24 เมษายน 2553 17:39 น.

ฝนใหม่ฮวยอีสาน

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

ปลายฤดูคิมหันต์ตะวันพลบ
จะเข้าหลบหลืบฟ้าเวลาฝน
เร่งควายขึ้นจากน้ำลาลำชล
สู่ฟางป่นคอกเก่าเสาเซเอียง

ลมไล่หลังครางครืนทวงผืนนา
ระหว่างฟ้าเอื้อนคำสำเนียงเสียง
นกถลาจากดินขึ้นบินเรียง
คงอยากเคียงลูกอ่อนก่อนฝนริน

หนอพี่ชายไอ้ตัวเล็กเก็บผ้าอ้อม
เหนือรั้วล้อมราวตากรักเขตถิ่น
ชายคารองรางไม้ไว้ดื่มกิน
เมื่อฝนรินตุ่มงามน้ำเติมเต็ม

เขียวมัดกล้าแต่ละมัดที่หยัดยืน
ต่อคนฝืนทั่งแกร่งเป็นแท่งเข็ม
ทุกปักดำกล้าไหวใบโลมเล็ม
จางเหงื่อเค็มเจือน้ำฉ่ำโคลนตม

เมื่อมวลเมฆอวบน้ำเต็มโอบอุ้ม
เตรียมปิดคลุมถ่านไม้ใช้ผ้าห่ม
หลบละอองฝนใหม่เริงสายลม
หากเปียกพรมถ่านแห้งหมดแรงไฟ

ท้วงทำนองจั๊กจั่นแต่วันวาน
จะขับขานร้องรับกับฝนใหม่
สังกะสีหลับนอนแต่ตอนใด
จะรัวไหวลายบรรเลงเพลงหลังคา

ทุกเรือนชานบ้านไหนในตำบล
คอยรับฝนสู่วันที่ฝันหา
ต้นวสันต์ผ่านร้อนค่อนเวลา
ความเป็นนาแต่หลังก็พรั่งพร้อม

พลิ้วเสียงฝนแรกตกกระทบโสตฯ
รินสะกดลานดินโชยกลิ่นหอม
งามดอกไม้ภูมรินเคยบินตอม
ก็ถูกย้อมน้ำฟ้ามาแต่บน

หอมเอยหอมกรุ่นกลมเมื่อฝนต้อง
ฟ้าร่ำร้องสั่งว่าสู่หน้าฝน
สังกะสีร้องขานบันดาลดล
แล้วเสียงมนต์เพลงสวรรค์ก็บรรเลง
-----------------------------------------------
หวานน้ำรองชายคาแรกหน้าฝน
ดื่มกับมนต์เพลงสวรรค์ที่บรรเลง

วันฝนแรกแห่งฤดูฝนเดือนหก
เบื้องหน้าข้าพเจ้าขณะนี้ลมฝนใหม่
กำลังพัดพลิ้วยอดใบไม้ใบหญ้า
อุ้มไอความเย็นมาจากไหนก็ไม่รู้แสนฉ่ำเย็นสบาย
ซึ่งแตกต่างกับลมฝนยามหลงฤดูในหน้าที่ของฤดูคิมหันต์
ผู้เสพมนต์กวีที่อ่านอยู่นี้ อาจจะเข้าใจยากสักหน่อย
เรื่องความแตกต่างระหว่างฝนที่มาพร้อมกับฝนเดียวกันนี้
ที่ได้สัมผัสอยู่ มันไม่มีรูปไม่มีตัวตนที่จะอธิบาย
แต่เป็นความรู้สึกที่รับรู้และเข้าใจได้

หอมกลิ่นดินหมาดฝนใหม่ กลิ่นหอมนี้
เป็นกลิ่นเดิมๆ แต่ยังให้ความรู้สึกที่ลึกล้ำ
เหมือนมีอวลไอชีวิตเริงร่าอยู่รอบๆ ตัว
เสียงจั๊กจั่นเสียงเดิมเช่นวันเก่าๆ ที่ผ่านมา
สดใสแตกต่าง พวกมันกรีดปีกสลับกันเป็นระยะๆ
ร้องเล่นตื่นเต้นกับฝนใหม่ ราวกับว่ากำลัง
ฉลองบุญใหญ่แห่งท้องทุ่งฟางเก่า
เนินเหนือทุ่งนารอบๆ นั้น มีดอกไม้ชนบท หลายชนิด
เสียดายที่หลายชนิดนั้นข้าพเจ้าไม่รู้จักชื่อ

ข้าพเจ้าเดินลัดผ่านทุ่งนาตั้งแต่ฝนเริ่มตั้งเค้า
สู่หมู่บ้าน อันมีวิถีดิบเดิม ได้เห็นบรรยากาศ
ที่ไม่ได้เห็นมาก่อนในหลายปี
ยามตะวันพลบ ฟ้าสู่ห้วงสนธยา
ฝนรินรดสังกะสีราวกับบทเพลงแห่งสรวงสวรรค์
น้ำฝนใหม่หวานเย็นในรสเดิมไม่ผิดเพี้ยน
และไม่เคยเปลี่ยนไปตามยุคสมัยโลกแปร
ข้าพเจ้าแสนจะเสียดาย หากว่าไม่เร่งมา
ทำรางรองน้ำฝนเสียก่อน คงได้มีโอกาสนั่ง
อยู่บนเถียงนา ดื่มด่ำกับบรรยากาศหลังฝน
ในยามค่ำคืน เคียงจั๊กจั่น นกนาและสัตว์นาอื่นๆ
ป่านนี้สัตว์นาเหล่านั้น
คงจะสนุกสนานกับคืนงามตามประสา
คงเป็นบรรยากาศที่น่าอิจฉายิ่งนัก......

ฝนใหม่ฮวยอีสาน วันที่สัตว์ ต้นไม้ ดอกไม้ 
และใบหญ้าเริงระบำ
แม้ท้องฟ้าจะไร้ดาวเพราะเมฆฝนลูกใหม่บดบัง
แต่ความงดงามแห่งผืนแผ่นดิน ก็มีให้เสพและดื่มด่ำ
ในยามแรกฤดูฝน... ยามนี้

ข้าพเจ้าขอจบบันทึกแค่นี้ก่อน

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
21 เมษายน 2553 20:56 น.

ก่อทรายคืนวัด

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

มิ่งเมษาป่าคูนพูนความเหลือง
รับคนเมืองสู่นาแต่ฟ้าสาง
เด็ดมะลิลอยนำน้ำอบจาง
กลีบคูนวางโปรยหว่านขันน้ำปรุง

แป้งเย็นหอมพร้อมสรรพสำหรับน้ำ
หอมชื่นฉ่ำรดราดสาดผ้านุ่ง
สะกดเสื้อลายดอกออกกลิ่นฟุ้ง
แก้มกระพุ้งลายฟันหวีแป้งมีเขียน

ล่วงเวลาอุษากรายในทุกเช้า
คืนก่อนเก่าสู่วันใหม่โลกไหวเปลี่ยน
ไหวฮีตคองขันโตกเมื่อโลกเวียน
ฝ้ายขาวเคียนคาดพลูรู้พาขวัญ

เมื่อเมษามาย้ำความเป็นคูน
พิณแคนสูญจะได้ฟื้นกลับคืนฝัน
เพียงลมร้อนจนกรายในหว่างวัน
นาสวนนั้นแห่งบ้านนาจะปลื้มใจ

แห่งบ้านนาฟ้ารุ้งปรุงอุษา
ดาริกาวาววับจะหลับไหล
มิหมายมั่นอวิชามายาใด
หมายแต่ในต่อท่ามความอยู่เย็น

แห่งบ้านนาฟ้าค่ำย่ำความพลบ
การบรรจบมืด-สว่างอย่างเคยเห็น
มิหมายมั่นมืดงามด้วยจำเป็น
หมายแต่ว่าตาเว็นลับโลกไป

แห่งบ้านนาดาวตื่นคืนฟ้าดับ
นอบน้อมรับไอกรุ่นอุ่นคบไหว
มิหมายมั่นแสงต่างสว่างใด
หมายแต่ไฟวามผญาโลมป่ามอน

เหง่งจะเหม่งโมงดังระฆังหง่าง
ลมหัวกุดหอบฟางเริ่มร้างอ่อน
ปรารถนาลมสิพักคงอยากนอน
หลังออดอ้อนฟางแล้งแห้งเต็มนา

วาสนาเถียงเก่าเนาว์พระธรรม
ลิ้มรสล้ำคำมนต์บ่นคาถา
เพียงเก่าเก่าเหงาร้างสังขารา
หากมรรคาลอยหอมพร้อมรสพุทธ

ปางค์เจย์ดีทรายสุขทุกก่อก่อง
แจ่มเรืองรองแข่งงามความบริสุทธิ์
เปี่ยมศรัทธาส่องสว่างทางวิมุติ
หน่อพระพุทธแตกกล้าระย้าตำบล

คืนเม็ดทรายสู่อารามงดงามพระ
ทรงศีละร่มอุ่นบุญกุศล
ม้วนสายสิญจน์แต่ละก้อนอ่อนกลมมน
แผ่ผูกด้นต่อยอดปราสาททราย

ประดับคูนประดาด้วยสวยปราสาท
ทั่วลานวัดสาธุชนคนทั้งหลาย
อิ่มแรงบุญในท่ามความวุ่นวาย
แต่มั่นหมายเดียวกันสรรค์เจย์ดี

มิ่งเมษาป่าคูนพูนความเหลือง
อวดคนเมืองคราวคิดถึงซึ่งถิ่นที่
สาดน้ำเย็นแป้งป้ายในขันนี้
เปียกเจย์ดีวัดวาเมษายน
................................................................
งานวัดเล็กๆ ในชนบทยามเดือนห้า
ต้นเวลากลางคืน ผู้คนมากหน้าหลายตา
ยังไม่หยุดเล่นน้ำ ชุดเปียกปอนที่สะท้าน
ถึงขุมขนเมื่อต้องกับสายลมเย็น
บิงโกอักษรที่เปียกจนเปื่อยบ้าง
นักมวยที่ชกบนเวทีเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและน้ำมันมวย
ผู้ชมข้างล่างก็เปียกไปด้วยน้ำหอมปรุง
กองทรายแต่ละกองที่ก่อนทั้งหน้าบ้าน และในวัด
ก็ชุ่มหอมไปทั่ว

ยามนี้เพียงร่มโพธิ์ที่ไหวเวกวิโว
ดอกคูนก็ไหวโววิเวก เหลืองอร่ามแข่งกับดวงดาว
ราวกับว่าเป็นพระอาทิตย์ยามกลางคืน
ไฟงานวัดก็ส่องสว่างไม่แพ้ แต่ละหลอดห่อด้วยกระดาษแก้วงดงาม

ในยามเดือนห้า หนุ่มๆสาวที่เลอะแป้งหอม
ล้วยสาดน้ำใส่เปียกไปหมด 
สัตว์ยามคืนเช่นจั๊กจั่นที่สั่นปีกรั่ว
คงหลงคิดว่าเป็นน้ำฝนกระมัง

งานวัดยามคืน มาพร้อมกับการเล่นน้ำ มีทั่วลานวัด
แม้เณรน้อยและอุบาสิกาภาคฤดูร้อนเองก็ยังอดเล่นไม่ไหว
หลวงพี่หลวงพ่อท่านต้องวุ่นวายทีเดียว 
ก็นับว่าเป็นบรรยากาศอีกแบบ

การเปียกปอนด้วยน้ำ ที่สาดใส่ทุกนาม
ในความเป็นอีสานชนบทแบบนี้
ข้าพเจ้าเองได้เห็นว่า 
"สาดบุญกุศลเปียกบุญกุศลแท้ๆ"

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
8 เมษายน 2553 02:09 น.

เกิดเป็นทุกข์ วัวหรือที่เกิดเป็นทุกข์?

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

เกิดเป็นทุกข์ วัวหรือที่เกิดเป็นทุกข์?

โลกหมุดเปลี่ยนเวียนหวั่นทั้งวันคืน
เล่าทนฝืนอิดโรยละโหยหา
เดียวดายเปลี่ยวร้างไร้ในมารดา
ทุกหลับตา-ลืมตื่นสะอื้นคราง

ขอนมแม่ตัวอื่นสักน้อยนิด
เพียงความคิดก็ขุ่นเคืองเรื่องบาดหมาง
หนอชาติวัวอปโยคโชคอับปาง
ข้างร่างผอมกายร้างห่างแม่ตน

ทุกวันเล่าเขาเกลียดก็เบียดออก
นอนนอกคอกชายคาเปียงห่าฝน
วัวนอกคอกสมซ้ำน้ำหน้าตน
สุดจะทนขมหญ้าที่หากิน

ลูกกำพร้าใจหมายไม่กำพร้า
ธารน้ำตาเปียกอยู่ไม่รู้สิ้น
เกิดแต่วัวแสวงหม่นบนแผ่นดิน
แม้ชีวินเดียรัจฉานยังมีกรรม

เพียงเกิดมาก็เห็นการเป็นทุกข์
อยู่ไหนสูข?เรา-เขาต่อเช้าค่ำ
ไหนเลือกสีนัยตาฟ้าหรือดำ
สัจธรรมล้วนเห็นความเป็นไป

แม้นภพชาติวาสนาพาดำเนิน
จะทบเทินปาบบุญทบทุนใหม่
ต่างกฏกรรมเดียรัจฉานประการใด?
ล้วนหวันไหวลอยล่องสอดคล้องกัน

ที่ลึกซึ่ง! แฝงไว้ในธรรมชาติ
คือนักปราชญ์สัพพัญญูผู้รังสรรค์
ทุกอนูแผ่นฟ้า ดิน ตะวัน
ทุกสายธาร  แสง-ค่ำ คือความจริง

เกิดเป็นทุกข์ดำรงตนจนแตกดับ
ล้วนกำเนิดเกิดกับทุกสรรพสิ่ง
เกิดเป็นทุกข์เช่นนี้วิถีจริง
อาจอ้างอิงอาจพิพาทกับอัตตา

เช่นชาติวัวในนามความเป็นโลก
เพียงเสี้ยวโศกความสุขและทุกขา
ผู้แสวงเสพกุศลผลมรรคา
หน่ายระอาเวียนว่ายทลายเปิง

ในนามหนึ่งภายใต้ในนามโลก
มิเสียงโชคสุ่มหมายการไปเถิง
ปรารถนาหลุดร้างอย่างสิ้นเชิง
ต่อวังเวิ้งวนว่าย เกิด-ตาย เวียน


การเกิดเป็นทุกข์
อยุ่ก็เป็นทุกข์
เจ็บป่วยก็เป็นทุกข์
ตายก็เป็นทุกข์
สรรพสิ่งไม่เที่ยงแท้
....................................................
สิ่งที่แน่นอนคือ ทุกคราวที่เกิดมา
จะนำพาความตายมาด้วยทุกครา

"ปักษาใดบินไปไร้แก่นสาร
แม้นบุปผาดามาลย์ไม่ฝันใฝ่
หวังหลุดวัฏะสงสารการเกิดตาย
ใช่เป้าหมายสุดยื้อกระพือบิน

เถิดปักษาสานธรรมรู้คำพระ
สืบสุดท้ายก่อนวาระจะสูญสิ้น
คราวโลกทรามป่นปี้ธุลีดิน
ยังคงกลิ่นปักษาพระสัทธรรม"

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
5 เมษายน 2553 00:45 น.

เช้าใหม่ในนางาม

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

เช้าใหม่ในนางาม

หอมเอยหอมกรุ่นกมลเมื่อฝนฟุ้ง
หอมน้ำปรุงหัวนาฝนฟ้าใหม่
แว่วขานเพลงสังกะสีที่นาใด
กล่อมพงไพรบ้านป่าหัวนาดอน

รับอุ่นไอฝนฟ้าจวนซาเม็ด
ต่อเมล็ดเติมนาใบกล้าอ่อน
คราวตะวันบอกร้างลางค่ำคอน
จั๊กจั่นเปียกปอนออกว่อนคืน

พลบตะเกียงเพล้โพล้โพล่มาส่อง
สาดแสงทองยิ้มแย้มแชล่มชื่น
ร่วงเม็ดฝนค้างหลังคาย้อยมาคืน
กระจายชื้นแตกกระเซ็นเย็นซ่านกาย

หอมดอกไม้ไร้ทิศทางพร่างพราวหอม
อวลมาย้อมเถียงนาซาฝนใหม่
ล่วงฤดูสู่วสันต์คิมหันต์กราย
สาบวัวควายเติบตื่นคืนกลับนา

แว่วกระดิ่งกริ่งควายยังไม่หลับ
ยุงไรจับระคายแคงแข้งแขนขา
แต่งควันโหมโถมลอยคอยทาบทา
อวดท้องฟ้าทักทายในคืนงาม

เผยดึกดื่นคืนข้างร้างแสงจันทร์
แววบุหลันลางระเรื่อเมื่อตีสาม
เพียงเมฆหนักน้ำฟ้ามาเยือนยาม
บดบังความนวลอ่อนค่อนคืนแรม

ล่วงจะเช้างามนักหลับไม่ลง
นายังคงงามเหลือเมื่อฟ้าแจ๋ม
ไก่โห่ขันขานนาคอยมาแซม
มาเติมแต้มแต่งหล้าคราอรุณ

หนาวหมอกฝนยามฟ้าอุษาสาง
ไฟคบร้างมอดหายไร้ไออุ่น
เผยแผ่นดินโดยตะวันหวานละมุน
มาเพิ่มพูนส่องสว่างสางนาไพร

เกริ่นวาระหน้าที่ปักษีษา
ถึงเวลาบรรเลงเพลงบทใหม่
เปลี่ยนจังหวะคำร้องทำนองไพร
แทนเรไรจั๊กจั่นล่วงผ่านคืน

คืนนอนนางามนักไม่อาจหลับ
จนคืนลับเช้าใหม่ได้เติบตื่น
เสพค่ำฝนเริงระบำลมคำครืน
เสพควันฟืนแสงไต้ไฟตะเกียง

วาวน้ำค้างสางเช้าเนาว์สีรุ้ง
เหน็บผ้านุ่งไหมสะโหร่งลงจากเถียง
แว่วกระดิ่งควายเคาะเปราะเกราะเพียง
รู้ว่าเสียงเช้าใหม่ในนางาม

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
1 เมษายน 2553 20:38 น.

หนาวพิษณุโลกลมหม่น บนรถไฟ...

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

หนาวพิษณุโลกลมหม่น บนรถไฟ...

หนาวลมครวญคอยหม่นบนรถไฟ
การร้างไกลจากแล้วแก้วเพื่อนเอ๋ย
รักรู้สึกไม่เลือนจางอย่างเช่นเฉย
อาจจะเผยความหมองเสียงของเรา

พี... นายไป เรารู้! อยู่บนนั้น....
บนพระจันทร์อย่าร้างลืมวันเก่า
เราเพียงห่างต่างภพอย่าซบเซา
จะมองเงาจันทร์กระจ่างต่างเงานาย

สัญญาว่าเพียงใดจะไม่ลืม
นายชอบดื่มโออิชิที่มาร์ชขาย
นายรักคอมฯขณะนั้นจนปั้นปลาย
แทบร่างกายแยกสิ้นกับวิญญาฯ

หนาวกว่าหนาวเกินเหลือเมื่อร้างจาก
การพลัดพรากแต่ด่วนเฝ้าครวญหา
แสนวิโยคเทษวร้างหลั่งน้ำตา
พิษณุโลกโบกลากว่าค่อนคืน

ห่วงว่าหลังยังเห็นว่าเป็นห่วง
ลมคอยเหน็บเจ็บทรวงหนวงใจฝืน
สี่ปีที่ประกาศวาดจุดยืน
ลมครางครืนไหวหวั่นวันจากไกล

คิดถึงคิดถึง "พงศธร"
หากลาจรจากกันก็หวั่นไหว
คิดถึงคิดถึง "ธัญใจ"
แววตาใสกริ่มกริ่มรอยยิ้มงาม

คืนดวงดาวพราวพร่างกระจ่างฟ้า
เอ่อน้ำตาสุดห่วงเฝ้าทวงถาม
ไหนคอยตรองครองหาสัญญายาม
มอป่าทามสามแสนแดนร้างลับ

เพียงสบสอดสายตาในรูปเก่า
เจ้าความเหงาเหมือนรู้ก็กรูจับ
จากวันล่วงเดือนลาคณานับ
ยังรักรับเติมลงในทรงจำ

เพื่อนเอ๋ยเคยร่วมทุกข์-ร่วมสุขมา
ตั้งแต่คราวนั้นหนอหอสิบสาม
หวังเวลาย้อนกลับรับโมงยาม
จะไปฉุดหยุดนามความเป็นตาย

"ดีหกศูนย์สาม"ห้องของ"พงศธร"
ก่อนลาจรจากลับ"พี"หลับไหล
ไม่ต่อถามความเห็นที่เป็นไป
คำสุดท้ายที่พูดกันอยู่ห้องนั้น

หนาวลมครวญคอยหม่นบนรถไฟ
การร้างไกลอยากให้เห็นเป็นแค่ฝัน
คืนรถไฟแล่นเหงาใต้เงาจันทร์
หลับคืนวันฝันหา.... "พงศธร"

...................................................

"เราจะขึ้นปีสามแล้ว...
นายหลับให้สบาย.....
ยังห่วงใยและคิดถึงเสมอ"

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฟ้าฟื้า ธรรมชาติ