17 มกราคม 2553 01:05 น.

จับเคียวเกี่ยวฝน

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

จับเคียวเกี่ยวฝน

แสงสางหล้าเบิกอรุณอุ่นในหนาว
พลิ้วมะพร้าวโบกใบไล่ไอฝน
เสียงเกราะลอล้อลุกปลุกผู้คน
บรรเลงปนเสียงกริ่งกระดิ่งควาย

ยอดหญ้าแนบแอบนิ่งอิงน้ำค้าง
แห้งกระด้างได้ฉ่ำกรุ่นละมุนไหว
ไก่แม่อ่อนต้อนลูกอย่างสุขใจ
คุ้ยเขี่ยไปตามหญ้าพาหากิน

ฝนฟ้างามยามอรุณยังกรุ่นอยู่
แอบรินหลั่งพรั่งพรูไม่รู้สิ้น
คืนความฉ่ำเย็นชื้นผืนแผ่นดิน
ต่อชีวินข้าว-หญ้าผืนนาทอง

จับเคียวเกี่ยวกองละอองฝน
แสนละมุนกรุ่นกมลเมื่อฝนต้อง
เก็บเกี่ยวฝนใส่ฝันมากลั่นกรอง
หลับตามองทุกขอบเขตสังเกตุตน

กระบวยตักน้ำชิมลิ้มคุณค่า
หวานน้ำรองชายคาเหมือนหน้าฝน
ในเหมันต์วันหนาวพราวกมล
บันดาลดลฝนและฝันให้พลันมี

จับเคียวเกี่ยวน้ำค้างต่างรวงข้าว
คมเคียววาวอาบแสงแห่งวิถี
วิถีชนบทนาหลายหล้าปี
ยังคงมีสืบแผ่นดินอวนกลิ่นนา

แดดสายๆลมเย็นๆเล่นยอดพร้าว
หนูตะเพาแอบหลับใหลใต้ใบหญ้า
รอกลางคืนแรมรอนจะจรมา
ค่อยแอบหายอดมะพร้าวยามหนาวกิน

เคียวเปียกปอนตอนหนาวพร่างพราวรุ่ง
คล้องกมลฝนฟุ้งจรุงถิ่น
สกุณาลารังยังโบกบิน
บรรเลงศิลป์เสียงสวรรค์ให้พลันดัง

เก็บเกี่ยวฝนในหนาวมาเนาแนบ
ทาบโค้งเคียวอิงแอบแนบความหลัง
คอยเสียงฟ้าในหน้าร้อนจะนอนฟัง
มาร้องสั่งทิ้งฝนจนฉ่ำเย็น

เคียวคอนโค้งคมใสในต้อนนั้น
คงได้ลับคมฝันให้ฉันเห็น
สลัดทิ้งสนิมสาบคราบลำเค็ญ
ก่อนมาเป็นเคียวคร่ำกรากกรำงาน

จะได้ใช้คมเคียวเกี่ยวใบกล้า
ไปปักดำทำนาเวลาฝัน
ฝันคือจริงคือตื่นในคืนวัน
ฝันคือขวัญปลอมประโลมในคมเคียว

จับเคียวเกี่ยวฝนหลงฤดู
ลับคมอยู่ในถิ่นแผ่นดินเสี่ยว
แผ่นดินแคนพิณผญาป่ากระเจียว
ฝึกคมเคียวรอเกี่ยวข้าว...ยามหนาวมา

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
12 มกราคม 2553 08:32 น.

กล่อมดอกเสี้ยว

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

ดอกเสี้ยวเอย
ดอกเสี้ยวบ้านนอก
ยามร้าวหนาวหมอก
ล้าก้านพาดอกไปหาฝัน
ทิ้งทุ่งรกร้างฟางแห้ง
ไปล้อเสียงนีออนอำพัน
หนอดอกเสี้ยวเปลี่ยวฝัน
คิดเบ่งบานเปื้อนคาวอยู่กรุง

ดอกเสี้ยวเอย
ดอกเสี้ยวไทบ้าน
หลับใหลกลางวัน
เบ่งบานกลางคืนลืมรุ่ง
รออาทิตย์ลับหล้า
ค่อยเบ่งบานหาเงินตราบำรุง
อวดยวนกลิ่นไหวฟุ้ง
ไม่เลือกยุ่งเลือกภมรเลือกใคร

ดอกเสี้ยวเอย
คงลืมแล้วลืมต้น
คงลืมนาลืมคน
ลืมโพนลืมเถียงนาลืมไร่
ลมหนาวหัวนาแล้ง
คงบ่สู้ลมแห้งเมืองใหญ่
โอ้ดอกเสี้ยวอำไพ
กลัวเหี่ยวเปล่าตายก่อนปลายฝัน

ดอกเสี้ยวเอย
ดอกเสี้ยวชนบท
ป่าปูนรันทด
คือมนตร์สะกดหรือไงกัน?
คิดถึงกันบ้าง
คิดถึงทุ่งร้างก่อขวัญ
เมืองหมอกเมืองควันอย่างนั้น
มั่นหมายในความฝันอันใด?

ดอกเสี้ยวเอย
ดอกเสี้ยวชาวนา
ยามเสียน้ำตา
จะกลับมาก็ได้
มางามยามแล้งแต่งต้น
เก็บฝันจากผู้คนวัวควาย
โอ้ดอกเสี้ยวชาวไร่
มาอยู่มาตายแผ่นดินตน!

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
6 มกราคม 2553 06:15 น.

รอข้าวเกิด รอการกลับ

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

รอข้าวเกิด รอการกลับ

ครวญสายลมชาวนาจะลาล่วง
ลามะม่วงช่องามในยามหนาว
คงอ้างว้างซังตอหนอนาเนาว์
กลัวถึงคราวนาวิโยกโศกค่ำคืน

เรียงฟ่อนข้าวต่อชั้นบนคันนา
ลมครวญครางสางหล้าให้นาชื่น
คอยครางครวญต่อหนาวทุกคราวครืน
ยังจุดยืนต่อแผ่นดินกลิ่นตำบล

ยามฟ้าสางแสงหล้ามาจรุง
น้ำค้างปรุงแต่งร่างต่างน้ำฝน
สูดกลิ่นฟางระหว่างงานบันดาลดล
ดมกลิ่นมนตร์แห่งฤดูอยู่ปลายนา

ผ้าขาวม้าซับร่างน้ำค้างพรม
เด็กคลุมห่มรู้ความตามประสา
หลบหนาวนิ่งอิงฟางข้างคันนา
เพียงใบหน้าคางสั่นผ่านสายลม

พระท่านจรดำเนินถิ่นบิณฑบาต
มาโปรดสัตว์หนาวน้ำค้างต่างอาศรม
ชายผ้าไตรฉ่ำหมอกดอกน้ำพรม
สำรวมก้มสงบนิ่งดิ่งดำเนิน

รับนิมนต์ญาติโยมประโคมบาตร
ข้าวสะอาดด้วยแรงธรรมความสรรเสริญ
เพียงความงามธรรมดามาหยอกเอิน
ก็เพลิดเพลินในธรรมอันอำไพ

สงบงามกลางนาเวลางาน
นมัสการผ่านวิถีจีวรไหว
รับกุศลโมทนาสองตายาย
ก่อนตั้งใจก่อกองเรียงฟ่อนฟาง

แสนคิดถึงหนึ่งครั้งแต่ยังเยาว์
อิงอุ่นไฟไล่หนาวคราวฟ้าสาง
เหม่อมองมือแม่พ่อถักตอซัง
เป็นสื่อนั่งสาดนอนตอนผิงไฟ

เมื่อหนุ่มสาวหมายฝันอันลางเลือน
มุ่งจากเรือนห่างหนีเปลี่ยนที่หมาย
ทิ้งฟ่อนข้าวหดหู่อยู่เดียวดาย
บนคันนาอาลัยในทรงจำ

เสน่ห์เอยเสน่หาสิมาหาย
ความเดียวดายก่อเหงาทุกเช้าค่ำ
แววไหมผ้านาดินจะสิ้นงาม
ไปเรืองรามอยู่กรุงมุ่งสิ่งใด

หมดภาระหน้าที่มีในนา
สู่เมืองฟ้ายามจรุงรุ้งสางใหม่
หน่อแนวเปลี่ยนเฮือนนอนตอนจากไกล
เหลือเอาไว้แต่ข้าวหล่นบนน้านั้น

ข้าวแต่เม็ดหล่นร่าวจากรวงแห้ง
มีหรือแรงแห่งข้าวจะร้าวฉาน
รอหนุ่มสาวคืนถิ่นแผ่นดินงาน
รออีกกาลฤดูหน้ามาต่อพันธุ์

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
4 มกราคม 2553 06:20 น.

ให้คึดนำบ้านแน่เด้อคำเอ๊ย!

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

“คำเอยคำ ยามสิไปให้อยู่ดี
ฝ้ายเส้นนี้เกี้ยวไว้อย่าให้เสีย
หล่าเอยนางแก้วคำเจ้าฟ้าวต่าวเมีย
ฟ้าวมาเจียเลี้ยงพ่อแม่แก่ชรา
ไปกรุงเทพกรุงไทให้ใหญ่สูง
อย่าลืมลุงป้าน้าน้องผู้คองถ่า
ยามเอาบุญยามเกษตรเฮ็ดไฮ่นา
ฮีบต่าวมาคืนบ้านเด้อคำเอย”
...............................................
เคยอุษามาเทวษด้วยเหตุนี้
เหตุแห่งหนีโคลนสาบลาบก้อยขม
เถียงละโหยดินระแหงแล้งสายลม
เสียมระงมจอบร่ำไห้ใต้ชานเรือน

แล้งน้ำฝนไหนน้ำใจสิหายเหือด
หลอดน้ำเลือดจากหัวใจสูไผเฉือน
สะเดาหวานตำนานเก่าเคยเนาว์เฮีอน
บวกปรักเปื้อนฉาบร่างยังอยู่ดี

สูเอย.. เคยว่า บ่ลาจาก
สิบ่พรากมูลมังต่างต่าวหนี
เส้นไหมม้อนหม่อนฝ้ายแพรด้ายมี
ทั้งผักหมี่สวนฮั้วหัวไฮ่นา

ส่ำกรุงเทพบ่แม่นเมืองแม่กูดอก
บ่หัวซาดอกบางกอกสั่นดอกหวา
ไสคนไคไหนคนคอนจากดอนตา
บ่ต่าวมาคืนคำเว้าตอนเนาว์เฮือน

เสียดายไหมลายบักจับกับมัดหมี่
อันเคยที่ใส่พรากจากเสี่ยวเพื่อน
ล่วงเวลาผญาเศร้าเจ้าลาเลือน
ไหมยังเตือนอยู่หรือไม่ยามใส่กาย

ฝักแขยงหอมบ่ไกลไปบ่ฮอด
ปลาข่อนขอดสลัดตมบ่สมหมาย
แหบ่หมานเบ็ดบ่ต้องข้องเปล่าดาย
ซุ่มเสียงไนเสียงฮูกบ่ผูกพัน

ไผเดนอสิเบิ่งยามปลายชีวิต
ผู้เฒ้าคิดครองเผื่อเหลือแต่ฝัน
ไฮ่นาเด๊สิเอ้ใส่ผู้ได๋กัน
ฮูกกูนั้นไผสิต่ำยามขาดกู

บาดเฮือนสามน้ำสี่สิหนีแล้ว
ฮีตคองแก้วสิบสองสิบสี่มีบ่สู
มาเฮือนเฮาเนาว์บ้านอีสานดู
มาเป็นอยู่แบบพ่อคือพอเพียง

มาฮับศีลฮับพรพระอีกครั้ง
มาอยู่ยั้งผืนแผ่นดินพิณแซวเสียง
มาเป็นปู่เป็นย่ามาเรียบเรียง
มาครองฮีตมีดเขียงครองไฮ่นา

กลับมาสืบความงามอีสานจริง
ให้ใหญ่ยิ่งส่าลือไกลไปภายหน้า
ไส?ลูกไผ?เหลนหลานแห่งบ้านนา
“คำเอย... อ้ายอีหล่า... พู้นพ่อแม่สูมาแล้ว!”

ช่วงปีใหม่ได้มีโอกาสนั่งสนทนากับตายยายปู่ย่า ที่มารวมกัน
ข้าพเจ้าได้นำคำพูด ความรู้สึก ของปูย่าตายาย ผู้เป็นไม้ไกล้ฝั่ง
มาร้อยเรียงเป็นบทกลอน ให้ทุกท่านได้อ่านได้รับฟังและรับรู้
ทุกถ้อยคำความในใจของคนเฒ่าคนแก่ ถึงลูกหลายที่จากบ้าน
จากแผ่นดินเกิด ไปแสวงหาหาเลี้ยงชีพอยู่เมืองใหญ่
ด้วยหาพอใจความพอเพียงที่ได้เกิดขึ้นแล้วบัดนี้ ในบ้านเกิดของตน
แววตาหลายๆคู่หลายๆดวง ที่ยังคอยเหม่อมองอย่างตั้งใจ
ในทุกๆเช้า หลังจากที่ท่านได้ใส่บาตรพระสงฆ์ ท่านจะนั่งมองรถโดยสาร
ที่วิ่งผ่านไปมาแต่เช้า ด้วยความในใจที่ไม่อยากให้ลูกหลานรับรู้
“คึดนำกูแน.. คำเอ๊ย คึดนำบ้าน คึดนำมูลนำมังแม่แน..”
เป็นคำพูดที่ได้ฟังแล้วยังก้องและกรีดอยู่ในหัวใจของผมยิ่ง

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฟ้าฟื้า ธรรมชาติ