7 เมษายน 2548 20:00 น.
ฟ้าใส, ราตรีผีเสื้อ
มีชายตาบอดคนหนึ่งกำลังจะออกจากบ้านเพื่อนเพื่อเดินทางกลับบ้าน ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน เพื่อนผู้หวังดีของเขาแนะนำให้ชายตาบอดนำโคมไฟติดตัวไปด้วย แต่ ยังไม่ทันที่เพื่อนของเขาจะพูดจบ ชายตาบอดกลับหัวเราะออกมาและพูดสวนกลับมาว่า
ทำไมฉันต้องเอาโคมไฟนี่ไปด้วยล่ะ ฉันน่ะรู้ทางไปบ้านของฉันดี ไม่จำเป็นหรอก
แต่เพื่อสนองความหวังดีของเพื่อนเขาจึงจำต้องเอาโคมไฟนั้นมาด้วย และเมื่อเขาเดินทางไปได้สักพัก ก็มีคนเดินมาชนเขาเข้า ทำให้เขาตกใจ และรู้สึกโกรธขึ้นมาตงิดๆ แล้วเขาก็ตะโกนขึ้นมาว่า
เฮ้ย !!! นี่คุณไม่ได้ตาบอดซะหน่อย ช่วยหลีกทางให้คนตาบอดเดินหน่อยไม่ได้รึไงกัน
แล้วชายตาบอกก็เดินทางต่อไป แต่แล้วก็มีคนอื่นเดินมาชนเขาอีกครั้ง คราวนี้ความโกรธของเขาทวีความรุนแรงขึ้น เขาตะโกนถามคนที่เพิ่งเดินชนเขาว่า
นี่ คุณตาบอดรึไงกัน ไม่เห็นแสงโคมไฟของผมหรอ ผมอุตส่าห์ถือมันมาเพื่อให้คุณมองเห็นผมนะเนี่ย
ชายแปลกหน้าตอบชายตาบอดว่า นี่คุณตาบอดหรือนี่ คุณไม่เห็นหรอว่าโคมไฟของคุณน่ะมันดับไปแล้ว
ชายตาบอดชะงักกับคำตอบที่ได้ไปครู่หนึ่ง แล้วชายแปลกหน้าคนนั้นก็ขอโทษชายตาบอด
ขอโทษทีครับ ผมก็เป็นคนตาบอดเหมือนกัน ผมมองไม่เห็นว่าคุณก็ตาบอดเหมือนกับผม
ไม่หรอกครับ ผมต่างหากเป็นฝ่ายที่ต้องขอโทษที่ผมหยาบคายกับคุณ
ชายตาบอดทั้งสองรู้สึกอายเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นชายตาบอดยังคงเดินทางต่อไป และแล้วเขาก็ถูกชนอีกครั้ง ครั้งนี้เขาระวังมากขึ้น เขาถามคนที่เดินชนเขาอย่างสุภาพว่า
ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าโคมไฟของผมดับรึเปล่าครับ
ชายแปลกหน้าคนที่สองตอบว่า
เอ้ !! แปลกจริงๆ นั่นมันเป็นคำถามที่ผมต้องถามคุณนี่นา โคมไฟผมดับหรือครับ
ชายทั้งสองหยุดเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามกันและกันว่า
คุณตาบอดรึเปล่า ?
ใช่ !!!
ชายทั้งสองคนตอบพร้อมกัน แล้วชายตาบอดทั้งสองคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะคำตอบของพวกเขาเอง จากนั้นชายตาบอดทั้งสองก็คลำไปที่โคมไฟเพื่อพยายามจะจุดมันขึ้นมาใหม่ ขณะนั้นเองก็มีคนเดินผ่านมา เขาเห็นชายทั้งสองยืนอยู่จึงเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่งเพื่อจได้ไม่เดินชนกัน เขาคนนั้นไม่ทราบหรอกว่าชายทั้งที่ยืนอยู่นั้นเป็นคนตาบอด และเมื่อเขาเดินผ่านไปเขายังนึกในใจว่า
บางที ถ้าเราเอาโคมไฟมาด้วยก็คงจะดี จะได้เห็นทางได้ชัดขึ้น และคนอื่นก็จะได้พลอยเห็นทางไปด้วย
โดยไม่มีใครทราบเพื่อนผู้หวังดีของชายตาบอดคนแรกได้ถือโคมไฟเดินทางตามมาอย่างเงียบๆ เพื่อเขาจะได้แน่ใจว่าชายตาบอดเพื่อนของเขาจะเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย เขายิ้มกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น และเขาก็หวังว่าเพื่อนของเขาคงได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์ที่ชายตาบอดได้เจอในครั้งนี้ด้วยตัวของเขาเอง
หากท่านอ่านนิทานเรื่องนี้แล้วเข้าใจ กรุณาบอกหน่อยเถอะครับ ว่านิทานเรื่องนี้สอนใจเราว่าอย่างไร
7 เมษายน 2548 19:50 น.
ฟ้าใส, ราตรีผีเสื้อ
พระเซนชรารูปหนึ่งในประเทศจีนซึ่งปฏิบัติภาวนาอยู่นานหลายปี ท่านมีจิตดีและกลายเป็นคนสงบเงียบมาก แต่ก็ยังไม่เคยสัมผัสการสิ้นสุดแห่ง "ฉัน" และ "ผู้อื่น" ภายในใจได้อย่างแท้จริง ท่านไม่เคยบรรลุถึงต้นธารความนิ่งหรือศานติที่สมบูรณ์ซึ่งเป็นบ่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไปขออนุญาตอาจารย์ว่า
"ผมขอออกไปปฏิบัติบนเทือกเขาได้ไหมครับ ผมถือบวชและฝึกฝนมานานหลายปี ไม่ต้องการอื่นใดนอกจากการเข้าใจธรรมชาติแท้ของตนเองและโลก"
อาจารย์รู้ว่าจิตของพระรูปนี้สุกงอมแล้วจึงอนุญาตให้ไปได้ ท่านออกจากวัดโดยมีบาตรและบริขารเพียงเล็กน้อยติดตัว ระหว่างทางได้เดินผ่านเมืองต่าง ๆ หลายเมือง ครั้นออกจากหมู่บ้านสุดท้ายก่อนขึ้นเขา ปรากฎว่ามีชายชราคนหนึ่งเดินสวนทางลงมา ชายคนนั้นมีห่อใหญ่มากเป้ติดหลังมาด้วย (ชายชราผู้นี้แท้จริงแล้วคือพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ซึ่งพุทธศาสนิกชาวจีนเชื่อกันว่าจะมาปรากฎแก่คนที่มีจิตสุกงอมในจังหวะที่เขาจะบรรลุธรรม ภาพของพระมัญชุศรีที่มีการบรรยายไว้มาก มักเป็นภาพพระองค์ถือดาบแห่งปรีชาญาณคมกริบที่สามารถตัดความยึดมั่น มายาคติ และความรู้สึกแบ่งแยกได้หมดสิ้น) ชายชราเอ่ยทักพระว่า
"สหาย ท่านกำลังจะไปไหนหรือ"
พระจึงเล่าเรื่องของตนว่า
"เราปฏิบัติมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่ต้องการคือการได้สัมผัสจุดศูนย์กลางนั้น คือการรู้สิ่งที่เป็นแก่นแท้แห่งชีวิต บอกเราเถิดผู้เฒ่า ท่านทราบอะไรเกี่ยวกับความรู้แจ้งนี้บ้างไหม"
จังหวะนั้นชายชราเพียงแต่ปลดของที่แบกมาปล่อยให้หล่นลงพื้น แล้วพระก็บรรลุธรรมตามแบบฉบับนิทานเซนที่ดี ความหมายก็คือ เราต้องรู้จักปล่อยวางความทะเยอทะยานและสิ่งที่ยึดมั่นว่าเป็นภารกิจ ปล่อยวางอดีต อนาคต อัตลักษณ์ ความกลัว ทัศนคติ ความรู้สึกแห่งความเป็น "ตัวฉัน" และ "ของฉัน" เสียให้สิ้น
มาถึงจุดนี้ พระเพิ่งบรรลุธรรมมองชายชราอย่างสับสนเล็กน้อยว่าควรทำอย่างไรต่อไป ท่านถามว่า
"แล้วต่อไปล่ะ"
ชายชรายิ้มก่อนก้มลงหยิบห่อของมา เป้ใส่หลังอีกครั้งแล้วเดินเข้าเมืองไป
การจะวางแอกหนักลงได้นั้น ก่อนอื่นเราต้องรับรู้ทุกอย่างที่แบกอยู่ กล่าวคือ เราต้องเห็นความทุกข์โศกของตนเอง เห็นความยึดมั่นและความเจ็บปวด เห็นความที่เราทั้งหลายต่างก็อยู่ในวังวนนี้ และยอมรับการเกิดและการตาย หากเราไม่เผชิญหน้า ถ้าเรากลัวตาย กลัวการยอมระวางและไม่อยากมอง เราไม่อาจเปลื้องความทุกข์โศกไปได้ มีแต่จะผลักไสมันแล้วก็หวนมายึดจับกลับไปกลับมาอยู่เท่านั้นเอง เราจะปลงภาระได้ก็ต่อเมื่อได้เห็นธรรมชาติของชีวิตอย่างตรงไปตรงมาแล้วเท่านั้น ครั้นแล้วด้วยปัญญากรุณา เราก็สามารถหยิบมันขึ้นมาใหม่ เมื่อปล่อยวางแล้ว เราย่อมกระทำการต่าง ๆ ในโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือกระทั่งอย่างน่าทึ่ง โดยไม่รู้สึกขมขื่นหรือเกิดความสำคัญตนแต่อย่างใด.
4 เมษายน 2548 14:00 น.
ฟ้าใส, ราตรีผีเสื้อ
มสกชาดก ชาดกว่าด้วยความบ้องตื้น
สถานที่ตรัสชาดก หมู่บ้านแห่งหนึ่งในแคว้นมคธ
เนื้อหาชาดกชาดก
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในแคว้นกาสี ชายชาวบ้านทุกคนที่มีฝีมือในการก่อสร้างทำเครื่องเขียนแกะสลักไม้เป็นอย่างมาก วันหนึ่งขณะที่ช่างไม้คนหนึ่ง กำลังถากไม้อยู่นั้น ยุงตัวหนึ่งได้บินมาแกะที่กลางหัวล้าน แล้วมันก็ใช้ปากอันแหลมคมของมันแทงลงไปกลางหัวนั้นทันที ช่างไม้นั้นก็สะดุ้งตกใจบวกกับความโกรธ ใน ขณะนั้นทำให้เขารู้สึกว่า ความเจ็บปวดนั้นแสนสาหัสราวกับถูกหอกแหลม ๆ ปักลงมาเต็มที่เข้าจึงทนนั่งคอแข็ง ไม่ขยับตัว เพราะกลัวยุงจะบินหนีไปเสีย พรางร้องสั่งลูกชายซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ว่า ลูกเอ๋ย อ้าย ยุงวายร้ายมันกำลังเจาะกระบาลพ่ออยู่ เจ็บยังกะถูกหอกแทง เองรีบมา จ๊วกมันให้ตายทีเถอะ
ลูกชายได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า พ่อนั่งนิ่ง ๆนะ เดี๋ยวฉันจะจ๊วกมันให้ขาดสองท่อนเลย ว่าแล้วลูกชายก็คว้าขวานที่วางอยู่แถว ๆ นั้นแล้วย่องเข้ามาทางด้านหลัง ตาก็จ้องเขม็งไปที่ยุง ที่แกะนิ่งอยู่บนหัวล้านพ่อ แล้วเงื้อขวานฟันฉัวะลงไปเต็มแรง พอสิ้นเสียฉัวะ หัวล้านของช่างไม้ก็แบะออกเป็นสองเสี่ยง ทั้งเลือดทั้งมันสมองแตกกระจาย ช่างไม้ก็ตายคาที่ตรงนั้นเอง
ในขณะนั้นมีพ่อค้าผู้หนึ่งกำลังหาซื้อของอยู่แถวนั้น บังเอิญแวะเข้าไปพักอยู่ในโรงช่างของช่างไม้พอดี เมื่อเห็นลูกช่างไม้เงื้อขวานขึ้นฟันหัวพ่อก็รีบร้องห้ามแต่ก็ไม่ทันการ จึงได้แต่ยืนดูศพของช่างไม้ด้วยความสลดใจ แล้วก็รำพึงว่า มีศัตรูที่มีปัญญา ยังดีเสียกว่ามีมิตรที่โง่เขล่า ลูกโง่ของช่างไม้คิดว่าจะฆ่ายุง กลับฟันหัวพ่อเสียเป็นสองเสี่ยง
ประชุมชาดก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า
พ่อค้าที่เห็นเหตุการณ์ ได้มาเป็นพระองค์เอง
ข้อคิดจากชาดก
1. การที่คนเราคิดจะฆ่าผู้อื่น แต่แล้วกลับกลายเป็นการฆ่าตัวเอง แม้ในปัจจุบันก็มีเช่น การที่เราใช้ยาฆ่าแมลงฉีดพ้นเพื่อฆ่ามด ยุง แมลงสาบ ตั๊กแตน เป็นต้น แม้จะฆ่าได้บ้างแต่พิษของยาฆ่าแมลงที่ตกค้างอยู่ตามเสื้อผ้า บ้านเรือน ผักผลไม้ และยังคงส่งผลร้ายให้ตนได้รับสารพิษนั้นทีละเล็กทีละน้อย เป็นการฆ่าตัวตายผ่อนส่งโดยไม่รู้ตัว
2. แม้ในการหาเงินตราเข้าประเทศ นักการเมืองบาบงท่านเสนอให้นำอบายมุข เป็นต้นว่า บ่อนการพนัน การบันเทิงเริงรมย์ มาเป็นเครื่องล่อชาวต่างชาติ โดยไม่คำนึงถึงว่าจะทำให้คุณธรรมความดี ของคนหายไปอย่างไรบ้าง นับว่าเป็นความบ้องตื่นไร้ปัญญาอย่างยิ่ง
3. ผู้ที่จะใช้ปัญญาน้อยทำงาน ควรระมัดระวังให้ดีเพราะเขาอาจจะทำความเสียหายร้ายแรงให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
4. คนที่มีศัตรูเป็นบัณฑิตนั้น ยังดีเสียกว่ามีคนโง่เป็นมิตร เพราะเขายังเกรงอาญาแผ่นดินไม่ถึงกับฆ่าคนได้
พระคาถาประจำชาดก
เสยโย อมิโต มติยา อุเปโต
น เตวว มิตโต มจติวิปปหีโน
กมสํ วธิสสนติ หิ เอลมูโค
ปุตโต ปิตา อพภิทา อุตตมงคํ
มีศัตรูที่มีปัญญา ดีกว่ามีมิตรที่โง่เฃลา
ความโง่เขลาของลูกช่างไม้ที่คิดจะฆ่ายุง
กลับผ่าหัวพ่อตนเสีย ดังนี้