื่ออึงกับการจูบอย่างดูดดื่มของเขา เป็นไงเขาเจ็งมั้ย
เสี้ยววินาทีสรทัศน์หันกลับไปมองสุจิราอีกครั้ง ใจคาดว่าเธอคงเขินหรือไม่ก็อายเต็มที เขาคาดผิดจริงๆ สุริจายังคงยืนนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเช่นเดิม
///.........ผู้หญิงคนนี้แซบจริงๆ ขนาดเขาจูบเธอถึงเพียงนี้ยังไม่รู้สึกรู้สา เอาเถอะคืนนี้ได้รู้กันแน่ สุจิรา!.....///
----------------------------------------------------
บทรักคืนวิวาห์1/2
เข็มนาฬิกามาพบกันที่เลข12พอดี เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว สรทัศน์รู้สึกเพลียอยู่เนืองๆ งานคืนนี้มาถึงตอนจบ ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างพร้อมใจกันมายืนส่งแขกที่หน้างาน
ยังมีชายหนุ่มอีกคนที่ใจจริงยังไม่พร้อมออกไปเจอใครที่หน้างาน เขาเดินโซซัดโซเซด้วยฤทธ์แอลกอฮอล์ตรงมาที่คู่บ่าวสาว
"ซูซาน ทำไมคุณทำกับผมแบบนี้ ซูซาน..." พอเข้ามาถึงได้ หนุ่มหน้าฝรั่งแต่ทำตัวเหมือนพวกขี้เมา ก็พูดพ่ามเสียงดัง
****สุจิราเห็นเข้าก็ตกใจ ใช่แล้วเขามักเรียกเธอว่า ซูซาน วันนี้เธอรู้ตัวว่าทำให้เขาเสียใจมากแค่ไหน****
****สรทัศน์ที่เห็นเหตุการณ์อยู่เช่นกัน มองตรงไปที่พ่อหนุ่มลูกครึ่งอย่างพิจารณา ก็หล่อดีนี่นา //...แต่ไอ้บ้าเอ้ย แกไม่เห็นที่ฉันจูบหล่อนเมื่อกี้เหรอไง...// ****
ด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกลของสรทัศน์ เขาจึงใช้เวลาจัดการหนุ่มน่าสงสารคนนี้เพียงแป๊บเดียวเท่านั้น
"น้องๆ ทำไมปล่อยให้ฝรั่งขี้เมามาป่วนในงานพี่ล่ะ รีบจัดการเลยนะ" สรทัศน์ใช้น้ำเสียงเด็ดขาด บริกรสองสามคนแถวนั้นจึงรีบกระวีกระวาดทำตามที่เขาสั่ง แม้เจ้าฝรั่งนั่นจะขัดขืน แถมเอะอะโวยวายแต่ก็ถูกลากออกไปจนได้
สรทัศน์หันมายักคิ้วลิ่วตาให้กับเจ้าสาวของเขาก่อนจะหันไปบอกเพื่อนๆ โดยเล่นบทชายผู้แสนดีที่สงสารหนุ่มลูกครึ่งขี้เมาเพราะอกหัก ไม่เหมือนเขาที่มีแต่ได้กับได้ 5555
///.....โธ่ มาร์ค ฉันขอโทษแต่มันคงดีที่สุดแล้วสำหรับเรา และนี่ก็คือจุดประสงค์ข้อหนึ่งที่ฉันต้องมาแต่งงานกับนายนี่....///