5 มกราคม 2551 02:20 น.
ภาวิดา
สุขใดไหนเท่าเราทำงาน
ได้หลอกจิตคิดจารให้ผ่านพ้น
นี่หรือจุดมุ่งหมายของหลายคน
ที่หลากล้นออกกล้ามหา'ลัย
ฉันก็เป็น...หนึ่ง หนึ่งในนั้น
ทุก-ทุกวันทำวุ่นว่องในห้องใส
นี่หรืออิสระ..อิสระ ดังคำใคร
เคยเข้าใจ..มันไม่ได้เป็นอย่างนี้
แต่สังคมนำพามาสู่ห้อง
คนจับจ้องล้มสู้เพื่อศักดิ์ศรี
ฉันคนหนึ่ง..ลองสู้ดูสักที
มันก็ดูเข้าที - เข้าที่ทาง
เมื่อจมกลืนกับงานไม่รานถอน
ถุงย่ามกลอนถูกละทิ้งพิงฝาข้าง
บรรจุอักษรนอนเคล้าอย่างเบาบาง
ถนนร้างนักเลงกวีไม่มีแล้ว
ไฟเคยโชติลุกช่วงเป็นพวงแสง
ฤทธิ์สำแดงฉันทลักษณ์สลักแก้ว
เมื่อไฟมอดรอดดังถ่านที่ด้านแวว
สัมผัสแพรวทลายยับลงกับดิน
ฝันนั้นหรือ........
ฝันคือความจริงอันสูญสิ้น
ส่วนความจริงคือฝันที่โรยริน
เพียงแค่กลิ่นชมชื่นแค่ตื่นใจ
นำย่ามกลอนทับไว้กับไอฝุ่น
เราอาบอุ่นไอหล้าบนฟ้าใส
รอวันล้มหลุดรั้งมาครั้งใด
หันกลับไปค้นย่ามตามอารมณ์
9 สิงหาคม 2550 22:14 น.
ภาวิดา
เปรียบเหมือนเริ่มต้นชีวิตใหม่
ในเช้าของทุกวันที่เร่งรีบ
ทุกคนล้วนปากกัดตีนถีบ
ฉันตัวลีบอยู่ในซอกสังคม
รถไฟเด็กเล่นแล่นชนร่าง
ในโลกใบกว้างที่ขื่นขม
ฉันอยู่เพื่อรักเพื่อชื่นชม
เมื่อสุขเมื่อสมเมื่อค้นคิด
ฉันพยายามเข้าใจทุกสิ่ง
ตั้งค่าสิ่งถูกปลูกตราผิด
ชำกล้าอารมณ์บ่มชีวิต
ในอากาศธาตุพิษจริตเมือง
"เรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลง"
คำคมทิ่มแทงใบไม้เหลือง
แม้จะร้อนอ้าวริดคราปลิดเปลือง
แต่ยังแย้มประเทืองกับอารมณ์
6 สิงหา
กึ่งหนึ่งทะยานกล้าว่าเหมาะสม
กึ่งค่อนอ่อนล้าในอารมณ์
แต่ยังอุดมประทุ-อุดมการณ์
ก้าวไปเถิดความคิดจริตนี้
มุ่งสู่วิถีที่ใครขับขาน
มุ่งไปเถิดทางเท้าก้าวตระการ
แต่วิญญาณยังอยู่ในตัวกาย
21 ธันวาคม 2549 15:21 น.
ภาวิดา
หนึ่งคนหายากรู้................ตนลักษณ์
ครวญคิดก่อนประจักษ์......จิตรู้
โจทย์ชีพช่างนานนัก........นานแน่ นานนา
ขบคิดแสวงต่อสู้...............ต่อต้านแต่งเติม
เดิมเขาดั่งเขลาเข้า...........เขลาเห็น
ปลาบ่รู้น้ำเป็น....................ปกป้อง
วิหคห่างลอดตาเล็น..........ใจห่าง ด้วยนา
วนคิดวนจิตต้อง................ต่างข้องต่างคำ
ดำเนินมาจวบม่าน.............จบสมัย
ดำริดำรงไว้........................แก่กล้า
ดำห่างด่างใดใด................หากแค่ ห่างฤๅ
เดินล่องหลงแหล่งหล้า......หลบฟ้า หลบดิน
พรอินทร์พรพากย์ผู้.............สมพร
พรพลัดประภัสสร................ผ่อนหล้า
พรพลัดพลันบังอร..............บังอาจ บารนี
พรพากย์แผ่นภพหน้า..........ผิดท่านผิดพร
ศศิธรจรจากฟ้า...................ฝ่าดิน
อาทิตย์สาดฟาดธรนินทร์...แผดส้าน
วายุผ่าภพพังภินท์...............ผาดพุ่ง
นทีแทรกลิดผืนม่าน............หมอก-รุ้งกรุงกลืน
บุคลิกภาพ 9 แบบ
http://dekisugi.net/enneagram/index.jsp
6 ธันวาคม 2549 15:55 น.
ภาวิดา
ลลิตาฉันท์ ๑๒
ดั่งแสงตะวัน ธ กรุณา...........นภากระจ่าง
สาดส่องประชาสิริสว่าง..........สถิตสมัย
แสงจ้าอุษาปะทะประเทือง....ก็เรืองอุไร
แสงส่องสยามพระหฤทัย.......พิสุทธิ์พิศาล
แสงจันทร์ประดุจ ธ อนุสรณ์....นครวิกาล
สอดส่องประชาสิริสำราญ........สว่างไสว
แสงเทียนประพันธ์คุณะดำริ....คติคระไล
แสงส่องประทีบนภะอำไพ.......ก็สรรเสริญ
ขอองค์บิดาวิริยะคง..............ทรงพระเจริญ
ส่องแสงประเทศสุริยเดิน.......พิจิตรพิจารณ์
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า
(ภาวิดา ผู้ประพันธ์)
20 กันยายน 2549 00:58 น.
ภาวิดา
กรีดคมดาบกวาดคมสอดบนยอดหญ้า
น้ำค้างหยดจากฟ้าผ่าเดือนหงาย
แสงหิ่งห้อยคล้อยแสงดับอยู่วับวาย
กลับมีลมพัดพรายมาลิบลิบ
เสียงช้างหวีดกรีดร้องอยู่กลางป่า
ปลายใบหญ้าคล้อยไหวไยเงียบกริบ
ได้ยินไหมใบข้างต่างกระซิบ
บ้างกระทบพบกระพริบอยู่แซ่ซร้อง
ยามมืดมิดปิดทึบบนหลืบฟ้า
ยามอับแสงจันทราดาราส่อง
แย้มแสงนวลอวลอุ่นกรุ่นละออง
ยังรอเช้าแสงทองอย่างล่องลอย
นั่นแสงทองจุดนั้นนั่นแสงจ้า
จุดยิ่งแรงแสงยิ่งล้ายิ่งล่าถอย
หากจะเป็นแสงเทียนที่เฝ้าคอย
หรือแสงกริ่งหิ่งห้อยในหัวใจ
เสือโหยหิวยืนยืดอยู่ยอดผา
กับหมาป่าหน้าโม่งในพุ่มไม้
เตรียมกระโจนโค่นป่าพนาราย
เหยียบยอดหญ้าหญ้าวายลงพื้นยับ
ต้นสามสีสุดท้องที่ท้ายทุ่ง
เหยี่ยวเพ่งพุ่งจิกโฉบตรลบตรับ
ฝูงมดดำเดินหน้าออกตราทัพ
ออกจากรังยุบยับขับพิรุณ
โครมโครมกึกก้องบนท้องฟ้า
ปีกเมฆาพร่าพรมพร้อมลมหมุน
จักเจาะพื้นไพรป่าล่าอรุณ
น้ำข้นขุ่นแดงฉานบนลานดิน
ยามมีภัยยามหญ้ายังอยู่ยาก
ยังฝังรากยึดพื้นยังผืนสินธุ์
นกมีหูเมื่อหนูมีปีกบิน
ก็ผกผินบินร่อนหลบซ่อนไป
หญ้าเอ๋ย
เจ้าเคยยืนหยัดและอยู่ไหว
เจ้าหวังเพียงอยู่อย่างสบายใจ
ใต้ร่มเงาร่มไทรที่ร่มเย็น
หญ้า...นั่นหรือ
นั่นคือที่เจ้าอยากจะเห็น
อย่างไหนที่เจ้าอยากให้เป็น
ให้ฝันเช่นเห็นจริงหรือสิ่งใด